Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ - ตอนที่ 92
ตอนที่ 92 ต้องการเงิน
เฉินโจวอี้เดินเข้าไปในห้องทำงานของครูเฉาลี่ลี่
เฉาลี่ลี่ดูสภาพมาก เธอดูตั้งใจชงชาเป็นพิเศษแล้วถามถึงเรื่องราวของเฉินโจวอี้อยู่ไม่น้อย
เวลาที่เฉินโจวอี้พูดถึงเรื่องราวของจางเซียวเยว่ สีหน้าของเธอก็ดูแปลกๆไป แต่ในไม่ช้าเธอก็รู้ตัวแล้วกลับมายิ้มเหมือนเดิม การพูดถึงความรักและความงดงามในวัยมัธยมก็ไม่ใช่เรื่องเรื่องที่ใหม่อะไรสำหรับเธอ
เธอพูดทุกสิ่งที่เธอรู้ แต่เธอก็ไม่ค่อยรู้สถานการณ์ของจางเซียวเยว่เท่าไหร่ เรื่องการย้ายโรงเรียนพ่อของจางเซียงเยว่เป็นคนจัดการและเธอก็ไม่ได้พูดถึงว่าเธอจะย้ายไปเรียนที่ไหน
เฉินโจวอี้อยู่ในห้องทำงานของครูเฉาได้ไม่นาน ก็รีบออกจากโรงเรียนไป
เขาเดินไปบนถนนด้วยจิตใจที่หมดอาลัยตายอยาก
ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะเล่นตลกกับเขา ให้ความหวังแก่เขาแต่กลับก็ทำให้เขาผิดหวัง
….
เขาเดินอย่างไร้จุดหมายอย่างไม่รู้ตัวจนเข้ามาที่บริเวณอาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จ
เขาพบว่าอาคารและอาคารโดยรอบพังยับเยินและมีการสร้างกำแพงซีเมนต์สูงรอบๆ เมื่อเดินผ่านประตู ก็เห็นทหารหลายคนคอยป้องกันลาดตระเวนอยู่ ด้านในดูเหมือนจะถูดจัดให้กลายเป็นค่ายทหาร
เฉินโจวอี้ มองดูสองสามครั้งแล้วออกรีบออกจากที่นี่
….
ตอนกลางวันเฉินโจวอี้มากินข้าวกลางวันข้างนอกกับแม่ของเขาเพราะว่ามาเป็นเพื่อนแม่ที่บริษัทสิ่งก่อสร้าง
ที่นี้มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอยู่และไม่มีปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้า
ทั้งสองคนขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นเจ็ด
เมื่อเห็นว่าประตูของบริษัทยังเปิดอยู่ แม่ของเฉินโจวอี้ก็ตรงไปด้วยความตั้งใจ
เฉินโจวอี้มองไปที่ชื่อบริษัท การลงทุนหยวนหลงเชิ่ง
ดูเหมือนว่าเงินส่วนใหญ่ของครอบครัวของฉันจะลงทุนที่นี่สินะ
เมืองเจียงหนานเป็นเมืองธุรกิจสำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณและที่นี่มีบริษัทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหลายแห่ง บริษัทวิสาหกิจเหล่านี้มีสินเชื่อที่ค่อนข้างยากกว่าธนาคาร มีขั้นตอนการดำเนินการที่ใช้เวาลานาน การอนุมัติช้าและไม่ยืดหยุ่นเท่าไหร่ เพราะเหตุผลนี้ทำให้เกิดการเร่งรัดเงินจากเงินใต้ดิน
….
คุณลูกค้าคะ ขออภัยคะ ตอนนี้เถ้าแก่กำลังยุ่งอยู่ กรุณารอซักครู่! หลังที่พูดจบ พนักงานที่แต่งตัวเรียบร้อยก็พาทั้งสองคนไปที่ห้องรับแขก
ในนานนักชาสองถ้วยก็ถูกนำมาเสริฟ
เฉินโจวอี้เล่นกับถ้วยน้ำชาไปด้วย มองผ่านหน้าต่างไปยังนอกบริษัทไปด้วย
บริษัทนี้มีขนาดเล็กมากและมีคนทั้งหมดก็สิบกว่าคน ในจำนวนนั้นมีคนที่กล้ามเนื้อ รูปร่างสูงใหญ่ แค่มองในตอนแรกก็รู้ว่าพวกเขาได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มา
หลังจากนั่งรอประมาณห้าหกนาทีเถ้าแก่ก็เดินเข้ามา
เขามองชายวัยกลางคนหัวโล้นที่ดูแล้วอายุประมาณสี่ห้าสิบปี ลักษณะดูไม่มีพิษมีภัย เมื่อเขาเข้ามาก็ยิ้มและพูดว่า
พี่เจียง ฉันอภัยที่ผมมาช้าไปสองสามนาที วันนี้มันยุ่งซะเหลือเกิน!
