Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1457
ประตูหินนี้ตั้งอยู่ที่สุดขอบของห้องโถงแห่งนี้ซึ่งรายล้อมไปด้วยอักขระมากมาย
หลินเทียนจ้องมองออกไปพร้อมทั้งแผดจิตสัมผัสเข้าหามันแต่ก็พบว่ามันกลับไม่สามารถทะลวงผ่านประตูนี้ไปได้และสิ่งเดียวที่เขาสัมผัสได้คือกลิ่นอายแห่งนิรันดร์แท้จริงและสัจธรรมแห่งนิรันดร์อันเข้มข้นที่ไหลซึมออกมาจากด้านหลังประตูบานนี้
เขาได้นิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะหันมองไปทางจระเข้เบญจธาตุพร้อมทั้งก้าวเดินออกไปแล้วแตะมือลงบนประตูหินนี้พลางหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันเพื่อสังเวยทักษะเบญจอัสนีสะท้านฟ้าออกมาแก้ข่ายอาคมตรงหน้า
ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าหลายชั่วลมหายใจและมันเป็นตอนนี้เองที่อักขระทั้งหลายได้สลายหายไป
“กลิ่นอายสัจธรรมแห่งนิรันดร์มันเข้มข้นมากๆ ไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรอยู่หลังประตูบานนี้ดังนั้นระมัดระวังเอาไว้ให้มาก ”
หลินเทียนหันไปพูดกับทั้งสองคนพร้อมทั้งผลักประตูเข้าไปโดยทันที
“ตู้มม ”
ประตูได้ถูกเปิดออกขณะที่กลิ่นอายอันทรงพลังที่ผสมผสานไปด้วยสัจธรรมอันเข้มข้นได้ไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง
มันเป็นเพราะได้รับคำเตือนจากหลินเทียนเอาไว้ก่อนแล้วทำให้ทั้งสองคนต่างระมัดระวังเป็นอย่างมากซึ่งเมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเหล่านี้แล้วพวกเขาก็ต่างพากันรีบเบี่ยงตัวหลบออกห่างไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“ฟึ้บบ ~! ”
“ฟึ้บ ~! ”
“ฟึ้บ ~! ”
มิติโดยรอบได้แหลกสลายหายไปอย่างสิ้นเชิงพร้อมทั้งแปรเปลี่ยนกลายเป็นห้วงแห่งความโกลาหลที่ยากจะฟื้นตัวได้
“โชคดีนะที่เบี่ยงหลบออกมาทันไม่งั้นหากว่าปะทะเข้ากับกลิ่นอายนี้ตรงๆต่อให้เป็นเขตแดนนอนันตกาลก็ไม่น่าจะรอดได้ ”
จระเข้เบญจธาตุได้ส่งเสียงสั่นๆออกมา
เสี่ยวไท่ชูเองก็คอหดไปด้วยท่าทางที่น่ารักไม่เปลี่ยนแปลง
หลินเทียนนั้นมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นกันแต่ก็ปรับอารมณ์กลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งหยุดอยู่ด้านหน้าของมันจนยืนยันได้ว่าไม่มีอันตรายใดๆพุ่งออกมาอีกถึงได้เรียกคนอื่นๆแล้วก้าวเดินเข้าไป
เขาเป็นคนเดินนำคนอื่นๆเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบกับพื้นที่โล่งกว้างที่ไม่ได้มืดมิดซึ่งระหว่างที่พวกเขาก้าวเดินเข้าไปก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่หนักหน่วงเสมือนว่ามีหินขนาดใหญ่น้ำหนักกว่าหลายล้านตันกำลังกดทับร่างเอาไว้ทำให้รู้สึกเหมือนน่าอกกำลังจะยุบลงไป
มนุษย์และอสูรทั้งสองต่างพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาพลางหันมองออกไปทางปลายสุดของสถานที่แห่งนี้ก่อนที่สีหน้าจะยิ่งเปลี่ยนไปมากกว่าเก่า
“นั่นมัน ?! ”
