Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1328
“ไปที่นั่นก่อนดีกว่า”
เขาพึมพำออกมา
เป็นเพราะว่าเขาเติบโตขึ้นภายในบ้านเด็กกำพร้าดังนั้นถึงได้อยากจะกลับไปที่นั่น
เมื่อมองลงไปแล้วเขาก็ได้เหาะกลับลงมาอย่างรวดเร็ว
ทว่ามันเป็นตอนนี้เองที่ร่างกายของเขาได้สั่นไหวก่อนที่จะหันมองออกไปยังม่านฟ้า
“ก่อนหน้านี้นี่มัน ?! ”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมา
เป็นเพราะว่าพลังฉีของสถานที่แห่งนี้มันแผ่วเบามากก็จริงทว่าเมื่อครู่นี้เขากลับสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังอันเข้มข้นที่ทำให้เขาเองก็ยังต้องผงะไปแต่สัมผัสได้เลยว่ามันเป็นพลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก
เขาหยุดเท้าลงตัวเองลงก่อนที่จะแผดจิตสัมผัสออกไปรอบทิศทางแต่ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกก่อนหน้านี้ได้
นี่ทำให้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าโลกนี้จะมีอะไรมากกว่าโลกที่มีพลังฉีและสัจธรรมอันเบาบางเท่านั้น
เขายืนอยู่กับที่พร้อมทั้งแผดจิตสัมผัสออกไปโดยรอบอีกครั้งแต่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสถึงอะไรได้
“ช่างเถอะ ”
เขายืนอยู่นานก่อนที่จะเหาะลงมาเบื้องล่าง
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้หยุดอยู่บนภูเขาสูงบนโลกใบนี้
หากเทียบกับภูเขาภายในสวรรค์สิบชั้นแล้วจะพบว่าภูเขาสูงของที่นี่มันดูเล็กและธรรมดามากๆแถมยังเต็มไปด้วยต้นหญ้าและดอกไม้ธรรมดาๆมากมาย
อย่างไรก็ตามมันกลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
เขาก้าวเดินออกไปด้วยความเร็วที่สูงอย่างมากก่อนที่จะไปถึงเมืองใหญ่ที่อยู่อีกฝั่ง
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับตึงถูก ถนนหนทางและกลุ่มคนมากมาย
“ข้ากลับมาแล้ว ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
เมืองนี้มีชื่อว่าเป่ยหลี่เป็นเมืองคึกคักที่เป็นที่รู้จักกันดี
ตัวเขาเกิดและเติบโตขึ้นที่เมืองนี้
เมื่อมองออกไปยังกลุ่มคนที่กำลังเดินสัญจรไปมาแล้วจะพบว่าเสื้อผ้าของพวกเขาแตกต่างจากเขามาก
“ควรจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก่อน ”
เขาพึมพำออกมา
เป็นเพราะว่าเขาก้าวเดินบนเส้นทางบ่มเพาะภายในสวรรค์สิบซึ่งสังคมและวัฒนะธรรมของทั้งสองโลกมันต่างกันอย่างสิ้นเชิงดังนั้นการกลับมาของเขาจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้สวมเสื้อผ้าโบราณของผู้บ่มเพาะเนื่องจากมันจะดูแปลกแยกอย่างมาก
ร่างกายของเขาส่องประกายแสงออกมาเล็กน้อยก่อนที่เสื้อผ้าของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับเขาที่อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์แล้วเรื่องแบบนี้ไม่ได้ถือว่ายากแม้แต่น้อย
เป็นเพราะการบ่มเพาะทำให้ผมของเขามีความยาวอย่างมากและต่างออกไปจากผู้คนในโลกใบนี้ดังนั้นเขาถึงได้ตัดมันออกจนสั้น
“เรียบร้อย ”
เขาส่งเสียงกระซิบออกมา
ตอนนี้เขาแปลงโฉมเรียบร้อยแล้วทำให้ดูไม่ต่างจากเด็กหนุ่มอายุ 20 ปีของโลกนี้เลยแม้แต่น้อย
เขายืนอยู่กับที่อยู่นานก่อนที่จะเดินตามเส้นทางออกไป
ไม่นานเขาก็ได้ไปถึงสถานที่ๆอยู่ทางตอนใต้ของเมืองนี้
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับตึกสูงมากมายรายล้อมไปด้วยบ้านพัก
“ที่นี่…..”
