Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1435
แม้ว่าตัวของจี่จิงหลิงจะใช้ชีวิตมาเนิ่นนานทว่าหากดูจากรูปลักษณ์แล้วจะพบว่านางเป็นเพียงแค่เด็กตัวน้อยๆอายุ 11-12 ปีเท่านั้น ผมของนางยาวสลวยลงมาถึงเอวให้ความรู้สึกที่น่ารักไม่ต่างไปจากเอลฟ์ตัวน้อยเลยก็ว่าได้
หลินเทียนที่ถูกนางกอดคอเอาไว้แบบนี้ได้แต่รู้สึกอบอุ่นใจอย่างมาก
“จี่เอ๋อเองก็อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าแล้วนะ ”
เขาสำรวจนางด้วยจิตสัมผัสพร้อมทั้งพบว่าระดับพลังของนางอยู่ในเขตแดนเดียวกันกับเสี่ยวไท่ชู
“เป็นเพราะว่าปัญหาเรื่องสุขภาพในช่วงก่อนหน้านี้ทำให้แทบจะไม่สามารถตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลได้แต่หลังจากที่ปัญหาได้ถูกรักษาไปแล้วระดับพลังจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและราบรื่น ”
จี่จิงหลิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หลินเทียนเองก็ได้แต่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปและคาดการณ์ว่าปัญหาที่นางพูดถึงนั้นหมายถึงเรื่องที่จะมีวันหนึ่งที่นางจะหลงลืมทุกสิ่งรวมถึงสูญเสียพลังทั้งหมด ?
“แล้วยังติดปัญหาอะไรอยู่ไหม ? ”
เขาได้ถามออกมา
จี่จิงหลิงเองก็รู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรดังนั้นถึงได้ตอบกลับไปว่า
“เป็นเพราะว่าแก่นพลังมีปัญหาเล็กน้อยทำให้การบ่มเพาะในเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลยากกว่าคนอื่นๆเท่านั้น ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ”
หลินเทียนเข้าใจทุกสิ่งได้ทันที
ในที่สุดเขาก็เข้าใจปัญหานี้เสียทีว่าที่แท้มันเป็นเพราะแก่นพลังของนางนี่เอง
อย่างไรก็ตามก็ยังโชคดีที่ปัญหาได้หมดไปแล้ว
“พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน ? ”
หวูยี่ที่อยู่ข้างๆและกำลังกอดเสี่ยวไท่ชูเอาไว้ได้หันมองมาทางพวกเขา
แน่นอนว่าเพราะไม่อยากให้นางเป็นห่วงจิงหลิงถึงได้ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับนางไป
“เปล่าหรอกล่อนจ้อน ”
จี่จิงหลิงส่งเสียงออกมาด้วยรอยยิ้ม
หวูยี่ได้หันมองมาทางพวกเขาก่อนที่จะหยุดสายตาอยู่ที่นางแล้วพูดว่า
“ข้าไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ”
หลินเทียนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้กับการโต้เถียงกันของทั้งสองคนนี้ซึ่งนี่ทำให้เขามีความสุขอย่างมาก
เขาหันมองออกไปทางหวูยี่ก่อนที่จะถามออกมาว่า
“แล้วตอนนี้ระดับพลังของเจ้าอยู่ในเขตแดนอะไรแล้วกัน ? ”
เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถสัมผัสถึงระดับพลังของนางได้แม้แต่น้อยแต่หลังจากที่กลับมาจากการออกไปท่องโลกกว้างหลายสิบปีจนอยู่ในเขตแดนนิรันดร์อมตะแล้วก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้เช่นเคย มันให้ความรู้สึกเสมือนว่าเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ที่ไร้ก้นบึ้ง
“ท่านพี่ ”
หวูยี่ไม่ทันจะได้พูดออกมาทว่าจี่จิงหลิงที่อยู่ข้างๆได้ปล่อยแขนที่คล้องคอของเขาเอาไว้แล้วพูดว่า
“ข้าคิดว่าท่านอย่ารู้เรื่องนี้เลยจะดีกว่า ไม่งั้นท่านคงจะทนไม่ไหวแน่ๆ ”
หลังจากนั้นนางก็ได้แสดงสีหน้าที่ยิ้มแย้มออกมาพลางพูดต่อว่า
“ข้าหมายถึงว่าท่านจะรู้สึกกดดันเอามากๆ ”
เมื่อมองออกไปยังสีหน้าของจี่จิงหลิงแล้วเขาก็อดแสดงสีหน้าที่อับอายออกมาไม่ได้
เขารู้ดีว่านางเป็นคนเดียวที่รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของหวูยี่ซึ่งคำพูดนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจดีว่าระดับพลังของอีกฝ่ายนั้นอยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัวถึงขั้นที่ก้าวข้ามเขตแดนเขาไปไกลมากแล้ว
