Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ - ตอนที่ 78
ตอนที่ 78 ตั้งคำถาม
ด้วยการเคลื่อนไหวที่อุกอาจ จนทำให้เกิดเสียงร้องตกใจไปทั่วโบกี้รถไฟ เศษกระจกลอยแตกกระจายลงพื้นรอบด้าน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมกระจกหน้าต่างถึงแตกได้?”
“เมื่อกี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เสียงดังมากเลย เมื่อกี้ระเบิดเหรอ? ฉันตกใจแทบแย่แหน่ะ!”
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จนไม่มีใครมองทันสักคน
ฉินโจวอี้มองดูชายหนุ่มลึกลับคนนั้นที่หายตัวไป ในที่สุดเขาก็โล่งใจ เขาถอยตัวออกมาจากตรงหน้าต่าง ไถลตัวพิงไปกับเบาะนั่งราวกับจบสิ้นแล้วทุกอย่าง เขาไม่อยากคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น
แผ่นหลังของเขาเย็นวาบ เสื้อผาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
หัวใจของเขายังคงเต้นอย่างบ้าคลั่ง
ครั้งนี้เหมือนเขารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
ชายลึกลับคนนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าดุร้าย มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
มันไม่ใช่พลังอะไร แต่มันคือท่าทีของผู้สูงส่งที่มองทุกสรรพชีวิตราวกับมดปลวก เป็นความรู้สึกเหมือนฝุ่นผงที่ล่องลอยอย่างเป็นอิสระจากโลกนี้ ชีวิตธรรมดาในสายตาของเขาคงดูเปราะบางราวกับฟองสบู่
ในโลกที่แสนธรรมดาเช่นนี้ ด้วยความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขา ถ้าเขาคิดที่จะฆ่าขึ้นมา อย่าว่าแต่แค่โบกี้นี้เลย รถไฟความเร็วสูงทั้งคันคงเลือดไหลนองราวกับแม่น้ำเป็นแน่แท้
……
บริเวณเบาะนั่งของเฉินโจวอี้ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนอย่างรวดเร็ว
“เธอเห็นไหมว่าหน้าต่างรถไฟแตกได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างอ้วนเอ่ยถามขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงคนถาม เฉินโจวอี้จึงเรียกสติตัวเองกลับมา เขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากพลางส่ายหัว
“แปลกมากเลย เมื่อกี้ฉันเห็นเธอยื่นตัวออกไปนอกหน้าต่าง ยังนึกว่าเห็นอะไรเข้าแล้ว?” ชายวัยกลางคนดูกลัวมาก เพราะเสียงเมื่อกี้มันดังราวกับเสียงระเบิด ทำให้เขาตกใจกลัวจนโรคหัวใจของเขาเกือบกำเริบ
“ใช่แล้ว เธอนั่งอยู่ตรงนี้นี่นา ทำไมถึงไม่เห็นล่ะ?”
“เขาคงไม่ได้ทุบกระจกใช่ไหม?” มีคนพูดกระซิบขึ้น
“นี่มันกระจกกันกระสุนเชียวนะ เขาจะใช้อะไรทุบได้? อีกอย่างแค่ทุบคงไม่สามารถทำให้กระจกแตกละเอียดทันทีหรอก”
ฝูงชนรอบตัวเขาเริ่มพูดคุยกันไปต่างๆ นาๆ ในไม่ช้าผู้โดยสารจากโบกี้อื่นเริ่มวิ่งเข้ามา พริบตาเดียวในโบกี้นี้เต็มไปด้วยผู้โดยสารนับไม่ถ้วน เสียงพูดคุยอื้ออึงดังเข้ามาในหูของเฉินโจวอี้ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกปวดหัวและหงุดหงิดเล็กน้อย
หลังจากที่กระจกหน้าต่างแตก ลมที่เข้ามาจากด้านนอกจึงแรงมาก ลมพัดจนเขาเริ่มรู้สึกไม่สบายตา เขาลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋าสัมภาระเตรียมเปลี่ยนที่นั่ง
“รบกวนหลีกทางให้ด้วยครับ!”
เขาแหวกฝูงชนออกไปขณะที่พูด
“เขาคงไม่ได้กลัวความผิดอยู่ใช่ไหม! หรือว่าเขาเป็นคนทำ?”
