Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1452
หลินเทียนเดินนำเอาจระเข้เบญจธาตุและคนอื่นๆเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าแล้วก็ก้าวเข้าไปโดยที่ไม่ได้สนใจใครรอบข้างด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกโดยทันที
เป็นเพราะว่าตอนนี้เขารู้สึกโกรธจัดถึงขีดสุดแล้วเพราะหากว่าอีกฝ่ายเพียงแค่โอ้อวดว่าเขาสามารถเก็บเอากลุ่มก้อนพลังไปได้ง่ายๆเขาก็คงจะไม่สนใจมาจัดการมันด้วยซ้ำ
ทว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าตระกูลจ้าวนั้นให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากและรู้ดีว่าตระกูลจ้าวจะต้องลงมือกับเขาแต่มันก็ยังขายข่าวเรื่องนี้เพื่อแลกกับสมบัตินี่มันทำให้เขาหมดความอดทนไปทันที
“ใครกัน ?! หยุดนะ ! ”
ไม่ว่าขุมพลังไหนๆก็มักมีศิษย์คอยเฝ้าประตูเอาไว้ไม่เว้นแม้แต่ขุมพลังแห่งนี้ดังนั้นหลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนและคนอื่นๆกำลังเข้าใกล้ก็พากันส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดัง
หลินเทียนยังคงก้าวเดินเข้าไปโดยที่มีสีหน้าที่เย็นยะเยือกอย่างเคย
“รนหาที่ตาย ! ”
ดวงตาของเหล่าศิษย์เองก็ส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาเช่นกันพร้อมทั้งหันปลายหอกแหลมชี้เข้าใส่ทางหลินเทียน
ทว่ากลิ่นอายที่หลินเทียนแผดออกมานั้นได้กระแทกร่างของพวกเขาจนปลิวออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือด
“เจ้ากล้าตอบโต้งั้นรึ ! ”
“กล้าสร้างปัญหาให้กับตำหนักป้าวของเรางั้นรึ ?! ”
“จับตัวมันเอาไว้ ! ”
เหล่าศิษย์ทั้งหลายพากันแสดงสีหน้าที่โกรธจัดออกมาตามๆกันพร้อมทั้งสังเวยการโจมตีทั้งหมดอัดเข้าใส่ร่างของหลินเทียน
“ไสหัวไปไกลๆ ! ”
จระเข้เบญจธาตุที่อยู่ข้างๆได้ส่งเสียงคำรามออกมาขณะที่คลื่นพลังอสูรอันเข้มข้นระเบิดออกไปรอบทิศทาง
นี่ทำให้ร่างกายของเหล่าศิษย์ทั้งหลายลอยเคว้งออกไปไกลโดยที่อาวุธในมือได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นผุยผงไปในพริบตา
หลินเทียนยังคงก้าวเดินออกไปโดยที่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
แน่นอนว่ามีหลายๆคนเห็นการกระทำของหลินเทียนได้เป็นอย่างดีดังนั้นแต่ละคนถึงได้พากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาพร้อมทั้งปลดปล่อยกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกออกมา
“เจ้ากล้านักนะ ! คิดจะรุกล้ำเข้ามาภายในขุมพลังของเรา ?! ”
ผู้ดูแลคนหนึ่งส่งเสียงออกมาพลางพูดต่อว่า
“จับพวกมันไว้ให้หมด ! ”
“ตู้มม ~! ”
คลื่นพลังเทวะอันหนักหน่วงได้ระเบิดออกมาเข้าใส่ทางหลินเทียน
หลินเทียนได้ปลดปล่อยคลื่นพลังของเขาออกมากระแทกร่างคนเหล่านี้ปลิวออกไปไกลอีกครั้ง
“รุมมัน ! ”
ผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ๆได้ออกคำสั่งออกมาพร้อมทั้งกระโจนเข้าใส่ทางหลินเทียน
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ได้ต่างกันเนื่องจากพวกเขาทุกคนล้วนถูกกระแทกออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือดกันหมด
นี่ทำให้ผู้คนทั้งหลายพากันแสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาตามๆกัน
“รีบไป….รายงานให้ท่านจ้าวตำหนักและท่านผู้อาวุโสสูงสุดทราบเร็ว ! ”
หนึ่งในผู้คนส่งเสียงออกมา
นี่ทำให้หลายๆคนพากันรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่เย็นชาออกมาโดยที่ปล่อยผ่านอีกฝ่ายไปพร้อมทั้งแผดจิตสัมผัสอันทรงพลังไปโดยรอบพร้อมค้นพบร่างของเจียงยี่ชวน
นี่ทำให้สายตาของเขาส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาอีกครั้งพร้อมทั้งก้าวเดินออกไป
……….