เป็นเพราะว่าที่ปลายสุดของสถานที่แห่งนี้มีร่างๆหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่โดยที่ไม่มีสัญญาณชีพส่งออกมาแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามร่างไร้วิญญาณนี้กลับส่งกลิ่นอายของนิรันดร์แท้จริงออกมาอย่างเข้มข้นซึ่งบ่งบอกได้เลยว่าแรกกดดันที่พวกเขาได้รับมันมาจากร่างๆนี้
“ร่างของนิรันดร์แท้จริง ? ”
จระเข้เบญจธาตุได้แต่ผงะไป
“น่าจะ ”
หลินเทียนพยักหน้าของเขา
เป็นเพราะว่ากลิ่นอายนิรันดร์ที่กึ่งนิรันดร์แท้จริงส่งออกมานั้นไม่สามารถเทียบเคียงได้กับเขตแดนนิรันดร์แท้จริงได้แม้แต่น้อยเพราะหากเปรียบว่ากลิ่นอายที่กึ่งนิรันดร์แท้จริงส่งออกมาเป็นเหมือนหยดน้ำแล้วกลิ่นอายที่ร่างไร้วิญญาณนี้ส่งออกมาก็เปรียบได้ดั่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
เขาได้แต่มองออกไปยังร่างๆนี้ก่อนที่จะหันไปพูดกับทั้งสองคนแล้วก้าวเดินออกไป
ไม่นานพวกเขาก็พากันเข้าไปใกล้ร่างศพๆนี้ด้วยความรู้สึกที่กดดันมากขึ้นยิ่งกว่าเก่าถึงขั้นที่ทำให้อสูรทั้งสองถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง
“ทำไมที่นี่ถึงได้มีศพของนิรันดร์แท้จริงอยู่กัน ? ”
จระเข้เบญจธาตุแสดงสีหน้าที่สงสัยออกมาพร้อมทั้งระลึกถึงบางสิ่งแล้วพูดว่า
“หรือว่าเขาจะเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ? ”
“น่าจะใช่ ”
หลินเทียนตอบกลับ
เป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนสถานที่บ่มเพาะดังแถมที่นั่งที่ร่างไร้วิญญาณนี้กำลังนั่งขัดสมาธิเองก็เป็นสิ่งช่วยรวมพลังดังนั้นหากว่าจะบอกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เจ้าของที่นี่แล้วก็คงมีความเป็นไปได้ที่ต่ำมากๆ
“เขาตายขณะที่บ่มเพาะ ? ”
จระเข้เบญจธาตุถามออกมา
หลินเทียนยกมือของเขาออกไปแตะร่างๆนี้เอาไว้พร้อมทั้งส่งพลังเทวะออกไปสำรวจภายในร่างนี้
ไม่นานจิตสัมผัสของเขาก็ไปถึงกลุ่มก้อนพลังงานอันหม่นหมองที่ปั่นป่วนและดุร้ายเสมือนดั่งอสูรร้ายที่กำลังกลืนกินร่างๆนี้
ระหว่างนี้เขาก็พบกับกลุ่มก้อนพลังอีกกลุ่มที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งสัจธรรมอันบริสุทธิ์แต่กลับไม่สมดุลเสมือนว่าเป็นคนที่เพิ่งตัดผ่านเขตแดนจ้าวแห่งเต๋าทำให้สัจธรรมของตัวเองยังไม่มั่นคง
“นี่มัน…”
ดวงตาของเขาส่องประกายที่แปลกประหลาดใจออกมา
“พบอะไรงั้นรึ ? ”
จระเข้เบญจธาตุถามออกมา
เสี่ยวไท่ชูเองก็เงยหน้าน้อยๆของมันขึ้นมามองเขาด้วยความสงสัยเช่นกัน
หลินเทียนได้ตอบกลับไปว่า
“ภายในร่างๆนี้มีพลังเทวะที่ผสมผสานพลังสัจธรรมหลงเหลืออยู่แต่มันไม่สมดุลเสมือนว่าเกิดปัญหาระหว่างที่ตัดผ่านเขตแดนนิรันดร์แท้จริงทำให้แม้ว่าจะอยู่ในเขตแดนนิรันดร์แท้จริงแต่พลังเทวะภายในร่างกลับปั่นป่วนและไม่สามารถควบคุมได้ส่งผลให้ดวงวิญญาณถูกทำลายลงทำให้เลือดเนื้อเองก็ได้รับผลกระทบจนกลายเป็นร่างเหี่ยวๆแบบนี้แหละ ”
ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนอนันตกาลที่ต้องการจะตัดผ่านเขตแดนนิรันดร์แท้จริงนั้นจำเป็นจะต้องเรียนรู้สัจธรรมแห่งนิรันดร์ที่อยู่เหนือสัจธรรมปกติซึ่งระหว่างที่ตัดผ่านก็จะทำให้สัจธรรมเหล่านั้นไม่สมดุลและจำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับสภาพของมันแต่ร่างไร้วิญญาณนี้มีเพียงแค่พลังงานที่ปั่นป่วนหลงเหลือเอาไว้เท่านั้นแถมที่ร่างกายเองก็ยังไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อยดังนั้นเขาจึงสรุปได้เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายประสบอุบัติเหตุระหว่างที่ตัดผ่านเขตแดนนิรันดร์แท้จริงทำให้ตกตายลงอย่างน่าอนาถ
และเป็นเพราะแบบนี้ถึงได้ทำให้กลิ่นอายนิรันดร์แท้จริงและสัจธรรมแห่งนิรันดร์ไหลทะลักออกไปที่โลกภายนอก
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเข้าใจได้ว่าทำไมอักขระอาคมที่อยู่ภายนอกสถานที่แห่งนี้ถึงได้เปราะบางผิดปกติถึงขั้นที่เขาสามารถทำลายลงได้ง่ายๆก็เพราะว่าจริงๆแล้วก่อนหน้านี้เจ้าของสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญเขตแดนอนันตกาลในตอนที่วางข่ายอาคมเอาไว้ดังนั้นด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะแก้ข่ายอาคมเหล่านั้น
จระเข้เบญจธาตุเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปถึงกับอดตาค้างไปไม่ได้
นี่ทำให้มันได้แต่คิดตามพร้อมทั้งรู้สึกว่าข้อสันนิษฐานของหลินเทียนนั้นเป็นไปได้
มันหันมองออกไปยังร่างไร้วิญญาณตรงหน้าพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างรู้สึกอึดอัดว่า
“นี่คือการสูญสิ้น ? ”
“เส้นทางการบ่มเพาะมันยากเย็นแสนเข็นแถมยังเต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรค์มากมาย นี่ไม่นับว่าเท่าไหร่นักหรอก ”
หลินเทียนตอบกลับ
เขามองออกไปยังร่างไร้วิญญาณตรงหน้าก่อนที่จะเก็บมันเอาไว้ภายในโลกใบเล็กของตัวเอง
“เจ้าเก็บมันไปทำไมกัน ? ไม่ใช่ว่ามันไม่สามารถนำมาใช้หล่อหลอมได้หรือไง ? ”
จระเข้เบญจธาตุถามออกมาด้วยความสงสัย
“ยังเอาไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีก ”
หลินเทียนตอบกลับไป
เป็นเพราะว่าแม้เลือดเนื้อของร่างๆนี้จะไม่มีเหลือแล้วแต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นร่างของนิรันดร์แท้จริงที่มีความแข็งแกร่งทางร่างกายที่น่าเหลือเชื่อถึงขั้นที่หากว่าเขาใช้ดวงวิญญาณของตัวเองควบคุมร่างๆนี้แล้วจะไม่มีใครภายใต้เขตแดนนิรันดร์แท้จริงต่อกรกับเขาได้
แน่นอนว่าเขาได้อธิบายความคิดตัวเองออกไป
นี่ทำให้ดวงตาของจระเข้เบญจธาตุถึงกับเบิกกว้างขึ้นพร้อมทั้งส่งเสียงออกมาว่า
“เป็นความคิดที่ดีมากๆ ! ”
หลังจากนั้นมันก็พูดต่อว่า
“แล้วเราจะเอายังไงกันต่อดี ? ”
“ไม่ใช่ว่าเราได้รับสมบัติมากมายจากที่นี่ ? ก็ดูดกลืนมันก่อนแล้วค่อยไปก็แล้วกัน ”
หลินเทียนตอบกลับ
จระเข้เบญจธาตุได้พยักหน้าของมันพร้อมตอบว่า
“คิดแบบเดียวกันเลย ! ”
นี่ทำให้พวกเขาต่างคว้าเอายาทิพย์ของตัวเองออกมาพร้อมทั้งเริ่มการบ่มเพาะเพื่อดูดซับพลังจากพวกมันไปภายในสถานที่แห่งนี้
บึ้สสส !
