Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1397
เป็นเพราะหลินเทียนกลับเลือกที่จะเก็บอาวุธกลับไปทั้งๆที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีผสานของอาวุธวิญญาณสามชิ้นในมือของนิรันดร์อมตะถึงสามคนนี่ทำให้ผู้คนโดยรอบแม้กระทั่งเหลาเหลาเองก็ยังผงะไป
“ล้มเลิกความคิดที่จะต่อต้านแล้วยื่นคอขึ้นเขียงด้วยตัวเอง ? ”
ฟานเจิ้งเย่ได้แสยะออกมา
“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าง่ายๆหรอก นิกายของเรามีวิธีการทรมานอยู่มากมายนับไม่ถ้วนแต่ข้าจะให้เข้าได้เผชิญหน้ากับการทรมานที่ร้ายแรงที่สุด ! ”
ผู้อาวุโสใหญ่นิกายไท่หลิงส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมา
ผู้อาวุโสที่สองไม่ได้พูดอะไรออกมาและทำเพียงแต่กดทับอาวุธวิญญาณของเขาเข้าใส่ด้วยสีหน้าที่เย็นยะเยือกอย่างมาก
ทันใดนั้นเองที่มีเสียงระเบิดถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่พลังทำลายถูกส่งเข้ามาจากสามทิศทาง
คลื่นพลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัวได้กดทับเข้าใส่อย่างรุนแรง
“ตาย ตาย ไม่ไหวแน่ๆ ! ”
ผู้เชี่ยวชาญหลายๆคนพากันส่ายศีรษะของพวกเขา
เป็นเพราะการโจมตีระดับนี้มันไม่มีทางที่จะรับมือได้อย่างแน่นอน
เหลาเหลาได้แต่แสดงสีหน้าที่กังวลออกมาถึงขั้นที่ใบหน้าเปลี่ยนสีไปทันที
หลังจากนั้นเองที่คลื่นพลังอันหนักหน่วงได้เข้าประชิดร่างของหลินเทียนอย่างรวดเร็ว
“ข้าทนรอที่จะได้ยินเสียงเจ้ากรีดร้องโหยหวนไม่ไหวแล้วสิ ”
ฟานเจิ้งเย่ส่งเสียงแสยะออกมา
หลินเทียนหันมองออกไปพร้อมกับพูดว่า
“เจ้าเพ้อฝันเกินไปหน่อยนะ ”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีเหล่านี้แล้วสีหน้าของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยก่อนที่ร่างกายของเขาจะเปล่งประกายแสงพร้อมปรากฏศิลาหินที่ส่องแสงเจิดจรัสขึ้นมาอยู่เหนือศีรษะของเขา
“ฟึ้บบ ~! ”
ประกายแสงอันเข้มข้นได้บดขยี้พลังทำลายล้างจากรอบทิศทางโดยทันที
“เป็นไปไม่ได้ ! ”
สีหน้าของฟานเจิ้งเย่ถึงกับเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”
ผู้อาวุโสทั้งสองคนเองก็มีสีหน้าที่ไม่ต่างกัน
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่โดยรอบได้แต่ผงะไป
การโจมตีผสานของนิรันดร์อมตะสามคนกลับถูกหลินเทียนทำลายลง
ท้ายที่สุดสายตาของพวกเขาก็ได้หยุดอยู่ที่ศิลาหินเหนือศีรษะของหลินเทียน
ศิลาหินนี้รายล้อมไปด้วยอักขระลึกลับมากมายส่องประกายแสงศักดิ์สิทธิ์อันเข้มข้นออกมาห่อหุ้มร่างกายของหลินเทียนเอาไว้
“อาวุธ……อนันตกาล ! ”
หลายๆคนอดส่งเสียงโห่ร้องออกมาไม่ได้
นี่ทำให้สีหน้าของผู้คนโดยรอบพากันเปลี่ยนไปอีกครั้ง
อาวุธอนันตกาลนั้นทรงพลังถึงขั้นที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดภายใต้อาวุธนิรันดร์แท้จริง