เขาได้มาถึงก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน
เป็นเพราะก่อนหน้านี้มันเคยเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อนทว่าตอนนี้มันกลายแปรเปลี่ยนกลายเป็นตึกขนาดใหญ่เสียแล้ว
“กาลเวลา ”
เขาพึมพำออกมา
เป็นเพราะว่าเขาจากโลกนี้ไปกว่า 50 ปีแล้วซึ่งมันมากพอจะเปลี่ยนแปลงได้หลายๆสิ่ง คนดูแลของเขาเป็นชายชราที่เปลี่ยนบ้านของตัวเองเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ถูกทิ้งหรือหลงซึ่งเขาเองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนี้เวลาได้ผ่านมาหลายต่อหลายปีดังนั้นชายชราก็คงจะตายไปแล้วและการที่สถานรับเลี้ยงจะหายไปก็เป็นเรื่องที่ปกติ
เขายืนอยู่กับที่อยู่นาน
ตัวเขาพอเดาได้ตั้งแต่ที่กลับมาแล้วว่าชายชราคนนั้นคงจะเสียชีวิตไปแล้วเพราะถึงอย่างไรเขาก็จากโลกนี้ไปกว่า 50 ปี แถมก่อนที่จะจากไปอีกฝ่ายก็มีอายุกว่า 80 ปีแล้วดังนั้นเมื่อบวกกับ 50 ปีเข้าไปมันเป็นเรื่องยากมากๆที่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้สำหรับคนบนโลกนี้
สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือความเปลี่ยนแปลงของบ้านของชายชรา
เขากลับมาที่นี่เพื่อจะกลับมาดูสถานที่ๆเขาเติบโตขึ้นและกลับมาไหว้หลุมศพของชายชราและหากว่าบ้านหลังนั้นยังอยู่ก็คงจะพอสอบถามกับลูกหลานของชายชราได้
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้วมันทำให้เขารู้สึกเสียใจและเคว้งคว้างอย่างมาก
“นี่ ได้ยินมาว่าที่ชั้น 31 โดนผีหลอกอีกแล้วนะ ”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ใครจะไม่ได้ยินบ้าง ได้ยินมาว่าเป็นผีสาวที่ถูกเผาในบ้านพักเมื่อสามปีก่อน ”
ห่างออกไปไม่ไกลมีชายชราสองคนกำลังชี้ออกไปด้านหน้าพร้อมทั้งส่งเสียงออกมา
หลินเทียนที่กำลังยืนอยู่ถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที
เป็นเพราะว่าคำว่าบ้านพักนี้มันมีความสำคัญกับเขาอย่างมาก
ชายชราทั้งสองคนดูมีอายุประมาณ 75 ปีและกำลังพูดคุยอยู่กับหนุ่มสาวที่กำลังเดินผ่านไปมาซึ่งพวกเขาต่างพากันส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
“คุณลุง นี่มันยุคไหนกันแล้วครับ มันจะยังไปมีพวกผีสางได้อย่างไรกัน ”
ชายหนุ่มส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งเดินตากไป
คนอื่นๆที่เดินผ่านไปมาเองก็ต่างพากันส่ายศีรษะของพวกเขา
ไม่มีใครคนไหนเลยที่เชื่อเรื่องผีสางเหล่านี้
หลินเทียนได้หันมองออกไปทางชายชราทั้งสองคนที่กำลังนั่งเก้าอีไม้อยู่ด้านหน้า
“คุณลุงครับ ช่วยเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ผมฟังแบบละเอียดหน่อยได้ไหมครับ ? ”
เขาถามออกมา
