Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1372
สำหรับเขาที่ต้องแบกรับทัณฑ์สวรรค์นั้นสามารถสัมผัสถึงมันได้เป็นอย่างดีและรู้สึกได้ว่ามันกำลังจะจบลง
“ทัณฑ์สวรรค์ของเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่ามีเก้าระลอก มันน้อยกว่าของเขตแดนจ้าวสวรรค์และจักรพรรดิโกลาหลอยู่มาก ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเองเพราะว่าตอนที่เขาตัดผ่านทั้งสองเขตแดนนั้นเขาต้องแบกรับทัณฑ์สายฟ้าไปมากกว่าเก้ารอบ
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้มากนักและได้แต่ยืนรอการมาถึงของทัณฑ์สายฟ้าระลอกนี้
ตู้มม ~!
ม่านฟ้าได้ถูกฉีกออกขณะที่ทัณฑ์สายฟ้าระลอกที่เก้าได้ก่อตัวขึ้นกลายเป็นกองอัศวิน ยางฟ้า ภูตผีปีศาจและอสูรมากมายรายล้อมอยู่รอบท้องฟ้า
มันเป็นภาพร่างที่ก่อตัวขึ้นจากสายฟ้าทั้งหลายที่ส่งกลิ่นอายทำลายล้างอันทรงพลังออกมาทำให้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าตอนปลายเองก็ยังต้องหวาดหวั่นอย่างแน่นอน
“ดูเหมือนว่าช่วงที่ผ่านมานี้ทัณฑ์สายฟ้าระลอกสุดท้ายจะพิเศษออกไป ”
เขาได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน
หลังจากนั้นก็ได้แต่มองออกไปด้วยดวงตาที่เปล่งประกายก่อนที่สุดท้ายจะส่ายศีรษะของเขา
เขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับทัณฑ์สายฟ้าระลอกสุดท้ายในช่วงหลายครั้งนี้มาก่อนแต่ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างไรก็ไม่เป็นผลดังนั้นถึงได้เลิกสนใจมันเพราะต่อให้สนใจไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรอยู่ดี
ทึ้มม ~!
เสียงฟ้าร้องคำรามถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่ทัณฑ์สายฟ้าระลอกที่เก้าได้กดทับลงมาอย่างรุนแรง
ภาพร่างอันทรงพลังทั้งหลายล้วนพุ่งทะยานเข้าใส่ทางเขาพร้อมๆกัน
หลินเทียนในตอนนี้มีศิลาหินคอยปกป้องร่างกายเอาไว้ดังนั้นถึงไม่ได้สนใจอะไรมากนักพร้อมทั้งซัดเอาเจดีย์ออกไปรับเอาไว้เพื่อหล่อหลอมให้มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
เปรี้ย !
เปรี้ยยย !
เปรี้ย !
เสียงปริแตกถูกส่งออกมาก่อนที่เจดีย์จะแหลกสลายหายไปไม่มีเหลือ
เศษฝุ่นสีม่วงกระจัดกระจายไปทั่วทิศทางพร้อมทั้งแปรเปลี่ยนกลายเป็นกลิ่นอายโกลาหล สีม่วงอันเข้มข้น
ทันใดนั้นเองที่เหล่าภาพร่างทั้งหลายต่างพากันโถมเข้าใส่ทางหลินเทียนพร้อมๆกัน
ตู้มมม !
โลกทั้งใบแหลกสลายขณะที่พื้นดินแยกออกเผยให้เห็นลาวาที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุด
กลุ่มหมอกควันฟุ้งกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่ม่านสายฟ้าค่อยๆสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อหมอกควันเบื้องล่างได้สลายหายไปแล้วจึงเผยให้เห็นร่างของหลินเทียนที่กำลังยืนอยู่กับที่โดยที่มีศิลาหินปกป้องร่างกายเอาไว้และไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณมากๆ ”
เขาเผยรอยยิ้มออกมาขณะที่มองออกไปยังศิลาหินเหนือศีรษะของเขา
หากว่าไม่ได้เป็นเพราะมันแล้วเขาก็คงจะไม่มีทางก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
บึ้สสส ~!
ประกายแสงเจ็ดสีส่องประกายออกมาจากม่านฟ้าก่อนที่จะตกกระทบลงบนร่างของเขาเสมือนเป็นการป้อนพลังเข้าสู่ร่างอย่างรวดเร็ว
มันเป็นประกายแสงที่อัดแน่นไปด้วยพลังฉีอันเข้มข้นเสียยิ่งกว่าเส้นชีพจรมังกรบรรพกาล
หลินเทียนไม่ลังเลเลยที่จะหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันของตัวเองเพื่อดูกลืนพลังเหล่านี้
นี่ทำให้ประกายแสงที่แผดออกมาจากร่างของเขายิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกแถมกลิ่นอายยังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่เขาได้แต่มองออกไปยังกลุ่มก้อนกลิ่นอายโกลาหลสีม่วงที่กระจายตัวอยู่ในอากาศก่อนที่จะส่งถ่ายพลังออกไปเพื่อก่อสร้างมันขึ้นมาเป็นเจดีย์ราชันอมตะอีกครั้ง
ณ ตอนนี้อักขระที่รายล้อมมันเอาไว้ส่องประกายแสงบริสุทธิ์ออกมาอย่างเข้มข้นแถมยังมีคลื่นสายฟ้ารายล้อมร่างของมันเอาไว้ทำให้กลิ่นอายของมันเพิ่มสูงขึ้นไปอีกขั้น
“ดีมากๆ ! ”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาโดยทันที
เป็นเพราะว่าแม้หลังจากที่ก่อสร้างมันขึ้นมาใหม่แล้วมันจะยังอยู่ในระดับอาวุธบรรพบุรุษทว่าพลังทำลายของมันเทียบได้พอๆกับอาวุธวิญญาณสมบัติเลยก็ว่าได้
เมื่อก่อสร้างมันขึ้นมาแล้วเขาก็อาบประกายแสงเจ็ดสีไปพร้อมๆกับมัน
บึ้สสส ~!
ประกายแสงเจิดจรัสส่องประกายออกมาขณะที่ตัวเจดีย์ส่งกลิ่นอายโกลาหลและคลื่นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์อันเข้มข้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
ดวงตาของหลินเทียนเปล่งประกายออกมาพร้อมทั้งพบว่าภายในพลังเหล่านั้นผสมผสานไปด้วยประกายแสงสีขาวบริสุทธิ์
มันเป็นพลังที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนแต่กลับศักดิ์สิทธิ์
“พลังแห่งความเชื่อ ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
สามปีมานี้เขาได้ใช้เซียนเซียนเผยแพร่คำสอนไปทั่วโลกทั้งใบทำให้ได้รับผู้ศรัทธามาเป็นจำนวนมากซึ่งพลังเหล่านั้นได้ถูกพลังโกลาหลปกป้องเอาไว้ทำให้แม้เจดีย์ราชันอมตะตะแหลกสลายหายไปแต่พลังแห่งความเชื่อก็ยังคงอยู่
“ด้วยพลังแห่งความเชื่อที่มีอยู่นี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการรับทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ศิลาหินเลยด้วยซ้ำ ”
เป็นเพราะว่าพลังความเชื่อนั้นมีอยู่อย่างเข้มข้นไม่ต่างกับมหาสมุทรดังนั้นเขาเชื่อว่ามันเพียงพอที่จะทำให้เขาสามารถรับมือกับทัณฑ์สวรรค์นี้ได้แม้จะไม่ได้ทำได้ง่ายๆเหมือนอย่างศิลาหินก็ตาม
เขาถอนหายใจออกมาก่อนที่หล่อหลอมร่างกายและเจดีย์ราชันอมตะต่อไปพร้อมๆกัน
ไม่นานหลังจากนั้นหมู่เมฆประกายแสงเจ็ดสีก็ได้สลายหายไปอย่างช้าๆ
ประกายแสงที่อาบร่างของเขาได้จางหายไปพลางกำหมัดลงเล็กน้อยพร้อมสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าซึ่งการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำลายห้วงมิติรอบข้างได้อย่างสบายๆ
ณ ตอนนี้หากว่าต้องเผชิญหน้ากับราชันวิหกอีกครั้งเขาก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างสบายๆ
เจดีย์ราชันอมตะส่องประกายแสงออกมาพร้อมทั้งหลอมรวมเข้ากับร่างของเขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเขาได้แหงนมองกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
“หลังจากที่ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าก็สามารถดึงเอาพลังจากหมู่ดาวมาหล่อหลอมร่างกายได้ทำให้มันอยู่ในระดับที่คงกระพันเพื่อตัดผ่านเขตแดนนิรันด์อมตะอย่างแท้จริง ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
เมื่อมองออกไปแล้วเขาได้นั่งขัดสมาธิลงเล็กน้อยพร้อมทั้งหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันเพื่อสื่อสารกับห้วงจักรวาลทำให้ประกายแสงสีเงินจากหมู่ดาวส่องประกายออกมา
ประกายแสงจากหมู่ดาวส่องประกายลงมาพร้อมทั้งไหลซึมเข้าไปภายในร่างของเขา
หลังจากนั้นเขาก็ได้ดูดกลืนมันเข้ามาหล่อหลอมร่างกายของตัวเอง
นี่ทำให้เลือดเนื้อทุกอณูของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมๆกับส่งถ่ายความร้อนออกมาเสมือนกำลังถูกแผดเผาอย่างบ้าคลั่ง
แม้กระทั่งมันทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในการเริ่มหล่อหลอมร่างกายในครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ
“เส้นทางการบ่มเพาะคือการหล่อหลอมร่างกายต่อๆไปจนท้ายที่สุดก็หล่อหลอมจนกลายเป็นนิรันด์ที่แท้จริง ”
เขาพึมพำออกมา
หลังจากที่ตั้งสติได้แล้วเขาก็ได้หมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันพร้อมทั้งดูดกลืนเอาพลังจากหมู่ดาวเข้าไปมหาศาล
“บึ้สสส ~! ”
ประกายแสงสีเงินห้อมล้อมร่างกายของเขาเอาไว้ขณะที่ร่างกายของเขาส่องประกายแสงสีทองออกมา
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปนานกว่าหนึ่งเดือน
หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เขาได้หยุดยั้งการดูดซึมพลังของเขาก่อนที่จะยืนกลับขึ้นมา
ณ ตอนนี้เขาสามารถสัมผัสได้เลยว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลายเท่าตัวและเพียงการกำหมัดเล็กน้อยก็ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัวแล้ว
นี่ทำให้เขาอดพยักหน้าอย่างมีความสุขไม่ได้เพราะการหล่อหลอมร่างกายด้วยพลังจากหมู่ดาวกว่าหนึ่งเดือนนี้มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมาก
“ถึงเวลาที่ต้องกลับไปแล้ว ”
เขาพูดออกมา
เป็นเพราะว่าเขาเองก็ก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์มาได้แล้วดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องอยู่ต่อแล้ว
เขาหันมองออกไปรอบๆพื้นที่ๆพังทลายไม่มีเหลือก่อนที่จะเหาะออกไปอยู่กลางห้วงอวกาศอย่างรวดเร็ว
มันเป็นห้วงจักรวาลอันมืดมิดทว่ากลับมีประกายแสงสีเงินระยิบระยับถูกส่งออกมาให้ความรู้สึกที่น่าหลงใหลอย่างมาก
เขาเหาะออกไปทางโลกอย่างรวดเร็ว
ณ ตอนนี้โลกมันไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่มากนักทว่ากลับไม่มีดาวดวงไหนที่เทียบเคียงความงดงามของมันได้เลยแม้แต่น้อย
หลินเทียนได้เหาะเข้าไปในโลกอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเข้าใกล้แล้วคิ้วของเขาถึงกับขมวดเข้าหากันเพราะเขาพบกับสถานการณ์บางอย่าง
เป็นเพราะว่าดาวเทียมที่อยู่ในวงโคจรทั้งหลายได้ถูกทำลายลงจนหมด
แถมยังหลงเหลือกลิ่นอายของพลังเทวะอยู่ด้วย
“ผู้บ่มเพาะเป็นคนทำลายมัน ”
คิ้วของเขาได้ขมวดเข้าหากันเพราะว่ามีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งมาเยือนโลกใบนี้แถมยังทำลายดาวเทียมเหล่านี้ ?
เขายืนอยู่ท่ามกลางอวกาศพร้อมทั้งแผดจิตสัมผัสอันเข้มข้นออกไปโดยที่ไม่พบกับกลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆพลางพุ่งลงไปยังโลกอย่างรวดเร็ว
มันเป็นตอนนี้เองที่สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปอีกครั้งเพราะพบว่าดาวเทียมที่ถูกทำลายไปนั้นมีกลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญหลงเหลืออยู่มากกว่าหนึ่งคน แถมยังแข็งแกร่งมากๆ
“มีผู้เชี่ยวชาญจากดินแดนอื่นรุกล้ำเข้าไปในโลก ? ”
คิ้วของเขายิ่งขมวดเข้าหากัน
เขาพุ่งผ่านอากาศออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งมุ่งหน้าไปยังสำนักนิรันด์อย่างไม่รอช้า
ตัวเขาไม่ได้ปิดบังกลิ่นอายอะไรแม้แต่น้อยทำให้เซียนเซียนและพยัคฆ์ขาวสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว
หลายๆคนที่เห็นว่าหลินเทียนกลับมาแล้วต่างแสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมาและตระหนักดีว่าเขาก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์ไปได้แล้ว
และมันเป็นตอนนี้เองที่สีหน้าของพวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงความเคร่งเครียดออกมา
“ท่านอาจารย์คะ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ภูเขาไท่ได้ถูกกองกำลังผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่แข็งแกร่งยึดไปทำให้มีผู้เสียชีวิตอยู่มากมาย ”
เซียนเซียนได้ส่งเสียงที่กระวนกระวายออกมา