“นี่เจ้านี่มีแม้กระทั่งอาวุธระดับนี้ ?! ”
เหลาเหลาได้แต่ผงะไปพร้อมๆกับความกังวลที่สลายหายไป
ศิลาหินเหนือศีรษะของหลินเทียนนั้นคือศิลาหินที่ผุดออกมาจากใต้ภูเขาไท่บนโลกซึ่งเป็นอาวุธอนันตกาลตอนปลายที่สามารถช่วยเขารับทัณฑ์สวรรค์ได้ง่ายง่ายดายดังนั้นการสังเวยมันออกมาในตอนนี้ถึงได้ทำให้มิติโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวอย่างฉับพลัน
“เจ้ามีสมบัติระดับนี้อยู่ด้วยงั้นรึ ! ”
ผู้อาวุโสใหญ่นิกายไท่หลิงส่งเสียงกัดฟันออกมา
“ระยำเอ้ย ! ”
ผู้อาวุโสที่สองเองก็มีสีหน้าที่น่าเกลียดอย่างมาก
พวกเขานั้นเป็นถึงคนของขุมพลังที่สืบเชื้อสายกันมาอย่างยาวนานและได้ชื่อว่าเป็นขุมพลังระดับ 2 ในหมู่ดาวนี้ทว่าอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลพวกเขายังเป็นเพียงแค่อาวุธอนันตกาลตอนกลางทว่าหลินเทียนกลับครอบครองอาวุธอนันตกาลตอนปลายนี่มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก
แม้กระทั่งฟานเจิ้งเย่เองก็มีสีหน้าที่น่าเกลียดไม่น้อยไปกว่ากันเพราะว่าเขาที่เป็นถึงน้องชายของผู้นำตระกูลที่แข็งแกร่งยังถือครองได้เพียงแค่อาวุธวิญญาณตอนปลายเท่านั้นทว่าหลินเทียนที่ดูไม่มีเบื้องหลังอะไรกลับถือครองอาวุธอนันตกาลตอนปลายนี่มันเป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกโดยทันที
บึ้สส ~!
ประกายแสงเจิดจรัสแผดออกไปรอบทิศทาง
ศิลาหินเหนือศีรษะของหลินเทียนได้ส่องประกายแสงออกมาก่อนที่จะโถมเข้าใส่ทางพวกเขาทั้งสามคน
“พวกเจ้าคงสนุกกับการรุมข้ามากสินะ ”
เขาส่งเสียงออกมา
ด้วยระดับพลังของเขาแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับมือทั้งสามคนพร้อมๆกันแต่เมื่อมีอาวุธอนันตกาลอยู่ในมือแล้วมันต่างกันออกไป
เขาก้าวออกไปก่อนที่ศิลาหินเหนือศีรษะจะแผดคลื่นพลังออกไปซัดเข้าใส่ทางทั้งสามคน
“อย่าคิดว่ามีอาวุธอนันตกาลแล้วจะเอาชนะเราได้ ! ”
ผู้อาวุโสใหญ่นิกายไท่หลิงส่งเสียงออกมาอย่างดัง
“ฆ่า! ”
ผู้อาวุโสที่สองส่งเสียงออกมา
พวกเขาล้วนส่งถ่ายพลังอันแข็งแกร่งลงไปภายในอาวุธของตัวเองก่อนที่จะสังเวยทักษะเทวะอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ฟานเจิ้งเย่เองก็ซัดเตาพลังวิญญาณเข้าใส่ทางหลินเทียนเช่นเดียวกัน
การโจมตีจากทั้งสามทิศทางเพิ่มแรงกดดันเข้าไปกว่าหลายเท่าตัว
มันส่งผลให้มิติโดยรอบถึงกับสั่นไหวอย่างต่อเนื่องเสมือนว่ากำลังจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ
หลินเทียนที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับการโจมตีเหล่านี้ทำเพียงแค่แผดคลื่นพลังออกไปจากศิลาหินพร้อมทั้งขจัดการโจมตีทั้งหลายลงอย่างง่ายดาย
สิ่งเหล่านี้ทำให้สีหน้าของทั้งสามคนเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะว่าการโจมตีของพวกเขากลับถูกทำลายลงได้ง่ายๆแบบนี้