เป็นเพราะว่าบ้านพักที่อยู่แถวนี้มันมีเพียงของชายชราที่รับเลี้ยงเขาเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำว่าหญิงสาวที่ถูกไฟคลอกในบ้านพักและผีสาวมันทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างมาก
“สนใจงั้นหรอเจ้าหนุ่ม ? ”
ชายชราทั้งสองหันมองมาทางเขา
“ครับ ”
หลินเทียนพยักหน้าตอบกลับ
เมื่อเห็นว่าหลินเทียนต้องการจะฟังแล้วทั้งสองถึงได้แสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมา
“ก่อนหน้านี้น่ะที่นี่มันไม่ได้คึกคักอะไรแบบนี้หรอก ณ ตอนนี้มันมีบ้านพักที่บังที่ดินสวยๆแถมนี้เอาไว้และเมื่อประมาณสามปีก่อนพวกบริษัทกิเลนก็อยากจะซื้อที่แถวนี้แต่ไม่มีใครต้องการขายทำให้พวกมันจ้างพวกอันธพาลมาสร้างปัญหาอยู่เป็นพักๆส่งผลให้ทุกคนต้องพากันยอมก้มหัวให้แต่เป็นเพราะว่าเจ้าของบ้านพักนี้ใจแข็งมากๆแม้ว่าจะได้รับคำขู่มากมายแต่ก็ยังไม่ยินยอมขายที่ของเขา ”
ชายชราอีกคนได้ส่งเสียงออกมาว่า
“เป็นเพราะว่าที่นั่นมันมีความหมายกับเขามากๆแล้วคิดว่าเขาจะยอมขาย ? อย่าว่าแต่เรื่องที่กดราคาเลย ได้ยินมาว่าราคาที่เสนอมามันไม่ถึงหนึ่งในสิบของราคาบ้านด้วยซ้ำและเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้หลังจากนั้นหนึ่งเดือนก็เกิดไฟไหม้ขึ้นจากไฟรั่วทำให้ผู้คนทั้งหมดภายในบ้านพักนั้นตกตายลง ”
“ไฟรั่วอะไรกัน มีหลายคนเป็นพยานว่าเห็นพวกอันธพาลที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทกิเลนอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ! ”
ชายชราอีกคนส่งเสียงออกมา
“เรื่องนี้ก็พอจะเดากันได้ ”
ชายชราได้ถอนหายใจออกมาพร้อมทั้งมองมาทางหลินเทียนพลางพูดต่อว่า
“หลังจากนั้นสามปีที่นี่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจนคึกคักมาถึงตอนนี้ ”
ชายชราได้ชี้ออกไปยังตึกสูงกว่าร้อยเมตรพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“ได้ยินมาว่าไม่กี่วันก่อนนี้มีเจ้าของห้องถูกผีหลอกมาด้วยล่ะ ”
ชายชราพูดต่อว่า
“มันอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มันเคยเป็นที่ตั้งของบ้านพักหลังนั้นทำให้เจ้าของห้องหลายๆห้องต้องพบเจอกับผีนางนั้นซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับลูกสาวของเจ้ามองบ้านพักคนก่อนมากๆ ”
หลินเทียนได้แต่มองขึ้นไปยังตึกสูงที่ถูกสร้างทับที่ของบ้านพักสถานรับเลี้ยงเด็กของเขาซึ่งแม้ว่ามันจะผ่านไปหลายปีมาแล้วแต่เขาก็ยังจดจำได้อย่างดี
“คุณลุงครับ ครอบครัวสามคนที่ตายมีบรรพบุรุษชื่อว่าเฉินชีหยวนที่เคยรับอุปถัมภ์เด็กกำพร้าหรือเปล่าครับ ? ”
เขาถามออกไป
คำพูดนี้ทำให้ชายชราทั้งสองผงะไปทันที
“ใช่ๆ เจ้าหนุ่มรู้เรื่องพวกนี้ด้วยงั้นเรอะ ? มันผ่านมากว่า 50 ปีแล้วนะ เธอดูมีอายุราวๆ 20 ต้นๆเองเท่านั้นแล้วรู้เรื่องนี้ได้ไงกัน ? ไปได้ยินข่าวลือแถวนี้มางั้นเรอะ ? ”