Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1450
ตราโบราณในมือของอีกฝ่ายนั้นรายล้อมไปด้วยอักขระมากมายส่องประกายแสงออกมา
กลิ่นอายอันทรงพลังได้ไหลทะลักออกมาไม่หยุด
“อาวุธอนันตกาล ? ที่แท้ก็เอาอาวุธระดับนี้ติดตัวมาด้วยนี่เอง ”
จระเข้เบญจธาตุได้หรี่ตาของมันลงเล็กน้อย
เป็นเพราะว่าพลังอำนาจของอาวุธระดับนี้มันทรงพลังอย่างมากถึงขั้นที่แม้ตระกูลหวูจะเป็นตระกูลที่มีเขตแดนนิรันดร์แท้จริงแต่อาวุธระดับนี้ก็ยังเป็นสมบัติที่สำคัญมากๆทำให้ชายชราสองคนนี้ไม่มีทางมีคุณสมบัติพอที่จะถือครองมัน นี่เท่ากับว่านายน้อยตระกูลหวูอย่างหวูซี่เป็นคนให้พวกมัน
หลินเทียนได้หันมองออกไปยังอาวุธในมือของอีกฝ่ายขณะที่ผมสีดำยาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลงด้วยสีหน้าที่ราบเรียบอย่างเคย
“การที่สามารถสังหารหวูเซียนได้แบบนี้ก็แสดงว่าเจ้าแข็งแกร่งไม่ธรรมดาทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธอนันตกาลแล้วเจ้ามันก็มีแค่ตายกับตายเท่านั้น ”
อีกฝ่ายส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่ราบเรียบอย่างมาก
หวูเซียนที่เขาพูดถึงนั้นคือมือสังหารคนแรกที่ถูกส่งมา
“จะโทษก็โทษตัวเองที่เข้าใกล้คุณหนูแล้วกัน นายน้อยตระกูลข้าไม่สบอารมณ์กับการคงอยู่ของเจ้า ”
ชายชราอีกคนได้ส่งเสียงออกมาด้วยท่าทางเสมือนว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของตัวเอง
มันเป็นตอนนี้เองที่เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่กลิ่นอายอันทรงพลังกดทับเข้าใส่ทางหลินเทียน
มันเป็นกลิ่นอายที่หนักหน่วงถึงขั้นที่ปิดกั้นพื้นที่โดยรอบทั้งหมดเอาไว้อย่างสมบูรณ์
“พูดมากจริงๆเลยนะ ”
หลินเทียนได้ตอบกลับไป
เขาทำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาพร้อมทั้งเหวี่ยงหมัดกลับไปรับเอาไว้
“ทึ้มม ~! ”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่คลื่นพลังทำลายทั้งสองอัดเข้าใส่กันอย่างจัง
ตู้มมม ~!
ตราโบราณอาวุธอนันตกาลได้สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่จะถูกกระแทกปลิวออกไปไกลหลายกิโลเมตรและอัดเข้าใส่ภูเขาลูกหนึ่งจนถล่มลงมา
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”
ชายชราทั้งสองมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที
นั่นน่ะอาวุธอนันตกาลที่ถูกใช้งานด้วยระดับพลังของพวกเขาเลยนะ ต่อให้เป็นเขตแดนนิรันดร์อมตะตอนต้นก็ไม่อยู่ในสายตาของพวกเขาทว่ามันกลับถูกหลินเทียนต่อยปลิวออกไปไกลได้แบบนี้ !
“เจ้า……..”
เมื่อมองออกไปทางหลินเทียนแล้วหัวใจของพวกเขาได้แต่สั่นไหวอย่างรุนแรง
เป็นเพราะตอนนี้พวกเขาต่างรู้สึกหวาดหวั่นไปตามๆกัน
การที่สามารถเหวี่ยงหมัดอัดอาวุธอนันตกาลปลิวออกไปไกลได้แบบนี้นี่มันต้องเป็นพลังที่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?
