Divine King of All Directions – สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ - ตอนที่ 1459
ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนอนันตกาลทั้งสี่คนเปิดฉากโจมตีพร้อมๆกันแต่เป็นเพราะว่าระแวงซึ่งกันและกันทำให้ไม่ได้ใช้พลังเทวะของพวกเขาแต่ก็ยังสร้างคลื่นพลังที่รุนแรงอย่างมาก
หลินเทียนแสยะออกมาเพราะกล้าใช้ร่างกายเปล่าๆปะทะกับกายราชันที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเขา ?
“เหอะ ! ”
เขาปกป้องร่างกายของจระเข้เบญจธาตุและเสี่ยวไท่ชูเอาไว้ก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดสวนออกไป
มันเป็นตอนนี้เองที่ม่านฟ้าได้สั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่คลื่นพลังอันหนักหน่วงได้อัดกระแทกร่างของทุกคนจนทำให้ร่างกายของพวกเขาลอยเคว้งออกไปไกลด้วยสภาพที่ไม่ต่างไปจากหุ่นไล่กาท่ามกลางพายุ
“เจ้า……..”
เมื่อพยุงร่างตัวเองกลับขึ้นมาได้แล้วทั้งสี่คนก็ได้แต่ผงะไปเพราะว่าเขตแดนนิรันดร์อมตะมันกลับสามารถกระแทกร่างของพวกเขาจนปลิวได้แบบนี้
ถึงขั้นที่ว่าพวกเขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเสมือนว่าร่างกายกำลังจะปริแตกเลยด้วยซ้ำ
มันเป็นหมัดที่บดขยี้ร่างของพวกเขาเลยก็ว่าได้
“สมแล้วจริงๆที่เป็นถึงอนันตกาลตอนปลายที่เพียงแค่ถูกกระแทกออกไปแต่ร่างกายยังไม่แหลกสลาย ”
หลินเทียนตอบกลับ
เป็นเพราะว่าระดับพลังของเขาในตอนนี้อยู่ในเขตแดนกึ่งอนันตกาลซึ่งด้วยกายราชันที่แข็งแกร่งและแบกรับทัณฑ์สวรรค์มาครั้งแล้วครั้งเล่ามันทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งถึงขั้นที่น่ากลัวแต่การที่ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้อีกฝ่ายได้ก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
เป็นเพราะว่าเขตแดนอนันตกาลตอนปลายมันแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
บรรพบุรุษตระกูลจ้าวและคนอื่นๆพากันจ้องมองมาทางเขาด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเย็นชาเพราะแม้ว่าจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งเกินระดับพลังของตัวเองก็จริงแต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขาอยู่ดี
นี่ทำให้พวกเขาพากันเปิดฉากโจมตีเข้าใส่อีกครั้ง
และมันเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาล้วนขับเคลื่อนพลังเทวะของตัวเอง
ทักษะเทวะอันทรงพลังที่แข็งแกร่งอย่างมากถูกส่งออกมาจากทั้งสี่ทิศทางด้วยพลังทำลายที่น่าสะพรึงกลัว
แกร๊ง ~!
แต่มันเป็นตอนนี้เองที่มีเสียงกระบี่คำรามถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่คลื่นเขตแดนอนันตกาลตอนปลายฟาดฟันเข้าใส่ทางบรรพบุรุษทั้งสี่ทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายพากันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงพร้อมทั้งรีบหันมองไปยังทิศทางที่คลื่นกระบี่ถูกส่งมา
หลินเทียนเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่ต่างกัน
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับร่างๆหนึ่งสวมชุดคลุมสีม่วงเอาไว้กำลังพุ่งเข้าใกล้หลินเทียน
“ผู้อาวุโส ท่าน…..”