หลินเทียนก้าวออกไปก่อนที่ประกายแสงจากศิลาหินจะบีบอัดเข้าใส่กำปั้นของเขา
หลังจากนั้นเขาก็ได้เหวี่ยงหมัดจักรพรรดิโกลาหลออกไปอย่างไม่รอช้า
“ตู้มม ! ”
“ตู้ม ! ”
“ตู้มม ~~! ”
ฟานเจิ้งเย่และคนอื่นๆถูกกระแทกปลิวออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือดโดยทันที
นี่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่โดยรอบได้แต่พากันผงะไปเพราะว่านิรันดร์อมตะสามคนกลับได้รับบาดเจ็บภายในชั่วพริบตา
“นี่คือพลังของอาวุธอนันตกาล ? ขนาดอยู่ในมือของจักรพรรดิว่างเปล่ายังแข็งแกร่งขนาดนี้ ! ”
“พูดผิดแล้ว นี่ไม่ใช่จักรพรรดิว่างเปล่าธรรมดาๆเสียหน่อย ! ”
“ใช่แล้ว แม้ว่าจะอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าเท่านั้นแต่ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่านิรันดร์อมตะตอนต้นเลยด้วยซ้ำ ”
หลายๆคนส่งเสียงออกมา
วิหกเพลิงที่อยู่ห่างออกไปและกำลังปกป้องลูกนกน้อยทั้งสามเอาไว้เองก็มีสีหน้าที่ประหลาดใจไม่ต่างกัน
“กระทืบมันเลย ! ”
เหลาเหลาส่งเสียงออกมาอย่างดัง
เป็นเพราะเมื่อคิดถึงช่วงที่หลินเทียนได้รับอันตรายก่อนหน้านี้แล้วทว่าตอนนี้กลับเป็นฝ่ายสร้างความเสียหายให้อีกฝ่ายได้มันทำให้นางตื่นเต้นอย่างมาก
หลินเทียนที่กำลังควบคุมศิลาหินอยู่ได้ส่งมันกดทับเข้าใส่ทางทั้งสามคนโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย
ตู้มม ~!
คลื่นพลังอันหนักหน่วงได้ขย้ำเข้าใส่ร่างของพวกเขา
ฟานเจิ้งเย่และคนอื่นๆได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาพร้อมทั้งรีบโบกอาวุธวิญญาณในมือออกไปรับเอาไว้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาวุธอนันตกาลตอนปลายแล้วอาวุธในมือของพวกเขามันดูไร้ความสามารถไปโดยทันที
หลินเทียนหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันเพื่อส่งถ่ายพลังให้กับศิลาหินทำให้มันส่งคลื่นพลังออกมาอย่างต่อเนื่อง
คลื่นพลังเป็นระลอกๆถูกส่งออกมาอัดเข้าใส่ร่างของทั้งสามคนด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว
พุฟ !
พุฟ !
พุฟฟ !
ร่างของทั้งสามคนระเบิดออกโดยทันที
หมอกเลือดฟุ้งกระจายอยู่ท่ามกลางม่านฟ้า
“ระยำเอ้ย ! ”
เสียงกู่ร้องถูกส่งออกมาจากดวงวิญญาณของทั้งสามคนก่อนที่ร่างของพวกเขาจะก่อตัวขึ้นอีกครั้งพลางจ้องเขม็งไปทางหลินเทียนด้วยสายตาที่โกรธจัด
หลินเทียนไม่ได้สนใจอะไรก่อนที่จะโบกศิลาหินเข้าใส่ทางทั้งสามคนอย่างต่อเนื่อง
ตู้มม ! คลื่นพลังทำลายอันหนักหน่วงที่ทำให้ทั้งสามคนได้แต่รู้สึกขนหัวลุกนี้ส่งผลให้พวกเขาต่างพากันรีบพุ่งถอยกลับไปอย่างไม่รอช้า
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ก็ยังไม่สามารถหลบได้พ้นก่อนที่ร่างของพวกเขาทั้งสามคนจะถูกกระแทกปลิวออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือด
ตู้มมม ~!