นี่ทำให้ร่างกายของพวกเขาต่างพากันเปล่งประกายแสงอันเจิดจรัสออกมาขณะที่กลิ่นอายและพลังที่อัดแน่นอยู่ภายในร่างเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าเจ็ดวันเต็มๆ
วันนี้เป็นวันที่ร่างกายของหลินเทียนระเบิดคลื่นพลังอันหนักหน่วงออกมาหลังจากที่ตัดผ่านเขตแดนนิรันดร์อมตะตอนปลายได้
“ต่อกันเลย ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
หลังจากนั้นก็หมุนวนพลังต่อไปเพื่อปรับสมดุลพลังภายในร่างทำให้ร่างกายของเขายิ่งส่องประกายแสงสีทองอร่ามเป็นประกายระยิบระยับออกมามากกว่าเก่า
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่จระเข้เบญจธาตุและเสี่ยวไท่ชูเองก็พากันแผดกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมาตามๆกัน
พริบตาเวลาก็ได้ล่วงเลยไปอีกกว่าหนึ่งเดือนเต็มๆ
วันนี้เป็นวันที่คลื่นพลังอันหนักหน่วงได้ระเบิดออกมาจากร่างของเสี่ยวไท่ชูและจระเข้เบญจธาตุขณะที่พวกเขาล้วนตัดผ่านเขตแดนกึ่งนิรันดร์อมตะกันทั้งหมด
จระเข้เบญจธาตุได้แต่แสดงท่าทางที่ตื่นเต้นจนตัวสั้นอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะหันมองไปยังหลินเทียนที่กำลังนั่งขัดสมาธิพลางพูดว่า
“เหลือรอเจ้าหนูนี่แหละ ”
ระหว่างนี้ดาวทั้งดวงเองก็ต่างลุกฮือขึ้นอย่างมากขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างพากันสนทนาเรื่องของหลินเทียนกันอย่างไม่หยุดหย่อน
ระหว่างนี้ขุมพลังใหญ่อื่นๆเองก็พากันส่งกองกำลังผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งออกมาเพื่อเกาะรอยของหลินเทียนแต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้กลับไม่สามารถค้นหาร่องรอยได้เลยแม้แต่น้อย
“หาต่อไป ต่อให้ต้องขุดดินลงไปก็หามันให้พบ ”
ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งส่งเสียงออกมา
………….
หลินเทียนยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่ขณะที่ดูดกลืนยาทิพย์ต่อไปจนเวลาล่วงเลยไปอีกกว่าเจ็ดวันเต็ม
ณ ตอนนี้เองที่ประกายแสงที่แผดออกมาจากร่างของเขายิ่งเข้มข้นขึ้นกว่าเก่าขณะที่กลิ่นอายพุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
“อย่างมากอีกสามวันก็จะตัดผ่านเขตแดนกึ่งอนันตกาลได้แล้ว ”
จระเข้เบญจธาตุพึมพำออกมา