Doombringer the 5th - ตอนที่ 1
Ch.1 – เด็กหนุ่มผู้อยากเป็นซัมมอนเนอร์
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 1
เด็กผู้อยากเป็นซัมมอนเนอร์
Part 1
ในห้องเล็ก ๆ ที่เหมือนกับเป็นห้องนอนในหอพักห้องหนึ่ง มีเสียงของเด็กผู้ชายสองคนกำลังแลกเปลี่ยนบทสนทนากันอย่างออกรส
แม้ฟังเผิน ๆ จะดูเหมือนเด็กคนหนึ่งพยายามหาเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่อีกคนอยู่ แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้แสดงน้ำเสียงที่มีอารมณ์หรือมีทีท่าว่าจะรำคาญกับการยั่วยุแต่ประการใด
เด็กคนหนึ่งเอนตัวอยู่บนเตียงสองชั้นซึ่งอยู่ติดกับกำแพง ส่วนอีกคนกำลังนั่งคุดคู้เขียนอะไรบางอย่างลงบนพื้นห้อง ทั้งคู่ดูเป็นเด็กที่มีอายุราว ๆ เก้าถึงสิบขวบเท่านั้น
“เสียเวลาเปล่าน่า ซาล ยังไงก็เหลวอีกแหละ วันนี้เราต้องสอบการสร้างพื้นที่ด้วยนะ ออมพลังเวทไว้เหอะ”
เด็กที่เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนชั้นล่างของเตียงพูดด้วยน้ำเสียงยียวนนิด ๆ
เขาคือ โลเฟ่น ทรานค์ เป็นเด็กหนุ่มผมสีเทาผู้มีใบหน้าเรียวแหลม รับกับดวงตาอันเรียวเล็ก มีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาทำให้เดาใจลำบากว่าเวลาไหนพูดจริงเวลาไหนพูดล้อเล่นกันแน่
“คอยดูเถอะน่า ฉันไปอ่านวิธีสร้างร่างอัญเชิญในห้องสมุดมาแล้ว คราวนี้ต้องสำเร็จแน่!”
ซาลารัส แฮลเซียน เด็กหนุ่มอีกคนซึ่งกำลังคลานเข่าพลางขีดเขียนวงเวทลงบนพื้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
เขาเป็นเด็กผู้ชายที่มีหน้าตาน่ารักราวกับเด็กผู้หญิง มีผมสีแดงดุจดั่งเปลวเพลิง แต่ที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีส้มอำพันซึ่งเมื่อต้องแสงสว่างจะส่องประกายเรืองรองราวกับเป็นสีทองออกมา แม้แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์อันหลากหลายนี้ นี่ก็ไม่ใช่คุณลักษณะที่จะพบเห็นกันได้บ่อยนัก
“เอาล่ะ เท่านี้ก็เรียบร้อย”
หลังจากวาดวงเวทเสร็จแล้ว ซาลก็ลุกขึ้นยืนและเช็ดมือกับชายเสื้อคลุมของตัวเองแบบลวก ๆ ก่อนจะถ่ายเทพลังเวทมนตร์ไปยังวงเวทเพื่อทำการอัญเชิญ ทำให้วงเวทบนพื้นเริ่มทอแสงสีฟ้าสลัว ๆ ออกมา
“ด้วยพลังแห่งข้า จงออกมา! ราชามังกร อัลดูอิน!”
ความจริงแค่เขียนวงเวทอย่างครบถ้วนก็สามารถร่ายเวทโดยไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำใด ๆ ออกมาแล้ว แต่ซาลก็ยังจงใจพูดออกเสียงเพื่อให้การอัญเชิญครั้งนี้ดูเลิศหรูอลังการมากยิ่งขึ้น
สิ้นเสียงบริกรรมของเขาก็บังเกิดแสงเจิดจ้าออกจากวงเวทจนทั้งสองคนต้องเบือนหน้าหลบไปทางอื่น
เมื่อหันกลับไปมองยังวงเวทอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏอยู่ก็สร้างความแปลกใจให้กับโลเฟ่นจนตาโต ถึงกระนั้นด้วยดวงตาอันเรียวเล็กของเขามันก็ยังดูเหมือนแค่คนหรี่ตามองอะไรสักอย่างอยู่ดี
“นี่มัน…”
“เป็นไงล่ะ! มังกรของฉัน!”
“…ถ้านายเรียกไอ้นั่นว่ามังกรน่ะนะ”
สิ่งที่ปรากฏออกมากลางวงเวทคือสัตว์อสูรรูปร่างอ้วนกลมสีเทา ขนาดเท่าหมาหรือแมว แม้จะมีลักษณะคล้ายมังกร แต่ก็ดูเหมือนลูกมังกรที่ถูกอัดลมเข้าไปจนพองบวมราวกับลูกโป่งมากกว่า
ปีกกับแขนเล็ก ๆ นั้นดูไม่น่าเป็นของที่ใช้การได้เลย แถมส่วนหางยังบวมจนขาสั้น ๆ แทบเขย่งไม่ถึงพื้นอีกต่างหาก มังกรอ้วนกลมตัวน้อยจึงได้แต่นั่งโขยกเขยกไปมาบนหางตัวเองเหมือนกับเป็นตุ๊กตาล้มลุก
“นี่แหละคือก้าวแรกของกองทัพซาลารัส! ฉันขอแต่งตั้งให้นายเป็นผู้บัญชาการทัพมังกรนะอัลดูอิน …อ๊า!?”
