Doombringer the 5th - ตอนที่ 10
Ch.10 – พลังของวัยเยาว์
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 10
พลังของวัยเยาว์
Part 1
วันต่อมา ตารางเรียนของซาลก็ยังคงเหมือนเดิม
แซนโดรให้ซาลจดจำทฤษฎีและโครงสร้างเวทมนตร์ขั้นพื้นฐาน จากนั้นก็ให้เขาทดลองร่ายเวทที่เพิ่งจะจดจำมา
“เอ๋~ วันนี้ต้องฝึกการใช้เวทด้วยเหรอ? แบบนี้พลังเวทก็หมดน่ะสิ ถ้าพวกนักผจญภัยมาจะทำไงล่ะ?”
“…วันนี้ไม่มาหรอก…”
“หืม? ทำไมล่ะ?”
“…ปกติแล้วนักผจญภัยจะเว้นช่วงหนึ่งวันเพื่อให้ดันเจียนได้พัก …ให้พวกมอนสเตอร์ได้มารวมตัวกันในดันเจียนอีกครั้ง …พวกนั้นจะมาอีกทีเร็วสุดก็คงวันพรุ่งนี้ หรืออาจช้ากว่านั้นก็ได้…”
“แล้วถ้าเกิดพวกนั้นมาเร็วกว่าที่คิดล่ะ?”
“…ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ค่อยกินโพชั่นเติมพลังเวทเอาก็ได้ …เลิกบ่ายเบี่ยงได้แล้ว…”
ซาลไม่ค่อยชอบวิชาที่ต้องท่องจำสักเท่าไหร่ จึงไม่ถูกโรคกับการฝึกเวทพื้นฐานที่ต้องจดจำรูปแบบอักขระและโครงสร้างเวทมนตร์มากมาย แต่ถึงจะอิดออดนิดหน่อย สุดท้ายแล้วเขาก็ทำตามที่แซนโดรสั่งอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
เมื่อเสร็จการฝึกภาคเช้าแล้วทั้งสองก็พักทานอาหารกลางวันกันก่อนจะเข้าสู่ภาคเรียนช่วงบ่าย
เนื่องจากซาลค้นพบวิธีการทำให้สมุนเติบโตจากการต่อสู้ได้แล้ว การวิจัยพัฒนาอักขระเพื่อลดค่าร่ายจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่แซนโดรก็ให้เขาใช้เวลาช่วงนี้ในการศึกษาและทดลองงานวิจัยเพื่อปรับปรุงพัฒนาร่างอัญเชิญให้ดีขึ้น
สิ่งที่ซาลให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือเรื่อง ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ของร่างอัญเชิญ
ตามที่แซนโดรบอก ร่างอัญเชิญนั้นยังไงก็จะมี ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ที่ด้อยกว่าตัวจริงเสมอ ถ้ามีระดับเท่ากัน ซาลจึงอยากจะปรับแก้ในจุดนี้ก่อน เพราะเขาอยากจะได้ร่างอัญเชิญที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวจริง ไม่ใช่อาศัยระดับที่สูงขึ้นมากลบจุดด้อยเอา
“อืม… ‘ดราก้อนสกิน’ (Dragon Skin) ระดับหนึ่ง ลดความเสียหายทางกายภาพและเวทมนตร์ลง 10% และเพิ่มความต้านทานเวท 20% งั้นเหรอ แต่ต้องเป็นสมุนระดับ 5 ถึงจะใช้ได้แน่ะ แถมยังมีให้ใช้แค่ขั้นเดียวด้วย… อ๊ะ ‘เมจิครีซิส’ (Magic Resist) ระดับหนึ่งก็ลดความเสียหายทางเวทมนตร์ลง 10% และเพิ่มความต้านทานเวทให้อีก 10% ด้วย แถมใส่ได้ตั้งแต่ระดับ 3 เลย แบบนี้น่าจะพอใช้แทนกันได้นะ”
ซาลลองนำทักษะ ‘เมจิครีซิส’ ที่เขาพบในหนังสือมาใส่ให้กับมังกรของเขาเพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ใกล้เคียงตัวจริงมากขึ้น แต่ปรากฏว่าล้มเหลว มังกรของเขานั้นไม่สามารถใส่ทักษะ ‘เมจิครีซิส’ ได้
“เอ๋? ทำไมล่ะเนี่ย?”