นี่คือลูกชายของคุณหรือเปล่า เขาดูโตมาก เมื่อตอนเป็นเด็กฉัยยังเคยกอดเขาเลย
ชื่อของแม่เฉินโจวอี้คือเจียงเฟิน เธอยิ้มและพูดว่า ใช่แล้ว เขาคือลุงหวาง เมื่อก่อนนี้มันคือหมู่บ้านของเขาทั้งหมด ลูกอาจจะไม่รู้จักเขา
สวัสดีครับลุงหวาง! เฉินโจวอี้ไม่มีทางเลือกเลยต้องเรียกเขาแบบนั้น
จากนั้นแม่ของเฉินโจวอี้ก็บ่นว่า ฉันต้องการถอนลงทุนเงิน ครอบครัวของเราต้องย้ายบ้าน ฉันมาที่นี่วันนี้ก็เพราะอยากถอนเงินออก
เถ้าแก่หวางถอนหายใจทันทีที่เขาได้ยิน เขาตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา เป็นคนบ้านเดียวกันเหมือนคนในครอบครัว ผมไม่ปิดปังหลอกลวงคุณหรอก การเงินในช่วงเวลานี้มีความยุ่งยากจริงๆ คุณรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เศรษฐกิจซบเซาแค่ไหน ธุรกิจต่างไก็พากันปิดตัวลง พวกเราก็ได้เงินไม่ถึงยอด ต้องรอเวลาอีกสักพัก รอให้ผมจัดการหลักประกันได้และจะถอนเงินให้คุณทันที
ตอนแรกไม่ได้พูดแบบนี้นี่ ดอกเบี้ยพวกเราไม่ต้องการแล้ว แต่เงินทุนยังไงก็ต้องถอนกลับมา แม่ของเฉินโจวอี้กล่าว
เถ้าแก่ได้ยินก็ขมวดคิ้วขึ้น ไอหยา พี่เจียงกับฉันยังเชื่อใจกันอยู่หรือเปล่า? ให้เวลาฉันอีกสักกน่อย รอฉันได้เงินมาก่อนจะรีบนำเงินไปคืนทันที ถึงตอนนั้นจ่ายดอกเบี้ยให้สองเท่ายังได้ ตอนนี้ยังถอนเงินไม่ได้
แม่ของเฉินโจวอี้ที่ภายนอกมีความดื้อรั้นแต่ก็หูเบาเช่นกัน พอถูกพูดแบบนี้ก็ลังเลใจ คิดๆดูแล้วถึงอย่างไรก็รู้จักกันมาหลายปี คำพูดของอีกฝ่ายก็มีความน่าเชื่อถือ จิตใจก็เกิดความลังเลขึ้น เธอจึงตอบกลับไปว่า
ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ฉันรีบใช้เงิน!
เถ้าแก่หวางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วพูดว่า รอผมหนึ่งเดือน มากสุดหนึ่งเดือน ผมจะรีบนำเงินไปคืนคุณทันที ผมพูดคำไหนคำนั้น”
มองดูเถ้าแก่หวางที่กล่าวสาบานที่เต็มไปด้วยน้ำใสใจจริงน่าเชื่อถือ แต่เฉินโจวอี้กลับมีความสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ
อันที่จริง ตอนนี้เถ้าแก่ของบริษัทยังไม่ล้มละลาย เขาก็รู้สึกแปลกใจแล้ว
โดยทั่วไปสินเชื่อธุรกิจดังกล่าวจะต้องมีหลักค้ำประกัน แต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะถูกจำนองโดยอสังหาริมทรัพย์ร้านค้าและรถยนต์หรูหรา ถึงแม้ว่าของค้ำประกันพวกนี้เขาจะได้รับมาอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตามเมืองตงหนิงไม่เหมือนเมืองเหอตง ยังคงไฟดับอย่างต่อเนื่องและเหตุการณ์จากลัทธินอกรีต ทำให้การทำธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างมาก หลายคนที่มีเงินก็คาดการณ์ได้และย้ายออกจากเมืองตงหนิงตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว
ทรัพย์สินประเภทนี้พูดได้ว่ามันมีมูลค่ามากไปแล้ว แต่มันจะเป็นปัญหาของการขายทิ้งต่อหรือไม่ แม้ว่าตอนนี้ที่เมืองตงหนิงจะกลับคืนสู่การมีไฟฟ้าใช้และยกเลิกการบังคับใช้เคอร์ฟิวส์ สถานการณ์แบบนี้ทำให้คิดไปถึงตอนคืนสู่สภาพที่เจริญรุ่งเรืองแบบเมื่อก่อน แต่มันก็ยังเป็นอนาคตที่มองไม่เห็น
บริษัทการลงทุนส่วนใหญ่ไม่ใช้เงินของตัวเอง แต่ต้องผ่านกฎหมายเพื่อใช้เงินฝากส่วนตัวด้วยวิธีการปล่อยสินเชื่อของภาคเอกชน
เรียกอีกอย่างว่าบุคคลล้มละลาย
ด้วยวิธีนี้ บริษัทยังคงดำเนินงานตามปกติ ก็ดูเหมือนว่าที่อะไรให้น่าคิด
เมื่อเห็นว่าแม่ของเขาเตรียมตัวที่จะกลับ เฉินโจวอี้ก็รีบพูดอย่างรวดเร็ว แม่ ไม่ต้องรีบไป ครอบครัวของเราลงทุนเงินไปเท่าไหร่
3.8 ล้านกว่าบาท!
เฉินโจวอี้เกือบจะไม่รีบร้อนแล้ว เขาเดามานานแล้วว่าเงินนี่ต้องจำนวนไม่น้อยแน่ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมากขนาดนี้
แต่ลองคิดดูสิ รานอาหารของที่บ้านเปิดมาหลายปีแล้วทุกปีก็ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า
พ่อแม่ทั้งสองเป็นคนประหยัด เมื่อไม่กี่ปีมานี้ก็เพิ่งจะขยายร้าน นอกจากส่งเสียค่าเรียนของเขาและน้องสาว ค่าเรียนพิเศษ แล้วก็ซื้อรถยนต์ที่เพิ่งจะถูกเผาไป ก็ใช้เงินไปแค่ไม่กี่แสน
เงินที่พวกเขาใช้กินอยู่อย่างประหยัดรวมกับเงินลงทุนมานี่จากการทำงานด้วยหยาดเหงื่อของพวกเขา
….
เฉินโจวอี้วางถ้วยน้ำชาทำให้เกิดเสียง ”ปัง” ออกมาเบาๆ เอาตามที่ผมพูดละกัน เถ้าแก่หวาง ผมไม่สนใจว่าคุณต้องการจะทำอะไร แต่เงินของครอบครัวเราจะต้องได้คืนภายในวันนี้!
ใบหน้าของเถ้าแก่หวางเปล่งประกายความโกรธออกมา แต่มันก็หายวับไปและในไม่ช้าเขาก็ยิ้มออกมา ลูกชายของคุณดูรีบร้อน เงินของพวกคุณวางใจได้ว่าหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ผมจะคุณจ่ายเงินและดอกเบี้ยให้กับพวกคุณแน่นอน พี่เจียง ต้องขออภัยจริงๆ ผมยังมีเอกสารที่ต้องจัดการ วันนี้คุยแค่นี้ก่อนนะครับ
เขายืนขึ้นและดูเหมือนกำลังจะออกไป
เฉินโจวอี้ยิ้ม ดูเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่ผมบอกไปสินะ ผมพูดว่าจะต้องคืนเงินให้เราในวันนี้ เมื่อถึงเวลาที่คุณล้มละลายแล้ว พวกเราจะไปหาใครเมื่อต้องการเงินคืน
เถ้าแก่หวางได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไป กล้ามเนื้อใบหน้าของเขากระตุกนิดหน่อย แต่เขามีความสุขุมมากและในไม่ช้าเขาก็ยิ้มออกมา
” นายอาจไม่รู้จักฉันตอนที่นายยังเป็นเด็ก ฉันก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก ฉันสนิทสนมกับคุณพ่อกับคุณแม่ของนายมาหลายปีแล้ว ครอบครัวของนายก็เอาเงินมาลงทุนที่นี่ทุกปี เมื่อปีนั้นฉันก็จ่ายดอกเบี้ยไปไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งหมดก็ทำตามความมีมาตรฐานสูงสุด”
ทันทีหลังจากนั้นก็มองไปที่แม่ของเฉินโจวอี้ พี่เจียง ลูกชายของคุณต้องโทษให้ผมทั้งๆที่ไม่ได้ทำผิด คุณต้องช่วยพูดให้บริษัทของผมได้รับความยุติธรรม!