ซาลพูดพลางก้มตัวลงไปอุ้มอัลดูอินขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะเหยียดตัวขึ้นยืน มังกรตัวน้อยก็สลายหายไป
ช่างเป็นผู้บัญชาการที่อายุสั้นจริง ๆ
“บอกแล้วไงว่าให้เลิกใช้คำพูดแบบนั้นเดี๋ยวคนเขาจะเข้าใจผิดเอาน่ะ ไงก็เถอะ คราวนี้เสกร่างอัญเชิญขึ้นมาเป็นตัวได้นับว่าคาดไม่ถึงจริง ๆ ปกติแล้วคนที่ทำขั้นนี้ได้น่ะต้องเป็นนักอัญเชิญระดับสองขึ้นไปเชียวนา ถึงของเขาจะไม่ดูพิกลพิการและหายไปในห้าวินาทีแบบนี้ก็เถอะนะ”
โลเฟ่นกล่าวชมเชยซาล แต่ก็ยังมิวายปนถ้อยคำเหน็บแนมเช่นเคย ฝีปากอันคมกริบนี้เป็นหนึ่งในนิสัยที่แก้ไม่หายของเขา
“ชิ กะพลังเวทพลาดไปเหรอเนี่ย ตั้งใจว่าจะให้อยู่ได้สักหนึ่งนาทีแท้ ๆ … เอาล่ะ ลองอีกรอบนึง!”
“เฮ้ ๆ บอกแล้วไงว่าวันนี้เรามีสอบน่ะ ไหนดูพลังเวทที่เหลือหน่อยซิ… เฮ้ยนี่นายใช้พลังเวทไปเกือบหนึ่งในสามแล้วนี่! กับไอ้ลูกโป่งตัวตะกี้เนี่ยนะ พอเลย ๆ ”
โลเฟ่นโวยวายขึ้นหลังจากดึงข้อมือของซาลมาดูพลังเวท
ข้อมือของนักเรียนทุกคนจะมีสายรัดข้อมือซึ่งใช้บอกพลังเวทของผู้สวมใส่อยู่แบบหยาบ ๆ เป็นแถบสีฟ้าซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยสีขาวตามระดับพลังเวทที่ลดลงไป สำหรับนักผจญภัยหรือนักเวทระดับสูง อุปกรณ์แบบนี้จะไม่จำเป็นนักเพราะสามารถสัมผัสและกะปริมาณพลังเวทที่เหลืออยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่สำหรับเด็ก ๆ หรือนักผจญภัยมือสมัครเล่นที่ยังไม่มีความสามารถถึงขั้นนั้น นี่เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้ประเมินสถานภาพของตัวเองได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ตัวสายรัดข้อมือยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ อีก เช่นใช้เป็นนาฬิกา และเป็นเครื่องบอกตำแหน่งสำหรับติดตามนักเรียนกรณีพลัดหลงกันด้วย
เนื่องจากแถบสีฟ้าในสายรัดข้อมือของซาลลดปริมาณลงจนเหลือเพียงสองในสามแล้ว โลเฟ่นจึงยื่นคำขาดพร้อมกับใช้เท้าปาดลบวงเวทบนพื้นทิ้งไป
“เฮ้ย! แค่พูดเฉย ๆ ก็พอนี่นา ไม่เห็นต้องลบวงเวททิ้งเลย ฉันขี้เกียจวาดใหม่นะ!”
“จะทิ้งวงเวทเอาไว้ได้ไงเล่า เกิดมีอาจารย์มาตรวจห้องก็โดนทำโทษกันพอดี”
ระหว่างที่ทั้งสองเถียงกันอยู่ก็มีเสียงคนมาเคาะประตู ทำเอาทั้งคู่สะดุ้งโหยง โลเฟ่นรีบลบวงเวทที่เหลือ ส่วนซาลก็ไปรอที่ประตู เมื่อดูจนแน่ใจว่าโลเฟ่นลบวงเวทหมดแล้วเขาจึงปลดล็อกกลอนและเปิดประตูออก
“ช้าจังเลย แอบทำอะไรกันอีกล่ะเนี่ย?”
“อะไรกัน… เธอเองเหรอ ทาลิส”
โลเฟ่นพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ เมื่อรู้ว่าคนที่มาไม่ใช่อาจารย์ทำให้ทั้งสองผ่อนคลายจากความตื่นเต้นลง
“สวัสดี ทาลิส”
“สวัสดีจ้ะ ซาล”
คนที่มาคือ ทาลิส อัลเทีย เด็กสาวหน้าตาน่ารักมีผู้มีผมสีแดงอ่อน ๆ จนเกือบจะเป็นสีชมพู ผมเปียคู่ซึ่งห้อยมาด้านหน้านั้นยิ่งทำให้เธอดูเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ เธอตอบรับคำทักทายของซาลด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ใกล้จะได้เวลารวมตัวกันเพื่อเตรียมสอบแล้วน่ะ ฉันกลัวพวกเธอจะไปสายก็เลยมาดูซะหน่อย”
“พวกเราเตรียมตัวเสร็จแล้วล่ะ! ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ซาลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเกินความจำเป็นเพื่อกลบเกลื่อนเหตุการณ์เมื่อสักครู่ แต่ทาลิสเป็นคนที่ไม่เคยนึกเคลือบแคลงสงสัยอะไรใครอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีท่าทีผิดปกติและกล่าวชวนทุกคนออกไป
“อื้ม งั้นก็ไปกันเถอะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็หันหลังกลับและเดินออกไปจากห้อง ส่วนซาลกับโลเฟ่นหันมาสบตาและยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างซุกซน ก่อนจะเดินตามทาลิสออกไป
—————————————————————————————————-
Part 2
เมื่อออกมาจากหอพัก ทั้งสามคนก็เดินไปตามทางเดินซึ่งตัดผ่านลานกว้างเลียบหน้าผาเป็นระยะทางอีกเกือบหนึ่งร้อยเมตร จนมาถึงอาคารเรียนหลักของโรงเรียน
ที่นี่คือโรงเรียนอีจิส โรงเรียนสำหรับเด็ก ๆ ที่มีคุณสมบัติจะเป็นนักผจญภัย โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่บนหน้าผาของเทือกเขาอีจิส ทำให้มีทิวทัศน์และบรรยากาศที่แปลกตาแตกต่างจากโรงเรียนทั่ว ๆ ไป