มันทำให้พวกเขารีบสังเวยเอาอาวุธอนันตกาลที่ถูกกระแทกออกไปไกลกลับมาอีกครั้งพร้อมทั้งพุ่งหนีไป
เพราะเพียงแค่การโจมตีเดียวพวกเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าหลินเทียนนั้นแข็งแกร่งมากๆถึงขั้นที่แม้จะมีอาวุธอยู่ในมือก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขาดังนั้นการอยู่ต่อไปก็มีแต่ตายกับตาย
“หนีกันเร็วจริงๆเลยนะ ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งปลดปล่อยกลิ่นอายนิรันดร์อมตะตอนกลางขั้นปลายออกมาปิดกั้นพื้นที่โดยรอบทั้งหมดเอาไว้
นี่ทำให้ชายชราทั้งสองได้แต่พากันแสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาพร้อมทั้งรวมพลังอัดเข้าใส่อาวุธอนันตกาลในมือ
พวกเขาไม่ได้ส่งการโจมตีเข้าใส่ทางหลินเทียนแต่อัดเข้าใส่ม่านพลังเพื่อหนีไปจากที่นี่ให้ได้เพราะรู้ดีว่าอาวุธอนันตกาลไม่สามารถทำอันตรายหลินเทียนได้
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบพร้อมทั้งซัดฝ่ามือออกไปเล็กน้อย
ด้วยความแข็งแกร่งทางร่างกายและระดับพลังของเขาในตอนนี้แล้วทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าเขตแดนอนันตกาลตอนต้นถึงขั้นที่ไม่เกรงกลัวอาวุธอนันตกาลเลยแม้แต่น้อย
“บึ้สส ~! ”
ฝ่ามืออันทรงพลังของเขาส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวออกมาพร้อมทั้งกระแทกอาวุธอนันตกาลปลิวออกไปไกล
“เจ้า…..”
ชายชราทั้งสองสั่นไปด้วยความกลัว
หลินเทียนไม่พูดพร่ำทำเพลงพร้อมทั้งส่งคลื่นกระบี่อันทรงพลังทะลวงผ่านหน้าผากของทั้งสองคนเพื่อลบล้างดวงวิญญาณของอีกฝ่ายไปอย่างฉับพลัน
ตึ้กก ~ !
ร่างของชายชราทั้งสองทรุดลงกับพื้นและแปรเปลี่ยนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณธรรมดาๆ
“หึหึ ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมทั้งโบกมือส่งพลังอสูรออกไปห่อหุ้มร่างเหล่านั้นเอาไว้โดยทันที
หลินเทียนหันมองออกไปยังตราโบราณที่อยู่ไกลออกไปพร้อมทั้งโบกมือคว้ามันและทำลายตราประทับพลางเก็บกลับเข้าไปภายในร่างของตัวเอง
เป็นเพราะว่าอย่างน้อยๆมันก็เป็นถึงอาวุธอนันตกาลที่มีค่าไม่น้อย
“หาที่สงบๆดูดกลืนมันก่อนแล้วกัน ”
เขาหันมองไปยังศพทั้งสองพร้อมทั้งพูดออกมา
“ได้สิ ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมาด้วยรอยยิ้ม
ณ ตอนนี้หลินเทียนได้แผดจิตสัมผัสอันเข้มข้นออกไปโดยรอบเพื่อหาที่ปลอดภัยไว้ให้จระเข้เบญจธาตุหล่อหลอมศพทั้งสองโดยที่เขาคอยคุ้มกันอยู่ห่างๆ
“บึ้สส ~! ”
จระเข้เบญจธาตุได้สังเวยทักษะนี้ออกมาพร้อมทั้งเริ่มการหล่อหลอมร่างทั้งสองทำให้กลิ่นอายของมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าเจ็ดวันเต็มซึ่งร่างกายทั้งสองของชายชราได้ถูกดูดกลืนไปจนหมดทำให้ระดับพลังของจระเข้เบญจธาตุตัดผ่านไปยังเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าได้ในที่สุด
“ชื่นใจจริงๆ ! ในที่สุดข้าก็ตัดผ่านได้แล้ว ! ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น
“ไหนๆก็อยู่ในเขตแดนนี้แล้วช่วยสำรวมหน่อยไม่ได้หรือไงกัน ? ”
หลินเทียนหันมองไปทางมันพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“ใช้เวลาอีกสักพักปรับสมดุลร่างกายด้วยแล้วกัน ”
จระเข้เบญจธาตุแสดงสีหน้าป่วยๆออกมาพร้อมทั้งหมุนวนพลังของตัวเองเพื่อปรับสมดุลพลังในตอนนี้
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกเจ็ดวันเต็มอีกครั้ง
วันนี้เป็นวันที่จระเข้เบญจธาตุได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าที่สมบูรณ์
“เอาล่ะ สามารถต่อกรกับเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าตอนกลางได้สบายๆแล้ว ”
หลินเทียนหันมองออกไปพร้อมทั้งพยักหน้าเล็กน้อย
เป็นเพราะด้วยจิตสัมผัสที่ทรงพลังของเขาทำให้รับรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าตอนกลางเลยแม้แต่น้อย
“คิดว่าข้าคนนี้เป็นใครกัน ? ”
จระเข้เบญจธาตุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งผยองว่า