เขาได้แต่จ้องมองไปทางหวูยี่ด้วยดวงตาที่ส่องประกายออกมา
“แล้วล่อนจ้อนจะไปชงชาหน่อยได้ไหม ? ”
จี่จิงหลิงส่งเสียงออกมา
หวูยี่ได้พยักหน้าของนางพร้อมทั้งเชิญหลินเทียนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว
มันเป็นสวนที่ยังคงเรียบง่ายเหมือนเคย มีรั้วถูกกั้นเอาไว้และภายในมีโต๊ะหินถูกจัดวางไว้พร้อมๆกับเก้าอี้หลายตัวที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
หวูยี่ที่กำลังชงชาอยู่เคลื่อนไหวอย่างเชี่ยวชาญและอ่อนโยนทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นใบชาอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนที่ได้กลิ่นของมันได้แต่รู้สึกอบอุ่นอย่างมาก
“ชาก็หอม คนชงก็สวยใช่ไหมล่ะท่านพี่ ? ”
จี่จิงหลิงหันมองมาทางเขาพร้อมทั้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลินเทียน
“……………”
สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ดังนั้นถึงได้มีพลังฉีที่เข้มข้นอย่างมากแถมยังรายล้อมไปด้วยต้นไม้นาๆชนิด
หลินเทียนที่มาถึงที่นี่ไม่ได้รีบจากไปและอาศัยอยู่กว่าหนึ่งเดือนเต็มๆ
หนึ่งเดือนมานี้หวูยี่นำเขาไปยังสถานที่ต่างๆทั่วสถานที่แห่งนี้ทำให้เขาคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มากขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
วันนี้เป็นวันที่เขาบอกลากับทั้งสองคนก่อนที่จะส่งมอบอาวุธอนันตกาลให้กับทั้งสอง
แต่เป็นเพราะว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของจี่จิงหลิงที่รู้ดีว่าหวูยี่นั้นแข็งแกร่งมากๆดังนั้นถึงไม่ได้มอบอะไรให้เพราะมันไม่จำเป็น
แต่ในเมื่อเขาได้มอบอาวุธให้กับจี่จิงหลิงและอ้ายเอ๋อไปแล้วก็ต้องมอบอะไรบางอย่างให้กับหวูยี่อยู่ดีดังนั้นถึงได้หยิบเอาหยกขึ้นมาพร้อมทั้งแกะสลักเป็นรูปร่างของหวูยี่ให้กับนาง
“ทำไมถึงรู้สึกว่ามันดูมีคุณค่าเสียยิ่งกว่าอาวุธอนันตกาลที่พวกเราได้กันอีกว่าไหมล่ะอ้ายเอ๋อ ? ”
จี่จิงหลิงส่งเสียงออกมา
“ใช่ๆ ”
อ้ายเอ๋อพยักหน้าซ้ำๆ
หลินเทียนได้แต่แสดงสีหน้าที่อับอายและทำตัวไม่ถูกออกมาโดยทันที
เขาหันมองไปทางทั้งสามคนก่อนที่จะบอกลาพร้อมทั้งหันหลังจากไปพร้อมๆกับเสี่ยวไท่ชู
ไม่นานเขาก็ได้ออกจากอาณาเขตนี้ไปก่อนที่จะฉีกมิติกลับไปยังสำนักนิรันดร์อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่กลับมาถึงแล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของหลายๆคนซึ่งล้วนแล้วแต่ปรับสมดุลของร่างกายในเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 6 กันได้หมดแล้ว
“ดีมาก ! ”
หลินเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพูดต่อว่า
“ออกไปเที่ยวกันหน่อยไหม ? ”
“ได้สิ ”
ผู้คนทั้งหลายต่างพากันพยักหน้าของพวกเขาเพราะนอกจากเหลาเหลาแล้วคนอื่นๆนั้นล้วนมาจากสวรรค์ชั้นล่างๆกันทั้งหมดทำให้ครอบครัวหรือคนรู้จักล้วนกระจายตัวกันออกไปตามสถานที่ต่างๆดังนั้นการที่หลินเทียนชวนออกมาแบบนี้ก็ต้องอยากจะกลับไปอยู่แล้ว
“เอาล่ะ งั้นก็ไปกันเถอะ ”
หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
วันนี้เป็นวันที่พวกเขาพากันก้าวข้ามประตูมิติเพื่อกลับลงไปยังสวรรค์ชั้นล่างๆโดยที่ใช้การเดินเท้าและไม่ได้ฉีกมิติแม้แต่น้อยซึ่งแต่ละคนเองก็แสดงสีหน้าที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ระหว่างนี้ก็บังเอิญได้พบเข้ากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ต่างพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาเพราะต้องรู้ก่อนนะว่านอกจากเหลาเหลาแล้วคนอื่นๆล้วนเป็นคนใหญ่คนโตของสำนักนิรันดร์ที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วสวรรค์สิบชั้น
โดยเฉพาะหลินเทียนที่อยู่หน้าสุดที่ทำให้พวกเขาล้วนพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงและตื่นเต้นออกมา
“ท่านราชันอมตะ ! ”
“คาราวะท่านราชันอมตะ ! ”
“ขอพระเจ้าคุ้มครองท่าน ”
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่บังเอิญพบกับเขาต่างพากันแสดงความเคารพออกมาด้วยสีหน้าที่เลื่อมใสอย่างมาก
เหลาเหลาได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาพร้อมทั้งพูดว่า
“ดูเหมือนเจ้าจะมีชื่อเสียงจริงๆเลยนะ ”
เป็นเพราะตลอดการเดินทางนี้ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องแสดงความเคารพให้กับเขาจากใจจริงซึ่งนางเองก็ตระหนักได้ดีว่าไม่ได้เป็นเพราะความแข็งแกร่งของหลินเทียนแต่เป็นความเคารพจากก้นบึ้งของหัวใจ
“แน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าท่านพี่น่ะเป็นถึงวีรบุรุษของดาวดวงนี้ ! ”
หลินซี่พูดออกมาด้วยท่าทางที่ภูมิใจอย่างมาก
หลายปีก่อนหน้านี้หลินเทียนได้หยุดยั้งความโกลาหลไปมากมายแถมยังนำทัพออกไปต้านกองกำลังตระกูลยมโลกก่อนที่จะปลดผนึกสวรรค์ชั้นที่สิบก่อนที่จะถ่ายทอดข้อมูลต่างๆให้กับผู้คนทั้งสวรรค์สิบชั้น
มันเป็นขั้นตอนที่สร้างชื่อเสียงและความเคารพให้กับเขา
หลินเทียนได้แตะศีรษะของนางพร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อย่าอวดพี่นักสิ ”
“ก็มันเป็นความจริงหนิ ”
หลินซี่ตอบกลับ
หลินเทียนได้แต่ยิ้มออกมาและไม่ได้พูดอะไรต่อ
เขาและคนอื่นๆพากันเดินเท้าไปยังสถานที่ต่างๆทั่วสวรรค์ทุกชั้นก่อนที่จะไปถึงตระกูลคนป่า สำนักหยูฮัวและตระกูลไป่เพื่อเยี่ยมเพื่อนหรือผู้อาวุโสซึ่งระหว่างนี้เขาก็แจกจ่ายเส้นชีพจรเทวะให้กับขุมพลังเหล่านี้คนละ 150 เส้นรวมถึงคริสตัลวิญญาณกว่าสองหมื่นล้านกิโลกรัมและอาวุธวิญญาณเขตแดนนิรันดร์อมตะซึ่งทำให้อีกฝ่ายได้แข็งค้างไป
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขายึดเอามาจากขุมพลังต่างๆ
“เจ้าหนูนี่ได้รับสมบัติมามากมายขนาดนี้เลย ?! ข้าล่ะตกใจแทบบ้า ! ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะเขาล้วนแล้วแต่ทำแบบเดียวกันกับขุมพลังทั้งสามแห่งและนี่ถือว่าเป็นการกระทำที่ฟุ่มเฟือยเอามากๆ
“ก็งั้นๆแหละ ”
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
เป็นเพราะว่าเส้นชีพจรเทวะที่เขาได้รับมานั้นมีมากเสียกว่าพันๆเส้นดังนั้นแม้จะวางรากฐานให้กับสำนักเพิ่มอีกหลายร้อยเส้นแต่ก็ยังเหลืออยู่อีกมากมายแถมยังได้รับคริสตัลวิญญาณมากว่าสามแสนล้านกิโลกรัม
เขาและคนอื่นๆพากันเดินทางออกไปจนถึงนิกายอาทิตย์ผลาญฟ้าอย่างรวดเร็ว
“เด็กดีๆ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ”
ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอาทิตย์ผลาญฟ้าและคนอื่นๆได้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านจ้าวนิกาย ท่านผู้อาวุโส ”
หลินเทียนแสดงความเคารพออกมาอย่างจริงจัง
วันนี้พวกเขาหลายคนพักอาศัยอยู่ที่นี่พร้อมทั้งวางเส้นชีพจรเทวะกว่าสามร้อยเส้นลงไปเป็นรากฐานนิกายก่อนที่จะมอบอาวุธวิญญาณ คริสตัลวิญญาณกว่าห้าหมื่นล้วนกิโลกรัมและอื่นๆไว้ให้มากมาย
แน่นอนว่านี่ทำให้หลายๆคนได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจถึงขีดสุดออกมาตามๆกัน
“เจ้าหนู ข้าล่ะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดแล้วจริงๆ ”
ถูโปได้ส่งเสียงออกมาพลางตบไหล่ของเขาอย่างจัง