Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1437
ความเชื่อนั้นเป็นเส้นทางการบ่มเพาะอีกเส้นทางซึ่งแม้ว่าหลินเทียนจะไม่ใช้มันสำหรับการบ่มเพาะปกติแต่มันก็เป็นพลังที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาแถมยังไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อผู้ศรัทธาดังนั้นการจะสร้างความศรัทธาก็มีแต่ได้กับได้เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งจำนวนผู้ศรัทธาเพิ่มมากขึ้นพลังแห่งความเชื่อเองก็จะยิ่งเข้มข้นซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้ในอนาคต
เจดีย์ราชันอมตะโคจรอยู่รอบตัวของเย่ตงในตอนนี้ซึ่งระหว่างนั้นมันก็ส่องประกายแสงอันทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์ออกมารอบทิศทาง
“ขอรับท่านอาจารย์ ศิษย์จะตั้งใจเผยแพร่คำสอนของท่าน ! ”
เย่ตงตอบรับอย่างตั้งใจ
“อื้ม ไปเถอะ ”
หลินเทียนพูดออกมา
“ขอรับ ! ”
เย่ตงพยักหน้าของเขาก่อนที่จะเก็บเอาเจดีย์ราชันอมตะเข้าไปไว้ภายในทะเลความรู้ของตนแล้วทำความเคารพก่อนที่จะหันหลังกลับไป
เมื่อมองออกไปยังแผ่นหลังของเย่ตงแล้วหลินเทียนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เพราะเขาเชื่อในการสอนของตัวเองและเชื่อในความสามารถของศิษย์ตัวเองว่าจะต้องทำได้อย่างแน่นอน
“อยู่กับพวกเขาสักพักแล้วกัน ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมทั้งหันมองออกไปก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังลานด้านในส่วนลึกของสำนัก
ที่นี่มีสวนที่ค่อนข้างพิเศษแถมยังรายล้อมไปด้วยดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอันเข้มข้นออกมาซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นที่อยู่ของเหล่าสตรีทั้งหลาย
เขามาถึงที่นี่พร้อมทั้งเรียก หลินซี่ จี่หยู ซูชูว ไป่เฉียว และเสวี่ยเย่ออกมาเพื่อเตรียมตัวออกไปเที่ยวกับพวกเขา
“ดีมากท่านพี่ ! ข้าเองก็อยากจะออกไปนอกห้วงจักรวาลเพื่อมองดูดาวสวรรค์สิบชั้นในระยะประชิดเหมือนๆกัน ! ”
หลินซี่ส่งเสียงออกมาด้วยท่าทางที่มีความสุขอย่างมาก
“ไม่มีปัญหา ”
หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหันมองไปทางหญิงสาวคนอื่นๆแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าล่ะ ? อยากจะไปที่ไหนไหม ? ”
“ที่สวรรค์ชั้นนี้เองก็มีสถานที่หนึ่งที่ชื่อว่าดินแดนผนึกยุคบรรพกาลซึ่งเป็นสนามรบที่เจ้าใช้ต่อสู้กับเผ่ายมโลก ข้าอยากจะไปที่นั่นหน่อยได้ไหม ? ”
ไป่เฉียวถามออกมา
จี่หยูเองก็พยักหน้าของนาง
“ข้าเองก็อยากไปเหมือนกัน ”
“งั้นข้าก็อยากไปด้วย ”
เสี่ยวเย่พูดขึ้นมา
ซูชูวส่งเสียงสะท้อนว่า
“เอาตามเสวี่ยเย่แล้วกัน ”
หลินเทียนเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมทั้งพูดว่า
“เอาล่ะงั้นเราไปที่ดินแดนผนึกยุคบรรพกาลกันก่อนแล้วค่อยกลับไปเที่ยวเล่นที่ห้วงจักรวาลกัน ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้นำพวกนางก้าวข้ามไปยังดินแดนผนึกยุคบรรพกาลก่อนที่จะทะลวงผ่านม่านฟ้าออกไปยังห้วงจักรวาล
และวันนี้เป็นวันที่เย่ตงได้เกณฑ์กองกำลังออกไปเผยแพร่คำสอนตามความต้องการของเขาไปทั่วสวรรค์สิบชั้น
ด้วยสถานะบุตรแห่งสวรรค์ของเขาผนวกกับความตั้งใจและเจดีย์ราชันอมตะในมือนั้นทำให้มีผู้ศรัทธาหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
อีกอย่างก็เป็นเพราะการกระทำของหลินเทียนทำให้ผู้คนมากมายล้วนให้ความเคารพหลินเทียนอย่างมากถึงได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นผู้ศรัทธาอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดดำเนินการต่อไปอย่างราบรื่นจนในที่สุดมันก็เป็นเหมือนเปลวเพลิงที่ลุกลามไปทั่วดาวทั้งดวง
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะที่เย่ตงพยายามอย่างหนักโดยการนำเหล่าศิษย์ทั้งหลายเดินทางไปทั่วทุกมุมโลกเพื่อเผยแพร่คำสอนของหลินเทียน
ระหว่างนั้นกลุ่มอื่นๆเองก็ทำหน้าที่แบบเดียวกัน
เปลวเพลิงแห่งความเชื่อได้ลุกโชนขึ้นแล้ว
…….