“จะพูดก็พูดไอ้เด็กเวรตระกูลหวูนั่นมันต้องการจะให้เจ้าตายซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้แถมยังให้มาแม้กระทั่งอาวุธอนันตกาลนี่มันเหี้ยมจริงๆเลยนะ ”
“ครั้งแรกล้มเหลวแล้วก็หมายความว่าแผนการชั่วร้ายของมันได้ถูกเปิดเผยแล้วและเกรงว่าข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเหลาเหลาถึงได้ยิ่งอยากจะลบข้าให้หายไปก่อนที่ข้าจะได้พบกับนาง ”
หลินเทียนรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
จระเข้เบญจธาตุได้หรี่ตาลงพร้อมทั้งถามออกมาว่า
“แล้วเอาไงกันต่อ ? ”
“เอาตามที่ว่าไว้นั่นแหละ หากว่าบังเอิญพบเข้าก็ค่อยฆ่ามันแล้วกัน ”
หลินเทียนพูดออกมาพลางพูดต่อว่า
“ส่วนเรื่องของเหลาเหลานางเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่คนดีอะไรดังนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากไอ้โง่ในสายตาของนาง ”
จระเข้เบญจธาตุได้พูดต่อว่า
“น่าสังเวชจริงๆเลยนะ ”
“ไปกันเถอะ ไปที่ตระกูลเจียงกัน ”
หลินเทียนได้พูดออกมา
เสี่ยวไท่ชูเองก็ยังคงนอนกองอยู่บนหัวไหล่ของเขาขณะที่พวกเขาพากันมุ่งหน้าออกไปทางตระกูลเจียง
ไม่นานพวกเขาก็ก้าวผ่านภูเขากันไปมากมาย
และมันเป็นตอนนี้เองที่ห้วงมิติได้สั่นไหวก่อนที่จะบิดตัวอย่างรุนแรง
ร่างสามร่างปรากฏตัวออกมาซึ่งพวกเขาล้วนเป็นชายชราที่ส่งกลิ่นอายอันทรงพลังออกมาเสมือนว่าเป็นเตาพลังวิญญาณที่อยู่ในเขตแดนกึ่งอนันตกาลกันทั้งหมด
“เขตแดนกึ่งอนันตกาล นี่ก็คนตระกูลหวู ? ไอ้เวรนั่นมันสามารถสั่งการได้แม้กระทั่งระดับนี้ ? ”
จระเข้เบญจธาตุได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา
หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาพร้อมทั้งพูดว่า
“ไม่ใช่คนตระกูลหวู ”
เป็นเพราะว่าตัวตนระดับนี้มันเป็นตัวตนระดับผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งมีสถานะที่สูงเสียยิ่งกว่าผู้นำตระกูลทำให้แม้หวูซี่จะเป็นนายน้อยตระกูลก็ไม่มีทางส่งตัวตนระดับนี้ออกมาได้และที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายแบบเดียวกันกับของตระกูลหวูจากอีกฝ่ายได้
“แล้วมันเป็นใครกัน ? ”
หลินเทียนหันมองออกไปด้วยสีหน้าที่ราบเรียบพร้อมทั้งตอบว่า
“ก็ต้องถามพวกมันดู ”
เขาตระหนักดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดีอย่างแน่นอนแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
ทั้งสามคนจับจ้องมาทางเขาด้วยสายตาที่เปล่งประกายอย่างมาก
“เขตแดนนิรันดร์อมตะตอนกลางงั้นรึ ไม่คิดเลยว่าจะสามารถเอาสมบัติที่แม้แต่ท่านบรรพบุรุษเองก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้”
หนึ่งในพวกเขาส่งเสียงออกมา
หลินเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับมีสีหน้าที่ตกต่ำโดยทันที
ระหว่างนี้จระเข้เบญจธาตุเองก็ได้แต่มีใบหน้าเปลี่ยนสีไป
“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน ! ”
หลินเทียนส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมา
“มันก็ต้องมีคนแจ้งเราอยู่แล้ว ”
หนึ่งในพวกเขาส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่ราบเรียบขณะที่จ้องมองหลินเทียนด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ
นี่ทำให้แววตาของหลินเทียนส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาโดยทันที
“เจียงยี่ชวน! ”
เป็นเพราะว่ามีเพียงกลุ่มพวกเขาเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้และมีเพียงเจียงยี่ชวนที่เป็นคนนอกทำให้ไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้เลยว่ามันเป็นอีกฝ่ายที่หักหลังพวกเขา
“ด้วยอาวุธอนันตกาลและยาทิพย์ระดับต่ำไม่เท่าไหร่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนก็ถือว่าเป็นข้อตกลงที่คุ้มค่าจริงๆ ”
ชายชราพูดออกมา
นี่ช่วยยืนยันข้อสงสัยของหลินเทียนโดยทันที
“ไอ้ระยำที่แทนคุณด้วยโทษเอ้ย ! ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธ