Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1398
เลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่ร่างกายและดวงวิญญาณของผู้อาวุโสที่สองได้แหลกสลายหายไป
ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนนิรันดร์อมตะกลับตกตายลงเยี่ยงนี้
“ไอ้ชาติชั่ว ! ”
เสียงคำรามถูกส่งออกมาจากทางผู้อาวุโสใหญ่ขณะที่เขาได้ก่อสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพราะนับจนถึงตอนนี้แล้วพวกเขาได้สูญเสียกึ่งนิรันดร์อมตะไปกว่าเจ็ดคน หลานชายของผู้อาวุโสสูงสุดและนิรันดร์อมตะอีกคน !
หากว่านับรวมตัวตนระดับนิรันดร์อมตะทั้งนิกายแล้วพวกเขามีเพียงแค่สี่คนเท่านั้นแต่ตอนนี้กลับต้องสูญเสียไปหนึ่งคน !
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ฟานเจิ้งเย่ได้ก่อสร้างร่างกายของเขากลับขึ้นมาด้วยสายตาที่ดุร้ายถึงขีดสุด
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาอย่างไม่สนใจอะไรก่อนที่ศิลาหินจะส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมา
ตู้มม ~!
เสียงระเบิดถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่มิติโดยรอบแหลกสลายหายไป
เขาได้สังเวยเพลงกระบี่ศุกลสวรรค์ออกมาโอบร่างของผู้คนทั้งหมดเอาไว้โดยทันที
มันเป็นคลื่นกระบี่ที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างถึงขั้นสามารถบดขยี้เขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าได้ง่ายๆ
ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองคนถึงกับบิดเบี้ยวเป็นอย่างมากเพราะพวกเขาไม่กล้าประมาทการโจมตีอันรุนแรงของหลินเทียนแม้แต่น้อยก่อนที่จะสังเวยทักษะที่ทรงพลังออกไปต้านเอาไว้
ตู้มม ~!
ตู้มม ~!
คลื่นกระบี่สีทองพุ่งผ่านอากาศออกไปบดขยี้การป้องกันของพวกเขาพร้อมทั้งกระแทกร่างของทั้งสองคนปลิวออกไปไกล
หลินเทียนก้าวออกไปก่อนที่จะผสานพลังกับศิลาหินเพื่อส่งคลื่นกระบี่มากมายรุมขย้ำทั้งสองอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างนี้ตัวเอาก็ได้ลบล้างตราประจับของตราสมบัติอาวุธวิญญาณของผู้อาวุโสที่สองไปแล้วเก็บกลับเข้าไปในร่างของเขา
แกร๊ง
แกร๊ง
แกร๊ง
เสียงกระบี่คำรามถูกส่งอย่างต่อเนื่องขณะที่คลื่นกระบี่พุ่งเข้าใส่จากรอบทิศทาง
แม้ว่าทั้งสองคนจะแข็งแกร่งมากแถมยังถือครองอาวุธวิญญาณก็จริงทว่าก็ยังไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย อาวุธวิญญาณของพวกเขาล้วนถูกกระแทกปลิวออกไปขณะที่ร่างกายของพวกเขาแหลกสลายหายไป
“นี่มัน…..แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ”
“ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนนิรันดร์อมตะไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยด้วยซ้ำ ! นี่….อย่างน้อยๆก็มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนนิรันดร์อมตะที่ถือของอาวุธอนันตกาลเท่านั้นถึงจะต่อต้านได้ ”
“นี่….”
หลายๆคนส่งเสียงออกมา
พลังเทวะอันหนักหน่วงกวาดออกไปไม่หยุดส่งผลให้ภูเขาใหญ่หลายลูกถล่มลงมาเนื่องจากไม่สามารถรับพลังทำลายของการปะทะกันได้
ตู้มม !
ตู้ม !
ร่างกายของฟานเจิ้งเย่และผู้อาวุโสใหญ่ได้ถูกกระแทกปลิวออกไปด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือดอีกครั้ง
หลินเทียนยังคงมีสีหน้าที่ราบเรียบขณะที่ก้าวออกไปพร้อมทั้งสังเวยการโจมตีทรงพลังที่สุดออกมาสร้างเป็นแรงกดดันอันหนักหน่วงไม่ต่างจากห้วงจักรวาลกดทับเข้าใส่ทั้งสองคนตรงหน้า
นี่คือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา !
วิ้สสส ~!
มันเป็นตอนนี้เองที่เสียงพุ่งผ่านอากาศถูกส่งออกมาอย่างดัง
เตาพลังวิญญาณของฟานเจิ้งเย่ได้พุ่งเข้าใส่ทางเขาด้วยความเร็วที่สูงถึงขีดสุด
พริบตานี้เองที่มันได้ส่องประกายเจิดออกมาพร้อมๆกับกลิ่นอายที่ปั่นป่วนอย่างมาก
กลิ่นอายทำลายล้างกวาดออกมาโอบร่างของหลินเทียนเอาไว้
“นี่มัน ?! เขาคิดจะ..ให้อาวุธวิญญาณทำลายตัวเอง ?! ”
ผู้คนโดยรอบได้แต่ผงะไป
มันเป็นเพราะว่าการทำลายตัวเองของอาวุธวิญญาณนั้นทรงพลังถึงขั้นสามารถเป็นอันตรายต่อนิรันดร์อมตะตอนกลางเลยก็ว่าได้
แน่นอนว่าสีหน้าของหลินเทียนเองก็เปลี่ยนไปเช่นกันเพราะเขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายถึงขั้นยอมทำลายอาวุธของตัวเองในตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถเบี่ยงหลบได้ทัน
“คิดว่ามีอาวุธอนันตกาลตอนปลายแล้วจะสามารถเอาชนะได้ ? อวดดีนักนะ ! การต่อสู้นี้มันวัดกันที่ความแข็งแกร่งและประสบการณ์ แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งไม่น้อยแต่ยังด้อยประสบการณ์นัก ! ”
ฟานเจิ้งเย่ส่งเสียงออกมาพลางพูดต่อว่า
“ตอนนี้ก็ตายๆไปซะแล้วศิลาหินนั่นจะต้องเป็นของข้า ! ”
เขาแอบส่งอาวุธวิญญาณของตัวเองเข้าใกล้หลินเทียนเพื่อให้มันระเบิดตัวเองทำให้หลินเทียนไม่สามารถสังหารพวกเขาได้แถมยังเป็นเพราะว่ารัศมีทำลายล้างที่อยู่ระยะประชิดทำให้หลินเทียนไม่สามารถป้องกันได้ทันดังนั้นด้วยการระเบิดครั้งนี้มันเพียงพอที่จะลบล้างได้แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเขตแดนนิรันดร์อมตะตอนกลางเลยก็ว่าได้
แม้ว่าหลินเทียนจะแข็งแกร่งมากแต่ด้วยพลังทำลายระดับนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรอดกลับมาได้และหลังจากที่หลินเทียนตกตายลงแล้วศิลาหินก็จะกลายเป็นของเขาดังนั้นการที่ต้องเสียสละอาวุธวิญญาณไปก็ยังถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอยู่ดี
แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องที่จะจับหลินเทียนเป็นๆเพื่อส่งมอบให้นิกายไท่หลิงเอากลับไปทรมานอีกต่อไปแล้ว
ตู้มมม ~!
มิติโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่จะเกิดเป็นคลื่นพายุทำลายล้างขนาดใหญ่ลบล้างทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในรัศมีของมันโดยไม่หลงเหลือกลิ่นอายของหลินเทียนเอาไว้แม้แต่น้อย
นี่ทำให้สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายเปลี่ยนไปโดยทันที
“หลินเทียน ! ”
เหลาเหลาที่อยู่ห่างออกไปถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากพร้อมทั้งอดส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่ได้
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบกับหลุมลึกขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถมองเห็นก้นหลุมได้แถมกลางอากาศยังเต็มไปด้วยเศษฝุ่นที่บดบังทัศนวิสัย
“ตายแล้ว ? ”
ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปได้แต่จ้องมองออกไปเพราะไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของหลินเทียนได้แม้แต่น้อย
“นั่นน่ะเป็นทักษะทำลายตัวเองของตระกูลข้า โดนไประยะประชิดขนาดนั้นแล้วมันจะรอดได้อย่างไรกัน ? ”
ฟานเจิ้งเย่ได้ส่งเสียงแสยะออกมาเพราะไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของหลินเทียนได้อีกต่อไปทำให้สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ศิลาหินที่อยู่กลางอากาศพลางพูดต่อว่า
“อาวุธอนันตกาลนั่นเป็นของข้า ! ”
เป็นเพราะว่ามูลค่าของมันนั้นไม่สามารถประเมินค่าได้ !
แกร๊ง !
เสียงกระบี่คำรามถูกส่งออกมาจากภายในกลุ่มหมอกอย่างดัง
พุฟฟ ! แขนของฟานเจิ้งเย่ที่กำลังยื่นเข้าหาศิลาหินได้ขาดสะบั้นโดยทันที
นี่ทำให้กลุ่มคนได้แต่พากันหันมองกลับไปยังทิศทางที่คลื่นกระบี่ถูกส่งออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เมื่อฝุ่นได้สลายหายไปแล้วมันเผยให้เห็นเจดีย์ที่ส่องประกายแสงสีม่วงโอบร่างของหลินเทียนเอาไว้อย่างเข้มข้น
“นี่ยัง..ไม่ตายอีก แถมยังไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ! ”
กลุ่มคนพากันส่งเสียงออกมา
หลังจากนั้นเองที่สายตาของพวกเขาได้พากันหันมองออกไปยังเจดีย์เหนือศีรษะของหลินเทียนที่ส่องประกายแสงสีม่วงอันเข้มข้นออกมาด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน
“นั่นมัน..กลิ่นอายโกลาหล ?! ”
“นี่มัน……กลิ่นอายโกลาหลจริงๆ ! แถมยังเข้มข้นมากๆ ! มันเหมือนกลิ่นอายที่ส่งออกมาจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาลในตำนานไม่มีผิด ! ”
“คริสตัลโกลาหลบรรพกาล ?! ”
“นี่เขา……..ค้นพบมัน ?! แถมยังเอามาหลอมเป็นเจดีย์สมบัติ ?! ”
“นี่มัน….”
ผู้เชี่ยวชาญพากันส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะว่ามันสามารถวิวัฒนาการตัวเองได้อย่างไร้ขีดจำกัดแถมยังไม่สามารถทำลายได้ดังนั้นถึงได้ชื่อว่าเป็นตัวอ่อนของอาวุธเทวะเลยก็ว่าได้ !
สมบัติระดับนี้ขนาดผู้เชี่ยวชาญในตำนานเองก็ยังต้องอิจฉาตาร้อน !
เหลาเหลาที่เห็นว่าหลินเทียนยังอยู่ดีเองก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่มีความสุขและตกตะลึงออกมาพร้อมๆกัน
“เจ้านี่มีสมบัติระดับนี้อยู่ด้วย ?! ที่กลิ่นอายหายไปก็เป็นเพราะม่านพลังโกลาหลที่เจดีย์นั่นสร้างขึ้น ? ”
นางได้แต่มองออกไปด้วยสายตาที่ประหลาดใจ
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ฟานเจิ้งเย่และผู้อาวุโสใหญ่เองก็ได้แต่สั่นสะท้านไป
“นี่เจ้า…….”
ฟานเจิ้งเย่ได้ก่อสร้างแขนขึ้นมาใหม่ขณะที่จับจ้องไปทางหลินเทียนด้วยความโกรธและอิจฉาเพราะไม่คิดเลยว่านอกจากจะถือครองอาวุธอนันตกาลตอนปลายแล้วหลินเทียนยังมีแม้กระทั่งอาวุธที่สร้างขึ้นจากสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีมูลค่ามากกว่าอาวุธอนันตกาลตอนปลายหลายเท่าตัว !
หลินเทียนหันมองออกไปด้วยสีหน้าที่ราบเรียบและเป็นเพราะว่าการระเบิดตัวเองอย่าไม่คาดคิดของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่สามารถดึงเอาศิลาหินกลับมาปกป้องตัวเองได้ทันดังนั้นถึงได้ต้องสังเวยเอาเจดีย์ราชันอมตะออกมา
นี่คืออาวุธที่แข็งแกร่งอย่างมากทำให้เขาเชื่อว่ามันจะต้องสามารถรับมือกับการทำลายตัวเองได้อย่างแน่นอน
“เจ้าเองก็แข็งแกร่งไม่น้อยแต่ยังด้อยประสบการณ์นัก ”
หลินเทียนหันมองออกไปทางฟานเจิ้งเย่ก่อนที่จะพูดออกมา
หลังจากนั้นเขาก็ได้โบกมือส่งเจดีย์ราชันอมตะกดทับเข้าใส่อีกฝ่ายโดยทันที
ตู้มม ~!
กลิ่นอายโกลาหลอันทรงพลังได้ปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่ง
พลังทำลายอันหนักหน่วงได้โอบล้อมมิติโดยรอบทั้งหมดเอาไว้
ฟานเจิ้งเย่ได้แต่แสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นพร้อมทั้งสังเวยทักษะเทวะออกมาป้องกันเอาไว้
หลินเทียนแสยะออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาพลางส่งถ่ายพลังงานออกไปทำให้กลิ่นอายทำลายล้างพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
ฟึ้บบ ~!
มันเป็นตอนนี้เองที่ทักษะทั้งหมดของอีกฝ่ายได้แหลกสลายหายไป
หลังจากนั้นคลื่นพลังทำลายที่หนักหน่วงก็ยังคงกดทับเข้าใส่ร่างของฟานเจิ้งเย่อย่างไม่ปราณี
ฟานเจิ้งเย่ที่มีสีหน้าหวาดหวั่นและสัมผัสได้ถึงความอันตรายนี้ได้แต่ส่งเสียงโห่ร้องออกมาว่า
“ไม่นะ ! หยุด ~~~ ! ”
หลินเทียนยังคงจ้องมองออกไปด้วยสีหน้าที่ราบเรียบก่อนที่จะส่งเสียงออกมาว่า
“ตาย ”
สิ้นเสียงของเขาแล้วเจดีย์ราชันอมตะก็ได้กดทับใส่ร่างของอีกฝ่ายอย่างจัง
“อ๊ากก ~~~! ”
ฟานเจิ้งเย่ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาก่อนที่ร่างกายของเขาจะแหลกเหลวไปพร้อมๆกับดวงวิญญาณที่แตกสลาย