Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1434
พวกเขาใช้เวลาหนึ่งปีในการตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 6 ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวของเหลาเหลาเองก็ด้วยซึ่งนี่เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งหนึ่งปีมานี้ที่นางตัดผ่านมาได้ก็เป็นเพราะการช่วยเหลือของหลินเทียน เพราะถึงอย่างนางก็เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญเขตแดนจักรพรรดินภาเท่านั้น ด้วยรากฐานของนางในช่วงก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้กับจี่หยูด้วยซ้ำ
“เขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 6 ! ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมทั้งพูดว่า
“หลายสิบปีก่อนใช้เวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะตัดผ่านเขตแดนกึ่งจักรพรรดิโกลาหลตอนปลายจากเขตแดนกึ่งจักรพรรดิทว่าตอนนี้ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งปีก็ตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 6 ได้แล้วนี่มัน….รู้สึกดีจริงๆโว้ย ! ”
“รู้สึกดีจริงๆนั่นแหละ ”
ฟานหยิงซ่งส่งเสียงออกมา
เขาที่เป็นกายราชันมีร่างกายใหญ่โตและเป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมาได้ส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น
เป็นเพราะใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้นแต่กลับสามารถทำให้พวกเขาตัดผ่านมาได้จากเขตแดนปรินิพพานนี่มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันเลยด้วยซ้ำ
แม้กระทั่งจี่หยูและคนอื่นๆเองก็อดแสดงสีหน้าที่มีความสุขและประหลาดใจออกมาไม่ได้
“มีของดีอะไรอีกไหมเจ้าหนู ? ”
หลิงหยุนส่งเสียงออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วจระเข้เบญจธาตุเองก็ได้หันมองมาทางหลินเทียนพร้อมกับพูดว่า
“เอาของดีออกมาเร็วๆ ! ”
พวกเขาล้วนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันทำให้ถือว่าเป็นเพื่อนตายกันก็ว่าได้ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพกับหลินเทียนแม้แต่น้อย
“แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว ”
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ได้โบกมือออกไปสังเวยอาวุธนับสิบๆชิ้นที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมายออกมา
นี่ทำให้มิติโดยรอบสถานที่แห่งนี้บิดตัวอย่างฉับพลัน
“นี่มัน ?! ”
เมื่อมองออกไปยังอาวุธเหล่านี้แล้วทุกคนก็ได้แต่ผงะไปไม่เว้นแม้กระทั่งหยางฉีและไป่จี่ฉี
“อาวุธระดับอนันตกาล ”
หลินเทียนพูดออกมา
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขายึดมาจากขุมพลังทั้งหลายจึงได้แจกจ่ายให้กับทุกคน
“ขอบคุณค่ะท่านพี่ ! ”
หลินซี่กระโดดออกมาคว้ามือของเขาเอาไว้
หลินเทียนไม่เพียงแค่ช่วยพวกเขาตัดผ่านเขตแดนใหญ่แต่ยังมอบสมบัติเช่นนี้ให้กับพวกเขา
“เจ้าเด็กโง่ กับพี่จะขอบคุณไปทำไมกัน ”
หลินเทียนพูดออกมาพร้อมทั้งดีดหน้าผากของนาง
หลังจากนั้นเขาก็ได้คว้าเอาเคล็ดวิชาบ่มเพาะต่างๆเขตแดนนิรันดร์แท้จริงที่ยึดมาได้ออกมาส่งให้กับไป่จี่ฉี หลิงหยุน ฟานหยิงซ่งและคนอื่นๆ
ส่วนทางด้านของไป่เฉียว จี่หยูและหญิงสาวคนอื่นๆไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เคล็ดวิชาเหล่านี้เพราะพวกนางล้วนบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชาจันทราหรือไม่ก็เคล็ดวิชาปรุงยากันอยู่แล้วซึ่งมันถือเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะชั้นเลิศที่ก้าวข้ามเขตแดนนิรันดร์แท้จริงไปไกลมากแล้ว
“ออกไปเที่ยวเล่นอยู่เป็นสิบปีนี่เจ้าพัฒนาไปไกลมากจริงๆเลยนะ ถึงขั้นมีแม้กระทั่งอาวุธอนันตกาลและเคล็ดวิชาเหล่านี้ ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมา
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ยังมีอีกนะ ”
“ว่าไงนะ ?! ”
จระเข้เบญจธาตุได้แต่ผงะไป
“จริงๆ ”
หลินเทียนตอบกลับ
หลังจากนั้นก็ได้โบกมือคว้าเอาเตาพลังวิญญาณเปลวเพลิงธรรมะที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมายส่งกลิ่นอายนิรันดร์แท้จริงอันทรงพลังออกมา
“นี่มัน…อาวุธนิรันดร์แท้จริง ?! ”
นอกจากเหลาเหลาแล้วคนอื่นๆล้วนพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาตามๆกัน
“ใช่แล้ว อาวุธนิรันดร์แท้จริง ”
หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมทั้งโบกมือส่งมันเข้าไปภายในตำหนักราชันอมตะเพื่อเก็บไว้เป็นอาวุธประจำสำนัก
นี่ทำให้กลิ่นอายนิรันดร์แท้จริงพวยพุ่งออกมารอบทิศทางส่งผลให้สัจธรรมที่อยู่รอบทิศทางสั่นไหวอย่างรุนแรง
“นี่มัน……”
หลิงหยุนได้แต่ผงะไปและได้แต่มองไปยังหลินเทียนที่กำลังเผยรอยยิ้มออกมาพลางอดถามออกมาไม่ได้ว่า
“นี่ อย่าบอกนะว่ายังมีอีก ? ”
หลินเทียนยิ้มตอบกลับไปว่า
“ก็นะ ”
เขาโบกมือสังเวยเอามังกรตัวน้อยหลายร้อยตัวออกมารวมถึงบ่อวิญญาณนิรันดร์และลูกแก้วมังกรสองลูกที่ส่งกลิ่นอายอันเข้มข้นออกมาทำให้ร่างกายของทุกคนสั่นสะท้านไป
“นี่….”
หลิงหยุนและคนอื่นๆถึงกับผวาไป
พวกเขาตระหนักดีว่ามังกรตัวน้อยเหล่านี้ล้วนเป็นเส้นชีพจรเทวะที่หลินเทียนใช้ทักษะพิเศษบีบอัดมันซึ่งมูลค่าของมันไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยซ้ำ ! แถมลูกแก้วมังกรและบ่อวิญญาณนิรันดร์นี้ทำให้พวกเขาได้แต่อ้าปากค้างไปเพราะมีค่าเสียยิ่งกว่าเส้นชีพจรเทวะเหล่านี้
“เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหนกัน ?! ”
จระเข้เบญจธาตุได้แต่สั่นสะท้านไป
“ไปเอามาจากขุมพลังแนวหน้าของดาวดวงอื่นน่ะ ”
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นเขาก็ได้สังเวยทักษะฝังมังกรออกมาฉีกพื้นดินด้านใต้ออกพร้อมทั้งฝังเส้นชีพจรเทวะทั้งหลายลงไปรวมถึงจัดวางบ่อวิญญาณนิรันดร์และลูกแก้วมังกรไว้เพื่อพัฒนารากฐานขุมพลัง
นี่ทำให้พลังฉีภายในสถานที่แห่งนี้พุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัวถึงขั้นทำให้เหล่าศิษย์ได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา
“ความเข้มข้นระดับนี้มัน…..เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?! ”
“ต้องเป็นฝีมือท่านราชันอมตะอย่างแน่นอน ! ”
“ใช่แล้ว ! ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ ! การกลับมาของท่านทำให้ความเข้มข้นของพลังฉีเพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้ต้องเกี่ยวข้องกับท่านอย่างแน่นอน ! ”
ศิษย์หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
หลินเทียนที่อยู่ภายในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้ได้ฝังเส้นชีพจรเทวะหลายร้อยเส้นลงไปก่อนที่จะวางข่ายอาคมตรามังกรเขตแดนนิรันดร์อมตะเอาไว้รอบทิศทางเพื่อทำให้พลังฉียิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกก่อนที่จะหยุดมือลง
ณ ตอนนี้สถานที่แห่งนี้แทบจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นสรวงสวรรค์เลยก็ว่าได้
“หากว่าเทียบกันด้านรากฐานของขุมพลังแล้วที่ไหนจะเทียบกับที่นี่ได้กัน ”
เหลาเหลาส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะว่าแม้ตระกูลของนางจะเป็นขุมพลังแนวหน้าที่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมายแต่หากวัดกันที่รากฐานของขุมพลังแล้วยังไม่สามารถเทียบเคียงที่นี่ได้เลยด้วยซ้ำ
“พลังฉีระดับนี้มัน……”
ผู้คนทั้งหลายพากันผงะไป
หลินเทียนได้พูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า
“เอาล่ะอย่าเอาแต่ตะลึงกันอยู่เลย ”
เอาจริงๆแล้วภายในแหวนมิติของเขาก็ยังเหลือเส้นชีพจรเทวะอยู่หลายพันเส้นแต่ก็ไม่ได้ฝังเอาไว้ที่นี่พลางหันมองออกไปพร้อมทั้งพูดว่า
“ระดับพลังของพวกเจ้าเองก็เพิ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหันดังนั้นใช้เวลาว่างในการปรับสมดุลกันก่อนแล้วกัน ”
“ก็จริง ต้องใช้เวลาปรับตัวกันหน่อย ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะการที่ใช้เวลาหนึ่งปีในการตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์จากเขตแดนปรินิพพานนั้นถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เอามากๆจึงจำเป็นต้องปรับสมดุลพลังของตัวเองไม่งั้นแล้วก็อาจจะทำให้รากฐานการบ่มเพาะสั่นคลอนได้และจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางบ่มเพาะในอนาคตไม่ใช่น้อยๆ
ณ ตอนนี้พวกเขาต่างไม่ลังเลเลยที่จะบอกลาหลินเทียนและต่างพากันเก็บตัวบ่มเพาะ
