Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1354
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วมันทำให้สีหน้าของหลินเทียนเปลี่ยนไปโดยทันทีก่อนที่ดวงตาของเขาจะเปล่งประกายออกมา
“เจ้าแน่ใจ ? ”
เขาถามออกมา
เป็นเพราะว่าเป้าหมายในการมายังดินแดนตะวันตกของเขาก็เพื่อเอาศิลาหินนั้นกลับไป
“แน่ใจ มันจะต้องอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน ”
พยัคฆ์ขาวได้ส่งเสียงออกมา
มันเคยได้เห็นศิลานั้นมากับตาตัวเองแล้วดังนั้นถึงได้จดจำกลิ่นอายของมันได้เป็นอย่างดี
ดวงตาของหลินเทียนเปล่งประกายออกมาก่อนที่จะรีบก้าวเดินออกไปตามเส้นทางที่พยัคฆ์ขาวชี้ไป
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้พบกับตำหนักมากมายที่ส่งกลิ่นอายสัจธรรมอันเข้มข้นออกมา
พยัคฆ์ขาวได้หรี่ตาของมันลงเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า
“นี่คือที่อยู่ของนิกายเทพวิหกสินะ ? ”
“อื้ม ”
หลินเทียนตอบกลับเพราะจากความทรงจำที่ได้มานั้นเขารู้ดีอยู่แล้วว่าที่นี่เป็นที่ตั้งของตำหนัก
เขาหันมองออกไปด้วยเนตรแห่งสัจธรรมก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงการผันผวนอย่างรุนแรงภายในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้เสมือนว่ามีอสูรร้ายเก่าแก่อยู่ภายใน
มันเป็นสัญชาตญาณที่บอกเขาว่าที่นั่นมีตัวตนที่อยู่ในระดับเดียวกับเขา
“เป็นอะไรไปงั้นรึท่านอาจารย์ ? ”
เซียนเซียนส่งเสียงออกมา
หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาพร้อมทั้งตอบกลับไปว่า
“เปล่าหรอก ”
หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้หันไปพูดกับนางและพยัคฆ์ขาวเล็กน้อยก่อนที่จะพากันก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ด้านหน้าตำหนักเหล่านี้ไม่ได้มีคนเฝ้ายามซึ่งถือว่าต่างออกไปจากขุมพลังอื่นๆเพราะที่นี่ซ่อนอยู่ภายในดินแดนลับดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีคนเฝ้า
หลินเทียนที่มาถึงที่นี่ได้เดินนำเข้าไปภายในก่อนที่ร่างกายของเขาจะส่งคลื่นกระบี่สีทองออกไป
“แกร๊ง ! ”
เสียงกระบี่คำรามดังสนั่นหวั่นไหวพุ่งออกไปด้านหน้า
ตู้มม ~~!
ประตูด้านหน้าของนิกายได้แหลกสลายหายไปขณะที่ฝุ่นควันฟุ้งไปทั่วทิศทาง
นี่ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ภายในต่างพากันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“ใครกัน ! ”
หนึ่งในพวกเขาส่งเสียงออกมา
อีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญเขตแดนปลุกพลังที่กวาดจิตสัมผัสอันแข็งแกร่งออกไปรอบทิศทางก่อนที่จะค้นพบหลินเทียน
“เป็นเจ้า ! ”
สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปก่อนที่จะส่งเสียงออกมาว่า
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน ?! ”
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่คนอื่นๆเองก็ต่างพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาไม่แพ้กัน
เป็นเพราะว่าหลินเทียนได้ทำลายแผนการของพวกเขาไปทำให้พวกเขารู้จักหลินเทียนเป็นอย่างดีแต่ก็ยังประหลาดใจที่ได้พบกับเขาที่นี่เพราะว่ามันคือดินแดนลับของพวกเขาแถมยังมีผู้อาวุโสของนิกายถูกส่งออกไปจัดการหลินเทียนดังนั้นหากว่ายึดตามหลักนี้แล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่หลินเทียนจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“ผู้อาวุโสที่สามคือไอ้ชุดคลุมดำนั่น ? มันไปดื่มชาอยู่กับยมบาลแล้ว ”
พยัคฆ์ขาวได้ส่งเสียงออกมา
“ว่าไงนะ?! ”
“เป็นไปไม่ได้ ! ”
“ผู้อาวุโสที่สามอยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 3 มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ! ”
พวกเขาพากันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงก่อนที่จะส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดัง
“เหอะๆ ”
พยัคฆ์ขาวได้แสยะออกมาด้วยท่าทางที่เย้ยหยัน
หลินเทียนก้าวออกไปก่อนที่คลื่นกระบี่สีทองอันทรงพลังจะพุ่งผ่านออกไปรอบทิศทาง
“พุฟฟ ~! ”
“พุฟ ! ”
“พุฟฟ ! ”
กองเลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่เหล่าศิษย์พากันตกตายลงอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของหลินเทียนยังคงความราบเรียบขณะที่ก้าวเดินผ่านเข้าไปภายในสถานที่แห่งนี้
“แกร๊ง ! ”
เสียงกระบี่คำรามถูกส่งออกมาอย่างดังก่อนที่คลื่นกระบี่ของเขาจะพุ่งเข้าสังหารศิษย์ที่อยู่โดยรอบจนสิ้น
“เจ้าคนจากดินแดนศูนย์กลาง ! ”
“เจ้ากล้า……..”
