Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ - ตอนที่ 81
ตอนที่ 81 สอบสวน
“เด็กวัยรุ่นนี่มันพูดยากจริง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาฉันช่วยอะไรไม่ได้นะ ฉันแนะนำให้เธอรีบกลับไปเถอะ” หญิงวัยกลางคนพูดเตือนแล้วเตรียมจะเดินจากไป
ในเวลานี้เฉินโจวอี้พึ่งจะมาสะดุดกับคำพูดของหญิงวัยกลางคนที่ว่า “หลายปีมานี้”
เขาเกิดความคิดขึ้นทันที พลันเรียกให้หญิงวัยกลางคนหยุดแล้วเอ่ยถาม
“เดี๋ยวครับคุณป้า ผมขอถามอะไรหน่อย ที่นี่มีผีสิงมานานเท่าไรแล้วครับ?”
“เธอจะถามเรื่องพวกนี้ไปทำไม? สิบปีมาแล้วมั้ง ฉันก็เริ่มแก่แล้ว จำไม่ค่อยได้ มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว….”
หลังจากฟังหญิงวัยกลางเล่าอยู่นาน ในที่สุดเฉินโจวอี้ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของพ่อหม้ายตัณหากลับคนหนึ่งที่บรรดาลูกๆ ของเขาอยู่ต่างประเทศกันหมด พ่อหม้ายคนนี้ขืนใจแม่บ้าน
สุดท้ายแล้วด้วยความรับไม่ได้และรู้สึกอับอาย แม่บ้านคนนี้จึงตัดสินใจผูกคอตาย
ด้วยเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ พ่อหม้ายคนนี้จึงเอาศพของเธอไปซ่อนไว้ในห้องใต้ดิน แล้วแสร้งทำเป็นใช้ชีวิตปกติ จนกระทั้งวันหนึ่ง เขาก็ไม่เคยออกมาจากในบ้านอีกเลย
ต่อมาบ้านหลังนี้ถูกเปลี่ยนเจ้าของไปหลายมือ เป็นเพราะว่าราคาถูกลงทุกครั้ง มักจะมีผู้ซื้อที่ไม่เชื่อเรื่องโชคลางผีสางเข้ามาซื้ออยู่บ่อยๆ แต่ทว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครก็ตาม ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วจนทรุดถึงขั้นนอนติดเตียง จากนั้นถึงจะตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อเวลาดำเนินผ่านไป ที่แห่งนี้ค่อยๆ ถูกปล่อยทิ้งร้างและไม่มีใครเข้ามาอีกเลย
หลังจากที่หญิงวัยกลางคนพูดจบ เธอโน้มน้าวให้เฉินโจวอี้ออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป
เฉินโจวอี้ยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไตร่ตรองอยู่ในใจ
ผ่านมาสิบปีแล้ว ซึ่งมันนานพอจริงๆ
ก่อนที่สนามพลังลึกลับจากโลกที่แตกต่างจะรุกรานโลก โลกใบนี้มีภูติผีหรือเปล่า? เฉินโจวอี้ไม่กล้าด่วนสรุป แต่โดยทั่วไปเขาคิดว่ามันไม่น่าจะมี และก็ไม่มีวิธีการใดที่จะมาพิสูจน์ได้ว่าโลกใบนี้มีภูติผีเช่นกัน
อย่างน้อยก็ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่เคยเห็นผีกับตาตัวเองมาก่อนและไม่เคยมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับคนรอบข้างเช่นกัน
เรื่องราวของภูติผีกลับมีเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องหลอกลวงที่คนสร้างขึ้นมา หรืออาจจะเป็นแค่ข่าวลือที่ถูกส่งต่อกันมา
อีกอย่างต่อให้มี ก็ไม่สามารถที่จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้
สุดท้ายแล้วก่อนที่สนามพลังลึกลับจากโลกที่แตกต่างจะเข้ามารุกราน โลกใบนี้ก็ยังคงเป็นโลกอันลึกลับอยู่
แต่ถ้าหากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มันคงแปลกไปหน่อยแล้ว
เขาอดขบคิดถึงมันไม่ได้
เขาหันกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีกครั้ง บางทีมันอาจเป็นการรบกวนทางจิตวิทยา แม้ว่าในเวลานี้เป็นเวลากลางวันที่พระอาทิตย์กำลังส่องแสงสว่างจ้า แต่ทั้งตัวบ้านกลับให้ความรู้สึกมืดมนและโศกเศร้า
ในเวลานี้เขาเกิดความคิดขึ้นมา หรือว่าจะไปลองตรวจสอบดูสักหน่อย?
เขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร
เพราะประการแรกคือเวลานี้เป็นตอนกลางวัน
ประการที่สอง จากคำบอกเล่าของหญิงวัยกลางคนนั่น ผีตนนี้ยังไม่แข็งแกร่งถึงขนาดที่ว่าจะสามารถปรากฏตัวมาฆ่าคนได้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาคือชาวยุทธ เลือดลมปราณเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กของสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง ทำให้บรรดาผีที่อ่อนแอไม่สามารถเข้าใกล้ร่างกายของเขาได้
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมาแล้วเดินไปยังประตูที่ทรุดโทรม
ตัวล็อคของประตูผุพังไปนานแล้ว จึงทำให้เขาประหยัดแรงในการทำลายมัน
เขาผลักประตูให้เปิดออกไปพร้อมกับเสียงดังครืด ฝุ่นละอองหนาแน่นและกลิ่นเหม็นอับของตัวบ้านลอยเข้ามาปะทะจมูกของเขา ภายในบ้านมืดสลัว ตัวพื้นบ้านมีฝุ่นหนาเกาะอยู่
หน้าต่างเป็นหน้าต่างไม้ทรงโบราณ กระจกที่อยู่ด้านบนแตกหมดแล้ว ขอบกระจกผุพัง เวลาที่มีลมพัดมา หน้าต่างไม้แกว่งไปมาส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
ที่โถงด้านหน้าห้องนั่งเล่นมีภาพวาดสีน้ำมันเป็นรูปทิวทัศน์ขนาดใหญ่แขวนประดับไว้อยู่ ภายในห้องรับแขกยังมีเฟอร์นิเจอร์ไม้มะฮอกกานีจำนวนมาก เฉินโจวอี้เดินผ่านเก้าอี้ตัวหนึ่ง เขาจึงเช็ดฝุ่นออกแล้วพบว่าเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ส่วนใหญ่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
บ้านหลังนี้ถูกทิ้งร้างมาเป็นระยะเวลานาน แต่เฟอร์นิเจอร์ด้านในดูเหมือนจะไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายมาก่อน
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของบ้านคนสุดท้ายคาดว่าคงจะตกใจกลัวมากจนรีบย้ายหนีออกไปโดยไม่ต้องการของพวกนี้แล้ว อีกอย่างคนอื่นคงไม่มีใครต้องการของเฮงซวยเหล่านี้หรอก
….
เฉินโจวอี้เดินสำรวจไปหนึ่งรอบ เขาเดินสำรวจทุกชั้นและทุกห้องที่อยู่ในบ้าน
ในที่สุดเขาจึงพยายามจะเข้าไปตรวจสอบห้องใต้ดินที่แม่บ้านตายในตอนแรก แต่เขาหาอยู่นานกลับไม่เจอตำแหน่งที่ตั้งของห้องใต้ดิน เขาจึงเดาว่าน่าจะถูกปิดผนึกไปนานแล้ว
ใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดเฉินโจวอี้ก็ถอยออกมา
บรรยากาศความมืดมิดอันเย็นยะเยือกของที่นี่มีอยู่มาก ราวกับซ่อนเงามืดไว้ สถานที่แห่งนี้ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัว จนทำให้เขานึกว่าที่แห่งนี้อาจจะมีอุโมงค์มิติซ่อนอยู่ แต่สุดท้ายแล้วเขากลับไม่พบร่อยรอยใดๆ ทั้งสิ้น
ดูเหมือนว่าจะคิดมากไปเองนะ?
เฉินโจวอี้หัวเราะเยาะตัวเอง!
ถ้าหากมีอุโมงค์มิติอยู่จริง ป่านนี้คงถูกค้นพบและถูกควบคุมไปนานแล้ว จะอยู่มาถึงตอนนี้ได้อย่างไร?
เขาเดินกลับมาที่ลานบ้านแล้วเริ่มซ้อมดาบอีกครึ่งชั่วโมง ถึงจะกลับโรงแรม
….
