Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1360
หลินเทียนที่ได้ยินคำพูดของพยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปเองก็ถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที
เป็นเพราะว่านี่คือศิลาที่ผุดขึ้นมาจากใต้ภูเขาไท่ ?!
ตู้มมม !
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาอย่างดัง
เหนือศีรษะของราชันวิหกในตอนนี้มีศิลาหินล่องลอยอยู่กลางอากาศซึ่งมันรายล้อมไปด้วยอักขระลึกลับมากมายแผดคลื่นพลังอันหนักหน่วงออกมารอบทิศทาง
มันให้ความรู้สึกเสมือนว่าเป็นการจุติลงมาของผู้เชี่ยวชาญเขตแดนอนันตกาลเลยก็ว่าได้
“นี่ไอ้เวรนี่มันสามารถควบคุมศิลานั่นได้แล้ว ?! ”
พยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที
เป็นเพราะมันสัมผัสได้เลยว่าศิลาหินชิ้นนี้มันเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
แม้กระทั่งหลินเทียนเองก็ยังแสดงสีหน้าที่ตึงเครียดออกมาไม่ต่างกัน
เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำทว่าหลังจากที่ศิลาหินปรากฏตัวออกมาก็ทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกไปทันที
“เจ้ามนุษย์ ! ใช้ได้หนิที่ต้อนข้ามาได้ถึงขนาดนี้ ! ต้องบอกเลยว่าเจ้านี่คู่ควรให้ข้าฆ่าจริงๆ ! ”
ราชันวิหกส่งเสียงออกมาด้วยสายตาที่ดุร้าย
ศิลาหินเหนือศีรษะของเขายังคงโคจรอยู่รอบตัวโดยที่ปลดปล่อยประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา
“กล้าชิงเอาสมบัติของดินแดนศูนย์กลางพวกข้าไปแล้วยังกล้าอวดดีอีก เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ! ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมาอย่างไม่แยแส
ราชันวิหกได้ตอบกลับด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกว่า
“ปากดีนักนะ ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้ ! ”
ตู้มม ! มิติโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่ศิลาหินสั่นไหวเล็กน้อยพร้อมทั้งส่งคลื่นพลังอันหนักหน่วงกวาดเข้าใส่ทางหลินเทียนด้วยพลังทำลายที่บดขยี้อากาศและมิติทั้งหมดที่อยู่ระหว่างเส้นทางของมัน
ประกายแสงนี้ทำให้ร่างกายของหลินเทียนถึงกับสั่นสะท้านไปไม่หยุดและไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยถึงได้รีบสังเวยเอาวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏออกมารับการโจมตีของอีกฝ่ายเอาไว้
พริบตาการโจมตีทั้งสองก็ได้อัดเข้าใส่กันอย่างจัง
ฟึ้บบบ !
วงเวทย์สังสารวัฏของเขาได้สั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่จะแตกออกอย่างฉับพลัน
นี่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะว่าเขตแดนราชันของเขากลับถูกทำลายลงได้ง่ายๆแบบนี้แถมลำแลงของอีกฝ่ายเองก็ยังคงพุ่งเข้ามาทางเขาอยู่โดยที่พลังทำลายแทบไม่ได้ลดน้อยลงด้วยซ้ำ
เขาเบี่ยงตัวหลบออกมาด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า
ตู้มมม ~!
ประกายแสงได้กระแทกเข้ากับภูเขาที่อยู่ห่างออกไปพร้อมทั้งเปลี่ยนมันกลายเป็นผุยผงไปภายในชั่วพริบตา
มันเป็นคลื่นพลังทำลายที่ให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวอย่างมากและส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ที่นี่ทุกคนพากันสั่นสะท้านไปตามๆกัน
“นี่มัน…….น่ากลัวจริงๆ ! ”
“ท่านราชันวิหกมีแม้กระทั่งสมบัติสวรรค์แบบนี้ ! ”
“สมแล้วจริงๆที่เป็นท่านผู้นั้น ! ”
ศิษย์หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นถึงขีดสุด
บรรพบุรุษที่สองที่อยู่ห่างออกไปเองก็ยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาเป็นเพราะว่าศิลานี้เป็นสิ่งที่พวกเขาทั้งสามคนใช้พลังแย่งชิงมาจากดินแดนศูนย์กลางด้วยกันแถมยังใช้ความพยายามอย่างมากในการลงอักขระจักรพรรดิว่างเปล่าเพื่อให้สามารถควบคุมมันได้เล็กน้อยซึ่งเขาเองก็เคยเห็นพลังทำลายของมันมาแล้วว่ามันแข็งแกร่งพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบได้
หลินเทียนที่อยู่ห่างออกไปยังคงจ้องมองไปยังศิลาหินเหนือศีรษะของอีกฝ่ายที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมายไม่เหมือนข่ายอาคมทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไม่หยุด
“ความรู้สึกนี้มัน……”
เขาได้แต่ขมวดคิ้วของตัวเองเข้าหากันด้วยดวงตาที่ส่องประกายออกมาเล็กน้อย
เป็นเพราะว่ามันเป็นความรู้สึกน่าเกรงขามแบบเดียวกันกับตอนที่เขาเข้าใกล้ภูเขาไท่ไม่มีผิด
“เจ้ามนุษย์ กลัวงั้นรึ ? ความน่าเกรงขามของเจ้าหายไปไหนหมด ? ”
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกถูกส่งออกมา
ราชันวิหกที่กำลังยืนอยู่ด้วยท่าทางเสมือนดั่งทวยเทพได้ส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งส่งคลื่นพลังอัดเข้าใส่ทางหลินเทียน
หลินเทียนที่เบิกเนตรแห่งสัจธรรมอยู่เองก็สัมผัสได้ถึงพลังทำลายที่ร้ายแรงของมันดีว่าไม่สามารถต้านทานได้ถึงได้รีบเบี่ยงหลบอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของเขานั้นสูงอย่างมากถึงขั้นที่ทิ้งเอาไว้เพียงภาพติดตาในอากาศเท่านั้น
ตู้มมม ~!