เหล่าศิษย์ทั้งหลายที่ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรเองก็ต่างพากันตกตายลงอย่างต่อเนื่อง
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบไม่แยแสออกมาแม้แต่น้อยเพราะว่าอีกฝ่ายที่พยายามจะสร้างเครื่องสังเวยด้วยชีวิตของผู้คนมากมายนี้มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปราณีดังนั้นตราบเท่าที่เป็นคนของนิกายเทพวิหกแล้วพวกมันต้องตาย
วิ้สสส
วิ้ส
วิ้สสส
เสียงพุ่งผ่านอากาศถูกส่งออกมาพร้อมๆกับปรากฏร่างสามร่างที่รายล้อมไปด้วยกลิ่นอายที่ทรงพลัง
“ท่านจ้าวนิกาย ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านผู้อาวุโสที่สอง”
เมื่อมองไปยังทั้งสามร่างนี้แล้วกลุ่มคนทั้งหลายต่างพากันแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาก่อนที่ร่างของพวกเขาจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นกองเลือดไป
พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนที่อยู่ด้านหลังของหลินเทียนต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากเพราะพวกเขาเองก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งได้จากกลิ่นอายของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีว่าแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าชายวัยกลางคนชุดดำก่อนหน้านี้เสียอีก
“จ้าวสวรรค์ ?! ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา
นี่นิกายเทพวิหกมันแข็งแกร่งขนาดนี้เลย ?!
หลินเทียนได้ผงะไปก่อนที่จะหันมองออกไปด้วยสีหน้าที่ราบเรียบไม่แยแสแม้แต่น้อย
ทั้งสามคนเองก็ต่างจ้องมองมาทางเขาเป็นสายตาเดียวกัน
“เจ้าคนจากดินแดนศูนย์กลาง เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน ? ”
จ้าวนิกายของพวกเขาส่งเสียงออกมาเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาเพิ่งสั่งการให้ผู้อาวุโสที่สามออกไปขัดขวางหลินเทียนที่สร้างปัญหาให้กับแผนการวกเขาอย่างมากแต่ไม่คิดเลยว่าหลินเทียนจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่และมันทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างมากเนื่องจากการปรากฏตัวนี้บ่งชี้ว่าคนที่เขาส่งไปคงโชคร้ายยิ่งกว่าโชคร้ายและแผนการของพวกเขาเองก็อาจจะรั่วไหลออกไปแล้วไม่งั้นหลินเทียนจะมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน ?
หลินเทียนหันมองออกไปทางคนเหล่านี้ด้วยสีหน้าที่ราบเรียบอย่างเคยก่อนที่จะหันมองเข้าไปภายในส่วนลึกที่สุดของสถานที่แห่งนี้
แกร๊ง !
เสียงกระบี่คำรามดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาก่อนที่คลื่นกระบี่อันทรงพลังจะพวยพุ่งผ่านอากาศเข้าไปภายในตำหนักเก่าแก่
ไม่นานคลื่นกระบี่อันทรงพลังก็ได้บดขยี้ตำหนักแห่งนี้จนแหลกสลายกลายเป็นซากปรักหักพัง
“ไอ้ระยำ ! เจ้ากล้านักนะ ! ”
จ้าวนิกายส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธเพราะว่าที่นั่นมันเป็นที่อยู่ของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงของขุมพลังนี้
“ตู้มมม ! ”
มันเป็นตอนนี้เองที่ร่างสามร่างได้เหาะขึ้นมาจากซากปรักหักพังแห่งนั้น
มันเป็นร่างของมนุษย์สามคนทว่าด้านหลังของพวกเขากลับมีปีกสีเทาขนาดใหญ่และเนตรที่สามกลางหน้าผาก ผมสีเงินและหูที่แหลม
สายตาของพวกเขาต่างล้ำลึกขณะที่ร่างกายรายล้อมไปด้วยพลังที่แข็งแกร่ง
“คาราวะท่านทวยเทพ ! ”
วินาทีที่คนเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นมาก็ทำให้กลุ่มคนทั้งหลายพากันแสดงความเคารพออกมา
ทั้งสามคนนี้คือผู้ก่อตั้งนิกายของพวกเขาที่ถือว่าเป็นบรรพบุรุษที่เปรียบเสมือนเทพผู้พิทักษ์
“เป็นพวกมัน ! ”
พยัคฆ์ขาวได้ส่งเสียงโห่ร้องออกมา
เซียนเซียนที่สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้เองก็ได้แต่ผงะไปพร้อมทั้งถามออกมาว่า
“รู้จักด้วย ? ”
“แน่นอนว่ารู้จักเพราะพวกมันนี่แหละคนที่แย่งชิงเอาศิลาที่ผุดออกมาจากใต้ภูเขาไท่ไป ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา
หลินเทียนไม่ได้พูดอะไรเนื่องจากเขาสัมผัสได้เพียงแค่กลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาดังนั้นถึงได้ส่งการโจมตีออกไปทำลายตำหนักนั้นทันทีก่อนที่จะจ้องมองไปทางพวกเขา
ท้ายที่สุดสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ชายที่อยู่หน้าสุด
เป็นเพราะว่าชายคนนี้สร้างความรู้สึกกดดันให้กับเขา
ทั้งสามคนเองก็ต่างจับจ้องมาทางหลินเทียนด้วยสีหน้าที่ราบเรียบไม่แยแสแม้แต่น้อย
หนึ่งในพวกเขาได้ส่งเสียงออกมาว่า
“ถู นี่คือคนจากดินแดนศูนย์กลางที่เจ้าว่า ? ”
นี่คือชื่อของจ้าวนิกายซึ่งสายตาที่เขากำลังมองไปทางหลินเทียนนั้นไม่ได้ต่างกับกำลังมองมดอันด้อยค่าแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าจ้าวนิกายเองก็ได้รายงานเรื่องของหลินเทียนให้กับพวกเขาก่อนแล้ว
“ขอรับท่าน……เป็นมันนั่นแหละที่ขัดขวางแผนการของพวกเรา ”
จ้าวนิกายส่งเสียงออกมาก่อนที่จะพูดต่อว่า
“ได้โปรดวางใจ เราจะจัดการมันเดี๋ยวนี้ ”
เมื่อสิ้นสุดคำพูดแล้วเขาก็ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังออกมาพร้อมทั้งก้าวเข้าไปหาทางหลินเทียน
“ไม่ต้อง ”
หนึ่งในมนุษย์ปีกได้ส่งเสียงออกมาพร้อมกับพูดว่า
“กล้าขัดขวางแผนการอันเนิ่นนานของพวกเรา ข้าจะสังหารมันเอง ”
เขาได้กระพือปีกอันงดงามออกไปก่อนที่จะแผดกลิ่นอายอันทางพลังออกมา
“กึ่ง……จักรพรรดิว่างเปล่า ?! ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เซียนเซียนเองก็มีสีหน้าที่ตกตะลึงไม่ต่างกันขณะที่ร่างกายของนางสั่นสะท้านไม่หยุดเพราะไม่คิดเลยว่าโลกนี้จะมีตัวตนในตำนานแบบนี้อยู่ด้วย
กลับกัน , ทางฝ่ายศิษย์นิกายทั้งหลายต่างแสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมาด้วยกันทั้งหมด
พวกเขาพากันหันมองไปทางหลินเทียนด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกถึงขีดสุดเสมือนกำลังมองไปยังร่างที่ไร้วิญญาณ
“ในเมื่อท่านทวยเทพลงมือด้วยตัวเองแบบนี้มันต้องตายอย่างแน่นอน ”
“ถูกต้องที่สุด ! ”
“เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านผู้นู้นแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ฝุ่นผงเท่านั้น ”
เหล่าศิษย์พากันส่งเสียงออกมา
“บึ้สสส ~! ”
มิติโดยรอบได้สั่นไหวก่อนที่หนึ่งในพวกเขาจะพุ่งเข้าประชิดร่างของหลินเทียน
สีหน้าของอีกฝ่ายยังคงราบเรียบขณะที่ปรากฏกระบี่เทวะขึ้นเหนือศีรษะพลางพูดต่อว่า
“ข้าจะมอบความตายให้แก่เจ้า ”
ฟึ้บบ ~!
มิติโดยรอบสลายหายไปก่อนที่กระบี่อันทรงพลังจะฟาดฟันลงใส่ร่างของหลินเทียน