Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ - ตอนที่ 84
ตอนที่ 84 ดึงมาเป็นพวก
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ ‘วิญญาณ’ ตนหนึ่งเท่านั้น
เฉินโจวอี้ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ เขาหยิบดาบไม้และกระเป๋าเอกสารขึ้นมาแล้วออกไปข้างนอกอีกครั้ง
ไปซ้อมดาบดีกว่า ดีกว่าให้เด็กหญิงเปลือกหอยดูการ์ตูนตลอดทั้งวัน อย่างน้อยก็ก่อนกลางคืน เขาถึงจะปล่อยเด็กหญิงเปลือกหอยออกมา
ใช้เวลาไม่นาน เขาก็มาถึงบ้านผีสิงหลังนั้น
ขณะเดียวกันหญิงวัยกลางคนเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เธอก็มายืนที่หน้าประตูและพูดเตือนเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไป
เฉินโจวอี้ไม่ได้สนใจเธอ เขาฝึกจนกระทั่งพลบค่ำ ถึงจะกลับไปยังโรงแรมอีกครั้ง
….
เวลาผ่านไปห้าวัน
ในช่วงสองสามวันมานี้ เฉินโจวอี้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและธรรมดา บางครั้งก็ออกไปหาอะไรกินกับลู่เหว่ยเฟิง หรือบางครั้งก็ออกไปผ่อนคลายที่ร้านเหล้าด้วยกัน
ส่วนเว่ยเฉิงห้าวกลับไปบ้านตั้งแต่ห้าวันก่อนแล้วบรรยากาศเลยดูสงบเงียบ จนกระทั้งวันนี้ก็ยังไม่กลับมา
ในช่วงเวลานี้ ความแข็งแกร่ง การรับรู้รวมถึงสติปัญญาเพิ่มขึ้นมาอีก 0.1
ความแข็งแกร่งและการรับรู้เพิ่มขึ้นก็ยังพอเข้าใจอยู่บ้าง แต่สติปัญญาที่เพิ่มขึ้นเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากเหลือเกิน ซึ่งเขาเดาว่าอาจเป็นเพราะเขาฝึกดาบที่บ้านผีสิงหลังนั้นทุกวัน จึงค่อยๆ เอาชนะความกลัวบ้านที่สิงอันน่าหวาดกลัวแห่งนี้
น่าเสียดายที่เขาใช้เวลาฝึกดาบถึงห้าวัน แต่วิชาดาบกลับเพิ่มระดับขึ้นแค่จุดเดียวเท่านั้น
ตอนนี้ถึงระดับ (เชี่ยวชาญระดับ 19)
….
เช้าวันต่อมา ขณะที่เฉินโจวอี้กำลังแปรงฟันนั้น ก็ได้ยินเสียงเคาะที่หน้าประตู
เฉินโจวอี้แปรงฟัน เขาเดินออกจากห้องน้ำแล้วเปิดช่องตาแมวมองออกไปด้านนอก
คนที่มาคือลู่เหว่ยเฟิง มองดูสีหน้าอันตื่นเต้นของเขา เฉินโจวอี้จึงพูดขึ้นอย่างจนปัญญา “ต้องมาเช้าขนาดนี้เลยเหรอ? รอผมครู่หนึ่ง!”
ยังไม่ทันรอให้เขาพูดอะไร เฉินโจวอี้รีบปิดประตูทันที!
ถ้าลู่เหว่ยเฟิงไม่ถอยออกมาตามสัญชาตญาณ เขาคงถูกประตูกระแทกจมูกไปแล้ว ทันใดนั้นเขาจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ในห้องของนายก็ไม่มีผู้หญิงสักหน่อย ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วย! เอ๊ะ เช้าขนาดนี้นายดูเป๊ปป้าพิกแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ ผมชอบอะไรก็ดูอันนั้นแหละ” เฉินโจวอี้แปรงฟันพลางพูดอย่างเย็นชา
เฉินโจวอี้ไม่ได้สนใจเขาอีก หลังจากรู้จักกันมาสักระยะ เขาก็พบว่าถึงแม้ลู่เหว่ยเฟิงจะมีรูปร่างกำยำเหมือนชายชาตรี แต่กลับมีนิสัยตลกอย่างประหลาด
แน่นอนว่าเขามักจะจงใจแสดงนิสัยเช่นนี้ต่อหน้าเขา
เฉินโจวอี้เดินไปแปรงฟันที่ห้องน้ำต่อ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว เขาจึงพยายามจับเด็กหญิงเปลือกหอยที่ขัดขืนสุดชีวิต เขามัดเธออีกครั้งแล้วยัดลงกระเป๋าเอกสาร
จากนั้นจึงเปิดประตูแล้วพูดขึ้น “ไปกันเถอะ!”
….
สโมสรชาวยุทธคือคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ที่ริมทะเลสาบรื่อเยว่ตรงย่านใจกลางเมือง
พื้นที่มีอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ถึงกับใหญ่มาก
เมื่อเทียบกับบรรดาสโมสรที่ร่ำรวย สโมสรแห่งนี้ยังถือว่าทรุดโทรมกว่าเล็กน้อย
ขณะที่พวกเขากำลังจะเดินเข้าประตู ก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธสี่คนหยุดไว้ “ขอโทษนะครับ ที่นี่ไม่ต้อนรับคนนอก!”
“พวกฉันมาทดสอบชาวยุทธ!” ลู่เหว่ยเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม。
“พวกคุณสองคนชื่ออะไร” หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถาม
“เฉินโจวอี้!”
“ลู่เหว่ยเฟิง!”
“เชิญด้านใน!”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบปล่อยพวกเขาไป
“เข้มงวดจริง!” เฉินโจวอี้พูดขึ้น
ขนาดหน้าประตูยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเลย “คนพวกนี้อาจเป็นทหารจริงๆ พวกชาวยุทธทำงานใกล้ชิดกับพวกทหารมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าตอนนี้พวกเราไม่ใช่มาเตรียมสอบชาวยุทธ คงไม่มีทางเข้าไปได้อย่างแน่นอน”
เมื่อเดินเข้ามาในคฤหาสน์ ด้านในมีคนสามคนแล้ว
เช้าขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ายังไม่มีชาวยุทธเข้ามา ดูแล้วคนสามคนนี้คงเป็นผู้เข้ารับการทดสอบในสนามรบจริง
“คนวิปริตที่ฉันพึ่งจะพูดถึงมาแล้ว ชายวัยรุ่นคนนั้นไง” หนึ่งในนั้นพอเห็นเฉินโจวอี้ จึงหันไปกระซิบกระซาบกับสองคนที่เหลือ
สองคนนั้นแอบลอบมองเฉินโจวอี้อยู่แวบหนึ่ง
ถึงแม้ว่าพวกเธอจะพูดกระซิบ แต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเฉินโจวอี้มีประสิทธิภาพมาก ดังนั้นเขาจึงได้ยินอย่างชัดเจน
เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน จึงทำทีมองสำรวจเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งในคฤหาสน์พลางเดินไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับลู่เหว่ยเฟิง
ในไม่ช้าพนักงานต้อนรับสาวสวยทั้งสองคนเดินเอาชามาเสิร์ฟ
ลู่เหว่ยเฟิงหันไปคุยกับทั้งสามคนนี้อย่างสนิทสนม “ท่านนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตา น่าจะเคยเจอกันมาก่อน แต่ผมไม่คุ้นหน้าคุณสองคนเลย”
“พวกฉันทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายไปเมื่อเดือนตุลาคม พวกคุณสอบรอบเดือนพฤศจิกายน” ชายหัวล้านกล่าวหน้ามุ่ย
“ไม่แปลกใจเลย ที่แท้รวมรอบทดสอบกัน”
“ครั้งนี้จะดูจำนวนคนที่ผ่านการทดสอบครั้งแรก ถ้าจำนวนคนมีมาก ก็จะเริ่มการทดสอบในสนามรบจริงได้เร็วขึ้น แต่ถ้ามีจำนวนน้อย จะต้องรอก่อน พวกเรารอมาตั้งครึ่งเดือน” ชายหัวล้านพูดพลางเหลือบตามองเฉินโจวอี้
หลังจากถูกคนพวกนั้นเหลือบตามองมาอย่างระแวง เฉินโจวอี้จึงรู้สึกอึดอัด เขาหันไปมองชายหัวล้านคนนั้นพลางพูดขึ้น “มองผมอะไรนักหนา!”
“มะ….ไม่มีอะไร!” ชายหัวล้านรีบพูด เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย ดีที่หลังจากเขาพูด คำพูดของเขาลื่นไหลมาก “ฉันเคยได้ยินชื่อนายมาก่อน เลยรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย”
“มีอะไรน่าแปลกใจเหรอ?” เฉินโจวอี้พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“ใช่!” ชายหัวล้านรีบพูด
เฉินโจวอี้หมดคำพูด สรุปแล้วชายหัวล้านกล้าเกินไป หรือตัวเขามีชื่อเสียงเป็นที่โจษจันเกินไป
….
เวลาดำเนินใกล้เข้ามา ผู้คนกำลังทยอยมาถึง
คนที่มาในครั้งนี้ยังคงเป็นชาวยุทธผู้รับรองเอกสารสามคนเหมือนเดิม
แต่นอกจากผู้อำนวยการสำนักงานรับรองเอกสารที่ยังเป็นคนเดิม อีกสองคนที่เหลือเปลี่ยนเป็นคนอื่น
หนึ่งในผู้รับรองเอกสารเปิดห้องหนึ่งห้อง ด้านในเป็นคลังเก็บอาวุธเหล็กกล้า จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “ทุกคนเข้าไปเลือกอาวุธแล้วออกมา ครั้งนี้ที่หมายของเราคืออุโมงค์มิติหมายเลข 10233 ที่ตั้งอยู่ชานเมืองเหอตง”
….
บนรถบัส เฉินโจวอี้กอดดาบอัลลอยไว้ แล้วหลับตาทำสมาธิ
ในตอนนี้เองผู้อำนวยการสำนักงานรับรองเอกสารที่นั่งอยู่แถวหน้าหันมาถามเขา
“เธอชื่อเฉินโจวอี้ใช่ไหม หลังผ่านการทดสอบมีความคิดอะไรหรือยัง? จะไปทำงานที่ไหน?”
ทุกคนหันมามองทันที สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา
นี่มันดึงตัวเข้าไปเป็นพวกตัวเองชัดๆ เทียบได้กับการตกลงภายในเชียวนะ!
เฉินโจวอี้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงตอบกลับไปทันที “ผมคิดว่าจะกลับไปบ้านเกิดที่เมืองตงหนิง!”
“เมืองตงหนิงน่ะเหรอ อย่าหาว่าฉันพูดจาไม่ดีเลยนะ ข้อเสนอของเมืองตงหนิงไม่ดีเท่าที่เหอตงหรอก เงินช่วยเหลือชาวยุทธและเงินสนับสนุนค่าบ้านของเมืองเหอตงถือว่าช่วยให้ชาวยุทธประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด อีกอย่างตอนนี้สถานการณ์ในเมืองตงหนิงไม่ค่อยดี มีการประกาศเคอร์ฟิวแล้ว”
“ต่อให้ข้อเสนอดีแค่ไหนก็ซื้อบ้านไม่ได้อยู่ดี!” เฉินโจวอี้พูดแทงใจดำ
ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองเอกสารชาวยุทธทำหน้าเจื่อนทันทีที่ได้ยินเฉินโจวอี้พูด
ในจุดนี้ยังเป็นปัญหาอยู่จริง นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไฟดับ ผู้คนจากเมืองโดยรอบต่างหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเหอตง ราคาบ้านในเมืองเหอตงเพิ่มสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง และมันยังคงเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง จนราคาสูงลิ่ว เมื่อก่อนเงินสามล้านหยวนสามารถซื้อบ้านหนึ่งร้อยตารางเมตรได้หนึ่งหลัง ตอนนี้ซื้อได้แค่ห้าสิบหกสิบตารางเมตรเท่านั้น
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความหมาย “ที่จริง พวกเราเพียงแค่เห็นความสำคัญของผู้ที่มีความสามารถเท่านั้น มีบางเรื่องที่พวกเราสามารถช่วยทำให้ได้เป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นสำนักงานกำกับดูแลชาวยุทธของเรา สามารถเพิ่มค่าที่อยู่อาศัยเพิ่มเติมให้ได้”
“ผมขอถามหน่อยนะ พวกคุณไม่ใช่คนจากสำนักงานรับรองเอกสารชาวยุทธหรือ? ทำไมถึงกลายเป็นสำนักงานกำกับดูแลชาวยุทธล่ะ” เฉินโจวอี้ถามด้วยความสงสัย
ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองเอกสารหัวเราะ “ชื่อเต็มของสำนักงานเราก็คือสำนักงานรับรองเอกสารและกำกับดูแลชาวยุทธแห่งมณฑลเจียงหนาน การรับรองเอกสารเป็นเพียงหนึ่งในงานบางส่วนเท่านั้น แต่งานหลักของพวกเราคือการจัดการและจับกุมคดีอาญาของชาวยุทธ”
ผู้รับรองเอกสารอีกสองคนมองหน้ากัน
นี่ยังเป็นเจ้านายผู้น่าเกรงขามและสำรวมกิริยาอยู่ไหม?
เพื่อที่จะดึงตัวชายหนุ่มคนนี้ ขนาดหน้าเขายังไม่ต้องการมันแล้ว
แน่นอนว่าผู้อำนวยการคิดไม่ถึงแน่ว่าลูกน้องทั้งสองคนของเขากำลังแอบบ่นอุบอิบในใจ
อย่างแรกเลยเขาพูดถึงความชอบคนมีความสามารถ อีกอย่างคือเขากำลังเตรียมความพร้อมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ด้วยความที่อีกฝ่ายมีอายุเพียงสิบเจ็ดปีก็สามารถมีสมรรถภาพทางกายใกล้เคียงกับชาวยุทธที่ผ่านการสู้รบมาอย่างโชกโชน ตราบใดที่คนแบบนี้ไม่เกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตกลางทาง เขาจะต้องกลายเป็นชาวยุทธยอดฝีมืออย่างแน่นอน จนเกือบจะอยู่ยงคงกระพันเลยก็ว่าได้ อีกอย่างทั้งมณฑลเจียงหนานมีชาวยุทธยอดฝีมืออยู่ไม่กี่คน ถ้านับรวมเขาไปด้วย มีทั้งหมดเพียงสิบห้าคนเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเขาเองก็เป็นชาวยุทธยอดฝีมือเช่นกัน แต่อย่ามองที่รูปลักษณ์ของเขาที่ดูเหมือนคนอายุสามสิบ ที่จริงเขาอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว หลายปีที่ผ่านมาสมรรถภาพทางกายของเขาแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมและจำเป็นต้องเริ่มคิดถึงอนาคต
จบตอน