วันนี้เป็นวันทดสอบความสามารถในการสร้างพื้นที่มิติ ความสามารถขั้นพื้นฐานที่สุดซึ่งนักผจญภัยทุกคนต้องมีติดตัวไว้ ความสามารถนี้คือการสร้างพื้นที่ต่างมิติส่วนบุคคลเอาไว้ใช้เก็บอุปกรณ์และสัมภาระ เหมือนกับเป็นห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งเจ้าของสามารถเรียกใช้และสวมใส่อุปกรณ์ในห้องนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ
นี่เป็นวิทยาการเวทมนตร์ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายและทำให้วิถีชีวิตของนักผจญภัยในปัจจุบันมีความสะดวกสบายขึ้นมาก มันทำให้เหล่านักผจญภัยไม่ต้องสวมเกราะหรือพกอาวุธหนัก ๆ เดินไปไหนมาไหนตลอดเวลา แค่ใส่ชุดตามสบายและเรียกสวมใส่อุปกรณ์เมื่อเข้าเขตอันตรายหรือต้องการต่อสู้เท่านั้น
ส่วนตอนออกผจญภัยก็สามารถนำของที่พบกลับมาได้แทบไม่จำกัด เพราะสามารถเก็บของทุกอย่างลงในห้องมิติซึ่งเปรียบเสมือนโกดังขนาดใหญ่ได้นั่นเอง การต้องหยุดสำรวจกลางคันเพราะที่เก็บของไม่พอ หรือต้องยอมทิ้งของบางชิ้นเพราะขนกลับมาไม่ไหวจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
วิทยาการนี้มีส่วนช่วยให้ระบบนักผจญภัยมีความก้าวหน้าและเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก มันจึงถูกบรรจุลงเป็นหนึ่งในหลักสูตรบังคับสำหรับนักผจญภัยรุ่นเยาว์
ซาล ทาลิส และโลเฟ่น เดินขึ้นอาคารมาจนถึงหน้าห้องเรียน ที่นั่นมีนักเรียนชายคนหนึ่งกำลังถูกรายล้อมไปด้วยนักเรียนหญิงมากมายจนระเบียงหน้าห้องแทบจะไม่มีที่ว่างให้คนเดินสัญจรได้อีก
เขาคือ อลัน คอนเซนส์ หัวหน้าห้องและเป็นสมาชิกคนที่สี่ของกลุ่ม เป็นเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้มีแววตามุ่งมั่น สีหน้าจริงจัง เมื่อรวมกับแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่สวมอยู่ก็ยิ่งทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุขึ้นไปอีก
เมื่อเห็นพวกซาลเดินมา อลันก็ปลีกตัวจากเหล่าเด็กสาวอย่างสุภาพ แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา
“หายากนะที่พวกนายจะมาก่อนเวลาเนี่ย”
“ก็พวกเราไม่มีแฟนคลับให้ต้องเซอร์วิสเหมือนใครบางคนนี่นา เพราะงั้นแค่มาทันฉิวเฉียดก็พอแล้ว”
คำทักทายแกมหยอกของอลันถูกสวนกลับด้วยฝีปากคมกริบของโลเฟ่นแทบจะในทันที แต่ทั้งคู่ต่างก็ยิ้มให้กับฝ่ายตรงข้าม เพราะทั้งสองคุ้นเคยกันมานานจนรู้นิสัยกันดีแล้ว
“อีกเดี๋ยวอาจารย์ก็คงจะมาแล้วล่ะ รีบเข้าห้องกันเถอะ”
ด้วยคำชวนของอลัน ทุกคนจึงเดินเข้าไปยังห้องเรียนและเข้าประจำที่ของตัวเอง
หลังจากที่นักเรียนทุกคนเข้ามารอในห้องได้ไม่นานนัก ก็มีชายสูงอายุคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
ชายคนนั้นมีผมสีเทาจาง ๆ ตามใบหน้าก็เต็มไปด้วยริ้วรอยตามประสาชายแก่ แต่ทรงผมที่ตัดสั้นและหวีจนเรียบร้อยนั้นทำให้เขาดูอ่อนกว่าวัย ที่เด่นเป็นสง่าที่สุดดูจะเป็นหนวดเฟิ้มสีเดียวกับเส้นผมที่ดกหนาจนบังริมฝีปากของเขาแทบมิด
ใบหน้าที่ดูเหมือนคนอายุราว ๆ ห้าสิบแถมด้วยท่าทางอันกระฉับกระเฉงนั้นถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าอาจารย์ แกริส ฮาล์ม คนนี้ มีอายุย่างเข้าเจ็ดสิบเข้าไปแล้ว
“ทุกคนคงพร้อมแล้วสินะ เอ้า เริ่มการทดสอบได้!”
แกริสกล่าวเริ่มการทดสอบแบบไม่ปรานีปราศรัย ก่อนจะใช้นิ้วเคาะกระดานที่หน้าชั้นเรียนเบา ๆ ทันใดนั้นก็มีข้อความที่สร้างด้วยอักษรเวทมนตร์ปรากฏขึ้นบนกระดาน
[เงื่อนไขการทดสอบ การสร้างห้องมิติ]
[จงสร้างห้องมิติถาวรขนาด 25 ตารางเมตร]
[เมื่อสร้างเสร็จให้ไปที่ระเบียงเพื่อรับการทดสอบความมั่นคงของมิติ]
[ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะได้รับอนุญาตในการเข้าร่วมการทดสอบภาคสนาม]
เมื่อโจทย์บนกระดานปรากฏขึ้นก็ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงไปทั่วทั้งห้อง แม้แต่ที่กลุ่มของซาลเองก็เช่นกัน
“ห้องขนาด 25 ตารางเมตรงั้นเหรอ? ความสูงมาตรฐานของห้องมิติคือ 3 เมตร ก็เท่ากับต้องสร้างห้องที่มีความจุ 75 ลูกบาศก์เมตรเลยน่ะสิ… ซาล นายมีพลังเวทพอรึเปล่า?”
