Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ - ตอนที่ 71
ตอนที่ 71 โจมตี
“เจ้าหน้าที่ตำรวจหมายเลข 8723 พร้อมให้บริการครับ”
“ที่นี่คือสถานีตำรวจหมู่บ้านฉางเหมินหรือเปล่าครับ?”
“ใช่แล้วครับ คุณมีอะไรจะรายงานไหม?”
“ผมพึ่งกลับมาจากเมืองตงหนิง ผมพบอุโมงค์มิติที่นั่น มันอยู่ในลานจอดรถของอาคารร้างใกล้สี่แยกถนนตงเซียวและถนนหนิงซานในเมืองตงหนิง หวังว่าคุณจะรีบเตือนทางรัฐบาลของเมืองตงหนิงนะครับ”
“ข้อมูลได้รับการบันทึกแล้ว ขอบคุณมากสำหรับความทุ่มเทของคุณ ตามกฎระเบียบที่มีอยู่ ประชาชนที่ค้นพบอุโมงค์มิติที่ซ่อนอยู่จะได้รับรางวัลจากรัฐบาลท้องถิ่น โปรดมาที่สถานีตำรวจตอนนี้หรือพรุ่งนี้เพื่อลงทะเบียนข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ ยืนยัน ……
“ฮัลโหล! ฮัลโหล! คุณยังอยู่ไหม
เฉินโจวอี้กดตัดสาย ฟังเสียงรบกวนของเครื่องปั่นไฟ แล้วรีบเดินออกจากศูนย์คอลเซ็นเตอร์ที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ศูนย์คอลเซ็นเตอร์เป็นระบบตัดไฟอัตโนมัติเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่ใช้โทรศัพท์ แต่มีเพียงบริการสาธารณะบางอย่างเท่านั้นที่ยังเปิดให้บริการการโทร เช่นโทรหาตำรวจ โรงพยาบาล ธนาคาร หรือหน่วยงานราชการเป็นต้น ที่แห่งนี้จึงค่อนข้างเงียบเชียบ
เขาเดินอยู่บนถนน รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร แต่อีกใจก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
ราวกับว่าเขาได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป ไม่ต้องมาคอยอกสั่นขวัญหายในแต่ละวันและไม่ต้องแบกความกดดันไว้อีกแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์สลัวพลางถอนหายใจ
อะไรที่ควรละทิ้งก็ต้องละทิ้ง ต้องละทิ้งบางสิ่งถึงจะได้รับสิ่งอื่น!
….
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาสงบสติอารมณ์มาเป็นเวลาสิบวันแล้ว
ในแต่ละวันเขาเอาแต่ตั้งใจฝึกฝนอยู่ที่บ้าน ช่วงสองสามวันมานี้ ความแข็งแกร่งของร่างกายเขา การรับรู้และความว่องไว รวมถึงความตั้งใจ ในแต่ละด้านต่างเพิ่มขึ้นมา 0.1 จุด ส่วนความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมา 0.2 จุด
คุณสมบัติทั้งหมดจึงเปลี่ยนไป
ความแข็งแกร่ง: 13.3
ความว่องไว: 13.3
ความแข็งแกร่งของร่างกาย: 13.9
สติปัญญา: 12.6
การรับรู้: 11.3
ความตั้งใจ: 12.1
คุณสมบัติที่สูงที่สุดยังคงเป็นความแข็งแกร่งของร่างกาย ส่วนความว่องไวและความแข็งแกร่งอยู่ในอันดับสองและสาม
เมื่อเทียบกับเวลาสิบวัน พลังในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าสามระดับ ถ้าหากว่าต่อสู้กับชายชุดดำคนนั้นอีกครั้ง เฉินโจวอี้มั่นใจว่าแค่ต่อสู้สองสามรอบก็สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายแล้ว
….
ตอนเช้าตรู่ เฉินโจวอี้ถือหนังสือพิมพ์รีบกลับมาบ้าน
“พ่อครับ แม่ครับ ไฟฟ้าที่หนิงโจวได้รับการฟื้นฟูแล้ว อีกอย่างในหนังสือพิมพ์ยังระบุอีกว่า อีกสองวันต่อมาจะมีการประเมินการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดทั้งหมดในพื้นที่เมืองหนิงโจว”
สถานการณ์ในสังคมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ตามข้อมูลในหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ไม่เพียง แต่เมืองหนิงโจวเท่านั้น แต่เมืองตามเขตวงแหวนที่หนึ่งและสองของทั้งประเทศเริ่มทยอยฟื้นฟูพลังงานไฟฟ้าแล้ว ซึ่งหมายความว่าขอแค่ผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัด เขาก็จะสามารถไปทดสอบชาวยุทธที่เมืองเหอตงได้ในทันที
เมื่อเขาผ่านการทดสอบชาวยุทธ ครอบครัวของเขาก็ไม่ต้องหลบซ่อนตัวและหวาดกลัวอีกต่อไป
“ตัวตนของลูกจะไม่เป็นปัญาหาใช่ไหม?” แม่ของเขาถามด้วยความกังวล
“แม่ครับ วางใจเถอะ แม่เห็นว่าเราถูกหมายหัวตอนไหนไหมล่ะครับ อีกอย่างพวกเราไม่สามารถหลบซ่อนตัวไปได้ตลอดชีวิต” เฉินโจวอี้พูดปลอบโยนแม่
แม่และพ่อของเขามองหน้ากัน ในใจพลันเกิดความรู้สึกหนักอึ้งโดยไม่รู้ตัว
ใช่แล้ว พวกเขาจะไม่สนใจก็ได้ จะใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไปก็ยังได้ แต่ลูกๆ ของพวกเขายังเด็ก ไม่สามารถที่จะมีชีวิตแบบนี้ได้ตลอดไป
สุดท้ายแล้วเฉินต้าเหว่ยจึงถอนหายใจพลางพูดขึ้น “งั้นก็ไปเถอะ ระวังตัวด้วยนะ ถ้าเห็นอะไรผิดปกติให้รีบหนีทันที”
….