ภายในส่วนลึกของตำหนักแห่งนี้เจียงยี่ชวนกำลังนั่งอยู่ตรงกันข้ามชายวันกลางคนชุดเหลือง
ที่โต๊ะหยกตรงหน้าของพวกเขามียาทิพย์มากมายวางเรียงรายอยู่โดยรอบพร้อมๆกับกระบี่สีทองที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมายส่งกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา
“เป็นไงท่านพ่อ สุดยอดไปเลยหรือเปล่าขอรับ ? ”
เจียงยี่ชวนส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
ชายวัยกลางคนได้แสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมาพร้อมๆกับพูดว่า
“ยาทิพย์พวกนี้มัน……..มีประโยชน์อย่างมากกับเขตแดนจักรพรรดิโกลาหล ! ”
หลังจากนั้นสายตาของเขาก็ได้หยุดอยู่ที่กระบี่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าเก่าจนร่างกายอดสั่นไปไม่ได้ว่า
“นี่มัน….อาวุธ…..อนันตกาล ! ”
ชายคนนี้คือพ่อของยี่ชวนซึ่งเป็นจ้าวตำหนักป้าวที่อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลระดับ 5 ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งไม่เบาทว่าในตอนนี้กลับมีสีหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุดและตื่นเต้นจากก้นบึ้งของหัวใจเพราะว่ามูลค่าของสมบัติตรงหน้าของเขามันไม่สามารถประเมินได้แถมยังมีประโยชน์ต่อเขามากๆ
ต้องรู้ก่อนนะว่าอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในขุมพลังของเขาเป็นเพียงอาวุธบรรพบุรุษตอนกลางเท่านั้น
ทว่าอาวุธที่ยี่ชวนนำกลับมาเป็นถึงอาวุธอนันตกาล !
นี่มันเป็นอาวุธอนันตกาล !
มันอยู่เหนืออาวุธบรรพบุรุษถึงสองเขตแดนใหญ่ ! ด้วยอาวุธนี้สามารถทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก !
“ทำได้ดีมากๆ ! ”
จ้าวตำหนักส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้นพร้อมทั้งจับมือของยี่ชวนเอาไว้แล้วถามออกมาด้วยความเป็นห่วงว่า
“ได้ยินมาจากคำพูดของเจ้าว่าอีกฝ่ายเองก็แข็งแกร่งมากๆอย่างน้อยๆก็อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าแล้วหากว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เจ้าเอาเรื่องพวกนี้ไปขายให้กับตระกูลจ้าวแบบนี้แล้วมันก็คงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆแน่ๆ เมื่อถึงตอนนั้นแล้วจะเป็นปัญหาใหญ่กับเราโดยทันที ! ”
เป็นเพราะว่าเขารู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของยี่ชวนมาหมดแล้ว
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ท่านไม่รู้หรือไงว่าขุมพลังใหญ่พวกนั้นให้ความสำคัญกับกลุ่มก้อนพลังงานนั้นขนาดไหนกันเพราะหลังจากที่พวกมันได้ข่าวเรื่องนี้แล้วก็ส่งตัวตนระดับผู้อาวุโสสูงสุดเขตแดนกึ่งอนันตกาลออกไปจับตัวชายคนนั้นกลับมาเพื่อสูบเอาพลังงานออกไปแล้วก็จะฆ่ามันโดยทันทีดังนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ”
หลังจากที่พูดจบก็ได้แสยะยิ้มออกมาพร้อมทั้งพูดว่า
“แต่มันรู้สึกผิดเล็กน้อยจริงๆเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ”
ขณะที่พูดเขาไม่ได้มีสีหน้าที่รู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำแต่เป็นการเยาะเย้ยเสียมากกว่า
นี่ทำให้เขาระลึกได้ถึงบางสิ่งก่อนที่จะพูดต่อว่า
“แล้วในเมื่อเรามีอาวุธอนันตกาลแบบนี้แล้วเราจะบุกไปยังสถานที่หวงห้ามที่เราค้นพบกันเลย ? บางทีเราอาจจะเปิดสรวงสวรรค์นั่นได้ก็เป็นได้ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วขุมพลังของเราจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วและอาจจะอยู่ในระดับเดียวกับตระกูลจ้าวเลยก็เป็นไปได้ ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วดวงตาของจ้าวตำหนักเองก็อดส่องประกายออกมาไม่ได้พลางพูดว่า
“ก็น่าจะลองดูได้แต่แม้จะมีอาวุธอนันตกาลทว่าก็ไม่ได้มีความหวังมากนักเพราะถึงอย่างไรที่นั่นก็เต็มไปด้วยอาณาเขตที่อันตรายอย่างมากแถมข่ายอาคมก็มีนับไม่ถ้วนดังนั้นการจะเข้าไปได้มันมีความเป็นไปได้ที่ต่ำมากๆ ”