“แค่สร้างห้องก็น่าจะไหวนะ แต่ถ้าทำเป็นห้องถาวรก็ต้องใช้พลังเวทเพิ่มขึ้นกว่าปกติอีกราว ๆ 20% ไหนจะต้องรับการทดสอบความมั่นคงอีก ถ้าต้องใส่ของเข้าไปจนเต็มความจุละก็ อาจไม่พอก็ได้…”
โลเฟ่นถามซาลด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะรู้ว่าเขาไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม ส่วนซาลเองก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงความกังวลออกมาเช่นกัน
การทดสอบครั้งนี้มีเจตนาเพื่อคัดคุณสมบัตินักเรียนที่พร้อมกับการฝึกภาคสนามด้วย จึงได้ตั้งโจทย์มาแบบที่แม้แต่นักเรียนระดับสูงก็น่าจะผ่านได้แค่ฉิวเฉียด
การสร้างห้องมิติจะใช้พลังเวทมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามขนาดความจุของห้อง และการจะทำให้กลายเป็นห้องมิติถาวร ผู้ใช้ต้องสละค่าพลังเวทพื้นฐานของตัวเองเพิ่มเติมอีก 20% ของค่าร่าย เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาให้มิติคงตัวอยู่ได้ตลอดไป
นอกจากนี้การนำของเข้าหรือออกจากห้องก็ต้องใช้พลังเวททั้งสิ้น สำหรับซาลที่ตอนนี้มีพลังเวทเหลือแค่ราว ๆ สองในสามจึงอาจมีปัญหาในการทดสอบได้
“ให้ตายสิ นายนี่… วันสอบแท้ ๆ ทำไมไม่เตรียมร่างกายให้พร้อมไว้นะ… เอ้า”
อลันซึ่งเหลือบไปเห็นสายรัดข้อมือของซาลก็เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว จึงตัดพ้อนิดหน่อยก่อนจะโยนถุงพลาสติกซึ่งบรรจุยาเม็ดสีฟ้าใสเอาไว้
มันคือมานาโพชั่น เม็ดยาสำหรับฟื้นฟูพลังเวทซึ่งเป็นผลผลิตจากการค้นคว้าและวิจัยมาตลอดหลายร้อยปี มานาโพชั่นในยุคแรก ๆ จะเป็นยาน้ำสีฟ้าบรรจุอยู่ในขวดแก้วขนาดเท่าฝ่ามือ แต่หลังจากผ่านการพัฒนาวิจัยมาอย่างต่อเนื่อง ขนาดของมานาโพชั่นก็ค่อย ๆ เล็กลง จากขวดทรงกลม ก็กลายเป็นหลอดทรงเรียว และกลายมาเป็นแบบเม็ดขนาดเท่ากับเม็ดยาแคปซูลทั่ว ๆ ไปในที่สุด
“โอ้ สมกับเป็นหัวหน้าอลัน เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์จริง ๆ ฉันติดหนี้นายอีกแล้วสินะ”
ซาลแสดงอาการดีใจอย่างออกนอกหน้าก่อนจะหยิบมานาโพชั่นเข้าปากหนึ่งเม็ดและขอบคุณอลันเป็นการใหญ่อีกครั้ง โลเฟ่นก็ยิ้มพร้อมกับถอนหายใจเล็ก ๆ ส่วนทาลิสก็มีท่าทางโล่งอกเช่นกัน
“ที่จริงฉันเองก็ฝึกซ้อมไปบ้างทั้งเมื่อคืนแล้วก็เมื่อเช้าด้วย เพราะงั้นเลยต้องเตรียมไอ้นี่ไว้เพื่อเติมพลังเวทน่ะ นายเองก็เถอะ ถ้าอยากจะซ้อมก็ควรเตรียมของเติมพลังเวทเอาไว้บ้างสิ จะได้ไม่กระทบต่อการสอบด้วย”
โลเฟ่นยิ้มให้ซาลแบบมีเลศนัย ส่วนซาลก็ใช้สายตาปรามอีกฝ่ายไว้ไม่ให้พูดมาก เพราะถ้าอลันรู้ว่าเขาใช้พลังเวทไปกับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การซ้อม คงโดนบ่นยาวแน่ ๆ
นักเรียนส่วนใหญ่เริ่มลงมือสร้างห้องมิติของตัวเองกันแล้ว เมื่อสร้างเสร็จก็จะปรากฏแบบจำลองของห้องมิติขึ้นบนฝ่ามือของพวกเขา มันเป็นเหมือนภาพสามมิติขนาดเล็กที่แสดงให้เห็นรูปร่างของห้อง และให้เจ้าของใช้ตรวจสอบสิ่งของภายในห้องด้วย
แม้การประกอบห้องมิติขึ้นมาจะเป็นเรื่องง่าย แต่การทำให้มันมีรูปร่างได้สัดส่วนพร้อมทั้งแข็งแรงทนทานนั้นต้องอาศัยความเข้าใจในเรื่องหลักโครงสร้างพื้นฐานของมันไม่ต่างจากงานวิศวกรรมจริง ๆ เลยทีเดียว
แบบจำลองอันบิดเบี้ยวผิดสัดส่วนบนมือของนักเรียนหลาย ๆ คนคือหลักฐานของการสร้างที่ล้มเหลว หรือแม้แต่ห้องที่สร้างอย่างถูกสัดส่วน แต่ถ้าโครงสร้างของห้องยังไม่เสถียร เมื่อใส่ของลงไปในระดับหนึ่งตัวมิติก็จะพังทลายจนของในห้องทะลักออกมา นั่นเป็นสาเหตุที่การทดสอบความมั่นคงของมิติต้องทำที่ระเบียง
ที่บริเวณระเบียงด้านนอก อาจารย์แกริสซึ่งมีลูกบอลน้ำขนาดใหญ่อยู่เหนือศีรษะกำลังเป็นผู้ทดสอบความมั่นคงของมิติโดยการให้ผู้รับการทดสอบใส่น้ำเข้าไปจนเต็มความจุของห้อง ถ้าห้องมิติยังคงสภาพอยู่ได้ในภาวะที่ใช้งานจนเต็มความจุก็ถือว่าผ่านการทดสอบ
เสียงน้ำหลากที่ตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักของพวกเด็ก ๆ ตรงระเบียงคือสัญญาณว่ามีคนล้มเหลว นักเรียนหลายคนต้องเดินกลับเข้ามาในห้องในสภาพเปียกปอนเพื่อสร้างห้องมิติใหม่อีกครั้ง
สำหรับกลุ่มของซาล ทุกคนเข้ารับการทดสอบและผ่านได้หมดแบบไม่มีปัญหา โดยเฉพาะซาลเมื่อไม่มีปัญหาด้านพลังเวทแล้วก็สามารถผ่านได้แบบสบาย ๆ เพราะเวทสายมิติเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาสนใจและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษนั่นเอง
เมื่อถึงเวลาใกล้เที่ยง อาจารย์แกริสก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับนักเรียนอีกหลายคนที่ยังเหลืออยู่
“ดูเหมือนจะมีอีกหลายคนที่ยังไม่ผ่านนะ คนที่ไม่ผ่านให้มาทำการสอบใหม่ในช่วงบ่าย ส่วนคนที่ผ่านการทดสอบไปแล้วให้กลับไปเตรียมตัวรับการทดสอบภาคสนามในวันพรุ่งนี้ เอ้า แยกย้ายได้!”