แม่ของเฉินโจวอี้ก็รู้สึกว่ามันผิด โดยเฉพาะคำว่าล้มละลาย จริงๆก็รู้สึกว่ามันไวเกินไปแต่เธอยิ่งคิดแล้วก็ดูเหมือนว่ามันเป็นไปได้มากขึ้น เธอก้มใบหน้าของเธอ ฉันเชื่อลูกชายของฉัน!
” เถ้าแก่หวางสายหัวไปมา งั้นก็แกล้งไม่รู้ไม่ชี้ไปเลยละกัน เขาหยิบบุหรี่ออกมาสูบแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วพ่นควันหนา ๆ ออกมา” คุณยังดึงดันที่จะถอนเงินออกและผมก็ไม่มีทางเลือกเลย ตอนนี้ก็ไม่มีเงิยเลยจริงๆ
เขาพูดไปด้วยเคาะโต๊ะไปด้วย
ชายร่างใหญ่สองคนเดินมาที่ประตู ดวงตากวาดมองไปทางสองคนแล้วถามว่า เถ้าแก่มีเรื่องอะไร
โปรดให้พาพวกเขาทั้งสองออกไปข้างนอก!
ฮ่าฮ่า! ฉันชอบแบบแบบตรงไปตรงมา อ้อมไปอ้อมมาจะมีประโยชน์อะไร เฉินโชวอี้หัวเราะออกมา
พูดจบเขาก็คว้าโต๊ะสีแดงที่อยู่ด้านหน้าของเขาขึ้นมา น้ำหนักทั้งหมดของโต๊ะไม้สีแดงนี่มากกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัม สำหรับพละพลังของเขาในตอนนี้มันง่ายเหมือนการยกฟางอย่างไรอย่างนั้น ในเวลาต่อมาเขาก็โยนมันไปที่ประตูอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
เขาไม่กล้าใช้กำลังมากเกินไป เขาไม่ได้จะให้สองคนนั้นหลบไม่ทัน ถ้าถูกฆ่าตายจะสร้างความลำบากให้คนอื่นได้
วินาทีต่อมา เสียงดัง”ตู้ม” ก็ได้ดังขึ้น ทั้งชั้นสะเทือนไปด้วยแรงกระแทกนี่ ผนังกั้นห้องสำนักงานพังลงทันทีประตูก็ถูกเปิดออกและกลุ่มควันสีเทาก็ปลิวฟุ้งไปทั่ว
สำหรับชายร่างใหญ่สองคนนี้ พวกเขาวิ่งหนีออกไปแล้ว
เฉินโจวอี้ก้าวเข้ามาและจับตัวเถ้าแก่หวางที่ยังคงตกใจอยู่ คนที่เกะกะได้ออกไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกเราจะมาคุยกันดีๆอีกครั้งดีกว่า
เถ้าแก่หวางดึงสติกลับมา หน้าผากของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ พยายามสงบสติอารมณ์พูดออกไปว่า นี่พ่อหนุ่ม ไม่ต้องใจร้อนหุนหันพลันแล่นหรอก สังคมมีความซับซ้อนมากกว่าที่นายคิดและใช้ความรุนแรงก็ไม่นิยมด้วยอีกทั้งไม่ใช่ทุกคนนายมาสามารถกวนโมโหได้
มันจะซับซ้อนแค่ไหน จะใช้ความรุนแรงก็ไม่แน่ว่าจะจัดการได้ นั่นยืนยันได้ว่าการใช้ความรุนแรงนั้นอ่อนแอเกินไป เฉินโจวอี้หยิบเอกสารขึ้นมาแล้วกางไปที่หน้าของเถ้าแก่หวาง
นี่คือเอกสารการเป็นจอมยุทธของฉัน บอกฉันสิว่าคุณต้องทำอะไร?