ทั้งสามคนส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่คลื่นพลังอันเข้มข้นปะทุออกมาเพื่อรักษาบาดแผลภายในร่าง
“ฆ่า ! ”
ทั้งสามคนยังคงส่งเสียงกู่ร้องอย่างดังพร้อมทั้งสังเวยทักษะอันทรงพลังออกมา
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นเช่นนั้นทว่าอาวุธอนันตกาลในมือของหลินเทียนมันแข็งแกร่งเกินไปทำให้อาวุธวิญญาณของพวกเขาถูกกระแทกออกไปไกลพร้อมๆกับคลื่นพลังที่อัดเข้าใส่ร่างของพวกเขาอย่างจังทำให้ร่างกายของพวกเขาแหลกสลายหายไปอีกครั้ง
“นี่มัน…. น่ากลัวเกินไปแล้ว ! ”
เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างพากันสั่นสะท้านไปตามๆกัน
“สุดยอดไปเลย ! ”
ดวงตาของเหลาเหลาเปล่งประกายออกมา
มิติโดยรอบส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขณะที่คลื่นพลังอันหนักหน่วงได้ปะทุออกมาจากร่างของทั้งสามคนพร้อมๆกับก่อสร้างกายหยาบขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งสามคนกัดฟันเอาไว้แน่นด้วยสีหน้าที่น่าเกลียดเป็นอย่างมากก่อนที่จะหันหลังพุ่งหนีไป
พวกเขาตระหนักดีว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธของหลินเทียนแล้วพวกเขาไม่สามารถต่อกรได้
“อย่าหวังเลยว่าจะหนีไปได้ ”
หลินเทียนส่งเสียงอันราบเรียบออกมา
เป็นเพราะเขาไม่มีทางปราณีศัตรูของตัวเองเด็ดขาด
เขาก้าวออกไปก่อนที่จะสร้างม่านพลังขนาดใหญ่กดทับเข้าใส่ทางทั้งสามคนพร้อมๆกับส่งคลื่นกระบี่อันทรงพลังเข้าใส่อย่างไม่รอช้า
“เจ้า….”
“พุฟฟ ! ”
“พุฟ ! ”
“พุฟฟ ! ”
เลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่ร่างกายของทั้งสามคนระเบิดออกเป็นชิ้นๆ
“อ๊ากก ~! ”
ทั้งสามคนส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังก่อนที่ร่างกายของพวกเขาจะก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามวินาทีที่พวกเขาได้ก่อสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่นั้นคลื่นกระบี่อันทรงพลังก็ได้บดขยี้ร่างของพวกเขาไปอีกครั้ง
“ระยำเอ้ย ! ”
พวกเขาส่งเสียงกู่ร้องออกมาด้วยความโกรธขณะที่ร่างกายพยายามก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง
หลินเทียนยังคงมีสีหน้าที่ราบเรียบระหว่างที่เขาพุ่งเข้าใส่ทางผู้อาวุโสที่สองอย่างรวดเร็ว
อีกฝ่ายที่กำลังก่อสร้างร่างกายขึ้นมากว่าครึ่งแล้วพบว่าหลินเทียนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ได้แต่ใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปทันที
“เจ้า….”
“ตาย ! ”
หลินเทียนส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาก่อนที่จะหมุนวนพลังถึงขีดสุดพร้อมทั้งกดทับศิลาหินเข้าใส่
พริบตานี้เองที่คลื่นพลังทำลายได้โอบร่างของผู้อาวุโสที่สองเอาไว้อย่างสมบูรณ์
อีกฝ่ายเองก็พยายามต่อต้านโดยการสังเวยทักษะเทวะอย่างสุดกำลัง
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นได้เพียงความพยายามที่เปล่าประโยชน์เพราะว่าพลังทำลายของอาวุธอนันตกาลตอนปลายนั้นแม้หลินเทียนจะไม่ได้ใช้ทักษะเทวะเขตแดนอนันตกาลแต่ทว่ามันก็ทรงพลังมากพอที่จะบดขยี้การป้องกันของผู้อาวุโสที่สองลงได้ง่ายๆ
“ไม่นะ เมตตา ~~~~ ”
“พุฟฟ ! ”
กองเลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางก่อนที่ร่างของผู้อาวุโสที่สองจะระเบิดออกไปพร้อมๆกับดวงวิญญาณที่สูญสิ้น