คลื่นพลังนี้ได้อัดกระแทกเข้ากับแม่น้ำขนาดใหญ่พร้อมทั้งทำให้มันเหือดแห้งลงภายในชั่วพริบตาและสร้างไอน้ำขนาดใหญ่ขึ้นกลางอากาศ
“เป็นความเร็วที่ใช้ได้ ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะทนได้นานสักแค่ไหน ”
ราชันวิหกส่งเสียงออกมาอย่างเย็นยะเยือก
เมื่อพูดจบแล้วศิลากลางศีรษะของเขาก็ได้สั่นไหวอีกครั้งพร้อมทั้งส่งคลื่นลำแสงกว่าหลายสิบสายพวยพุ่งออกไปทางหลินเทียน
มันเป็นลำแสงที่ทรงพลังและรวดเร็วยิ่งกว่าเก่าพร้อมทั้งเข้ารายล้อมร่างของหลินเทียนเอาไว้จากทุกทิศทาง
คิ้วของหลินเทียนขมวดเข้าหากันก่อนที่จะใช้ก้าวย่างแห่งสวรรค์รีบเบี่ยงหลบออกไปอย่างรวดเร็ว
สายตาของราชันวิหกถึงกับหดเล็กลงด้วยความดุร้ายพร้อมทั้งพูดออกมาว่า
“ก็ดี มาต่อก็เลย ! ”
มันส่งเสียงออกมาขณะที่ลำแสงมากมายยังคงพวยพุ่งออกไป
พริบตาลำแสงกว่าร้อยสายได้พุ่งเข้าใส่ทางหลินเทียนจากรอบทิศทาง
แม้ว่าจิตสัมผัสของเขาจะแข็งแกร่งแต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากำลำแสงจำนวนมากขนาดนี้แล้วก็ไม่สามารถเบี่ยงหลบมันได้ทั้งหมดแม้จะใช้ทักษะเทวะหรือเนตรแห่งสัจธรรมต้านทานเอาไว้
พุฟฟ ~!
ลำแสงนี้พุ่งทะลวงผ่านหน้าอกของเขาไปพร้อมทั้งลากร่างของเขาลอยเคว้งออกไปไกล
“ท่านอาจารย์ ! ”
เซียนเซียนที่อยู่ห่างออกไปถึงกับอดส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่ได้
ร่างของหลินเทียนลอยเคว้งออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือดพร้อมความเจ็บปวดที่แผดขยายไปทั่วอวัยวะภายในถึงขั้นที่พลังเทวะเองยังไหลเวียนได้ช้าลง
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวยิ่งกว่าเก่า
“ใช่แล้ว มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนที่เข้าใกล้ภูเขาไท่ไม่มีผิด ”
คิ้วของเขาได้ขมวดเข้าหากันโดยทันที
เป็นเพราะว่ามันคือแรงกดดันของเสน่ห์ที่เขาเคยสัมผัสได้
“ตู้มม ! ”
มิติโดยรอยเริ่มสั่นไหวขณะที่กลิ่นอายทำลายล้างปลดปล่อยออกมา
ศิลาหินที่อยู่เหนือศีรษะของราชันวิหกได้ส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาอย่างเข้มข้นเสมือนว่ามันแปรเปลี่ยนกลางเป็นดวงอาทิตย์ที่แผดรังสีอันตรายออกไปรอบทิศทาง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคลื่นพลังนี้แล้วมันทำให้ผู้คนโดยรอบต่างพากันสั่นสะท้านไปตามๆกัน
เป็นเพราะว่ามันคือกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
“ไอ้หนูน้อย ข้าจะรีบเก็บกวาดเจ้าแล้วกัน ”
ราชันวิหกส่งเสียงอันไม่แยแสออกมาเสมือนว่าเป็นจักรพรรดิที่กำลังก้มมองลงไปยังหลินเทียนพลางโบกมือออกไปทำให้ศิลาหินส่องประกายแสงอันทรงพลังพุ่งเข้าใส่ทางหลินเทียน
ตู้มมม ! คลื่นพลังอันหนักหน่วงได้บดขยี้มิติโดยรอบแหลกสลายหายไปโดยทันที
“นี่มัน…แข็งแกร่งมากๆ ! ”
“ท่านราชันวิหกไร้เทียมทาน ! ”
“การโจมตีนี้ต้องสังหารไอ้โจรชั่วนั่นได้อย่างแน่นอน ! ”
เหล่าศิษย์พากันส่งเสียงอันตื่นเต้นออกมา
พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากเพราะความรู้สึกขณะที่คลื่นพลังนี้กดทับลงมามันไม่ต่างกับการกดทับของห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่เลยแม้แต่น้อย
หลินเทียนที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของมันได้อย่างดีว่ามันอันตรายถึงขั้นทำให้ดวงวิญญาณของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด
ทว่าตอนนี้เขากลับมีท่าทางที่ดูใจเย็นอย่างมากขณะที่ดวงตาส่องประกายออกมา
“ในเมื่อมันมีเสน่ห์แบบเดียวกันก็แสดงว่าเสน่ห์นี้จะสามารถส่งผลกระทบต่อมันได้ ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้แล้วเขาไม่ได้เบี่ยงหลบไปไหนทว่ากลับใช้สมาธิอยู่กับการทำความเข้าใจเสน่ห์ของมันและเริ่มปลดปล่อยเสน่ห์ของภูเขาไท่ออกมาจากร่างของเขา
ไม่นานพลังนี้ก็ได้แผดขยายไปทั่วร่างของเขาก่อนที่ประกายแสงสีทองและกลิ่นอายของเขาจะยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก
และเป็นเวลาเดียวกันนี้เองที่ศิลาหินได้สั่นสะท้านอย่างรุนแรงพร้อมทั้งหยุดการโจมตีของมันเสมือนว่าสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
นี่ทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาเพราะว่าเสน่ห์ของภูเขาไท่ใช้ได้ผลจริงๆ !
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่สีหน้าของราชันวิหกได้เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“เกิดอะไรขึ้น ?! ”
เป็นเพราะว่าเขาได้ตีตราลงไปในศิลานี้แล้วทว่ามันกลับหยุดยั้งการโจมตีด้วยตัวเองเสมือนว่าได้รับผลกระทบบางอย่าง
นี่ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเหมือนๆกัน
“นี่ศิลาหินนั่นไม่สามารถกดทับลงมาได้ ?! ”
พยัคฆ์ขาวงส่งเสียงที่ประหลาดใจออกมา
“มัน…..เกิดอะไรขึ้น ? ”
เซียนเซียนเองก็มีสีหน้าที่ประหลาดใจไม่ต่างกันและด้วยระดับมันสมองของนางแล้วก็พอเดาได้ว่ามันเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
ณ ตอนนี้สายตาของราชันวิหกนั้นดูซับซ้อนอย่างมากและแม้จะไม่รู้ว่าทำไมมันถึงหยุดการโจมตีด้วยตัวเองแต่ก็มั่นใจว่าเหตุผลมาจากทางหลินเทียนและนี่ยิ่งทำให้สายตาของเขาเย็นชาขึ้นไปอีกก่อนที่จะระเบิดคลื่นพลังออกมาโถมเข้าใส่ศิลาหินพร้อมทั้งบังคับมัน
“ฆ่ามัน ! ”
ศิลาหินได้สั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมทั้งเคลื่อนไหวอีกครั้งแม้ว่าจะช้าก็ตามแต่ก็ยังคงกดทับเข้าใส่ทางหลินเทียนอยู่ดี
มิติโดยรอบแหลกสลายหายไปโดยทันที
สายตาของหลินเทียนยังคงความไม่แยแสแม้แต่น้อยขณะที่เสน่ห์ของภูเขาไท่ได้สลักลงภายในทะเลความรู้ของเขาอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งแผดมันออกมาอย่างเข้มข้น
นี่ทำให้การเคลื่อนไหวของศิลาหินถูกหยุดลงอีกครั้ง
“มันเป็นสมบัติของดินแดนศูนย์กลางของพวกเรา ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์สินะ ”
เขาส่งเสียงที่ไม่แยแสออกมา
หลังจากนั้นเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันก็ได้หมุนวนพร้อมทั้งแผดเสน่ห์ของภูเขาไท่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
นี่ทำให้ศิลาหินสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่อักขระทั้งหลายจะส่องประกายแสงออกมาพลางเคลื่อนตัวเข้าหาเขาอย่างช้าๆ
ทว่ามันต่างจากตอนที่มันกดทับลงมาเพราะมันไม่ได้ส่งคลื่นพลังทำลายอะไรออกมาแต่กลับเคลื่อนที่เข้าหาหลินเทียนเสมือนว่าเป็นเด็กน้อยพลัดหลงที่พบกับครอบครัวอีกครั้ง
มันทำให้สีหน้าของราชันวิหกเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงพร้อมทั้งส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธว่า
“นี่เจ้า !!! ”
เป็นเพราะเขาตระหนักได้ดีกว่าใครว่าศิลาหินกำลังหลุดออกจากการควบคุมของตนเองอย่างช้าๆถึงขั้นที่อักขระตราประทับที่วางเอาไว้มันสั่นไหวอย่างรุนแรง