ระหว่างที่เขากำลังงุนงง แซนโดรที่เฝ้าดูมาตั้งแต่แรกก็อธิบายให้ฟัง
“…นี่ …เธอเข้าใจความหมายของคำว่า ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ รึเปล่า? …มันคือทักษะเฉพาะตัวที่มีแต่สมุนชนิดนั้นถึงจะสามารถใช้งานได้ … ‘เมจิครีซิส’ อันนั้นน่ะมีเขียนไว้รึเปล่าว่าเป็นของสมุนประเภทไหน?…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลจึงกวาดสายตาดูข้อมูลในหนังสืออีกครั้ง
“อา… มันเขียนว่าเป็น ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ของสมุนประเภท ‘แฟรี่’ ล่ะ”
‘แฟรี่’ (Fairy) คือร่างอัญเชิญที่มีรูปลักษณ์เป็นเทพธิดาตัวน้อย หรือภูติ มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์สูง แต่เวทส่วนใหญ่ที่ใช้ได้จะเป็นเวทสนับสนุน ความสามารถในการต่อสู้จัดว่าอยู่ในระดับต่ำ
“…อืม …เพราะแบบนั้นก็มีแต่ ‘แฟรี่’ ที่ใช้ได้ไงล่ะ…”
“เอ๋? แปลว่าใส่ข้ามชนิดกันไม่ได้เหรอ?”
“…ไม่งั้นจะเรียกว่าคุณสมบัติเฉพาะเหรอ?…”
“แต่นี่มันไม่ใช่ร่างจริงนี่นา เป็นแค่ร่างอัญเชิญที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้นเอง ของที่ถูกสร้างขึ้นมันก็น่าจะปรับแต่งได้สิ”
“…ถึงจะเป็นของที่ถูกสร้างขึ้นแต่ก็มีกฎของมันอยู่ …เหมือนกับการสร้างสิ่งก่อสร้างก็ต้องอยู่ภายใต้กฎของฟิสิกส์ หากต่อเติมอาคารตามใจชอบจนโครงสร้างรับน้ำหนักไม่ไหวหรือเสียสมดุล อาคารก็จะถล่ม …การผสมยาก็ต้องอยู่ภายใต้กฎของเคมี หากสัดส่วนของสารเคมีคลาดเคลื่อนก็จะไม่ทำปฏิกิริยากัน หรือเกิดปฏิกิริยาผิดเพี้ยนทำให้ได้สารชนิดอื่นออกมาแทน …ร่างอัญเชิญเองก็มีกฎแห่งความสมดุลและความเข้ากันได้อยู่เช่นกัน หากเปรียบกับคอมพิวเตอร์ก็เหมือนกับร่างอัญเชิญแต่ละร่างมีระบบปฏิบัติการของตัวเอง มันไม่สามารถใช้งานซอฟท์แวร์ที่ออกแบบมาสำหรับระบบปฏิบัติการอื่นได้หรอก…”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแซนโดร ซาลก็เข้าใจเหตุผลต่าง ๆ อย่างกระจ่างชัดขึ้น จึงลองมองหาทางแก้ด้วยวิธีอื่นดู
“อืม… สิ่งที่กำหนดว่าร่างอัญเชิญจะสวมใส่คุณสมบัติเฉพาะอะไรได้บ้างก็คืออักขระตัวแรกที่ใช้ในการเขียนวงเวทอัญเชิญนี่สินะ?”
“…ใช่แล้ว …นั่นคือรหัสตัวตนของร่างอัญเชิญ …เป็นสิ่งที่กำหนดคุณสมบัติและรูปลักษณ์ที่ร่างอัญเชิญนั้นจะมีได้ …คล้ายๆกับรหัสพันธุกรรม (DNA) ของสิ่งมีชีวิตนั่นแหละ…”
“มีทางที่จะปรับแต่งรหัสตัวตนนี้ให้มันสามารถมี ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ของตัวตนอื่น ๆ ได้รึเปล่า?”
“…ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้หรอกนะ …แต่การจะปรับแต่งรหัสตัวตนให้เกิดความสมดุลน่ะเป็นเรื่องยาก …หรือต่อให้ทำได้ก็จะกลายเป็นตัวตนแบบใหม่ไป …รู้รึเปล่าว่ามนุษย์น่ะมีรหัสพันธุกรรมต่างจากปลาโลมาแค่ 0.2% เท่านั้น …ดังนั้นถ้าปรับแต่งเสร็จแล้วมังกรของเธอกลายเป็นสไลม์ไปก็ไม่ต้องแปลกใจ…”
“สไลม์เลยเหรอ!? แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าร่างอัญเชิญมีรากฐานมาจากรหัสตัวตนที่มีอยู่จริง ๆ ทำไมถึงมี ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ที่ห่วยกว่าตัวจริงได้ล่ะ?”
“…’คุณสมบัติเฉพาะ’ ของตัวจริงจะได้มาจากการเติบโต …แต่ของร่างอัญเชิญน่ะเป็นโครงสร้างที่คัดลอกจากของจริงแล้วนำมาติดตั้งทีหลัง …และด้วยข้อจำกัดของวิทยาการด้านอักขระ ทำให้เราเขียนได้แค่โครงสร้างที่ต้องการร่างอัญเชิญระดับสูงกว่าปกติถึงจะใช้งานได้ …ถ้าอยากสวมให้ร่างอัญเชิญระดับต่ำลงก็ต้องลดคุณภาพของ ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ลงด้วย ซึ่งไม่นิยมทำกัน…”
“อืม… แบบนี้นี่เอง ถึงจะคัดลอกมาจากของจริง แต่เพราะวิทยาการไม่ถึง ของที่คัดลอกมาก็เลยห่วยกว่าสินะ”
‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ของตัวจริง ได้มาจากการเติบโต…
โครงสร้างที่ลอกมา ต้องการร่างอัญเชิญระดับสูงขึ้นถึงจะใช้ได้…
ถ้าจะใส่ให้สมุนระดับต่ำลง ต้องลดคุณภาพของ ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ลง…
มังกรจริงๆ จะมี ‘ดราก้อนสกิน’ เมื่อเติบโตถึงระดับ 2…
ซาลรู้สึกเหมือนจะเห็นความเชื่อมโยงบางอย่าง จึงเฝ้าทบทวนองค์ประกอบเหล่านี้วนไปวนมาอยู่ในใจเป็นเวลานาน
“มังกรตามธรรมชาติเนี่ยมันควรจะมี ‘ดราก้อนสกิน’ ตั้งแต่เกิดอยู่แล้วนี่ แปลว่าคุณสมบัตินี้เพิ่งจะแสดงผลชัดเจนเมื่อมีพลังถึงระดับ 2 รึเปล่านะ?”
