Doombringer the 5th - ตอนที่ 0
Ch.0 – โลกที่มีอายุสามร้อยปี
Translator : YoyoTanya / Author
Doombringer the 5th
บทนำ
โลกที่มีอายุสามร้อยปี
ท้องฟ้าสีคราม ผืนทะเลกว้างใหญ่ แผ่นดินเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตา
ทิวทัศน์เกือบทุกอย่างยังคงเป็นดังเช่นที่มนุษย์จำได้ แต่มันไม่ใช่โลกใบเดิมที่มนุษย์เคยอาศัยอยู่
นี่คือโลกใบใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นหลังการล่มสลายของโลกเดิม และเพิ่งจะมีอายุราว ๆ สามร้อยปีเท่านั้น
แม้โดยหลักแล้วความเสื่อมโทรมของโลกจะเกิดจากน้ำมือมนุษย์ แต่ผู้ที่ลงดาบเป็นครั้งสุดท้ายคือเหล่าปิศาจซึ่งเฝ้ารอวันที่จะได้เปลี่ยนโลกเป็นขุมนรกมานานแสนนาน
ในอดีตซาตานเคยท้าพนันกับพระเจ้าว่า “หากปล่อยให้มนุษย์อยู่กันตามลำพังโดยไม่มีทั้งนรกและสวรรค์เข้าไปยุ่ง คิดว่ามนุษย์จะพบกับความรุ่งเรืองหรือการสูญสลายกันล่ะ?”
ผู้เป็นพระเจ้าต้องเชื่อมั่นในความดีของมนุษย์ จึงเดิมพันด้านความรุ่งเรือง ส่วนซาตานก็ต้องเดิมพันว่ามนุษย์จะสูญสลายแน่นอนอยู่แล้ว
เวลาผ่านไปเพียงสองพันปีเศษ โลกที่มนุษย์อยู่กันตามลำพังนั้นก็ดำเนินมาจนใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด
ทั้งสงคราม ความอดอยาก โรคระบาด และหายนะจากน้ำมือมนุษย์อีกนับไม่ถ้วน ได้กัดกินโลกจนแทบจะไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป
การล่มสลายของมนุษย์ชาติเป็นสิ่งที่อยู่ห่างออกไปอีกเพียงไม่ไกลเลย
แม้ทางสวรรค์จะสงสัยว่าฝ่ายนรกมีส่วนในการชักนำมนุษย์เข้าสู่ความล่มสลายนี้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันใด ๆ จึงได้แต่เฝ้ามองการล่มสลายของโลกด้วยความเจ็บปวด
ทว่าในนาทีสุดท้าย ดูเหมือนเหล่าปิศาจจะหมดความอดทนกับการรอคอยอันยาวนาน หรือคิดว่าตัวเองชนะการเดิมพันแล้วก็ไม่รู้ พวกมันจึงกรีฑาทัพขึ้นมาบนโลกเพื่อบดขยี้มนุษย์ที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดและเตรียมสถาปนาที่นั่นเป็นนรกแห่งใหม่
เหล่าปิศาจถือกำเนิดจากความมืดและความชั่วร้าย โลกที่ตกอยู่ในช่วงเวลาอันมืดมิดที่สุดจึงให้กำเนิดปิศาจตั้งแต่ระดับต่ำไปจนถึงระดับสูงขึ้นมามากมาย ไพร่พลของนรกทั้งหมดเมื่อกรีฑาทัพขึ้นมาก็บดบังท้องฟ้าจนแทบไม่เหลือแสงสว่างสาดส่องลงถึงพื้นพิภพได้อีก
การกระทำนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงในการเดิมพัน ทำให้พระเจ้าสามารถส่งทัพสวรรค์ลงมายังโลกเพื่อช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ได้เพราะฝ่ายนรกทำผิดข้อตกลงก่อน
แต่ตรงกันข้ามกับเหล่าปิศาจ ทูตสวรรค์นั้นถือกำเนิดจากแสงสว่างและความดีงาม ด้วยความเสื่อมโทรมของโลก ทัพสวรรค์จึงมีจำนวนน้อยกว่าทัพของนรกอย่างเทียบกันไม่ติด ถึงกระนั้นเหล่าทูตสวรรค์ก็ตรงเข้าปะทะกับกองทัพนรกอย่างห้าวหาญ
กองทัพของนรกเบียดเสียดทับซ้อนและเคลื่อนไหวราวกับเกลียวคลื่นจนท้องฟ้ามีสภาพเหมือนกับเป็นห้วงมหาสมุทรสีดำสนิท ส่วนทัพสวรรค์เป็นประกายแสงสุกสว่างจำนวนมากประดุจดวงดาวบนท้องฟ้าในยามราตรี เมื่อเคลื่อนเข้าหาทัพนรกจึงดูราวกับเป็นพายุฝนดาวตกที่กำลังโปรยปรายเข้าใส่ทะเลสีดำที่กำลังคลุ้มคลั่ง
แสงแต่ละดวงเมื่อตกกระทบกับผิวคลื่นสีดำทมิฬนั้น บ้างก็ทำให้เกิดการยุบตัวเป็นรูใหญ่เหมือนกับฟองน้ำที่ถูกไฟจี้ บ้างก็ถูกคลื่นแห่งความมืดมิดกลืนกินจนดับแสงไป
การต่อสู้นี้ดำเนินไปเจ็ดวันเจ็ดคืน ห้วงมหาสมุทรสีดำที่เกิดจากการซ้อนตัวของเหล่าปิศาจก็ยังคงหนาทึบ ผิดกับดวงแสงที่โฉบเฉี่ยวเข้าต้านกับเกลียวคลื่นนั้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งลดจำนวนลง แต่ในขณะที่เหล่าปิศาจกำลังกระหยิ่มกับชัยชนะที่อยู่แค่เอื้อมนี้ พวกมันก็เริ่มสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
ดวงแสงที่คงเหลืออยู่มีแต่จะส่องประกายเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ และแหวกฝ่าม่านทมิฬออกเป็นริ้ว ๆ ราวกับเป็นเศษกระดาษ ไม่ว่าฝูงปิศาจจะพยายามม้วนขบวนเข้าโถมทับเพื่อกลืนกินดวงแสงเหล่านั้นสักเท่าไหร่ แสงสว่างเหล่านั้นก็ไม่ยอมวูบดับลงและเป็นฝ่ายกลืนกินฝ่ายตรงข้ามจนเหือดหายไปกับอากาศธาตุ
แม้สถานการณ์จะเริ่มเปลี่ยนแปลง แต่เหล่าปิศาจระดับสูงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทูตสวรรค์ที่ยังยืนหยัดจนถึงวันนี้ได้ย่อมเป็นทูตสวรรค์ระดับสูงที่มีพลังกล้าแข็ง จึงไม่ถูกจัดการได้ง่าย ๆ แถมขบวนปิศาจที่ซ้อนตัวกันจนเป็นมหาสมุทรแห่งความมืดมิดนี้เป็นเพียงปิศาจระดับรองลงไป จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าทูตสวรรค์ชั้นเอก สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้จึงเป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้
กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของนรกอย่างเหล่าไพร์มอีวิล (Prime Evil) ซึ่งเพียงเฝ้าดูการต่อสู้มาตลอดเห็นว่าทัพสวรรค์สูญเสียกำลังพลไปกว่าครึ่ง แถมทูตสวรรค์ที่เหลือก็ยังอ่อนล้าจากการสู้รบติดพันเป็นเวลานาน เดียโบล จ้าวแห่งนรก จึงนำเหล่าพี่น้องและปิศาจระดับสูงทั้งหมด เดินหน้าเข้าบดขยี้ทูตสวรรค์ที่เหลืออยู่เป็นการปิดฉาก
ทว่าแม้เหล่าปิศาจจะโหมกำลังโจมตีจนแสงสว่างจำนวนมากดับวูบไปกับการโจมตีระลอกนี้ แต่ประกายแสงอีกจำนวนหนึ่งก็ยังไม่ยอมดับแสงลงแม้จะถูกกลุ้มรุมจนทอประกายริบหรี่เพียงไรก็ตาม กลับกัน จ้าวนรกเดียโบลกลับถูกสังหารลงในระหว่างการต่อสู้อันชุลมุน
แต่ถึงแม้จะสูญเสียผู้นำสูงสุด ขบวนปิศาจก็ยังคงเดินหน้าเข้าบดขยี้เหล่าทูตสวรรค์ต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปิศาจระดับสูงหลายตนกลับยิ่งคึกคักซะอีกที่จะมีโอกาสได้ขึ้นเป็นใหญ่แทนหลังสงครามครั้งนี้จบลง พวกมันยังคงทุ่มกำลังโจมตีโดยไม่มีความพ่ายแพ้อยู่ในหัวสมองเลยแม้แต่น้อย จวบจนกระทั่งล่วงเข้าถึงวันที่ยี่สิบเก้าของสงคราม แสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็เริ่มตกต้องลงบนผืนดินของโลกเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน เพราะกองทัพของนรกถูกเข่นฆ่าจนไม่เหลือจำนวนที่สามารถปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมดได้อีกต่อไปแล้ว
นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าไพร์มอีวิลที่เหลือเริ่มตระหนัก ว่าพวกมันกำลังจะพ่ายแพ้
ไม่ว่านรกจะทุ่มเทกำลังสักเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถดับแสงสว่างของเหล่าทูตสวรรค์ที่เหลืออยู่ได้ แม้แสงเหล่านั้นจะทอประกายริบหรี่ราวกับสามารถดับวูบลงได้ทุกเมื่อ จนเป็นความเย้ายวนใจให้เหล่าปิศาจคิดกัดฟันเข้าหักหาญดูอีกสักตั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามกลุ้มรุมสักเท่าใด แสงสว่างที่ใกล้มอดดับนั้นก็สามารถกลับมาเปล่งประกายอันสุกสว่างได้อีกครั้ง ราวกับเป็นความจงใจล่อลวงให้พวกปิศาจที่โง่เขลาเข้าไปสังเวยชีวิต
แม้จะเหลือทูตสวรรค์อีกแค่เพียงหยิบมือและยังมีกองทัพปิศาจอยู่เต็มท้องฟ้า แต่ปิศาจส่วนใหญ่ก็ทั้งรู้สึกตื่นตระหนก หวาดหวั่น และถอดใจกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ในที่สุดก็มีคนหลบหนีการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด เพราะไม่เห็นหนทางที่จะดับแสงสว่างที่เหลืออยู่นั้นได้
พอมีคนเริ่มก็มีคนตาม จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย และลามไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นคนหนีจากการต่อสู้มาก ๆ เข้า ขวัญกำลังใจของปิศาจตนอื่น ๆ ก็ไม่มีเหลือ สุดท้ายพวกมันทั้งหมดจึงยกขบวนกันหลบหนีแสงสว่างเพียงหยิบมือบนท้องฟ้านั้นกลับไปยังนรก
แม้เหล่าไพร์มอีวิลที่เหลืออยู่จะยังไม่อยากยอมแพ้ แต่เมื่อกองทัพเกือบทั้งหมดหนีการต่อสู้ไปแล้วก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก จึงได้แต่ตามพวกมันกลับนรกไป
ในที่สุดสงครามระหว่างนรกกับสวรรค์ที่มีขึ้นเพื่อตัดสินชะตากรรมของโลกก็ยุติลงด้วยชัยชนะของเหล่าทูตสวรรค์
แม้สวรรค์จะเป็นฝ่ายชนะ แต่โลกก็เสื่อมโทรมลงจนไม่ใช่สถานที่ซึ่งมนุษย์สามารถใช้อยู่อาศัยได้อีกต่อไป พระเจ้าจึงให้สร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาและทำการอพยพมนุษย์ที่รอดชีวิตไปตั้งรกรากบนโลกใหม่นั้นแทน ทั้งยังสัญญากับมนุษย์ว่าจะคอยดูแลปกป้องตลอดไป โดยไม่ทิ้งมนุษย์ไว้ตามลำพังอีก
ครั้งนี้พระเจ้าได้สร้างกฎของโลกขึ้นมาใหม่เกือบทั้งหมด และยังอนุญาตให้เหล่ามนุษย์สามารถใช้เวทมนตร์ได้ด้วย เพื่อให้มนุษย์สามารถรับมือกับเล่ห์เหลี่ยมของเหล่าปิศาจที่อาจใช้เวทมนตร์ในการชักจูงหรือครอบงำผู้คนไปในทางที่ผิด
สิ่งนี้ก่อให้เกิดยุคสมัยใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน และการฟื้นฟูอารยะธรรมก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ด้วยพลังแห่งเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นขุมพลังของมนุษย์แห่งโลกใหม่
กฎต่าง ๆ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่นั้นได้กีดกันนรกไม่ให้เข้าแทรกแซงโลกได้ดังเดิม ทั้งยังทำให้นรกอ่อนแอลงอย่างมาก แต่เหล่าปิศาจก็ไม่คิดจะยอมรับความพ่ายแพ้อยู่เงียบ ๆ
พวกมันยังคงแอบขึ้นมาบนโลกและหาทางครอบงำหรือหลอกใช้ผู้คนให้เป็นตัวแทนของนรกในการทำลายโลก เหล่าผู้ที่ถูกนรกชักนำนี้ได้ถูกเรียกขานกันว่า ‘ผู้นำพาหายนะ’ หรือ ‘ผู้สร้างหายนะ’ (Doombringer)
ผู้สร้างหายนะคือผู้นำโลกเข้าสู่ภัยพิบัติ ในการปรากฏตัวแต่ละครั้งก็จะเปิดประตูนรกนำทัพปิศาจเข้ารุกรานดินแดนมนุษย์ ซึ่งกว่าเหล่ามนุษย์จะมีการรวมตัวกันเพื่อตอบโต้การรุกราน หรือมีวีรบุรุษไปกำจัดผู้สร้างหายนะได้สำเร็จ ความเสียหายก็ได้เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้างแล้ว
หลังจากการรุกรานของผู้สร้างหายนะคนที่สาม ทั่วโลกก็ได้ประชุมกันถึงการหาทางป้องกันและยับยั้งการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
ผู้นำทั้งโลกเห็นตรงกันว่าการเป็นฝ่ายตั้งรับรอคอยการปรากฏตัวของผู้สร้างหายนะนั้นเป็นเรื่องแย่ เพราะกว่าจะรวบรวมคนหรือกองทัพขึ้นมาตอบโต้ได้ ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว โลกควรจะมีองค์กรกลางที่รับหน้าที่ป้องกันการรุกรานโดยเฉพาะ
ด้วยเหตุนี้ ‘องค์กรรักษาสันติภาพ’ หรือ ‘พีชคีปเปอร์’ (Peace Keeper) จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
นอกจากพีชคีปเปอร์จะทำงานเป็นองค์กรกลางเพื่อตอบโต้การรุกรานแล้ว ยังทำงานในเชิงรุกโดยการไกล่เกลี่ยและคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งต่าง ๆ ระหว่างอาณาจักรซึ่งอาจเป็นปมให้เกิดการแทรกแซงของเหล่าปิศาจ รวมไปถึงสืบเสาะและยับยั้งการซ่องสุมกำลังของผู้คนที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อโลกอีกด้วย
ภายใต้การทำงานของพีชคีปเปอร์ โลกได้พบกับความสงบสุขอันยาวนานนับร้อยปี
แม้จะมีผู้สร้างหายนะคนที่สี่ปรากฏตัวขึ้น การรุกรานก็ถูกยับยั้งเอาไว้ได้ภายในเวลาเพียงวันเดียว โดยแทบไม่มีความเสียหายต่อมนุษย์เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเป็นการตอกย้ำความสำเร็จขององค์กรขึ้นไปอีก
นี่คือยุคสมัยที่เรียกว่า ‘ยุคสมัยแห่งเกียรติยศ’ เมื่อแสงสว่างและความยุติธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด เหล่าผู้กล้าและนักผจญภัยต่างทุ่มเทขจัดภัยคุกคามของมนุษย์จนแทบสูญสิ้น และเรื่องของความชั่วร้ายกับเหล่าปิศาจกลายเป็นแค่นิทานก่อนนอนที่ใช้หลอกให้เด็ก ๆ กลัวเท่านั้น