หลินเทียนยังคงเที่ยวเล่นอยู่กับน้องสาวและคนอื่นๆก่อนที่จะนำพวกนางไปเที่ยวทั่วจักรวาลและหกเดือนหลังจากนั้นถึงจะกลับมา
“ห้วงจักรวาลมันงดงามจริงๆ ”
หลินซี่ส่งเสียงออกมา
จี่หยูและคนอื่นๆเองก็ต่างพยักหน้าไปตามๆกันเพราะพวกนางได้แต่หลงใหลไปกับภาพของหมู่ดาวมากมายที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่รอบทิศทาง
“งดงามก็จริงแต่มันก็เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ”
หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เป็นเพราะเมื่อสิบปีก่อนหน้านี้เขาได้รับตำรามามากมายทำให้เข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับห้วงจักรวาลมากยิ่งขึ้นซึ่งเขาพบว่ามันอัดแน่นไปด้วยอันตรายมากมายไม่เว้นแม้กระทั่งคลื่นทำลายล้างจากหมู่ดาวที่สามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งไปได้ง่ายๆอีกทั้งยังมีสัตว์อสูรเขตแดนอนันตกาลและอื่นๆอีกมากมาย
เขานำพวกนางเหาะลงมายังสวรรค์สิบชั้นก่อนที่จะกลับไปยังสวรรค์ชั้นที่เก้าอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานก็ตรงไปยังตำหนักจักรพรรดิอสูรเพื่อวางรากฐานและแจกจ่ายทรัพยากรบ่มเพาะให้กับพวกเขาทำให้ผู้คนทั้งหลายพากันแสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมาตามๆกันขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดได้แต่ขอบคุณกันยกใหญ่
“ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่ต้องเกรงใจขอรับ ”
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
เป็นเพราะว่าจี่จิงหลิงนั้นเป็นจักรพรรดิอสูรแห่งนี้แถมผู้อาวุโสทั้งหลายเองก็เคยให้ความช่วยเหลือเขาแล้วดังนั้นการที่จะช่วยตำหนักจักรพรรดิอสูรก็เป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับเขา
ส่วนภูผาแห่งหมอกนั้นเขาไม่ได้ปรับแต่งอะไรเพิ่มเนื่องจากมันไม่จำเป็นเพราะว่าพลังฉีในสถานที่แห่งนั้นมันไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักนิรันดร์ของเขาเลยก็ว่าได้
เขาโบกมือลาคนอื่นๆก่อนที่จะออกเดินทางไปยังสถานที่อื่นๆพร้อมกับหญิงสาวทั้งหลายอยู่กว่าหนึ่งเดือนถึงกลับไปยังสำนักนิรันดร์อีกครั้ง
ระหว่างนั้นเขาก็มักจะเดินเท้าไปทั่วทุกสถานที่และคอยชี้แนะเหล่าศิษย์ด้วยตัวเอง
เวลาได้ผ่านไปอีกกว่าสามปีภายในชั่วพริบตา
วันนี้เป็นวันที่เขาส่งจิตสัมผัสออกไปเรียกตัวเย่ตงกลับมาเนื่องจากเขาจำเป็นต้องไปจากที่นี่เพื่อนำเหลาเหลากลับไปส่งและเก็บกู้เอาเศษเสี้ยววิญญาณกระบี่กลับมาจึงจำเป็นต้องเอาเจดีย์ราชันอมตะไปด้วย
เวลาผ่านไปได้ไม่นานเย่ตงก็รีบกลับมายังสำนักนิรันดร์อีกครั้ง
“ท่านอาจารย์ ”
เย่ตงส่งเสียงออกมาพร้อมเหาะเข้ามาหาเขา
ณ ตอนนี้ประกายแสงที่มันส่งออกมานั้นเข้มข้นขึ้นกว่าเก่ามากแถมยังอัดแน่นไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ความรู้สึกลึกลับเป็นอย่างมาก
