Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ - ตอนที่ 77
ตอนที่ 77 ชายลึกลับ
หลังจากการทดสอบดำเนินไปกว่าสองถึงสามชั่วโมง การทดสอบของผู้เข้ารับการทดสอบเกือบหนึ่งพันสิ้นสุดลงเสียที
แต่เรื่องไม่คาดฝันก็ยังคงเกิดขึ้น
มีผู้เข้ารับการทดสอบหญิงคนหนึ่งล้มลงไปกับพื้น หัวของเธอกระแทกเข้ากับหินจนเสียชีวิตคาที่
ทุกคนต่างพากันเงียบเสียงลงเมื่อศพที่มีเลือดนองเต็มใบหน้าถูกแบกออกมาจากอุโมงค์มิติ
เมื่อเทียบกับการทดสอบเมื่อก่อนนี้ การทดสอบในครั้งนี้ถือว่านองเลือดและโหดร้ายกว่ามาก
….
ตอนขากลับ ผู้ได้รับบาดเจ็บจะได้ขึ้นรถกลับไปก่อน พวกเขาจะไม่เข้าไปศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้แล้ว แต่จะมุ่งไปยังโรงพยาบาลแทน
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถแล้ว ทั้งสองคนเงียบไปสักพัก ทันใดนั้นโจวเสวี่ยก็พูดขึ้นมาเบาๆ “ได้ยินมาว่า นายช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันทำการทดสอบเหรอ?”
” เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง” เฉินโจวอี้ยักไหล่
“ของคุณนะ!” โจวเสวี่ยพูดขึ้น แก้มของเธอแดงระเรื่อ เธอรับหันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว
ช่างเป็นสาวน้อยที่หน้าบางเสียจริง คาดว่าคำขอบคุณคำนี้ เธอคงคิดมาเป็นเวลานานแล้วสินะ
“ใครใช้ให้เธอเป็นลูกสาวของเจ้าของบ้านเช่าล่ะ ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ต้องดูแลเธอ!” เฉินโจวอี้พูดจบ พอเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาจึงไม่แกล้งเธออีก จากนั้นเขารีบเข้าเรื่องทันที “ฉันจะบอกเธอไว้ก่อนแล้วกัน หลังจากกลับไปที่โรงแรมแล้ว ฉันจะยังไม่กลับไปหมู่บ้านจ่างเหมินกับเธอ เพราะฉันจะไปเหอตงต่อ ฝากบอกพ่อกับแม่ฉันด้วยว่าฉันยังปลอดภัยดี”
“รู้แล้ว!” ถึงแม้ว่าโจวเสวี่ยจะเกิดความสงสัย แต่เธอกลับไม่ได้ถามต่อ เพราะเดิมทีเธอไม่ใช่คนที่ชอบถามมากอยู่แล้ว
“เธอรู้ใช่ไหมว่าจะกลับไปอย่างไร?” เฉินโจวอี้ถาม
“รู้สิ!” โจวเสวี่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
ดังนั้นหัวข้อสนทนานี้จึงจบลงเพียงเท่านี้
….