สิ้นสุดการประกาศ นักเรียนทุกคนก็ทยอยกันออกจากห้อง โดยมีจุดหมายเดียวกันคือโรงอาหารซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดของอาคาร
—————————————————————————————————-
Part 3
บรรยากาศในโรงอาหารเต็มไปด้วยความคึกครื้น
ทุกคนตื่นเต้นกับการทดสอบภาคสนามที่กำลังจะมาถึง เพราะมันเป็นครั้งแรกที่จะได้ออกสำรวจและต่อสู้ในฐานะนักผจญภัยอย่างเป็นทางการ เรื่องที่ทุกคนพูดคุยกันจึงเป็นประเด็นเกี่ยวกับการออกสนามแทบทั้งสิ้น
“พรุ่งนี้แล้วสินะ ถ้าผ่านการทดสอบภาคสนาม เราก็จะได้ขึ้นทะเบียนเป็นนักผจญภัยรุ่นเยาว์กันแล้ว แถมยังจะได้เลือกคลาสอย่างเป็นทางการด้วย พวกนายมีคลาสในใจกันแล้วใช่มั้ย?”
หลังจัดการกับสปาเก็ตตี้จานโตของตัวเองเสร็จ โลเฟ่นก็เปิดประเด็นนี้ขึ้น
สำหรับเด็กที่ยังไม่ผ่านหลักสูตรการเตรียมเป็นนักผจญภัยรุ่นเยาว์นั้นจะมีฐานะเป็นนักเรียนฝึกหัด (Novice) ซึ่งได้รับการฝึกสอนแค่ในเรื่องพื้นฐานทั่ว ๆ ไป
แม้ทุกคนจะเลือกศึกษาสายวิชาของคลาสที่ตัวเองสนใจได้อย่างอิสระแต่ก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนในการฝึกสอนหรือการเข้าถึงข้อมูลชั้นสูงของคลาสนั้น ๆ เป็นพิเศษ จนกว่าจะได้ขึ้นทะเบียนนักผจญภัยรุ่นเยาว์และเลือกคลาสอย่างเป็นทางการ
“ฉันคงเลือกนักดาบเหมือนเดิมแหละ ไม่เปลี่ยนใจหรอก”
อลันตอบแบบเรียบ ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินขนมปังต่อ
‘นักดาบ’ (Swordman) คือคลาสเริ่มต้นของอาชีพสายนักรบที่ใช้ดาบเป็นอาวุธ สามารถแตกแขนงไปยังคลาสต่อสู้ที่ใช้ดาบได้อีกมากมาย เช่นนักรบ (Warrior) หรืออัศวิน (Knight) สำหรับคนที่มีนิสัยมุ่งมั่น รักความยุติธรรมอย่างอลันแล้ว เป้าหมายของเขาคือการเป็นอัศวินอย่างไม่ต้องสงสัย
“สำหรับฉัน… คงเป็นเคลริกน่ะ…”
ทาลิสตอบมาด้วยน้ำเสียงที่มีความลังเลอยู่นิดหน่อย เธอเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นแต่ก็ไม่ต้องการจะเป็นภาระให้กับใคร จึงเคยครุ่นคิดอยู่นานว่าจะเลือกคลาสสายต่อสู้หรือสายสนับสนุนดี ในที่สุดจึงตัดสินใจเลือกเคลริก (Cleric) ซึ่งเป็นคลาสสายสนับสนุนที่มีความสามารถในการต่อสู้ระดับหนึ่งด้วย
“อืม… แปลว่ามีแต่ฉันกับซาลที่เลือกคลาสสายเวทสินะ แบบนี้เทอมหน้าคงมีไม่กี่วิชาที่พวกเรายังได้เรียนด้วยกันอยู่”
คลาสที่โลเฟ่นเลือกคือนักเวทฝึกหัด (Apprentice) เป็นคลาสเริ่มต้นของอาชีพสายนักเวทเกือบทั้งหมด แม้จะยังไม่ได้วางแผนอนาคตเอาไว้ว่าจะเป็นอะไรต่อ แต่โลเฟ่นก็คิดว่าคลาสนักเวทนั้นเหมาะกับตัวเองที่ชอบใช้ชีวิตสบาย ๆ ห่างไกลจากปัญหาที่สุดแล้ว
“แปลว่าซาลยังอยากเป็นซัมมอนเนอร์อยู่อีกเหรอ? น่าเสียดายนะ ทั้งที่มีพื้นฐานทางร่างกายขนาดนั้นแท้ ๆ ”
อลันที่เพิ่งกินขนมปังชิ้นสุดท้ายหมดพูดออกมาด้วยสีหน้าที่แสดงความผิดหวังเล็ก ๆ
ในการทดสอบประสิทธิภาพร่างกาย ซาลทำคะแนนทดสอบด้านกายภาพได้เกือบเท่ากับอลันซึ่งทุ่มเทฝึกฝนร่างกายเพื่อการเป็นนักรบโดยเฉพาะเลยทีเดียว แม้สมรรถภาพทางเวทของเขาจะเหนือกว่ามาตรฐานเช่นกัน แต่มันก็ไม่ถึงกับโดดเด่นจนเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ อลันจึงคิดว่าซาลน่าจะเหมาะกับคลาสสายนักรบมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น ซัมมอนเนอร์ (Summoner) จัดเป็นคลาสสายเวทที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมและขาดการพัฒนาทางวิทยาการมาร่วมร้อยปีแล้ว เพราะมันเป็นคลาสที่เรียนยาก เก่งช้า และมีจุดอ่อนมากมาย คนส่วนใหญ่จึงเลือกเรียนเป็นคลาสเสริมในภายหลังมากกว่าจะเรียนเป็นคลาสหลักแต่แรก
“แต่ความฝันของฉันคือการมีกองทัพเป็นของตัวเองนี่นา คอยดูเถอะ สักวันฉันจะทำให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนักเวทอัญเชิญให้ได้ ด้วยกองทัพซาลารัสของฉันนี่แหละ!”
“แล้วนายก็จะใช้กองทัพนั่นโจมตีโลก เหมือนกับพ่อของนายสินะ?”
คำพูดที่ดังมาจากโต๊ะทางด้านหลังนั้นทำให้การสนทนาของทุกคนหยุดชะงักลง และบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาในทันที
เจ้าของเสียงที่ทำลายบรรยากาศอันคึกครื้นก็คือแบรนด์ เด็กผู้ชายผมทองท่าทางเย่อหยิ่ง เขาเป็นลูกหลานของสมาชิกระดับสูงในพีชคีปเปอร์ซึ่งถูกส่งมาเรียนเพื่อปูพื้นฐานสำหรับการสืบทอดตำแหน่งจากเครือญาติในภายภาคหน้า
แม้จะถูกคาดหวังจากตระกูล แต่แบรนด์กลับไม่เคยชนะอลันได้เลยแม้แต่ครั้งเดียวไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการหรือภาคปฏิบัติ เขาจึงมีอคติกับกลุ่มของอลันเป็นพิเศษ ยิ่งวันนี้ต้องทำการทดสอบซ่อมร่วมสามครั้งจึงจะผ่านทำให้เขาหงุดหงิดและอยากหาเรื่องคนอื่นมากกว่าปกติ
“นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าการพูดแบบนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่กลัวถูกทำโทษรึไง?”
อลันลุกขึ้นพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นักเรียนคนอื่น ๆ ในโรงอาหารก็เริ่มรับรู้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปและหันมามองเป็นตาเดียวกัน
“ก็มันเรื่องจริงไม่ใช่เหรอ? ที่ว่าพ่อของหมอนี่เป็นผู้สร้างหายนะน่ะ? แถมยังเป็นผู้สร้างหายนะที่ห่วยที่สุดซึ่งถูกกำจัดลงในเวลาเพียงวันเดียวซะด้วย”
แบรนด์พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย้ยหยัน กลุ่มเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันก็แอบหัวเราะคิกคัก แต่คนอื่น ๆ ในโรงอาหารยังคงนิ่งเงียบ เพราะสีหน้าของอลันบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่ตลกด้วย
ในเวลานั้น ซาลทำได้เพียงแค่อดกลั้น เพราะเขาไม่มีคำพูดอะไรที่จะตอบโต้คำพูดของอีกฝ่ายกลับไป
ซารามอธ แฮลเซียน พ่อของซาล เคยเป็น ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ อันดับหนึ่งของพีชคีปเปอร์ เขาได้สร้างผลงานอันโดดเด่นเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะการยับยั้งสงครามโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นเพราะอาณาจักรต่าง ๆ มีการสั่งสมอาวุธและไพร่พลมากเกินไปจนเกิดความหวาดระแวงต่อกันและกัน ซารามอธเป็นผู้ที่ยุติปัญหานั้นและทำให้อาณาจักรต่าง ๆ ทั่วโลกลดการสะสมกำลังพลได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้โลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งสันติภาพที่แท้จริง เขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งยุคด้วย
แต่เมื่อสามปีก่อน พ่อของซาลกลับกลายเป็นผู้สร้างหายนะ นำทัพของนรกขึ้นไปรุกรานถึงบนสวรรค์ ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเขาจึงทรยศต่อโลกได้ บ้างก็ว่าเพราะการหายตัวไปของภรรยา บ้างก็ว่าเขาถูกพวกปิศาจครอบงำมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น แต่เหตุผลที่แท้จริงก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป
อย่างไรก็ตาม การกระทำที่เกินตัวไปนี้ก็ส่งผลให้ซารามอธพบกับความพ่ายแพ้พายในเวลาเพียงวันเดียว นี่จึงกลายเป็นการรุกรานที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์
เพราะหัวหน้าครอบครัวอย่างซารามอธก่อเรื่องร้ายแรงอย่างการเป็นผู้สร้างหายนะ ทำให้ตระกูลแฮลเซียนถูกขึ้นบัญชีดำจากพีชคีปเปอร์ คณะมนตรีความมั่นคงจึงมีคำสั่งให้นำทายาททั้งหมดมาอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลขององค์กร เพื่อปกป้องพวกเขาจากผู้คนที่เกลียดชังตระกูลของผู้สร้างหายนะ รวมทั้งป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ เจริญรอยตามผู้เป็นพ่อด้วย
ซาลมีพี่น้องทั้งหมดสี่คน คนโตสองคนเป็นบุตรและบุตรีบุญธรรมที่ซารามอธรับมาอุปการะไว้ พวกเขาถูกคนสนิทของซารามอธพาตัวหลบหนีไปได้ก่อน แต่ซาลกับน้องสาวฝาแฝดอีกคนไม่ทันได้หนีออกนอกอาณาจักรก็ถูกพบตัว ทั้งคู่จึงถูกแยกกันและส่งไปเรียนยังโรงเรียนประจำภายใต้สังกัดของพีชคีปเปอร์ ทำให้แทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยเป็นเวลาเกือบสามปีแล้ว
แม้จะถูกแยกจากพี่น้องและครอบครัว แต่ชีวิตในโรงเรียนของซาลก็ดำเนินไปอย่างสงบสุข มีน้อยครั้งมากที่จะมีคนเอ่ยถึงหรือตั้งข้อรังเกียจกับการเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะต่อเขา ส่วนกลุ่มเพื่อนสนิทก็ให้การยอมรับเขาเป็นอย่างดี ซาลจึงยิ่งรู้สึกผูกพันและซาบซึ้งในน้ำใจของทุกคนมากขึ้นไปอีก แต่นาน ๆ ครั้งก็ยังมีบางคนที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน อย่างที่แบรนด์กำลังทำอยู่
ความจริงในโรงเรียนนี้มีลูกหลานของผู้ที่ต้องข้อหาในคดีเกี่ยวข้องกับความมืดอีกหลายคน จึงมีกฎห้ามเอ่ยถึงคดีความในของครอบครัวพวกเขาเพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางหรือมีการรังแกนักเรียนที่ประวัติทางบ้านไม่ดี การที่แบรนด์จงใจพูดจาโจมตีซาลด้วยเรื่องพ่อของเขาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
อลันเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ซึ่งได้รับการปลูกฝังมาเป็นอย่างดีตั้งแต่อายุยังน้อย ปกติเขาจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแบรนด์มาโดยตลอดเพราะรู้ว่าความขัดแย้งของพวกเขาอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังครอบครัวของทั้งสองคนให้เป็นอริต่อกันได้ แต่คราวนี้แบรนด์ได้ล้ำเส้นมากเกินไปแล้วจริง ๆ อลันจึงคิดจะแตกหักกับอีกฝ่ายดูสักครั้ง ทว่ายังไม่ทันที่จะเอ่ยปาก ก็มีเสียงอันเกรี้ยวกราดของคนผู้หนึ่งดังขึ้นมาซะก่อน
“ถ้าใช่แล้วจะทำไมเหรอ!? พ่อก็ส่วนพ่อสิ! การให้ลูกหลานต้องมารับผิดชอบในสิ่งที่คนรุ่นก่อนทำไว้น่ะมันแย่ที่สุดเลยนะ! ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่มีพวกเราคนไหนสมควรได้อยู่บนโลกใบนี้ทั้งนั้น!”
คนที่ระเบิดอารมณ์ออกมาโดยไม่มีใครคาดถึงกลับเป็นทาลิส ซึ่งจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นตวาดใส่แบรนด์ ด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว
แม้ใบหน้าเวลาโกรธของเธอจะยังดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว แต่การที่คนใจเย็นซึ่งเป็นที่รู้จักในแง่ของความใจดีและเรียบร้อยอย่างทาลิสกลับฟิวส์ขาดระเบิดอารมณ์ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เพราะนั่นต้องแปลว่าเธอต้องโกรธมากจริง ๆ
มนุษย์บนโลกนี้คือทายาทของมนุษย์จากโลกเก่าซึ่งเคยทำให้โลกต้องพบกับจุดจบมาครั้งหนึ่งแล้ว หากลูกหลานต้องรับโทษที่พ่อแม่ หรือบรรพบุรุษทำไว้ โดยไม่มีการให้โอกาสแก้ตัวใด ๆ มนุษย์ปัจจุบันก็ไม่มีสิทธิ์อยู่บนโลกใบนี้เช่นกัน นั่นคือความหมายของสิ่งที่ทาลิสพูด
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ การเหมารวมเครือญาติของผู้กระทำผิดว่ามีความผิดไปด้วยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม นักเรียนของโรงเรียนอีจิสทุกคนได้รับการปลูกฝังเรื่องนี้มาโดยตลอด คนอื่น ๆ ในโรงอาหารจึงส่งสายตากดดันไปยังแบรนด์ซึ่งฝ่าฝืนทั้งกฎของโรงเรียนและมารยาททางสังคมในที่แห่งนี้ ทำให้แบรนด์กับเพื่อน ๆ ในกลุ่มต้องเก็บอาการหงุดหงิดและเดินหนีออกจากโรงอาหารไป
ทางกลุ่มของซาลก็ปลีกตัวออกจากโรงอาหารไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
โลเฟ่นกับอลันต้องการไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับใช้ในการทดสอบภาคสนามเลยขอแยกตัวไปกลางทาง จึงเหลือเพียงซาลกับทาลิสเดินกลับหอกันตามลำพัง
“ฉันไม่คิดมากหรอกนะ”
ซาลที่นิ่งเงียบมาตลอดตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ก็เอ่ยปากพูดขึ้น หลังจากเห็นว่าสีหน้าของทาลิสยังไม่คลายความกังวลลงเลย
“มันช่วยไม่ได้ที่จะมีคนคิดแบบนั้น ก็พ่อฉันทำผิดจริง ๆ นี่นา…”
“ตะ… แต่ว่า”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีคนที่เข้าใจและให้โอกาสฉัน อย่างเธอ โลเฟ่น และอลันต่างหาก ต่อให้โลกนี้ไม่มีใครยอมเชื่อใจฉันเลย แต่ขอแค่มีพวกเธอที่ยังเชื่อใจฉันอยู่ มันก็เพียงพอแล้ว”
“ซาล…”