“เหนื่อยหน่อยนะ ”
เขาพูดออกมาหลังจากที่เรียกเอาเจดีย์ราชันอมตะกลับมา
ตอนนี้เจดีย์ราชันอมตะได้อัดแน่นไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อันเข้มข้นซึ่งหลังจากที่เขาสำรวจแล้วก็ได้พบกับภาพของมหาสมุทรแห่งความเชื่อที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งศรัทธาที่มีมากกว่าตอนที่อยู่บนโลกหลายเท่าซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเย่ตงได้เป็นอย่างดี
แต่จะบอกว่าเซียนเซียนไม่มีความสามารถก็ไม่ใช่เพราะว่าโลกทั้งสองมันต่างกันออกไป จำนวนประชากรในสองโลกนั้นแตกต่างกับลิบลับดังนั้นถึงได้สามารถเก็บเกี่ยวพลังแห่งความเชื่อมาได้เร็วมากกว่า
“ไม่ลำบากหรอกขอรับ ศิษย์เองก็ได้รับประโยชน์มามากมาย ”
เย่ตงพูดออกมา
ในช่วงสามปีมานี้เขาเองก็ได้รับการหล่อหลอมพลังจากเจดีย์ราชันอมตะทำให้ตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 7 ได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเขาก็ได้ถามออกมาด้วยสีหน้าที่สงสัยว่า
“ท่านอาจารย์ ในช่วงสามปีมานี้ข้าพบความผิดปกติเล็กน้อยเพราะดูเหมือนว่าพลังงานบางส่วนที่อยู่ภายในเจดีย์ราชันอมตะจะไม่ได้มาจากโลกใบนี้เสมือนว่า…….มันมาจากที่อื่น หรือว่าท่านเองก็มีผู้ศรัทธาอยู่ที่อื่นด้วย ? ”
หลินเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นเองก็ได้แต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มว่า
“เป็นเพราะว่าห่างออกไปไกลแสนไกลมันเป็นสถานที่ๆข้าได้เรียนรู้พลังนี้ซึ่งข้าเองก็ก่อตั้งสำนักที่นั่นและเริ่มการเผยแพร่คำสอนเป็นแห่งแรก ”
“ที่นั่นเป็นที่อยู่ของศิษย์น้องของเจ้าที่เจ้ายังไม่เคยพบกันมาก่อน เป็นแม่หนูจิ้งจอกน้อยน่ารักที่ข้ารับมา”
หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อว่า
“พลังแห่งศรัทธาที่เจ้าได้รับมาน่าจะเป็นฝีมือของศิษย์น้องหญิงของเจ้านั่นแหละ ”
ระหว่างที่กำลังพูดเขาก็อดคิดถึงเซียนเซียนที่ทำตัวน่ารักไม่ได้
เย่ตงที่ได้ยินเช่นนั้นเองก็ได้แต่พูดออกมาว่า
“ที่แท้ก็มีผู้ศรัทธาจากที่อื่นจริงๆ ข้างเองก็สงสัยอยู่ว่าทำไมพลังความเชื่อนี้ถึงได้รวมตัวกันที่เจดีย์ราชันอมตะกัน ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อด้วยความสงสัยว่า
“ยิ่งไปกว่านั้นคือข้ามีศิษย์น้อยหญิงด้วย ? จากสิ่งที่ท่านพูดแล้วนางน่าจะเป็นเผ่าอสูร ? แข็งแกร่งไหมขอรับ ? ”
“อื้ม เป็นเผ่าอสูรและแข็งแกร่งมากๆ ด้วยระดับพรสวรรค์ของนางแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าหรือถึงขั้นสูงกว่าเจ้าเล็กน้อยด้วยซ้ำ”
หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เป็นเพราะว่าเซียนเซียนนั้นโดดเด่นเป็นอย่างมากแถมยังมีไหวพริบและหัวไวไม่แพ้กายราชันคนไหนๆจึงเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้