ในไม่ช้ารถบัสก็ขับมาถึงศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้
ขั้นตอนต่อไปก็เริ่มทำการลงทะเบียน การรับรองและการกล่าวคําปฏิญาณตนซึ่งไม่ได้พูดถึงรายละเอียดมากมายนัก
ตอนแรกเฉินโจวอี้เป็นกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องตัวตนของเขา แต่ผลสุดท้ายมันก็แค่กระบวนการพิสูจน์ตัวตนแบบไม่ละเอียดเท่านั้น
เมื่อดูเอกสารแสดงตนขนาดเล็กและดูประณีตนี้ ในที่สุดเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนมีสิทธิทางการเมืองเสียที
ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ถ้าหากเขาได้รับใบรับรองนี้ คาดว่าคงเป็นแค่เรื่องที่ถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน
แน่นอนว่าเป็นได้แค่ความฝัน
ในเวลานั้นเขาอยู่ห่างจากชาวยุทธฝึกหัดพอกันกับระยะห่างของความฝันและความเป็นจริง
แต่ในตอนนี้เวลานี้ เขากลับพูดถึงความสุขไม่ออก
เขารู้สึกเฉยชามาก
ก็เหมือนคนที่ขับรถไม่มีใบอนุญาตมาเป็นระยะเวลานานสามารถสอบผ่านใบขับขี่ได้อย่างราบรื่น ทั้งหมดนี้มันเห็นได้ชัดว่ามันสมเหตุสมผล
สำหรับเขาแล้ว ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการไขว่คว้ามากที่สุดก็คือ หนังสือแสดงตนของชาวยุทธ
เขาไม่ได้สนใจหนังสือแสดงตนของชาวยุทธฝึกหัดตั้งนานแล้ว
เขากลับมายังโรงแรมพร้อมกับโจวเสวี่ย เฉินโจวอี้สะพายกระเป๋า หยิบเอากระเป๋าเอกสารขึ้นมา เขาเปิดซิปตรวจดู พบว่าเด็กหญิงเปลือกหอยกำลังหลับสบายอยู่ เขาจึงปิดซิปอีกครั้ง
หลังจากเดินออกจากห้อง เขาเดินไปเคาะประตูห้องตรงข้าม “ฉันไปก่อนนะ”
“อืม!” โจวเสวี่ยพูดตอบรับอยู่ด้านใน
เฉินโจวอี้ยิ้ม เขาไม่ได้สนใจอะไร เพราะเขาได้คุ้นเคยกับนิสัยที่ค่อนข้างจะเย็นชาของโจวเสวี่ยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้มีความสนใจต่อสาวน้อยเท่าไร
….
เขาเช็คเอ้าท์ที่แผนกต้อนรับ แล้วเรียกรถแท็กซี่ตรงไปที่สถานีรถไฟความเร็วสูง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาขึ้นรถไฟความเร็วสูงขบวนที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเหอตง
เมื่อเดินเข้ามาในโบกี้รถไฟ เขาพบว่าที่นั่งของตัวเองมีคนอื่นแย่งนั่งไปแล้ว เฉินโจวอี้จึงถือตั๋วรถไฟไปแสดงให้ดูแล้วพูดขึ้น “ขอโทษนะครับ ที่นั่งนี้เป็นของผม”
ในโบกี้รถไฟคนว่างมาก มีคนไม่เยอะเท่าไร เห็นได้ชัดว่าคงไม่มีเหตุการณ์ไม่มีที่นั่งเกิดขึ้น เฉินโจวอี้จึงอดที่จะสงสัยยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงมานั่งที่ของตน
“อ้อ ขอโทษครับ” ชายหนุ่มคนนี้รีบลุกขึ้น แล้วลุกไปนั่งฝั่งตรงข้าม
เขารู้สึกว่าสำเนียงของชายหนุ่มคนนี้ดูแปลกๆ จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาอยู่หลายรอบ แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายมองออกไปนอกหน้าต่างแล้ว
นี่คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีอายุประมาณยี่สิบปี ผิวของเขาละเอียดอ่อนดูเรียบเนียน ถึงแม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา หน้าตาไม่ได้ดูหล่อมาก แต่กลับมีเสน่ห์อย่างน่าแปลกใจ
เขาไม่ได้มองสำรวจมากไปกว่านี้ จากนั้นเขาจึงหยิบเอาหนังสือภาษาทั่วไปสำหรับทั้งสองโลกออกมาเปิดอ่านดู
รถไฟค่อยๆ เคลื่อนที่ออกไป
ชายหนุ่มยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม หลังจากเขามองนอกหน้าต่างอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง เขาถึงจะถอนสายตากลับมา แล้วมองไปยังเฉินโจวอี้ “ขอโทษนะครับ คุณกำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่เหรอ?”
