Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1379
สำหรับเรื่องสมบัติสวรรค์ที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าเมื่อครั้งอดีตมันทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างมากเพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมากมายสังหารเพื่อแย่งชิงมันถึงขั้นที่ดวงดาวแทบจะแหลกสลายไปทั้งดวง
เขาได้แต่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะส่ายศีรษะพร้อมทั้งไม่ได้สนใจอะไรต่อเพราะว่าต่อให้สนใจไปก็ไม่สามารถคาดเดาได้อยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาดังนั้นถึงไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรด้วยซ้ำ
“ดินแดนนิรันดร์ ”
เขาได้แต่มองออกไปเบื้องหน้าและไม่ได้คิดจะก้าวข้ามไปเพราะว่ายังเป็นไปไม่ได้เนื่องจากอันตรายตรงหน้าที่เข้มข้นเกินไปถึงขั้นที่ว่าต่อให้เป็นเขตแดนอนันตกาลก็ไม่มีทางรับมือได้
เขายืนอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินกลับออกไป
เศษเสี้ยวกระบี่เทวะที่อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ก็ได้ผสานเข้ากับร่างของเขาไปแล้วทำให้เขาไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ทีนี่อีกต่อไป
เขาปกป้องร่างกายเอาไว้ด้วยอาวุธทั้งสองก่อนที่จะก้าวเดินกลับออกไปทางเก่าจนปรากฏตัวขึ้นหน้าภูเขาไท่อย่างรวดเร็ว
“ท่านอาจารย์ ! ”
เซียนเซียนและพยัคฆ์ขาวที่อยู่ด้านนอกและเห็นการกลับมาของเขาต่างรีบก้าวออกมาต้อนรับ
“ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
นางถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไร ”
หลินเทียนส่ายศีรษะตอบกลับไป
เซียนเซียนและพยัคฆ์ขาวที่เห็นเช่นนั้นเองก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่หมดห่วงออกมา
“แล้วสถานการณ์ภายในเป็นอย่างไรบ้าง ? เป็นดั่งที่ตำนานว่าเอาไว้จริงๆ ? ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วเซียนเซียนเองก็ได้แต่จ้องมองมาทางเขาด้วยสีหน้าที่รู้สึกสนใจไม่ต่างกัน
เพราะถึงอย่างไรตำนานที่ว่าเอาไว้คือมันเป็นเส้นทางไปยังดินแดนนิรันดร์
“ตำนานไม่ได้เป็นเรื่องโกหก ด้านหลังนั้นเป็นเส้นทางไปสู่ดินแดนนิรันดร์จริงๆแต่มันถูกทำลายลง ”
หลินเทียนพูดออกมา
เขาไม่ได้ปิดบังอะไรพร้อมทั้งอธิบายถึงสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นให้กับทั้งสองคน
แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของเศษเสี้ยวกระบี่เทวะ
“เป็นเส้นทางไปสู่ดินแดนนิรันดร์จริงๆงั้นรึ ”
พยัคฆ์ขาวพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เหม่อลอย
“น่าเสียดายที่มันถูกทำลายไปแล้ว ไม่เหลือคุณค่าอะไรอยู่อีกแล้ว ”
เซียนเซียนพูดออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเทียนแล้วพวกเขาก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจและผิดหวังออกมาพร้อมๆกับเพราะได้รู้ว่าเส้นทางในตอนนี้ได้ถูกทำลายไปแล้วทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้
“แล้วจะเอายังไงกับรอยแยกนี้ดีล่ะ ? ”
พยัคฆ์ขาวได้ถามออกมา
“ก็ผนึกมันอีกครั้ง ”
หลินเทียนตอบกลับไป
หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้ประสานมือเข้าหากันพร้อมทั้งสังเวยวงเวทย์หยินหยางทั้งหกชั้นขึ้นมาพลางโบกออกไปปกคลุมรอยแยกเหล่านั้นเอาไว้
หลังจากนั้นไม่นานรอยแยกก็ได้สลายหายไปขณะที่ท้องฟ้ากลับเป็นแบบเก่าอีกครั้ง
“ไม่คิดเลยว่าเส้นทางไปยังดินแดนนิรันดร์จะไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา
“หายไปก็ไม่เห็นเป็นอะไรเพราะมันไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถก้าวข้ามไปยังดินแดนนิรันดร์ได้ ”
หลินเทียนพูดออกมา
พวกเขาต่างยืนอยู่บนภูเขาไท่แห่งนี้และได้แต่มองลงไปยังพื้นที่ๆเต็มไปด้วยเลือดเจิ่งนองอยู่รอบทิศทาง
เป็นเพราะว่ามีผู้คนมากมายที่ตกตายลงที่นี่
“จิ้งจอกน้อย เจ้าจงไปแจ้งข่าวให้กับขุมพลังทั้งหลายว่าสถานที่แห่งนี้กลับสู่สภาวะปกติแล้ว”
หลินเทียนพูดออกมา
ช่วงหลายปีมานี้ขุมพลังสำนักนิรันด์ของเขาได้ก้าวขึ้นเป็นขุมพลังอันดับหนึ่งของโลกไม่ใช่เพียงแค่ด้านผู้บ่มเพาะแต่มันรวมถึงเส้นสายทั้งทางสังคมและทางทหาร
“ค่ะท่านอาจารย์ ”
เซียนเซียนตอบกลับ
หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมทั้งส่งมอบหน้าที่ให้กับคนอื่นๆส่วนตัวเองก็เดินลงจากภูเขาไป
“ท่านอาจารย์จะไปไหน ? ไม่กลับไปที่สำนัก ?”
เซียนเซียนถามออกมา
หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาพร้อมกับพูดว่า
“เที่ยวไปเรื่อย อีกสักพักข้าจะกลับไป ”
เซียนเซียนได้ตอบรับกลับมาและได้แต่มองไปยังร่างของหลินเทียนที่ค่อยๆเดินจากไปจนจางหายไปพลางหันมองไปทางพยัคฆ์ขาวแล้วเริ่มจัดการสิ่งต่างๆ
“อ่อใช่ เราสามารถแปลงภาพจิตสัมผัสตอนที่ท่านอาจารย์ต่อสู้ลงภายในอุปกรณ์ไฟฟ้าเพื่อใช้มันในการเพิ่มความน่าเลื่อมใสของสำนักเรา ”
ดวงตาของเซียนเซียนเปล่งประกายออกมาโดยทันที
ในตอนนี้แม้ว่านางจะเป็นผู้บ่มเพาะก็จริงทว่านางก็เป็นคนยุคใหม่ดังนั้นถึงได้เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีเป็นอย่างดี
“เป็นความคิดที่ดีเพราะถึงอย่างไรผู้คนทั้งหลายก็เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องภูเขาไท่นี่ หากว่ารู้ว่าเจ้าหนูหลินได้สังหารศัตรูตัวร้านทั้งหลายลงได้แล้วผู้ศรัทธาคงมีเพิ่มมากขึ้นแน่ๆ ”
พยัคฆ์ขาวได้ส่งเสียงออกมา
แม้ว่ามันไม่ได้เกิดในยุคนี้ทว่าหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่หลายปีก็เริ่มปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้
“ข้าฉลาดจริงๆเลย ”
ดวงตาของเซียนเซียนส่องประกายออกมา
นางและพยัคฆ์ขาวต่างพากันรีบออกเดินทางไปอย่างรวดเร็ว
…………..
