Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1346
“เจ้าหนูรู้ด้วยงั้นรึว่าภูเขาไท่ได้เปลี่ยนไป ? ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเทียนแล้วพยัคฆ์ขาวถึงกับแสดงสีหน้าที่พึงพอใจออกมาก่อนที่จะพูดต่อว่า
“เอาล่ะ แม้จะไม่รู้ว่าเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกันแต่เจ้าถามถูกคนแล้วล่ะเพราะต่อให้เป็นไอ้วัวแก่จางเต๋าหลิงก็ไม่มีทางรู้เรื่องนี้เท่าข้าเพราะหากเทียบกันตามหลักอายุแล้วข้าแก่กว่ามันอีก ”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ถึงกับทำให้ดวงตาของหลินเทียนเปล่งประกายออกมาโดยทันที
“พูดมา ! ”
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
พยัคฆ์ขาวที่เห็นว่าหลินเทียนต้องการจะรู้เรื่องนี้มากๆได้โอดครวญออกมาพลางแสดงสีหน้าที่ยิ่งผยองว่า
“อยากรู้ ? ไหนลองนวดไหล่นวดหลังให้ข้าหน่อยสิแล้วบางทีถ้าข้าอารมณ์ดีก็อาจจะเล่าให้เจ้าฟังก็ได้ ”
หลินเทียนได้หรี่ตาของเขาลงก่อนที่จะโบกมือสังเวยวงเวทย์หยินหยางออกมาเหนือศีรษะพลางพูดต่อว่า
“พูดมาดีๆไม่งั้นบางทีถ้าข้าอารมณ์ไม่ดีก็อาจจะผนึกเจ้าเอาไว้ที่นี่ตลอดกาลก็ได้ ”
“แม่งเอ้ย !! ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงก่นด่าออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ก่อนที่จะพูดต่อว่า
“เอามันออกไปไกลๆเลย ให้ข้าใช้เวลาเรียบเรียงข้อมูลก่อน ”
หลินเทียนได้ตอบรับก่อนที่จะเก็บเอาวงเวทย์หยินหยางกลับไป
พยัคฆ์ขาวได้ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มพูดออกมาว่า
“จริงๆแล้วจะพูดว่าภูเขาไท่เกิดการเปลี่ยนแปลงมันก็ไม่ถูก ต้องพูดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับโลกนี้น่าจะถูกกว่า”
มันมองไปทางหลินเทียนพร้อมกับพูดว่า
“เจ้าคงจะรู้สินะว่าโลกใบนี้เป็นหนึ่งในดวงดาวที่อยู่ในห้วงจักรวาล ? จริงๆแล้วในยุคก่อกำเนิดมันมีชื่อว่าดวงดาวจักรพรรดิทางช้างเผือกซึ่งถือเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งจักรวาลและมีขนาดกว้างใหญ่ถึงขั้นที่มีน้อยดวงจะเทียบเคียงได้ ”
สีหน้าของหลินเทียนในตอนนี้เปลี่ยนไปโดยทันทีไม่ใช่เพราะการที่ได้รู้ว่าโลกนี้เป็นหนึ่งในดวงดาวที่อยู่ในห้วงจักรวาลเพราะต่อให้เป็นเด็กทารกก็รู้เรื่องพวกนี้แต่ตะลึงไปกับชื่อดวงดาวจักรพรรดิทางช้างเผือกที่มีดาวน้อยดวงจะเทียบเคียงได้เนื่องจากนี่มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องเหล่านี้
“มีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย ?! โลกเคยเป็นที่รู้จักขนาดนั้นเลย ? ”
เซียนเซียนส่งเสียงออกมา
เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ด้านหลังเองก็ต่างผงะไปเพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
หลินเทียนได้ถามออกมาว่า
“แต่โลกในตอนนี้มันไม่ได้ใหญ่มากถึงขั้นที่ว่าไม่สามารถเทียบกับหมู่ดาวอื่นได้เลยด้วยซ้ำ ”
เป็นเพราะว่าต่อให้เป็นคนธรรมดาก็รู้ได้จากเทคโนโลยีว่าโลกใบนี้มันยังมีขนาดเล็กกว่าดวงดาวหลายๆดวง
“ฟังข้าก่อนสิ ก็บอกแล้วไงว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ”
พยัคฆ์ขาวได้พูดต่อว่า
“ในยุคนั้นโลกนี้มันกว้างใหญ่มีพลังฉีอันเข้มข้นรวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่มากมายแต่มันได้เกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นถึงขั้นที่แทบจะทำลายล้างโลกใบนี้เลยก็ว่าได้ ”
หลังจากนั้นมันก็ได้พูดต่อว่า
“หลังจากสงครามครั้งนั้นได้จบลงแล้วพื้นที่กว่าเก้าในสิบส่วนได้ถูกทำลายหายไปรวมถึงขุนเขาที่โด่งดังอย่างภูเขาไท่และอื่นๆเองก็แหลกสลายไม่มีเหลือและแม้ว่าเส้นชีพจรวิญญาณจะไม่ได้ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิงทว่ามันก็ยิ่งเหือดแห้งไปตามกาลเวลาทำให้พลังฉีและสัจธรรมในโลกนี้ยิ่งแผ่วลงจนถึงขั้นที่ไม่เหมาแก่การบ่มเพาะ ”
หลังจากนั้นก็พูดต่อว่า
“แน่นอนว่าข้าเองก็รู้เรื่องนี้มาจากในบันทึกโบราณเก่าแก่แต่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยเพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นมันตายกันเกือบหมดแล้วดังนั้นเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ ”
นี่ทำทำให้สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างพากันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะเคยเกิดสงครามครั้งใหญ่ขนาดนั้นขึ้นบนโลกใบนี้ด้วย ?
แถมโลกยังกว้างใหญ่กว่านี้มากถึงขั้นที่ถูกทำลายพื้นที่ไปกว่าเก้าในสิบส่วน ?!
เหตุผลที่พลังฉีและพลังสัจธรรมในโลกเบาบางก็เพราะว่าสงครามครั้งนั้น ?
“นี่…..เรากำลังใช้ชีวิตอยู่บนดาวที่แตกดับ ? ”
ผู้นำขุนเขาคุนหลุนส่งเสียงออกมา
“อื้มมม หากว่าเป็นจริงอย่างที่บันทึกว่าเอาไว้ก็ถูกแล้วล่ะ ”
พยัคฆ์ขาวพยักหน้าของมัน
นี่ทำให้ทุกคนพากันแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมาเพราะว่าเรื่องพวกนี้มันน่าเหลือเชื่อเอามากๆ
ดวงตาของหลินเทียนส่องประกายระยิบระยับออกมาเพราะเขาเองก็เคยได้เห็นภาพความทรงจำของโลกใบนี้จากเศษเสี้ยววิญญาณกระบี่มาก่อนแล้วซึ่งเขาเองก็เดาไว้แล้วว่าโลกนี้มันเคยกว้างใหญ่กว่านี้แต่ไม่คิดเลยว่าจะแม่นยำขนาดนี้
เขาหันมองไปทางมันก่อนที่จะถามต่อว่า
“บันทึกที่เจ้าว่ามันอยู่ไหนกัน ข้าอยากจะอ่านมัน ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าเคยเห็นมันเมื่อประมาณสองหมื่นปีก่อนนู้น ใครจะไปรู้กันล่ะ ”
มันได้แสยะยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“แต่ในอดีตมันเองก็เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นภายในภูเขาไท่เช่นกันเพราะมันเคยมีศิลาหินปรากฏขึ้นจากใต้ภูเขาและก่อให้เกิดสงครามแย่งชิงกันและสุดท้ายเจ้าพวกมีปีกจากทางตะวันตกก็ได้มันไป หากว่าอยากจะค้นหาความจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ก็ลองไปเอาศิลาหินนั่นมาสิ มันมีเบาะแสถูกทิ้งเอาไว้มากมาย ”
“มีศิลาหินผุดขึ้นมาจากใต้ภูเขาไท่ ? ”
คิ้วของหลินเทียนได้ขมวดเข้าหากันพร้อมทั้งพูดว่า
“เป็นเหมือนกับบันทึกเก่าแก่นั่น ? ”
“อื้ม ข้าเห็นมันกับตาตัวเอง ”
พยัคฆ์ขาวได้พูดออกมาพร้อมกับพูดว่า
“แต่ศิลานั่นมันก็แปลกๆเพราะมันรายล้อมไปด้วยอักขระลึกลับไม่เหมือนกับข่ายอาคมแต่มันซับซ้อนกว่ามาก ที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่งของมันที่แม้จะได้รับผลกระทบจากการปะทะกันของฝูงผู้เชี่ยวชาญทว่ามันก็ยังไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อยถึงขั้นที่พลังเทวะที่เข้าใกล้ได้ถูกมันดูดไปทั้งหมดภายในชั่วพริบตา ”
คิ้วของหลินเทียนได้ขมวดเข้าหากันเพราะพยัคฆ์ขาวนั้นอยู่ในเขตแดนปรินิพพานระดับ 5 แล้วดังนั้นในเมื่อมันยังเรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งดังนั้นอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลหรืออาจจะมีแม้กระทั่งจ้าวสวรรค์ทว่าพลังของคนเหล่านั้นกลับไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับศิลานั่นได้
“ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
หลังจากนั้นดวงตาของเขาก็ได้เปล่งประกายออกมาเล็กน้อย
“พวกชาวตะวันตกเองก็กำลังจะเตรียมรุกรานที่นี่อยู่เหมือนกัน งั้นก็ไปดูหน่อยแล้วกันเพราะหากยังอยู่ที่พวกมันก็จะได้ชิงเอากลับมา ”
เขาพูดออกมา
เป็นเพราะว่าตอนนี้อีกฝ่ายได้เตรียมแผนการรุกรานดินแดนศูนย์กลางเพื่อชิงเอาภูเขาที่โด่งดังทั้งหลายและตัวเขาเองก็เตรียมตัวจะบุกไปยังทวีปตะวันตกด้วยอยู่แล้วดังนั้นหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวพวกนี้แล้วเขาก็ตัดสินใจทันทีเลยว่าจะต้องไปฆ่าขุมพลังทั้งหมดของชาวตะวันตกแล้วชิงเอาศิลากลับมาให้ได้
เพราะถึงอย่างไรเขาก็เกิดและเติบโตขึ้นที่โลกใบนี้ดังนั้นเขาถึงได้สนใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมากและอยากจะยืนยันเรื่องราวทั้งหมดแถมศิลานั่นก็เคยเป็นของดินแดนศูนย์กลางแล้วจะปล่อยให้คนอื่นยึดไปได้อย่างไรกัน
ถูเซียนเซียนที่อยู่ข้างๆถึงกับมีดวงตาที่เปล่งประกายออกมาพลางพูดว่า
“ท่านอาจารย์อยากจะไปรุนรานดินแดนตะวันตก ? เอาข้าไปด้วย ! ”
“ไม่ ! ”
หลินเทียนตอบกลับ
“ไม่นะท่านอาจารย์ ! ข้าอยากหาประสบการณ์เหมือนกันแถมหากว่าท่านเหนื่อยล้าข้าก็สามารถนวดไหล่นวดหลังให้หรือเป็นเพื่อนคุยให้ได้ นี่มันมีไม่มีผลเสียด้านไหนเลยด้วยซ้ำ ! อีกอย่างหางของเซียนเซียนเองก็นุ่มฟูมากๆถ้าไม่เชื่อท่านก็ลองจับดูสิ ”
ถูเซียนเซียนได้พูดออกมาเพราะจากคำพูดก่อนหน้านี้ของหลินเทียนก็ทำให้นางคิดว่าหลินเทียนน่าจะชอบพวกขนปุยๆดังนั้นถึงได้กวัดแกว่งหางทั้งห้าของตัวเองไปทั่ว
หลินเทียนได้แต่แสดงสีหน้าที่หมดคำจะพูดออกมา
พยัคฆ์ขาวหันมองไปทางเซียนเซียนก่อนที่จะส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างว่า
“ไหนลุงเสือลองจับดูหน่อยสิ! ”
“ไปไกลๆเลยไปไอ้หื่น ! ”
เซียนเซียนได้ยกเท้าขึ้นมาถีบอัดร่างของพยัคฆ์ขาวตัวน้อยปลิวออกไปไกลกว่าหลายเมตร