ถ้าหากมองข้ามสำเนียงแปลกๆ ของเขาไป เสียงของเขาดูเหมือนคลื่นแม่เหล็ก ที่ฟังดูไพเราะและสง่าในคราวเดียวกัน
เฉินโจวอี้เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ภาษาที่ใช้กันทั่วไป!”
“ภาษาที่ใช้กันทั่วไป นี่คือภาษาอะไรเหรอ?” ชายหนุ่มดูเหมือนจะถามด้วยความสงสัย
“ภาษาของโลกที่แตกต่าง” เฉินโจวอี้ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร เพราะคนที่เรียนภาษาของโลกที่แตกต่างมีเพียงแค่ไม่กี่คน มีแค่ในวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หรือสถาบันวิจัยเฉพาะทางเท่านั้นถึงจะได้เรียนรู้ภาษานี้
“โลกที่แตกต่าง….” เขาพึมพำอยู่ในปาก “ขอโทษนะครับ ผมขอดูหน่อยได้ไหม?”
เฉินโจวอี้ไม่ได้สนใจ เขาส่งมันให้ชายหนุ่มดู
หลังจากที่ชายหนุ่มรับมา เขาเริ่มพลิกดู เขาพลิกอย่างรวดเร็ว พออ่านดูแค่หนึ่งถึงสองวินาทีก็พลิกไปอีกหน้าแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมอยู่ หลังผ่านไปประมาณหนึ่งถึงสองนาที เขาก็หยุดอ่าน แล้วส่งหนังสือคืนเฉินโจวอี้ “น่าสนใจมากครับ! นี่คือสิ่งที่นักรบทุกคนต้องเรียนรู้เหรอ?”
เฉินโจวอี้พึ่งจะรับหนังสือคืนมา พอได้ยินคำถามของอีกฝ่าย มือของเขาหยุดกึกทันที
จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า “คุณรู้ได้อย่างไร คุณน่าจะไม่ใช่คนจีนใช่ไหม? ที่ประเทศจีนไม่มีใครเรียกนักรบกันหรอก!”
“คุณเดาไม่ผิด ผมมาจากสถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก ส่วนเรื่องที่มองออกอย่างไรนั้น เพราะสิ่งที่ปิดบังสายตาของผมไม่ได้ก็คือ คุณดูแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปในที่แห่งนี้มาก” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มบาง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
เฉินโจวอีะงักไป ในใจของเขาค่อยๆ นึกถึงประโยคสุดท้ายของชายหนุ่มคนนี้ การพูดของเขาค่อนข้างผิดปกติ คำพูดคำจาดูราวกับว่าเขาไม่ใช่คนจากโลกนี้
ในเวลานี้ร่างกายของเขาราวกับโดนสายฟ้าฟาด ทั่วทั้งร่างดูแข็งทื่อ ด้านหลังของเขามีเหงื่อไหลชุ่ม
“คุณประหม่าเหรอ?” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม
ท่าทางของเขาช่างดูอ่อนโยนตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ แต่ในเวลานี้เฉินโจวอี้กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารอยยิ้มนั้นแฝงการวางตัวที่สูงส่งและความไม่แยแสต่อสรรพชีวิตไว้
“เปล่าครับ อาจเป็นเพราะอุณหภูมิในรถไฟสูงเกินไป” เฉินโจวอี้รีบพูดกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว ใจของเขาเต้นแรงมาก!
เขาพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เขารู้ดีว่าในเวลานี้ต่อให้ประหม่าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อเผชิญหน้ากับความรู้สึกน่ากลัวเช่นนี้ ความเป็นความตายของเขาขึ้นอยู่กับความคิดเท่านั้น
ชายหนุ่มไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เขาถอนหายใจพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าอึกอัดใจว่า “โลกใบนี้ช่างงดงามแต่เปราะบาง ช่างทรงพลังและอ่อนแอ แต่ดีที่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สงครามกำลังจะมาถึงแล้ว คนโง่จะต้องตายตกไปตามกัน คนฉลาดเท่านั้นถึงจะรุ่งโรจน์!”
เฉินโจวอี้อยากที่จะพูดแย้งเขา แต่สุดท้ายก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา ในการเผชิญหน้ากับบุคคลที่แข็งแกร่งที่สามารถช่วงชิงชีวิตมาได้ตลอดเวลา การกระทำใดๆ ก็ตามที่ทำให้เขาคนนั้นหงุดหงิด ถือเป็นการกระทำที่โง่มาก
ในเวลานี้ พนักงานต้อนรับบนรถไฟเดินเข้ามาในตัวโบกี้ ด้านหลังของเขามีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่สองสามคน
“ตอนนี้ขอตรวจตั๋วชั่วคราว ขอให้ทุกท่านแสดงตั๋วและบัตรประจำตัวประชาชนของคุณออกมา ถ้าหากทำให้ทุกท่านไม่สะดวก ทางเราต้องขออภัยด้วย”
ในโบกี้เริ่มทำการตรวจตั๋วอีกครั้ง
ทันใดนั้นเฉินโจวอี้เริ่มรู้สึกมีความหวังอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองชายลึกลับคนนั้น แต่กลับพบว่าเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในทางตรงกันข้ามเขากลับยิ้มให้อย่างลึกลับ
หรือว่าตัวเขาเองเดาผิดไป
พนักงานต้อนรับค่อยๆ เดินมา เฉินโจวอี้หยิบตั๋วและบัตรประจำตัวประชาชนออกมาจากในกระเป๋า แล้ววางไว้บนโต๊ะเล็กๆ
หลังผ่านไปไม่นาน พนักงานต้อนรับหยิบตั๋วและบัตรประชาชนขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่ง “เก็บไว้กับตัวให้ดีนะครับ”
เฉินโจวอี้ค่อยๆ รับบัตรประชาชนและตั๋วรถกลับมา กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายเริ่มเกร็งตัว ในใจของเขาส่งเสียงเตือน
แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าพนักงานต้อนรับคนนั้นและพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับเดินผ่านชายหนุ่มลึกลับคนนั้นไป เหมือนไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา ราวกับว่าชายหนุ่มคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่ เขามองไปโดยรอบอีกครั้ง พบว่าผู้โดยสารคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงไม่สังเกตเห็นถึงฉากอันน่าแปลกประหลาดนี้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“มันน่าแปลกมากเหรอ?” ดุเหมือนชายหนุ่มจะสังเกตเห็นถึงความสงสัยของเฉินโจวอี้ เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มบางว่า “ถ้าใช้ภาษาของโลกนี้อธิบาย นี่ก็แค่ความมืดในใจทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากฉันไม่อยากให้พวกเขามองเห็น ฉันก็จะไม่มีตัวตนสำหรับพวกเขา”
“แต่ฉันเองก็ต้องไปแล้ว ฉันรู้สึกได้ก่อนหน้านี้แล้วว่านี่คือสัญญาณที่ไม่ดี รับรู้ได้ถึงการตรวจสอบที่น่ารังเกียจพวกนี้ รวมถึงการไล่ล่าที่ชวนน่ารำคาญนั่น” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเขาพูดจบ จากนั้นเขายื่นมือออกไปยังหน้าต่างกันกระสุนของรถไฟ มือของเขาดูเลือนลาง วินาทีต่อมาเกิดเสียงลมพัด กระจกแตกออกในทันที ขณะเดียวกันเฉินโจวอี้ก็มองเห็นร่างของเขาหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ร่างของเขาพุ่งออกจากหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว ภาพสุดท้ายที่เฉินโจวอี้เห็นก็คือชายหนุ่มคนนั้นกระโดดลงจากสะพานรถไฟความเร็วสูงไป