การทดสอบจะจัดขึ้นในตอนเช้าของวันมะรืนนี้ เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด เฉินโจวอี้เองไม่ได้ล่าช้า เขากลับห้องของตัวเองไปเก็บกระเป๋าแบบง่ายๆ เพื่อเตรียมไปเมืองหนิงโจว
พ่อแม่และเฉินซิงเยว่เดินมาส่งเขาที่ประตูทางเข้าสวน
“พี่ ระวังตัวด้วยนะ” เฉินซิงเยว่พูดขึ้น ด้วยพลังระดับชาวยุทธของพี่ชายเธอ เธอไม่กังวลเลยว่าเขาจะสอบผ่านหรือไม่ ขอแค่ตัวตนของพี่ชายไม่มีปัญหาอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสักนิด
“วางใจเถอะ ทุกคนไม่ต้องไปส่งผมหรอก อ้อใช่สิ ถ้าหากทุกอย่างราบรื่นดี พอถึงตอนนั้นผมยังต้องไปสอบชาวยุทธที่เมืองเหอตงอีก อาจจะยังกลับมาไม่ได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นะครับ”
“ตอนที่ผมไม่อยู่ ทุกคนต้องระวังตัวด้วยนะ โดยเฉพาะซิงเยว่ พยายามออกไปข้างนอกให้น้อยหน่อย!”
“พี่ ฉันรู้แล้วน่า” เฉินซิงเยว่จึงพูดต่อว่า “เรื่องทางบ้านไม่ต้องกังวล มีฉันอยู่ทั้งคนนะ”
“ช่วงสองสามวันนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว ตอนกลางคืนต้องห่มผ้าดีๆ อย่าให้ตัวเองเป็นหวัดนะ” แม่ของเขาพูดขึ้น
“รู้แล้วครับแม่!”
ที่จริงแล้วถ้าดูจากความแข็งแกร่งของร่างกายเขาในตอนนี้ ต่อให้อยากจะให้เขาป่วยก็ยังเป็นเรื่องยากเลย
แม่ของเขายังอยากที่จะกำชับอีกสักสองสามประโยค เฉินโจวอี้รีบยกมือห้ามทันที
ผ่านไปสักพัก คุณนายเจ้าของบ้านและลูกสาวถือกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่เดินออกมา พอเห็นเฉินโจวอี้และครอบครัว จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ไอ้หยา พวกคุณก็จะออกไปข้างนอกเหมือนกันเหรอ?”
“ใช่แล้ว ลูกชายจะไปเมืองหนิงโจว” เฉินต้าเหว่ยพูดพลางหัวเราะ
“ช่างบังเอิญเสียจริง ลูกสาวของฉันก็จะไปเข้าร่วมการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดที่เมืองหนิงโจวเหมือนกัน แบบนี้ก็ไปด้วยกันได้น่ะสิ เดิมทีฉันอยากไปเป็นเพื่อนเธอ แต่แม่เด็กดื้อคนนี้จะไปคนเดียวให้ได้ แบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”
คุณนายเจ้าของบ้านพูดมาเช่นนี้ แต่ในคำพูดแต่ละคำกลับแฝงความหมายไว้
เป็นธรรมชาติที่จะบอกว่าเธอมีเหตุผลที่จะภูมิใจในตัวเอง ก็ในหมู่บ้านและทั้งเมืองนี้จะมีสักกี่คนเชียวที่ไปทดสอบชาวยุทธฝึกหัดทั้งที่ยังอายุน้อยอย่างเช่นลูกสาวเธอ?
ในเวลานี้เฉินโจวอี้มองไปที่แม่ของเขาโดยอัตโนมัติ มองเห็นรอยยิ้มบางผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด….