นี่ทำให้ผู้นำขุนเขาต่างๆรวมถึงผู้นำตระกูลจิ้งจอกครามเองก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่อับอายออกมาเพราะดูเหมือนว่าองค์หญิงของพวกเขาจะยิ่งมีความกล้าบ้าบิ่นขึ้นไปอีกถึงขั้นที่กล้าเตะแม้กระทั่งอสูรร้ายขนาดนี้
เซียนเซียนพยายามอ้อนวอนหลินเทียนทุกวิถีทางพลางแสดงท่าทางเหมือนเด็กเสียคนทำให้หลินเทียนได้แต่โง่งมอยู่กับที่ก่อนที่สุดท้ายจะยอมให้นางติดตามไปด้วยพลางหันมองไปทางพยัคฆ์ขาวแล้วพูดว่า
“เจ้าเองก็ต้องไปด้วย ”
เป็นเพราะพยัคฆ์ขาวเองก็ไม่ใช่พวกชั่วช้าอะไรแต่เป็นเพียงแค่พวกหื่นกามเท่านั้นและในเมื่อผนึกมันได้คลายออกแล้วเขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายก็คงจะกลับไปทำเรื่องแบบเดิมๆดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะเอามันไว้ข้างกายสักพักหนึ่งเพื่อไม่ให้มันทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง
อีกอย่างมันเองก็เคยได้เห็นศิลาที่ผุดขึ้นมาจากใต้ภูเขาไท่แล้วด้วยดังนั้นการเอามันไปด้วยก็สามารถช่วยสัมผัสถึงกลิ่นอายของศิลานั้นได้ง่ายขึ้น
“ไม่ไปโว้ย ! ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงโห่ร้องออกมาพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“ข้ายังต้องไปเชิญสาวๆไปท่องโลกอีก ”
มันส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
หลินเทียนถึงกับรู้สึกอยากตั้นหน้ามันสักครั้ง
เขาหันมองไปทางมันก่อนที่จะโบกมือคว้าเอาผลไม้วิญญาณส่องประกายแสงที่สามารถช่วยเพิ่มระดับพลังของทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าเขตแดนกึ่งจักรพรรดิอย่างผลไม้หมื่นวิญญาณขึ้นมาพลางพูดว่า
“ตามข้ามาแล้วมันจะเป็นของเจ้า ”
ผลไม้นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนในเขตแดนต่ำกว่ากึ่งจักรพรรดิเฝ้าฝันก็จริงทว่ามันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขา
“นี่มัน ?! ”
“ผลไม้หมื่นวิญญาณในตำนาน ?! สามารถเพิ่มระดับพลังของทุกคนที่อยู่ภายใต้เขตแดนกึ่งจักรพรรดิได้ ! ”
“นี่…….”
ผู้นำขุมพลังทั้งหลายต่างแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาหลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนสามารถคว้าเอาสมบัติล้ำค่าขนาดนี้ออกมาได้ง่ายๆโดยที่ไม่มีท่าทางเสียดายแม้แต่น้อย
ดวงตาของพยัคฆ์ขาวถึงกับเบิกกว้างขณะที่น้ำลายไหลย้อยออกมาพลางคว้ามือเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
เป็นเพราะหากว่ามีผลไม้นี้มันสามารถตัดผ่านเขตแดนปรินิพพานระดับ 7 ได้โดยทันที !
มันรีบเก็บกลับไปเพราะกลัวว่าหลินเทียนจะคืนคำพลางกระแอ่มออกมาว่า
“ข้าบอกก่อนเลยนะว่าข้าไม่ได้ยอมตกลงก็เพราะว่าผลไม้นี้แต่เป็นเพราะว่าข้าที่เป็นผู้อาวุโสเองก็ควรจะตอบรับคำขอของรุ่นเยาว์เท่านั้นถึงได้ตัดสินใจติดตามเจ้า”
หลินเทียนได้มองมันด้วยหางตาเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลังจากนั้นเขาก็รีบบอกลาคนอื่นๆพร้อมทั้งจากไปพร้อมๆกับเซียนเซียนและพยัคฆ์ขาวอย่างรวดเร็ว