เป็นเพราะเมื่อสามปีก่อนพวกเขาบังเอิญค้นพบบันทึกโบราณที่นำทางพวกเขาไปสู่สถานที่แปลกๆภายในหุบเขาซึ่งรายล้อมไปด้วยกลิ่นอายนิรันดร์อันทรงพลังซึ่งเป็นสถานที่ๆผู้เชี่ยวชาญเขตแดนนิรันดร์แท้จริงทิ้งเอาไว้และดูเหมือนว่าภายในจะเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย
ณ ตอนนั้นเป็นเพราะความโลภบังตาทำให้พวกเขาพากันบุกเข้าไปภายในแต่ก็ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้แถมยังเกือบตายกันหมดแล้วหลังจากนั้นก็มักจะส่งตัวตนระดับจ้าวสวรรค์เข้าไปแต่ก็ยังเปล่าประโยชน์แถมยังสูญเสียผู้อาวุโสสูงสุดที่เก้าเขตแดนจ้าวสวรรค์ลงไปด้วย
นี่ทำให้จำนวนครั้งที่ส่งคนเข้าไปลดน้อยลงไปเรื่อยๆเพราะมันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เก็บเรื่องนี้เอาไว้ภายในใจเสมอมาเพราะว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ๆสำคัญต่อพวกเขามากๆและตราบเท่าที่สามารถฝ่าเข้าไปได้แล้วขุมพลังของพวกเขาก็จะเติบใหญ่อย่างรวดเร็วและอย่างน้อยๆก็เทียบเคียงกับขุมพลังระดับ 2 หรือระดับ 1 เพื่อกลายเป็นหนึ่งในห้าขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดเลยก็ยังได้
“แม้ว่าจะมีโอกาสไม่มากแต่ก็ควรจะลองเพราะอาจจะสำเร็จก็เป็นได้ ”
ยี่ชวนส่งเสียงออกมา
จ้าวตำหนักได้พยักหน้าพร้อมตอบว่า
“เอาล่ะ ข้าและ……..”
“ปึ้งง ~! ”
ทันใดนั้นเองที่ประตูตำหนักถูกผลักเข้ามาพร้อมๆกับศิษย์ที่วิ่งเข้ามาด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า
“แย่แล้วขอรับท่านจ้าวตำหนัก……”
“กำแหงนักนะ ! รู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหนกัน ! ”
จ้าวตำหนักได้ขัดจังหวะคำพูดของศิษย์คนนั้นไป
ศิษย์คนนั้นได้แต่คุกเข่าลงพร้อมทั้งส่งเสียงสั่นๆออกมาว่า
“ขออภัยด้วย..ขอรับท่าน……ได้โปรดให้อภัย ! ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อว่า
“แต่ว่า….มีคนบุกเข้ามาภายในตำหนักของเราซึ่งอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งถึงขั้นที่ผู้อาวุโสเองก็ยังไม่สามารถต่อกรได้ขอรับ ! ”
“ว่าไงนะ ?! ”
จ้าวตำหนักที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับแสดงสีหน้าที่โกรธจัดออกมาโดยทันที
ยี่ชวนได้แสยะยิ้มออกมาพร้อมทั้งคว้าเอาอาวุธอนันตกาลขึ้นมาแล้วพูดว่า
“หากว่าขนาดผู้อาวุโสเองก็ยังไม่สามารถต่อกรได้แสดงว่าอย่างน้อยๆมันก็อยู่ในเขตแดนกึ่งจักรพรรดิ ก็ดี เหมาะที่จะทดสอบอาวุธนี้พอดี ”
เขาพูดออกมาพร้อมทั้งคว้ากระบี่แล้วก้าวเดินออกไป
ศิษย์ที่กำลังจ้องมองไปยังกระบี่ในมือของยี่ชวนเองก็ได้แต่สั่นสะท้านไปเพราะแม้ระดับพลังของเขาจะไม่ได้สูงมากแต่ก็ตระหนักดีว่าพลังทำลายที่ส่งออกมานั้นสามารถสะบั้นโลกใบนี้ออกได้ง่ายๆ
…..
หลินเทียนยังคงก้าวเดินเข้ามาภายในด้วยสีหน้าที่เย็นยะเยือกอย่างเคย
เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างพากันหลักทางให้กับเขาด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นอย่างมากเพราะผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่รวมพลังกันเองก็ยังไม่สามารถต่อกรได้แม้กระทั่งกลิ่นอายของหลินเทียนด้วยซ้ำ
นี่ทำให้พวกเขาได้แต่หวาดหวั่นไปเพราะขนาดผู้อาวุโสเองก็ยังไม่สามารถรับมือกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้นี่มันน่ากลัวขนาดไหนกัน ? แล้วจะให้พวกเขาต่อกรอย่างไร ?
“ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าใครมันไม่ดูตามาตาเรือถึงได้กล้ารุกล้ำเข้ามาที่นี่ ”
เสียงแสยะถูกส่งออกมาขณะที่ยี่ชวนปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆกับกระบี่ในมือที่ส่องประกายแสงสีทองออกมาอย่างเข้มข้นเสมือนดั่งเทพกระบี่ที่จุติลงมายังโลกใบนี้