“โอ้ เหมือนกันเลย ตอนแรกที่ลูกสาวของฉันไปทดสอบชาวยุทธฝึกหัดก็ไม่ต้องให้ฉันไปด้วยเหมือนกัน ผลก็คือเธอสอบผ่านโดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ ปล่อยให้ฉันเป็นกังวลตั้งครึ่งวันแหน่ะ ตอนนี้ลูกชายก็จะไปสอบอีก ฉันเลยไม่รู้สึกอะไรแล้ว!”
คุณนายเจ้าของบ้านที่ยิ้มร่าในตอนแรกกลับมีท่าทีชะงักไป เธอค่อยๆ อ้าปากค้าง เป็นเวลานานกว่าจะเอ่ยปากถาม “ลูกสาวของคุณอายุเท่าไร เด็กขนาดนี้สอบผ่านแล้วเหรอ?”
“อายุ 15 ปีแล้ว เธอเกิดเดือนมิถุนายน ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะถูกเสนอชื่อให้เข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองหลวง ฉันก็อยากให้เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ สักแห่ง มัวแต่รำดาบเล่นกระบองทั้งวันแบบนี้ ต่อไปคงหาแฟนยาก”
อายุเท่านี้ยังเด็กกว่าลูกสาวของเธอตั้งห้าเดือน คุณนายเจ้าของบ้านถูกโจมตีจนถล่มอย่างยับเยิน แต่เธอกลับทำได้แค่พูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะเจื่อนๆ “จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้เนอะ วิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองหลวงเป็นสถาบันที่อยู่ในอันดับหนึ่งอันดับสอง หลายคนจะต้องอิจฉาอย่างแน่นอน ถ้าหากเธอสามารถกลายเป็นชาวยุทธได้ พวกคุณจะต้องเพลิดเพลินไปกับความสุขหลังวัยเกษียณแน่นอน”
“เป็นชาวยุทธมันง่ายอย่างนั้นซะที่ไหนกัน หลังจากเรียนจบสามารถหางานเป็นคุณครูสอนศิลปะการต่อสู้ในโรงเรียนได้ ฉันก็พอใจมากแล้ว”
หน้าของลูกสาวเธอเริ่มแดง เธอเหลือบตามองเฉินซิงเยว่ด้วยสีหน้าที่ดูไร้อารมณ์ พลางพูดหยุดแม่ของเธอ “แม่คะ เลิกพูดได้แล้ว หนูจะไปแล้ว”
….
เด็กสาวถือกระเป๋าสัมภาระหนึ่งใบ เดินไปบนถนนอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าดูเรียบเฉยจนผมเปียหางม้าที่ด้านหลังสะบัดไปมา
เฉินโจวอี้เดินตามหลังอย่างไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป
เธอสวมเสื้อยืดผ้าฝ้ายสีขาว กระโปรงจับจีบสีน้ำเงินเข้ม สวมถุงน่องยาวสีขาวและรองเท้าผ้าใบสีขาวน้ำเงิน มองดูแล้วช่างสบายตาและอ่อนเยาว์
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองคนเดินมาถึงสถานีรถบัส หลังจากซื้อตั๋วเสร็จแล้ว จึงไปนั่งรอรถ
เขารู้สึกเคอะเขินและอึดอัด ในเมื่อยังต้องเดินทางด้วยกัน เฉินโจวอี้จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน “ทำความรู้จักกันสักหน่อยแล้วกัน ฉันชื่อเฉินโจวอี้ แล้วเธอล่ะ?”
“โจวเสวี่ย!” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาโดยไม่ได้หันไปมองเขา
“ยังเรียนอยู่ ม.4 อยู่เหรอ?”
“อืม!”
“งั้นก็เหมือนน้องสาวฉันแหละ” เฉินโจวอี้พูดขึ้น
บรรยากาศเข้าสู่ความเงียบในทันที
ที่แท้ก็เป็นเด็กสาวจอมหยิ่งนี่เอง เฉินโจวอี้เริ่มรู้สึกเหงื่อตก
รถบัสมาถึงอย่างรวดเร็ว โจวเสวี่ยรีบลุกขึ้นไปต่อแถวขึ้นรถ
หลังจากเฉินโจวอี้ขึ้นมาบนรถจึงไปนั่งข้างเธอ
“นายอย่ามานั่งตรงนี้ได้ไหม?” โจวเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ก็ที่นั่งฉันอยู่ตรงนี้นี่นา!” เฉินโจวอี้หยิบเอาตั๋วรถมาแสดงให้ดู
“บนรถมีที่ว่างตั้งมากมาย นายก็นั่งๆ ไปสักที่เถอะ!”
“ก็ได้” เฉินโจวอี้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนไล่ จึงพูดขึ้นอย่างจนปัญญา
เขาลุกขึ้นแล้วหาที่นั่งว่างใกล้ๆ เขาแอบเปิดกระเป๋าเอกสารเงียบๆ มองดูเด็กหญิงเปลือกหอยที่นอนหลับสนิทโดยกอดลูกบอลคริสตัลของเธอไว้
จากนั้นเขาปิดซิป ปรับเบาะนั่งให้เอนเพื่อนอนหงายแล้วเริ่มฝึกจิต