หลินเทียนที่กลับออกมาจากภูเขาไท่เองก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาคุนหลุนอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้แจ้งข่าวให้กับคนของขุนเขาทว่ากลับก้าวขึ้นไปเพื่อสัมผัสถึงเสน่ห์ของมัน
“ไม่ได้ด้อยไปกว่าภูเขาไท่เลย ”
เขาใช้เวลาอยู่กับสถานที่แห่งนี้อยู่นานหลายวันเพื่อสัมผัสถึงเสน่ห์ของมัน
“หากว่าไม่ได้เกิดสงครามขึ้นแล้วภูเขาคุนหลุมนี่มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน ? น่าจะยิ่งใหญ่พอๆกับโลกทั้งใบ ? ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
ตัวเขายังคงนั่งอยู่นานพร้อมทั้งหลับตาลงเพื่อสัมผัสถึงเสน่ห์ของมันพลางหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันเพื่อดูดกลืนพลังจากหมู่ดาวเข้ามาผสานกับเสน่ห์ของมันทำให้ร่างกายของเขาสั่นไหวพร้อมๆกับกลิ่นอายที่พุ่งสูงขึ้นๆ
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน
ครึ่งเดือนมานี้เขาได้ลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะผสานเสน่ห์ของคุนหลุนเข้ากับร่างอย่างสมบูรณ์ทำให้ร่างกายและพลังของเขาเพิ่มสูงขึ้นไปอีกระดับ
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาก่อนที่จะหันมองไปเล็กน้อยแล้วก้าวออกไป
“ขุนเขาเพ็งไล่ ขุนเขาหลูฉาน ขุนเขา……..”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเองก่อนที่จะเริ่มการออกเดินทางไปยังภูเขาถัดไป
ดาวดวงนี้ได้ชื่อว่าเป็นดาวจักรพรรดิทางช้างเผือกอันโด่งดังซึ่งภูเขาอันโด่งดังมากมายล้วนแล้วแต่คงอยู่มาจากยุคบรรพกาลดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะไปดูดซับเสน่ห์ของพวกมัน
ไม่นานเขาก็ได้ไปถึงภูเขาเพ็งไล่พร้อมทั้งก้าวเดินออกไปก่อนที่จะนั่งทำสมาธิเพื่อดูดกลืนเสน่ห์ของมันกว่าครึ่งเดือนแล้วจากไปโดยที่ไม่ได้แจ้งใคร
หลังจากนั้นไม่นานก็มุ่งหน้าต่อไปยังภูเขาหยิงจ้าวและต่อๆไปเพื่อเรียนรู้เสน่ห์ของมันทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นไปอีก
และระหว่างที่เขากำลังออกเดินทางไปยังภูเขาต่างๆนั้นเซียนเซียนก็ได้เผยแพร่ภาพการต่อสู้ของเขาไปยังทั่วทั้งโลกทำให้จำนวนผู้ศรัทธาเพิ่มสูงขึ้นไปอีกถึงขั้นที่ก้าวข้ามขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างรวดเร็วและได้ชื่อว่าเป็นราชันอมตะที่อยู่ท่ามกลางจิตใจของผู้คนทั้งโลก
ช่วงแรกเขาเองก็รู้สึกประหลาดใจไปกับพลังที่ไหลท่วมเข้ามาก่อนที่จะตระหนักได้ถึงการกระทำของเซียนเซียนและอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
“เป็นจิ้งจอกน้อยที่มีไหวพริบจริงๆ ”
เขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นก็ทำการนั่งขัดสมาธิลงไปเพื่อสัมผัสถึงเสน่ห์ของภูเขาต่อไป
ไม่นานเขาก็ได้ก้าวออกมาจากภูเขาลูกหนึ่งก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังขุนเขาที่โด่งดังอื่นๆ
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกกว่าสองปี
“ตู้มม ~! ”
มันเป็นตอนนี้เองที่คลื่นพลังอันหนักหน่วงได้ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
หลังจากนั้นเองที่หลินเทียนได้พุ่งขึ้นมาจากก้นมหาสมุทรแปซิฟิกด้วยร่างกายที่อาบไปด้วยประกายแสงสีทองอร่าม
“เขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าตอนกลาง ”
สองปีมานี้เขาใช้เวลาอยู่กับการเรียนรู้ถึงเสน่ห์ต่างๆของภูเขาเทวะทั้งหลายผสานกับพลังแห่งความเชื่อที่ทำให้เขาตัดผ่านเขตแดนนี้มาได้
เขาก้าวเดินออกไปด้วยสายตาที่เปล่งประกายออกมา
“ถึงเวลาต้องออกเดินทาง ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง