Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1432
เมื่อมองออกไปยังพื้นที่กว้างที่รายล้อมไปด้วยกลิ่นอายมังกรอันเข้มข้นแล้วเหลาเหลาก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาไม่น้อย
“ที่นี่ที่ไหนกัน ?! ”
นางได้หันมาถามเขา
“สำนักนิรันดร์ เป็นขุมพลังของข้าเอง ”
หลินเทียนตอบกลับไป
เหตุผลที่มันมีกลิ่นอายมังกรก็เพราะว่าด้านใต้สถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของแก่นมังกรที่เกิดจากการรวมตัวกันของเส้นชีพจรมังกรบรรพกาล
“ว่างไงนะ ?! ”
เหลาเหลาได้แต่ผงะไปเพราะว่านี่คือขุมพลังที่หลินเทียนสร้างขึ้น ? นี่หลินเทียนสร้างขุมพลัง ?
หลินเทียนไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะตอนนี้เขามีความสุขที่ได้กลับมามากๆ
“ไปกันเถอะ ”
เขาพูดออกมาก่อนที่จะก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ด้านหน้าประตูทางเข้ามันเต็มไปด้วยศิษย์เฝ้ายามที่มีท่าทางสงบเสงี่ยมและเมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามาใกล้ก็ได้ถามออกมาว่า
“ท่านทั้งสอง…..”
ศิษย์คนหนึ่งส่งเสียงออกมาก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ได้เห็นหน้าของหลินเทียนพร้อมทั้งส่งเสียงโห่ร้องออกมาว่า
“ท่าน……..ราชันอมตะ !? ”
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่เหล่าศิษย์คนอื่นๆเองก็เห็นแบบเดียวกัน
“เป็นท่านราชันอมตะจริงๆด้วย ! ”
“ยินดีต้อนรับท่านราชันอมตะ ! ”
ทุกคนต่างพากันแสดงความเคารพออกมา
หลินเทียนได้ก่อตั้งขุมพลังมาหลายสิบปีแล้วแถมยังเป็นคนที่หยุดยั้งความโกลาหลไปหลายต่อหลายครั้งแล้วยังปลดผนึกม่านพลังที่ขวางกั้นสวรรค์ชั้นที่สิบเอาไว้ทำให้สำนักนิรันดร์มีชื่อเสียงที่โด่งดังเอามากๆและส่งผลให้เหล่าศิษย์รู้สึกภูมิใจและเคาระเลื่อมใสในตัวของหลินเทียนอย่างสุดหัวใจ
แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่หลินเทียนได้ก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยแต่ตอนนี้เขาได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งมันทำให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างพากันแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาตามๆกัน
“ยืนขึ้น ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมาก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว
“เจ้าได้ชื่อว่าราชันอมตะ ? เป็นฉายาที่ฟังดูดีหนิ น่าเกรงขามมากๆ ”
เหลาเหลาส่งเสียงออกมา
“ข้าเองก็น่าเกรงขามจริงๆนั่นแหละ ”
หลินเทียนตอบกลับไป
“หลงตัวเองจริงๆ ”
เหลาเหลาแสยะยิ้มออกมาแต่มันก็เป็นความจริงที่ว่าหลินเทียนนั้นมีความน่าเกรงขามที่ไม่ธรรมดามากๆถึงขั้นเรียกได้ว่าปฏิบัติต่อศัตรูได้อย่างโหดเหี้ยมไร้ความปราณี
กลิ่นอายมังกรเบื้องหลังประตูทางเข้านั้นเข้มข้นกว่ามากแถมเหล่าศิษย์ที่สัญจรไปมาและบังเอิญพบกับเขาก็ต่างพากันแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาพร้อมทั้งรีบทำความเคารพอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนสั่งให้พวกเขาลุกกลับขึ้นมาและแยกย้ายกันไปก่อนที่จะตรงดิ่งเข้าไปภายในส่วนลึกของสำนักพร้อมทั้งกวาดจิตสัมผัสออกไปรอบทิศทางเพื่อแจ้งข่าวการกลับมาของเขาให้กับครอบครัวและพ้องเพื่อนทั้งหลาย
นี่ทำให้หญิงสาวทั้งหลายที่อยู่ภายในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้ต่างพากันแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาตามๆกัน
“ท่านพี่ ?! นี่มันกลิ่นอายของท่านพี่ ! ”
หลินซี่ จี่หยู เสวี่ยเย่ ไป่เฉียว ซูชูวและหยานเอ๋อที่กำลังบ่มเพาะต่างสั่นสะท้านไปตามๆกัน
“นี่มันกลิ่นอายของเจ้านั่นจริงๆ นี่เขากลับมาแล้ว ?! ”
ไป่เฉียวพูดออกมาด้วยท่าทางที่มีความสุข
หลินซี่เองก็รีบพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ไป่จี่ฉี หยางฉี จระเข้เบญจธาตุ เสี่ยวไท่ชู พญษนาค หลิงหยุน ฟานหยิงซ่ง เย่ตงและคนอื่นๆเองก็ต่างผงะไปไม่ต่างกัน
“นี่มันกลิ่นอายของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์กลับมาแล้ว ! ”
ดวงตาของเย่ตงเปล่งประกายออกมาโดยทันที
จระเข้เบญจธาตุเองก็ได้ส่งเสียงออกมาว่า
“ใช่แล้ว นั่นมันกลิ่นอายของเจ้าหนูนั่นไม่มีผิดแน่ๆ ในที่สุดก็กลับมา ”
เสี่ยวไท่ชูส่งเสียงตอบรับอย่างมีความสุขพร้อมทั้งกระพือปีกของมันพุ่งผ่านอากาศหายไปอย่างรวดเร็ว
……….
หลินเทียนที่กำลังเดินเข้าไปภายในพร้อมๆกับเหลาเหลาได้แต่แสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมา
เขากวาดสายตาออกไปรอบๆด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายเอามากๆ
“วิ้สส ~! ”
เสียงพุ่งผ่านอากาศถูกส่งออกมาขณะที่เสี่ยวไท่ชูปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเขา
“ย๊า ! หลินเทียน ! ”
เจ้าหนูน้อยที่ปกคลุมไปด้วยขนสีขาวปุยดวงตากลมโตเปล่งประกายออกมาด้วยท่าทางที่มีความสุขอย่างมาก
เพราะถึงอย่างไรมันก็ห่างกายหลินเทียนมาเป็นเวลานับสิบๆปี
นี่ทำให้มันรู้สึกคิดถึงเขามากๆ
“เจ้าหนูน้อย ไม่พบกันนานเลยนะ ”
หลินเทียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข
เหลาเหลาที่อยู่ข้างๆเองก็ได้แต่จ้องมองไปทางมันด้วยดวงตาที่เปล่งประกายพลางส่งเสียงออกมาว่า
“เป็นเจ้าหนูน้อยที่น่ารักจริงๆ ! ”
เจ้าหนูน้อยขนปุยดวงตากลมโตแถมยังมีปีกที่สะอาดแวววาวแบบนี้มันน่ารักอย่างมากและถือเป็นการโจมตีที่ร้ายแรงต่อหญิงสาวเอามากๆทำให้นางอดยื่นมือออกไปเพื่อกอดมันไม่ได้
“ย๊า ! ”
เจ้าหนูน้อยที่ระมัดระวังตัวและเขินอายต่อคนแปลกหน้าได้ส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งเบี่ยงตัวหลบไม่ให้เหลาเหลากอดมัน
“ไม่นะ ขอข้ากอดหน่อย ! ”
เหลาเหลาส่งเสียงออกมา
มันเป็นตอนนี้เองที่มีเสียงพุ่งผ่านอากาศถูกส่งออกมาอีกครั้งขณะที่ร่างอันผอมเพรียมโผลเข้ากอดร่างของเขา
“ท่านพี่ ! ”
หลินซี่ส่งเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีความสุขอย่างมาก
“ข้ากลับมาแล้ว ”
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งลูบศีรษะของนาง
หลังจากนั้นเสียงพุ่งผ่านอากาศก็ถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งปรากฏร่างของคนอื่นๆตามๆกัน
“ท่านอาจารย์ ”
เย่ตงได้ก้าวออกมาพร้อมทั้งแสดงความเคารพซึ่งหลังจากที่เวลาผ่านไปเนิ่นนานก็ทำให้ความไร้เดียงสาของเขาสลายหายไปอย่างแท้จริง
หลินเทียนเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมทั้งพยุงร่างของอีกฝ่ายด้วยพลังที่อ่อนโยน
“เจ้านี่หายไปไหนมา ? อยู่ดีๆก็หายตัวไปหลังจากก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบแถมย่าเอ๋อเองก็ไม่สามารถทำนายดวงชะตาของเจ้าได้ด้วย มันไม่ต่างกับอาจารย์ของเจ้าเลย”
ไป่เฉียวพึมพำออกมา
เป็นเพราะว่าหลังจากที่หลินเทียนได้ก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบและอธิบายสิ่งต่างๆให้กับคนทั้งโลกฟังแล้วก็ไม่ได้กลับมาและเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานเสี่ยวไท่ชูที่อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์ก็ได้ก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบเพื่อตามหาตัวของเขาแต่ก็ไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อยดังนั้นถึงได้กลับมาและให้ย่าเอ๋อช่วยทำนายที่อยู่ของเขาแต่ก็พบว่ามันไม่สามารถทำนายได้แบบเดียวกันกับอาจารย์ของเขาไม่มีผิด
“มันเกี่ยวข้องกับกายราชันของข้าหรือเปล่า ? ”
หลินเทียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“หลังจากที่ข้าก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบแล้วก็เหาะต่อไปจนออกไปถึงห้วงจักรวาลแต่เป็นเพราะอุบัติเหตุยางอย่างทำให้ข้าถูกพัดไปยังหมู่ดาวที่ไม่รู้จักและเพิ่งหาทางกลับมาได้เมื่อสองปีก่อน ”
เขาสัมผัสได้ถึงความเป็นกังวลของทุกคนดีดังนั้นถึงได้พูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า
“ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าต้องเป็นห่วงนะ ”
“ไม่เป็นไรหรอก กลับมาได้ก็ดีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเราจะเป็นกังวลแต่ก็ไม่ได้กระวนกระสายมากเพราะถึงอย่างไรภายในสำนักก็ยังมีตะเกียงวิญญาณของเจ้าอยู่ แค่รู้ว่าเจ้ายังอยู่ดีก็พอแล้ว ”
จี่หยูได้ส่งเสียงออกมา
พวกเขาไม่ได้แปลกใจเกี่ยวกับเรื่องห้วงจักรวาลมากนักเพราะว่าเสี่ยวไท่ชูเองก็ออกไปค้นหาหลินเทียนที่ห้วงจักรวาลแล้วเช่นกัน
“แล้วเจ้าหนูเป็นไงบ้างในช่วงหลายปีมานี้น่ะ…….”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมาแต่หลังจากที่มองไปยังเหลาเหลาที่อยู่ด้านหลังแล้วก็ได้ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายว่า
“แล้วนี่ไปหลอกแม่นางคนนี้มาจากที่ไหนกันล่ะ ? ”
จี่หยูและคนอื่นๆเองก็หันมองไปทางนางเช่นเดียวกัน
“นี่คือ ? ”
จี่หยูถามออกมา
หลินเทียนหันมองไปทางจระเข้เบญจธาตุเล็กน้อยพร้อมทั้งตอบกลับไปว่า
“เจียงเหลาเหลา นางเป็นเด็กที่บังเอิญถูกส่งข้ามข่ายอาคมเคลื่อนย้ายไปยังหมู่ดาวอื่นและข้าบังเอิญพบเข้าให้ระหว่างที่ถูกสัตว์อสูรไล่ล่า ช่างเรื่องพวกนี้เถอะ เอาเป็นว่านางเป็นเด็กโง่ที่โชคร้ายแล้วกัน ”
เขาชี้ไปทางเหลาเหลา
เหลาเหลาได้แต่ส่งเสียงโห่ร้องออกมาอย่างไม่พอใจว่า
“เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง ? เราต่างกันตรงไหน ?! ”
หลังจากนั้นนางก็ได้หันมองไปยังครอบครัวของหลินเทียนพร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพว่า
“สวัสดีค่ะ ข้ามีชื่อว่าเหลาเหลา โปรดเมตตาข้าด้วย ”
นางพูดออกมาก่อนที่จะหันมองไปทางจี่หยูและไป่เฉียวพลางพูดต่อว่า
“พี่สาวทั้งหลาย พวกท่านงดงามจริงๆ ”
จี่หยูและไป่เฉียวเองก็ได้แต่มองไปทางนางพร้อมอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
เพราะถึงอย่างไรการที่ถูกคนอื่นชมแบบนี้จะมีใครบ้างที่ไม่รู้สึกมีความสุข ?
“เจ้าเองก็งดงามเหมือนกัน ”
จี่หยูตอบกลับพร้อมทั้งจูงมือของนางแล้วพูดว่า
“อยู่กับเราจนกว่าจะกลับไปยังบ้านเก่าก่อนแล้วกัน ถือเสียว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังของเจ้านะ ”
“ขอบคุณค่ะพี่สาวคนสวย ! ”
เหลาเหลาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หยาดเยิ้ม
วันนี้เป็นวันที่มีงานฉลองถูกจัดขึ้นภายในส่วนลึกของสำนักทำให้กลิ่นของสุราล่องลอยตามสายลมออกไปไกล
“เจ้าหนู แล้วสิบปีมานี้อยู่ในเขตแดนไหนแล้วกัน ? ทำไมข้าสัมผัสอะไรจากเจ้าไม่ได้เลย ? ”
จระเข้เบญจธาตุถามออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วคนอื่นๆเองก็อดหันมองมาทางเขาไม่ได้
“อื้ม ? นิรันดร์อมตะตอนต้น ”
หลินเทียนตอบกลับ
“ว่าไงนะ?! ”
คนอื่นๆที่ได้ยินเช่นนั้นได้แต่ส่งเสียงโห่ร้องออกมา
“ลุงจระเข้อุส่ามุมานะใช้เวลาฝึกฝนทรมานตัวเองเพิ่งตัดผ่านเขตแดนกึ่งจักรพรรดิตอนปลายแต่เจ้ากลับตัดผ่านเขตแดนนิรันดร์อมตะได้แล้ว ?! ”
จระเข้เบญจธาตุได้แต่มองเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
มันรู้อยู่ก่อนแล้วว่าหลินเทียนนั้นมีพรสวรรค์มากๆแถมยังบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะขนาดที่ว่าตัดผ่านเขตแดนนิรันดร์อมตะได้ในเวลาสั้นๆแบบนี้