หลินเทียนหันมองออกไปพร้อมทั้งจดจำได้ทันที
“ในที่สุดก็พบเจ้าเสียที ”
ชายชราแสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมาซึ่งเขาคือบรรพบุรุษของตระกูลเจียงที่ได้รับคำขอจากเจียงเหลาเหลาที่เป็นกังวลหลังได้รับรู้ข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่ว
“ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ต่อให้ข้าต้องพิการก็จะเอาเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัยให้ได้ ”
หลินเทียนนั้นมีบุญคุณต่อตระกูลของเขาอย่างมากที่นำเหลาเหลาซึ่งเป็นลูกหลานที่เขารักมากๆทำให้เขารู้สึกขอบคุณหลินเทียนอย่างสุดหัวใจดังนั้นในเมื่อบรรพบุรุษของทั้งสี่ขุมพลังใหญ่ต้องการจะจับตัวหลินเทียนไปแบบนี้แล้วก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้เขานิ่งเฉย
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องนำหลินเทียนกลับไปให้ได้และตราบเท่าที่กลับไปยังตระกูลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอะไรอีกเพราะที่ตระกูลของเขามีข่ายอาคมสังหารที่มีเพียงเขตแดนนิรันดร์แท้จริงมาด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะฝ่าเข้าไปได้ซึ่งเขารู้ดีว่าดาวดวงนี้ไม่มีตัวตนระดับนั้น
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมากๆขอรับ ”
หลินเทียนแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
เขารู้ดีว่าเป็นเพราะบุญคุณที่เขามีต่อเหลาเหลาถึงได้ทำให้อีกฝ่ายยอมช่วยเขาก็จริงแต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกขอบคุณอยู่ดี
“เจียงเฉินยี่ เจ้าหมายความว่าไง ”
น้ำเสียงนี้ถูกส่งออกมาจากทางบรรพบุรุษตระกูลจ้าวซึ่งแน่นอนว่าชื่อนี้คือชื่อของบรรพบุรุษตระกูลเจียง
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่บรรพบุรุษของขุมพลังอื่นๆเองก็ต่างพากันจ้องมองไปทางเดียวกัน
บรรพบุรุษตระกูลเจียงหันมองออกไปทางพวกเขาทั้งสี่คนพร้อมทั้งพูดว่า
“พวกเจ้าแต่ละคนเองก็เป็นถึงบรรพบุรุษของขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดแต่กลับลงมือปล้นชิงสมบัติของรุ่นเยาว์นี่ไม่คิดว่ามันน่าอายบ้างหรือไง ? ”
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้สีหน้าของบรรพบุรุษทั้งสี่เปลี่ยนไปเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าคิดจะเอามันไปเพื่อจะได้ครอบครองกลุ่มก้อนพลังงานนั่นภายหลังสินะ ? ”
บรรพบุรุษนิกายสังหารเทพส่งเสียงออกมา
สีหน้าของบรรพบุรุษตระกูลเจียงยังคงราบเรียบเพราะไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย
“ถึงอย่างไรข้าก็คุ้มครองเด็กคนนี้ ”
เขาก้าวออกไปตรงหน้าของหลินเทียนพร้อมๆกับแผดกลิ่นอายอันทรงพลังออกมาทำให้มิติโดยรอบบิดตัวอย่างรุนแรงถึงขั้นที่สีหน้าของคนอื่นๆตกต่ำลงอย่างมาก
“อย่างเจ้าน่ะรึคิดจะปกป้องมันไปจากเงื้อมมือของพวกเรา ? อย่าฝันไปหน่อยเลย ”
บรรพบุรุษตระกูลจ้าวส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาพร้อมๆกับแผดกลิ่นอายที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่บรรพบุรุษคนอื่นๆก็ล้วนแผดกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของพวกเขาออกมาพลางมองไปทางบรรพบุรุษตระกูลเจียงด้วยสีหน้าที่ไม่แยแสด้วยซ้ำ
แม้ว่าตระกูลหวูเองก็จะมีความสัมพันธ์กับตระกูลเจียงอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ดีซึ่งหากว่าหมดผลประโยชน์ต่อกันเมื่อไหร่พวกเขาก็จะกลายเป็นศัตรูกันทันที
ตู้มมม ~!
ทั้งสี่คนล้วนแล้วแต่จ้องมองไปทางบรรพบุรุษตระกูลเจียงพลางก้าวเดินออกไปเพื่อจะเปิดฉากโจมตีเข้าใส่
เป็นเพราะว่าการบรรพบุรุษตระกูลเจียงคิดจะหยุดพวกเขานั้นอย่างแรกที่พวกเขาต้องทำเพื่อให้ได้กลุ่มก้อนพลังงานมคือการจัดการกับสิ่งกีดขวางอย่างบรรพบุรุษตระกูลเจียงเสียก่อน
บรรพบุรุษตระกูลเจียงส่งเสียงแสยะออกมาอย่างเย็นชาขณะที่กลิ่นอายของเขาพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุด
“ท่านผู้อาวุโส ”
หลินเทียนได้เอ่ยปากออกมาพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“รุ่นเยาว์ขอขอบคุณน้ำใจของท่านแต่ท่านไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองหรอกขอรับ รุ่นเยาว์ขอจัดการเอง ”
เมื่อฟังจากคำพูดของหลินเทียนแล้วก็ได้แต่ทำให้บรรพบุรุษตระกูลเจียงผงะไปพลางถามออกมาว่า
“เจ้าว่าอะไรนะ ? ”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอนันตกาลตอนปลายทั้งสี่แต่ทว่าหลินเทียนกลับต้องการจะลงมือด้วยตัวเอง ?
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นเพราะแม้กระทั่งบรรพบุรุษทั้งสี่เองก็ยังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่น้อย
หลินเทียนไม่ได้สนใจกลุ่มคนเหล่านี้ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมาพลางตอบกลับไปว่า
“รุ่นเยาว์เพียงต้องการให้ท่านช่วยปกป้องร่างกายหยาบของรุ่นเยาว์ก็เพียงพอแล้ว ”
เมื่อพูดจบแล้วเขาได้นั่งขัดสมาธิลงกับที่พร้อมทั้งเปิดโลกใบเล็กของตัวเองออกเพื่อสังเวยเอาร่างไร้วิญญาณของนิรันดร์แท้จริงออกมา
นี่ทำให้สีหน้าของคนอื่นๆที่อยู่โดยรอบพากันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
เป็นเพราะเมื่อมองออกไปยังร่างไร้วิญญาณตรงหน้าหลินเทียนแล้วมันทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนิรันดร์แท้จริง
“ศพของนิรันดร์แท้จริง ?! ”
บรรพบุรุษตระกูลเจียงถึงกับอุทานออกมาอย่างดัง
เป็นเพราะว่าร่างนี้มันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าอาวุธนิรันดร์แท้จริงเป็นพันเป็นหมื่นเท่า
หลินเทียนพยักหน้าของเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนที่หน้าผากของเขาจะเปล่งประกายแสงออกมาพร้อมทั้งส่งดวงวิญญาณเข้าไปสิงร่างไร้วิญญาณนี้
เมื่อผสานเข้ากับร่างไร้วิญญาณแล้วเขาก็ได้กระจายดวงวิญญาณออกไปทั่วทุกอณูของร่างพร้อมทั้งปรับสมดุลของมันแล้วลืมตากลับขึ้นมาด้วยดวงตาที่ส่องประกายพลางแผดกลิ่นอายอันทรงพลังออกมา
“ขอท่านผู้อาวุโสช่วยดูแลร่างของรุ่นเยาว์ด้วยนะขอรับ ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมา
หลังจากนั้นเองที่เขาได้พุ่งออกไปปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างฉับพลันด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
สีหน้าของบรรพบุรุษทั้งสี่ถึงกับเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะนอกจากกลิ่นอายนิรันดร์แท้จริงอันทรงพลังแล้วพวกเขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอื่นที่ทำให้หัวใจของพวกเขาได้แต่สั่นไหว
นี่ทำให้พวกเขาไม่ลังเลเลยที่จะหันหลังแล้วพุ่งหนีไป
“อุส่าบากบั่นกันมานานกว่าจะพบข้า แล้วจะหนีไปไหนกันล่ะ ? ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมา
มันเป็นตอนนี้เองที่เขาได้เหวี่ยงหมัดของศพออกไปอย่างไม่ยั้งมือ
ทึ้มมม ~!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาไม่ต่างจากเสียงระเบิดที่บดขยี้มิติโดยรอบจนแหลกสลายไปส่งผลให้บรรพบุรุษทั้งสี่ไม่สามารถเบี่ยงหลบการโจมตีเหล่านี้ได้
พุฟ พุฟฟ พุฟ พุฟฟ !
เสียงนี้ถูกส่งออกมาขณะที่ร่างของพวกเขาต่างพากันระเบิดออกกลายเป็นกองเลือด
ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนอนันตกาลตอนปลายถูกบดขยี้ได้ภายในการโจมตีเดียว
“นี่มัน……”
จระเข้เบญจธาตุที่อยู่ด้านหลังได้แต่โง่งมไปเพราะแม้จะรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของร่างนี้แต่เมื่อได้เห็นภาพที่หลินเทียนเหวี่ยงหมัดบดขยี้ร่างของบรรพบุรุษทั้งสี่กับตาตัวเองแล้วก็ยังอดผงะไปไม่ได้
แม้กระทั่งบรรพบุรุษตระกูลเจียงเองก็มีสีหน้าทีแบบๆเดียวกัน
“ระยำเอ้ย ! ”
เสียงคำรามถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษทั้งสี่ก่อสร้างร่างกายขึ้นมาอีกครั้ง
หลินเทียนที่ควบคุมร่างศพอยู่ในตอนนี้ได้หันมองออกไปทางบรรพบุรุษตระกูลจ้าวด้วยแววตาที่ส่องประกายความลึกล้ำก่อนที่จะพุ่งเข้าประชิดร่างของอีกฝ่ายอย่างฉับพลัน
นี่ทำให้ชายชราได้แต่สั่นสะท้านไปด้วยความกลัวพลางส่งเสียงออกมาว่า
“เจ้า……”
หลินเทียนคว้ามือเข้าใส่ดวงวิญญาณของอีกฝ่ายพร้อมทั้งใช้สองมือของเขาฉีกมันออกอย่างโหดเหี้ยม