นี่ทำให้สถานที่แห่งนี้เหลือเพียงแค่หลินเทียนและเสี่ยวไท่ชูเท่านั้น
“เจ้าหนูน้อยจะไปเที่ยวที่ภูผาแห่งหมอกกันหน่อยไหม ? ”
เขาหันไปพูดกับเจ้าหนูน้อย
เป็นเพราะจากสถานที่แห่งนี้ไปนานซึ่งหลังจากที่กลับมาได้หนึ่งปีแล้วเขาก็อยากจะไปพบกับจี่จิงหลิงบ้างและแม้จะรู้ว่านางเป็นจักรพรรดิอสูรแต่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในภูผาแห่งหมอกเท่านั้น
อีกอย่างเขาเองก็อยากพบกับหวูยี่เช่นกันเพราะช่วงก่อนหน้านี้นางเก็บตัวบ่มเพาะมานานแล้วจึงคิดว่าน่าจะเสร็จสิ้นแล้ว
“ย๊า ! ”
เจ้าหนูน้อยพยักหน้าของมันพร้อมทั้งส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริง
หลินเทียนยิ้มออกมาพร้อมทั้งพูดว่า
“ไปกันเถอะ ”
จี่หยูและคนอื่นๆนั้นอยู่ในช่วงเก็บตัวบ่มเพาะซึ่งไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปดังนั้นถึงได้หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าขุนเขาแห่งหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มหมอกและพลังฉีอันเข้มข้น
เมื่อมาถึงแล้วเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะก้าวเดินเข้าไปภายในสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว
“ท่านพี่หลิน ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที รีบขึ้นมาเร็ว ”
น้ำเสียงของอ้ายเอ๋อถูกส่งออกมาจากด้านบน
เขาได้หันมองกลับขึ้นไปยังเด็กสาวที่สวมชุดสีแดงกำลังโบกมือให้กับเขา
ซึ่งด้านหลังของนางเองก็มีร่างสองร่างยืนอยู่คู่กัน…….จี่จิงหลิงที่ให้ความรู้สึกเสมือนเอล์ฟตัวน้อยและหวูยี่ที่อยู่ในชุดกระโปรงสีขาว
แน่นอนว่าทั้งสองสัมผัสได้ภายในชั่วพริบตาที่เขาก้าวเข้ามาที่นี่
หลินเทียนเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมทั้งก้าวเดินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
การที่ได้พบกันหลังจากพลัดพรากกันไปหลายปีทำให้เขามีความสุขมากๆ
หลินเทียนเดินเกาศีรษะขึ้นไปด้านบนจนถึงตรงหน้าของพวกนาง
“จี่เอ๋อ หวูยี่ ”
เขาทักทายออกไปด้วยรอยยิ้ม
“หวูยี่ ”
เสี่ยวไท่ชูที่เกาะไหล่ของเขาได้ส่งเสียงทารกออกมาพร้อมทั้งบินออกไปอยู่ตรงหน้าของนาง
หวูยี่เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมทั้งยื่นมือออกไปกุมมันเอาไว้
หลินเทียนได้แต่มองไปยังรอยยิ้มของนางด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่าเพราะมันช่างงดงามเสียเหลือเกิน
มันทำให้เขารู้สึกอิจฉาเจ้าหนูน้อยว่างมากเพราะหวูยี่ที่มักจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นไม่พูดไม่จากลับเปลี่ยนไปเพราะเขาไม่เคยเห็นนางยิ้มให้กับใครนอกจากเจ้าหนูน้อยเลยด้วยซ้ำ
“ท่านพี่ จ้องหวูยี่ตาเป็นมันเลยนะ ”
จี่จิงหลิงส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย
หลินเทียนได้แต่ทำตัวไม่ถูกพร้อมทั้งอดสำลักไปไม่ได้
จี่จิงหลิงยิ่งหัวเราะออกมามากกว่าเก่าก่อนที่จะสำรวจร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขา
ระหว่างนี้ดวงตาของนางก็ได้เปล่งประกายออกมาเล็กน้อย
“ไม่เจอกันไม่กี่ปีนี่ระดับพลังของท่านก้าวข้ามข้าไปแล้วนะ ”
นางได้แสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มออกมาก่อนที่จะกอดคอของเขาเอาไว้จากด้านหลังแล้วพูดว่า
“หลังจากนี้ก็เป็นท่านที่ต้องปกป้องข้าแล้วนะ ”