“ระ.. หรือจะมีแค่เธอก็ได้… ต่อให้มีเธอคนเดียวที่ยังเชื่อในตัวฉัน แค่นั้นก็พอแล้ว…”
ซาลารัสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ และท่าทีเคอะเขินเล็กน้อยจนต้องพูดโดยหลบสายตาไปทางอื่น ส่วนทาลิสก็รู้สึกเขินจนต้องพยายามดึงผ้าพันคอขึ้นมาบังรอยยิ้มเอียงอายไม่ให้อีกฝ่ายเห็น แต่ใบหูอันแดงก่ำนั้นก็ไม่สามารถปกปิดความรู้สึกใด ๆ ไว้ได้
ลุงของทาลิสก็เคยต้องข้อหาว่าเป็นพวกนอกรีต แม้เขาจะเป็นเพียงแค่ญาติที่อาศัยอยู่เมืองเดียวกันและถูกจับกุมไปแล้ว แต่คนในเมืองกลับมีอคติต่อครอบครัวของทาลิสอยู่เรื่อยมา จนพ่อของเธอต้องตัดสินใจพาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่นี่แทน
สำหรับทาลิสแล้วการถูกตราหน้าว่ามีความผิดเพียงเพราะมีสายเลือดเกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดนั้นไม่ใช่เรื่องของคนอื่นคนไกล เพราะเธอเคยสัมผัสกับมันมาโดยตรง คงเพราะเหตุนี้ทำให้เธอรู้สึกเห็นอกเห็นใจและเข้าใจซาลมากเป็นพิเศษ
“ขอบคุณมากนะ”
ซาลกล่าวขอบคุณอีกครั้งที่หน้าทางเข้าหอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทาลิสที่ยังหุบยิ้มไม่ลงและพยายามหลบสายตาอยู่ก็ได้แต่พยักหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายเดินเข้าหอของตัวเองไป
ในวันนั้นทุกคนต่างก็ยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมสัมภาระเพื่อการไปทดสอบภาคสนาม ซาลกับโลเฟ่นนอนคุยกันจนดึกเพราะตื่นเต้นกับการที่จะได้ออกผจญภัยเป็นครั้งแรก ทั้งคู่นอนคุยกันจนเกือบถึงเที่ยงคืน ก่อนที่จะผลอยหลับไป
—————————————————————————————————-
Part 4
ในค่ำคืนอันเงียบสงัด อาจารย์แกริสเดินฝ่าความมืดของอาคารส่วนกลางซึ่งเป็นเขตหวงห้ามสำหรับนักเรียน เพื่อขึ้นไปยังชั้นบนสุดของอาคาร
ที่ชั้นบนสุดแม้จะมีพื้นที่เท่ากับชั้นอื่น ๆ แต่ก็มีห้องอยู่เพียงห้องเดียว
เมื่อแกริสเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่อยู่ด้านในก็คือห้องขนาดใหญ่ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หลายสิบคนกำลังนั่งประจำโต๊ะที่มีจอภาพเวทมนตร์ฉายภาพอยู่ และตามผนังของห้องก็มีจอภาพมากมายฉายภาพมุมต่าง ๆ ของโรงเรียนอยู่เช่นกัน
แม้จะดูเหมือนเป็นห้องสังเกตการณ์สำหรับรักษาความปลอดภัยในโรงเรียน แต่หน้าจอต่าง ๆ กลับโฟกัสไปที่เหล่านักเรียนมากกว่าจะเป็นสถานที่ และในจอที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ตรงกลางก็มีภาพเหตุการณ์ในโรงอาหารเมื่อตอนกลางวันฉายอยู่ด้วย
“วันนี้เป็นไงบ้าง”
“ก็ มีเรื่องที่โรงอาหารนิดหน่อยครับ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เหตุการณ์ก็จบลงด้วยดีครับ”
แกริสเอ่ยถามเจ้าหน้าที่ซึ่งคุมโต๊ะใหญ่อยู่อย่างเป็นกันเองด้วยถ้อยคำสบาย ๆ ไม่ถือตัว แต่เจ้าหน้าที่ก็ตอบกลับมาอย่างสุภาพทุกถ้อยคำ แสดงให้เห็นถึงระดับของตำแหน่งที่ต่างกันอยู่
“นักเรียนที่ก่อเรื่องคือ แบรนด์ เซเวอร์ จะให้นำออกจากระบบเลยมั้ยครับ?”
แกริสดูบันทึกเหตุการณ์จนจบแล้วก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะให้คำตอบกับเจ้าหน้าที่คนนั้น
“อืม… ไม่ต้องก็ได้มั้ง ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรร้ายแรงมากนี่ ที่สำคัญคือการได้พบอุปสรรคและความเจ็บปวดในชีวิตบ้างก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เด็ก ๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพนะ แต่ยังไงก็เถอะ ต่อจากนี้ช่วยเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดด้วยล่ะ ถ้ามีแนวโน้มว่าจะมีการกลั่นแกล้งหรือทำอะไรเกินเลยไปละก็ ให้รีบเข้าแทรกแซงซะ อาจจะเรียกเพื่อน ๆ เข้ามาช่วย หรือถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ส่งคนเข้าไปแทรกแซงโดยตรงได้เลย ฉันอนุญาต”
“รับทราบครับ”
เมื่อจบการสนทนา แกริสก็เดินออกจากห้องไป โดยทิ้งเหล่าเจ้าหน้าที่ซึ่งยังคงเฝ้าดูจอภาพกันอย่างขะมักเขม้นเอาไว้เบื้องหลัง