Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1458
หลินเทียนที่อยู่ภายในห้องยังคงรายล้อมไปด้วยประกายแสงสีทองอร่ามไปทั้งตัวขณะที่กลิ่นอายของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงขั้นที่ทำให้มิติโดยรอบถึงกับบิดตัว
ประกายแสงสีทองอันอ่อนโยนสร้างความงดงามและน่าหลงใหลได้อย่างน่าประหลาดใจ
จระเข้เบญจธาตุและเสี่ยวไท่ชูก็ได้แต่มองไปทางเขาก่อนที่เวลาจะผ่านไปกว่าสองวันอย่างรวดเร็ว
วันนี้เป็นวันที่ประกายแสงที่ส่องออกมาจากร่างของเขาได้แผ่วลงทว่ากลิ่นอายที่ส่งออกมากับพุ่งสูงขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าตัวและที่สำคัญที่สุดคือมันกลับมีกลิ่นอายอันลึกลับที่ให้ความรู้สึกเสมือนว่าไม่มีวันแตกดับผสมผสานอยู่ด้วย
ระหว่างนี้ดวงวิญญาณของเขาเองก็ส่งกลิ่นอายที่แตกต่างออกมาเช่นเดียวกัน
“กลิ่นอายนี้มัน……”
จระเข้เบญจธาตุที่อยู่ห่างออกไปได้แต่มองไปทางหลินเทียนด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเพราะหลินเทียนกำลังจะตัดผ่านเขตแดนกึ่งอนันตกาลแล้วทำให้แก่นพลังและดวงวิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลง
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่ร่างแห่งนิรันดร์และก้าวไปยังเขตแดนที่ไม่มีวันดับสูญ
“บึ้สส ~! ”
ร่างกายของหลินเทียนยังคงรายล้อมไปด้วยประกายแสงอันอบอุ่นมากขึ้นๆ
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกกว่าหนึ่งวันเต็มๆ
วันนี้เป็นวันที่คลื่นพลังอันหนักหน่วงได้กะเพื่อมออกมาจากร่างของเขาพร้อมทั้งสร้างเป็นคลื่นพายุอันทรงพลังกวาดออกไปรอบทิศทาง
หลังจากนั้นเองที่เขาได้ลืมตากลับขึ้นมา
“กึ่งอนันตกาล ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเองด้วยดวงตาที่เปล่งประกายออกมา
ณ ตอนนี้เมื่อแผดจิตสัมผัสออกไปแล้วเขาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของตัวเองเลยว่าร่างกาย แก่นพลังและดวงวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก
และที่สำคัญที่สุดคือเขาสัมผัสได้ว่าแก่นพลังของเขาเริ่มก่อเกิดความแข็งแกร่งของอนันตกาลซึ่งจะไม่มีวันแตกดับแถมยังมีประกายแสงอันเข้มข้นโอบร่างวิญญาณของเขาเอาไว้
“กึ่งอนันตกาลหมายความว่าขาก้าวหนึ่งเหยียบอยู่ในระดับอนันตกาล นี่คือกลิ่นอายเฉพาะของเขตแดนนี้ ”
ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมา
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่ามันกลิ่นอายอนันตกาลอันพิเศษสุดถึงแม้ว่าจะเบาบางเนื่องจากเขาเพิ่งจะก้าวเท้าลงไปข้างเดียวเท่านั้น
ทว่าตัวเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมากแล้วถึงขั้นที่ไม่สามารถเทียบกับเมื่อหนึ่งเดือนก่อนได้เลยด้วยซ้ำ มันทำให้เขาเชื่อว่าเขาสามารถสังหารเขตแดนอนันตกาลตอนต้นได้ด้วยมือเปล่าๆด้วยซ้ำ
“อีกเพียงแค่นิดเดี๋ยวก็อยู่จะเขตแดนที่ไม่มีวันแตกดับแล้ว ! ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะว่าอีกเพียงแค่ครึ่งก้าวหลินเทียนก็จะตัดผ่านเขตแดนอนันตกาลได้แล้วแต่หลังจากที่ตัดผ่านไปนั้นเขาก็จะกลายเป็นนิรันดร์ที่ตราบเท่าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากภายนอกก็จะไม่มีวันตายลง
หลินเทียนยิ้มออกมาพร้อมทั้งลุกขึ้นยืน
แน่นอนว่าเรื่องนี้มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างมาก
เขาหันมองออกไปพร้อมทั้งส่งเสียงออกมาว่า
“ไปกัน ”
เป็นเพราะว่าสมบัติทั้งหมดได้ถูกเก็บไปหมดแล้วจึงไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป
นี่ทำให้พวกเขาพากันหันหลังเดินทางออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกลับออกไปยังโลกภายนอกได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
เขาหันมองออกไปยังตะไคร่ที่อยู่รอบๆก่อนที่จะก้าวเดินออกไปจากสถานที่แห่งนี้
หลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมงพวกเขาก็ออกห่างจากหุบเขานี้ไปไกลมากๆแล้ว
มันเป็นตอนนี้เองที่มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่ร่างหลายร่างกำลังพุ่งเข้าหาทางเขาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
เป็นชายชราชุดม่วงที่ส่งกลิ่นอายอันทรงพลังออกมา
“เขตแดนอนันตกาลตอนปลาย ?! ”
จระเข้เบญจธาตุได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
สายตาของชายชราที่ปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้ได้แต่จ้องเขม็งมาที่ร่างของหลินเทียนอย่างไม่วางตา
“พบเจ้าแล้ว ! ”
เขามองไปทางหลินเทียนด้วยดวงตาที่ส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาถึงขีดสุด
หลินเทียนหันมองออกไปทางอีกฝ่ายพร้อมทั้งพูดออกมาว่า
“บรรพบุรุษตระกูลจ้าว ”
เป็นเพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแบบเดียวกันกับเขาผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลจ้าวทั้งสามคนซึ่งแข็งแกร่งกว่ามากดังนั้นจึงไม่บอกก็รู้ว่านี่นะต้องเป็นบรรพบุรุษของพวกมันอย่างแน่นอน
“เก่งหนิ กล้ามากนักนะที่กล้าสังหารกึ่งอนันตกาลของเราไปถึงสามคน ! ”
บรรพบุรุษตระกูลจ้าวส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะว่าหลังจากที่กลับออกมาจากการบ่มเพาะเขาก็ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มก้อนพลังงานที่หลินเทียนเก็บไปพร้อมทั้งพบว่าผู้อาวุโสสูงสุดสามคนของพวกเขาได้ถูกหลินเทียนสังหารไปจนหมดทำให้รู้สึกโกรธจัดเป็นอย่างมากจึงเริ่มการแกะรอยตามหลินเทียนอย่างรวดเร็ว
เป้าหมายหลักของเขาคือจำเป็นต้องชิงเอากลุ่มก้อนพลังงายภายในร่างของหลินเทียนแล้วจะฆ่าเขาให้ตายด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมที่สุดเพื่อเส้นไหว้วิญญาณของกึ่งอนันตกาลทั้งสามที่เสียไป
หลินเทียนหันมองไปทางอีกฝ่ายและสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของมันดีและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอนันตกาลตอนปลายที่แข็งแกร่งมากเป็นอย่างดีว่ามันไม่ได้ต่างไปจากห้วงจักรวาลเลยด้วยซ้ำ
แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสนใจแม้แต่น้อย
“พวกสุนัขชั้นต่ำสามตัวที่ข้าฆ่ามันทำไม ? เจ้าจะกัดข้า ? ”
หลินเทียนหันมองออกไปพร้อมทั้งเย้ยหยันออกมาว่า
“เป็นฝ่ายตระกูลจ้าวของเจ้าต่างหากที่คิดจะฆ่าข้าและพวกพ้องเพื่อชิงเอาสมบัติแต่กลับเป็นฝ่ายถูกฆ่าเสียเองแล้วยังกล้าพูดกับข้าด้วยท่าทางเหมือนว่าข้าเป็นฝ่ายผิดนี่มันไม่ดูน่าทุเรศเกินไปหน่อย ? ข้าล่ะอยากจะอ้วกจริงๆ เจ้าคิดว่าตระกูลพวกเจ้าสามารถสังหารคนอื่นได้ฝ่ายเดียวแต่คนอื่นห้ามขัดขืนไม่งั้นก็เท่ากับการหยามเกียรติพวกเจ้า ? น่าทุเรศจริงๆ ”
นี่ทำให้สีหน้าของบรรพบุรุษตระกูลจ้าวยิ่งตกต่ำลงไปอีกเพราะหลินเทียนกลับกล้าเย้ยหยันเขา
“ไอ้ระยำเอ้ย ! ”
ดวงตาของเขาส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาพร้อมทั้งส่งคลื่นลำแสงอัดเข้าใส่ทางหลินเทียน
หลินเทียนแสยะออกมาขณะที่ประกายสายฟ้ารายล้อมร่างของเขาเอาไว้พร้อมทั้งเบี่ยงหลบออกไป
“กระจอกเกินไปไหม ? ด้วยระดับอนันตกาลแต่กลับไม่สามารถจับข้าได้ด้วยซ้ำ ? ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งระลึกได้ถึงบางสิ่งก่อนที่จะพูดว่า
“ข้าเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเต้าถึงได้กระจอกแบบนี้ ก็เป็นเพราะว่าสืบเชื้อสายของเจ้ามานี่เอง เจ้านี่มันเป็นหายนะของตระกูลจ้าวเลยด้วยซ้ำ ”
จระเข้เบญจธาตุที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับหัวเราะออกมาอย่างดังว่า
“ไอ้หนู ยิ่งอยู่เจ้านี่ยิ่งด่าทอได้เผ็ดจริงๆ ! ”
เสี่ยวไท่ชูเองก็ส่งเสียงทารกออกมาเพื่อเยาะเย้ยอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน
นี่ทำให้สายตาของบรรพบุรุษตระกูลจ้าวยิ่งเย็นยะเยือกขึ้นไปอีกขณะที่จิตสังหารอันเข้มข้นพวยพุ่งออกมาไม่หยุด
เขาได้แต่จ้องมองไปทางหลินเทียนพร้อมทั้งก้าวเท้าเข้าหาด้วยท่าทางที่ไม่ต่างจากปีศาจร้าย
และเป็นตอนนี้เองที่กลิ่นอายทำลายล้างอันทรงพลังได้ระเบิดออกมา
หลินเทียนเองก็สัมผัสถึงความร้ายกาจได้เป็นอย่างดีแต่ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่ามันก็เป็นเวลาเดียวกันนี้เองที่สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปพร้อมทั้งหันมองออกไปยังทิศทางอื่นๆ
“มีแขกมาเพิ่มแหะ ”
เขาพึมพำออกมา
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่กลิ่นอายอันทรงพลังได้พุ่งเข้ามาจากรอบด้านของเขาซึ่งแต่ละคนล้วนแล้วแต่อยู่ในเขตแดนอนันตกาลตอนปลายกันทั้งหมด
หลินเทียนหันมองออกไปยังร่างที่พุ่งมาจากทางตะวันตกซึ่งส่งกลิ่นอายแบบเดียวกันกับหวูซี่ออกมาซึ่งแน่อนนว่าเป็นบรรพบุรุษตระกูลหวูส่วนทางเหนือและตะวันออกนั้นก็เป็นของนิกายสังหารเทพและนิกายตงเฮิงซึ่งเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับทั้งสองมาก่อนแล้ว
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายมาเพื่ออะไร
และเมื่อมองออกไปแล้วเขาก็ได้แต่เผยรอยยิ้มออกมาอย่าไม่สนใจ
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่บรรพบุรุษตระกูลจ้าวได้หยุดเท้าลงพร้อมทั้งหันมองออกไปยังคนอื่นๆด้วยดวงตาที่ส่องประกายความระมัดระวังออกมาเพราะเขารู้ดีว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคืออะไรและมีความเป็นไปได้ที่จะต้องต่อสู้กับคนเหล่านี้
บรรพบุรุษตระกูลหวู นิกายสังหารเทพและนิกายตงเฮิงเองก็หันมองมาทางบรรพบุรุษตระกูลจ้าวและหันไปมองกันและกันด้วยสายตาที่ล้ำลึกและระมัดระวังอย่างมากเพราะว่าเป้าหมายของพวกเขาล้วนมีแบบเดียวกัน
หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็ต่างพากันเคลื่อนไหวพร้อมทั้งส่งกลิ่นอายอันทรงพลังอัดเข้าใส่ทางหลินเทียนอย่างไม่รอช้า