เฉินโจวอี้ได้ฟังดังนั้นจึงหยุดฝีเท้าลง สีหน้าของเขาดูเย็นชาขึ้น เมื่อกี้เขาพึ่งรู้สึกเหมือนตัวเองรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด อารมณ์ของเขายังไม่มั่นคง และในเวลาที่กำลังหงุดหงิดอย่างมาก กลับถูกคนอื่นกล่าวหาอย่างไร้เหตุผล ในใจของเขาจึงเกิดไฟแห่งความโกรธโหมกระหน่ำขึ้น
เขาหันกลับไปมองชายหนุ่มสวมแว่นตาที่พูดจาแดกดันเขา แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ? ฉันฟังไม่ชัด พูดมาอีกครั้งซิ!”
เฉินโจวอี้มีรูปร่างสูง ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นถึงความกำยำของร่างกาย แต่ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็เผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อแขนเป็นมัดๆ ส่วนชายหนุ่มสวมแว่นคนนั้นกลับมีรูปร่างผอมแห้งดูบอบบาง
แค่เทียบเรื่องรูปร่าง ชายหนุ่มสวมแว่นคนนั้นบอบบางกว่าเฉินโจวอี้ถึงสามส่วน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแค่เขาพูดพึมพำไม่เท่าไร กลับถูกจับได้แล้ว เขาจึงหลบตาแล้วพูดอย่างใจเย็น “ฉัน……ฉันพูดแล้วจะทำไม ฉันพูดไม่ได้เหรอไง?”
“ไม่มีใครสนหรอกนะว่านายจะพูดได้หรือไม่ได้ แต่ถ้านายไม่มีหลักฐานแล้วมาพูดปรักปรำฉันพล่อยๆ แบบนี้ ฉันคงต้องสนแล้วแหละ ในโบกี้มีกล้องวงจรปิด นายคิดว่าฉันกลัวความผิดไหมล่ะ?” เฉินโจวอี้หัวเราะอย่างเยือกเย็น
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาดูถูกเหยียดหยามและสายตารังเกียจจากฝูงชน ชายสวมแว่นคนนั้นจึงหน้าซีดรีบเดินหนีออกไปทันที
……
หลังผ่านไปไม่นาน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนเดินเข้ามาในโบกี้ “ขอโทษด้วยนะครับ อาจต้องรบกวนเวลาของพวกคุณสักครู่ มีเรื่องที่พวกผมอยากจะขอสอบถามพวกคุณสักหน่อย หวังว่าพวกคุณจะให้ความร่วมมือนะครับ”
เฉินโจวอี้สะพายกระเป๋าเป้แล้วถือกระเป๋าเอกสารไว้ด้วยท่าทีที่ชัดเจน
“ทุกคนต้องไปไหมครับ?”
“ผู้โดยสารทุกคนในโบกี้นี้ต้องไป รบกวนเวลาไม่นานหรอกครับ”
ในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงห้องเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งนำแล็ปท็อปที่เล่นวีดีโอจากกล้องวงจรขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ “ทุกคนลองดูให้ดีๆ นะครับ ว่ามีบางสิ่งอยู่ตรงข้ามชายคนนี้หรือเปล่า?”
“ไม่เห็นมาก่อนเลยนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งอยู่ด้วยเหรอ?”
“ฉันก็ไม่เห็นเหมือนกัน ฉันนึกว่าตรงนั้นมีเด็กหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่คนเดียวเสียอีก”
“ไม่เห็นเลยครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือว่าชายคนนี้จะเป็นคนทุบกระจก”
……
ทุกคนเดินเข้ามาดูทีละคนแล้วพากันส่ายหัว แต่ในตอนนี้เองทุกคนกลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่าที่นั่งติดหน้าต่างนั้น ยังมีอีกหนึ่งคนนั่งอยู่ ซึ่งเป็นคนที่พวกเขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
โดยเฉพาะชายวัยกลางคนที่นั่งถัดจากชายหนุ่มลึกลับไปไม่เกินหนึ่งเมตร เขาทำหน้าราวกับเห็นผี คนที่อุกอาจดูน่ากลัวเช่นนี้นั่งอยู่ข้างเขา แต่ทำไมเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“คนอื่นกลับไปได้แล้วครับ ส่วนคุณอยู่ก่อน พวกเรามีคำถามไม่กี่คำถามอยากจะถามคุณสักหน่อย” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดกับเฉินโจวอี้
“ไม่มีปัญหาครับ!” เฉินโจวอี้พูดขึ้น
เขาเตรียมใจไว้นานแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
“คุณเจอเขาได้อย่างไร?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถามอย่างจริงจัง
“ตอนนั้นเขามานั่งตรงที่นั่งของผมครับ!” เฉินโจวอี้ตอบ
เขาเองก็เริ่มสงสัยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์แบบนี้ เขาอาจจะไม่เจอชายหนุ่มลึกลับคนนี้เช่นกัน
“ผมเห็นพวกคุณมีการสนทนากัน ตอนนั้นพวกคุณคุยอะไรกันเหรอครับ?”
….
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินโจวอี้เดินออกมาจากห้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วกลับมายังโบกี้เดิมอีกครั้ง
ภายในโบกี้มีเสียงพูดคุยโต้เถียงกันดังขึ้น
เฉินโจวอี้เลือกที่นั่งว่างหนึ่งที่ แล้วเอนกายพิงเก้าอี้
……
“สถานีต่อไปคือสถานีเมืองเหอตง ผู้โดยสารที่ต้องการจะลงสถานีเมืองเหอตง โปรดตรวจสอบสัมภาระของท่านก่อนลงจากรถ รถจะทำการจอดที่สถานีเมืองเหอตงเป็นเวลาห้านาที……”
เฉินโจวอี้เดินออกมาจากสถานีรถไฟแล้วรีบเดินไปเรียกแท็กซี่ “โชเฟอร์ ไปศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้”
รถขับออกไปอย่างรวดเร็ว
เฉินโจวอี้มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบเหงา
ภาพที่เห็นคือตึกสูงตระหง่าน การจราจรอันหนาแน่น และผู้คนที่กำลังเดินอย่างเร่งรีบ
เขามองไปยังเมืองเหอตงที่ยังคงเต็มไปด้วยความเจริญ หลังจากที่เขาพบเจอกับชายหนุ่มลึกลับคนนั้น ในใจของเขาดูเหมือนมีความขุ่นมัวแพร่กระจายไปด้วย
“โชเฟอร์ ไฟฟ้าของเมืองนี้ใช้งานได้ตั้งแต่เมื่อไรเหรอ?”
“ใช้งานได้ตั้งแต่เมื่อห้าวันก่อนแล้ว คุณไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหม! ที่เมืองของพวกคุณยังไม่มีไฟฟ้าใช้เหรอ?”
“ยังไม่มาเลยครับ พวกเราเป็นเมืองเล็ก ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไร?”
คนขับแท็กซี่เริ่มพูดคุยอย่างออกรสออกชาติในทันที
“ถ้าให้ฉันแนะนำนะ ทางที่ดีที่สุดคือย้ายมาในเมืองใหญ่ดีกว่า ถ้าพวกคุณอยากให้ไฟฟ้าที่เมืองของพวกคุณใช้งานได้ ต่อให้ผ่านไปครึ่งปีก็อย่าหวังเลย พวกลูกพี่ของฉันที่ทำงานในการไฟฟ้าต่างก็พูดกันว่าตอนนี้การจัดสรรทรัพยากรไฟฟ้าของประเทศเริ่มอยู่ในขั้นวิกฤต ยังไม่พอปล่อยกระแสไฟไปให้เมืองวงแหวนที่หนึ่งและวงแหวนที่สองเลย ถ้ารอให้ถึงเมืองเล็ก ก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงชาติไหน”
“แต่ราคาบ้านที่นี่แพงมากเลยครับ!” เฉินโจวอี้พูดเสริม
“นั่นมันก็จริงอยู่ เมื่อก่อนราคามันก็สูงมากพอแล้ว พอไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้ พักนี้ราคาบ้านที่เมืองเหอตงจึงเพิ่มราคาสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง โชคดีตอนที่ขายบ้านหลังเก่าไป สามารถซื้อบ้านที่นี่ได้สองหลัง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีปัญญาซื้อเรือนหอให้ลูกชายตอนแต่งงานแน่ๆ”