เวลาเก้าโมงครึ่งในเช้าวันถัดมา เฉินโจวอี้เดินทางมาถึงสถานที่ทำการทดสอบชาวยุทธในศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้
ด้านในมีคนจำนวนสิบกว่าคนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
มีบางคนนั่งจับกลุ่มพูดคุยกัน บางคนนั่งเงียบๆ อยู่อีกด้าน
เมื่อเห็นเฉินโจวอี้เดินเข้ามา คนส่วนใหญ่ต่างพากันมองมาที่เขา
“เหอะ อายุมากกว่าลูกชายของฉันไม่เท่าไรเอง”
“คาดว่าคงมาลงทะเบียนเพื่อความบันเทิง แต่ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก”
ทุกคนพูดคุยกันอยู่สองสามคำแล้วไม่ได้สนใจเฉินโจวอี้อีก
“เหล่าหลิว ฉันว่าครั้งนี้คุณต้องผ่านแน่นอน”
“ฮ่าๆ คุณก็เหมือนกันแหละ ในช่วงสองสามเดือนนี้ฉันมักจะเห็นคุณฝึกซ้อมในห้องฝึกซ้อมของโลกที่แตกต่าง”
“ผลจากการฝึกซ้อมในนั้นมันดีจริง แต่ราคาแพงเกินไป วันละตั้งสองพันหยวน ในช่วงสองสามเดือนมานี้ฉันจ่ายไปตั้งสองแสนหยวนแล้ว ถ้ายังไม่ผ่านอีกล่ะก็ ฉันจะฆ่าตัวตายแล้ว!”
“อะไรคว้าได้ก็ต้องคว้าไว้ก่อน ไม่มีทางเลือกนี่นา อีกอย่างมันคือการลงทุน ถ้าหากคุณกลายเป็นชาวยุทธล่ะก็ คุณจะชายตาแลเงินเล็กน้อยแค่นี้เลย”
เฉินโจวอี้เดินเข้าไปนั่งที่ด้านข้าง เขาฟังสองคนนั้นพูดด้วยความสงสัย ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยถามนั้น ก็ได้ยินชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้กันเอ่ยถามแทนเขา “ขอโทษนะครับ ห้องฝึกซ้อมของโลกที่แตกต่างที่พวกคุณพูดถึงคืออะไรเหรอครับ?”
“เมืองของพวกคุณไม่มีเหรอ มันอยู่ที่เขตหลิวตงในเมืองเหอตง ที่นั่นมีอุโมงค์มิติที่สามารถเข้าไปยังโลกที่แตกต่างได้ ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้รัฐบาลท้องถิ่นได้เปิดมันเป็นห้องฝึกซ้อม”
“คนจากเมืองของพวกคุณช่างโชคดีจริงๆ ไม่เพียงแต่มีไฟฟ้าใช้ แต่ยังมีอุโมงค์มิติเป็นจำนวนมาก ที่เมืองของผมไม่มีอุโมงค์มิติแม้แต่อุโมงค์เดียว” ชายหนุ่มพูดเสียงเศร้า
“มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ ถ้ามีอุโมงค์มิติเป็นจำนวนมาก อันตรายที่ซ่อนอยู่ภายในก็มีมากเช่นกัน ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นเล็กน้อย ก็เป็นอันตรายได้แล้ว”
“ที่พูดมามันก็มีเหตุผลนะครับ แต่สำหรับพวกชาวยุทธฝึกหัดอย่างพวกผม มันทำให้เพิ่มระดับได้ยาก”
….
“ได้ยินข่าวนี้บ้างไหม ที่เมืองตงหนิงในมณฑลหนิงโจวเกิดเหตุพิธีกรรมเลือดของพวกลัทธินอกรีตอีกแล้ว” ในเวลานี้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่งถึงประเด็นนี้ขึ้นมาทันที
เฉินโจวอี้ตกตะลึง เขาจึงรีบเอ่ยถาม “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไรครับ?”
“สองสามวันก่อน เธอเป็นคนจากเมืองตงหนิงเหรอ?” ชายวัยกลางคนเหลียวมองเฉินโจวอี้ก่อนจะเอ่ยถาม
เมื่อเห็นว่าเฉินโจวอี้พยักหน้า เขาจึงพูดต่อ “ครั้งนี้น่าสยอดสยองมาก คนตายไปร้อยกว่าคน มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ แม้แต่เด็กก็ไม่เว้น ได้ข่าวว่าที่เมืองตงหนิงประกาศเคอร์ฟิวแล้ว เพื่อดำเนินการสอบสวนเต็มรูปแบบ”
….
เมืองตงหนิงมันโหดร้ายทารุณมาถึงจุดนี้แล้วเหรอ?
เฉินโจวอี้รู้สึกหน่วงในใจ
ยกเว้นแค่พ่อแม่และน้องสาวที่ไม่ได้อยู่เมืองตงหนิง ซึ่งทำให้เขาพอจะวางใจได้
แต่ทุกคนที่เขารู้จักดูเหมือนจะอยู่ที่เมืองตงหนิงหมดเลย
ทั้งครอบครัวของลุงใหญ่ เพื่อนของเขา แล้วก็จางเซียวเยว่ด้วย ซึ่งตอนนี้ไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือเปล่า?
จบตอน