“…หืม?…”
แซนโดรยังไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพึมพำออกมา ส่วนซาลก็กางโครงสร้างทางเวทมนตร์ของ ‘ดราก้อนสกิน’ ออกมาแล้วปรับแต่งคุณสมบัติของ ‘ดราก้อนสกิน’ ขั้นที่หนึ่งจนไม่เหลือโบนัสอะไรเลย ทำให้มันกลายเป็นแค่ทักษะที่มีแต่ชื่อเปล่า ๆ แทน
แม้แซนโดรจะเฝ้ามองการกระทำนั้นอยู่ตลอด แต่ก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาจะทำอยู่ดี
“…ลดคุณภาพของ ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ลงงั้นเหรอ? แต่ทำไมล่ะ?…”
“ดูสิ แบบนี้ก็จะสามารถติดตั้งให้กับสมุนระดับ 1 ได้แล้วไงล่ะ ไม่ต้องรอถึงระดับ 5 แล้ว”
“…นั่นก็จริงอยู่ …แต่จะมีประโยชน์อะไรล่ะ? …อ๊ะ…”
แซนโดรรู้สึกเหมือนจะเชื่อมโยงอะไรบางอย่างได้ ในขณะที่ซาลก็ดำเนินการต่อไปด้วยท่าทางตื่นเต้นและแววตาเป็นประกาย
“พอจะนึกออกแล้วใช่ม้า~ ความจริงก็ยังไม่ชัวร์หรอกนะ แต่มันก็น่าลองดูน่ะ”
ซาลวาดวงเวทสำหรับสร้างมังกรตัวใหม่ขึ้นมาหนึ่งวง เขาติดทักษะ ‘ดราก้อนสกิน’ แบบไร้ขั้นซึ่งไม่ให้โบนัสใด ๆ เลยลงบนตัวมัน จากนั้นก็แปลงสภาพมันเป็นอักขระเพื่อสร้างวงเวทโฮมูนครูสอีกที จากนั้นจึงหันมาพูดกับแซนโดร
“นี่ แซนโดร พาไปที่เชิงเขาทีสิ”
แซนโดรพอจะเข้าใจลาง ๆ แล้วว่าซาลต้องการจะทำอะไร จึงพาเขาเทเลพอร์ทไปยังเชิงเขาด้านหน้าของมาลาไคท์คีป
———————————————————————————————————-
Part 2
เมื่อมาถึง ซาลก็อัญเชิญมังกรตัวนั้นออกมาพร้อมกับหมาป่าระดับสี่ที่ติดทักษะ ‘อินทิมิเดท’ เอาไว้อีกหนึ่งตัว จากนั้นก็ส่งทั้งสองตัวไปสู้กับสเกลตัน โดยให้หมาป่าเป็นตัวรับความเสียหาย ในขณะที่มังกรเป็นตัวโจมตี หลังจากจัดการกับสเกลตันไปหกตัว มังกรตัวใหม่ของเขาก็พัฒนาจนกลายเป็นสมุนระดับ 2
ซาลสำรวจดูคุณสมบัติของมังกรตัวนั้นอีกครั้ง แล้วก็พบกับผลลัพธ์ที่ทำให้ตาของเขาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
ตอนนี้ ‘ดราก้อนสกิน’ แบบไร้ขั้นซึ่งไม่มีโบนัสทางคุณสมบัติใด ๆ เลยได้กลายเป็น ‘ดราก้อนสกิน’ ขั้นที่หนึ่งซึ่งให้โบนัสลดความเสียหายทางกายภาพและเวทมนตร์ลง 10% และเพิ่มความต้านทานเวทอีก 20% ตามที่มันควรจะเป็นทุกอย่าง
“สำเร็จ! เป็นไปอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย!”
เขาโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ ในขณะที่แซนโดรกำลังตรวจสอบคุณสมบัติของมังกร
“…’ดราก้อนสกิน’ เลื่อนระดับขึ้นมาเป็นขั้นที่หนึ่งเองงั้นเหรอ …คุณสมบัติที่ติดตั้งไว้เกิดการเติบโตไปพร้อมกับร่างอัญเชิญสินะ …แถมยังเป็นอัตราเดียวกับตัวจริงเลยซะด้วย…”
แม้แต่แซนโดรเองก็ยังอดทึ่งไม่ได้ ความจริงเธอก็ทำการวิจัยและคิดวิธีการพัฒนาทักษะของร่างอัญเชิญอยู่ตลอด ทั้งเพื่อช่วยเขาอีกแรงและพัฒนาสมุนของตนเองไปด้วย แต่ก็ยังไม่เคยคิดถึงวิธีแบบนี้มาก่อน
แม้ซาลจะเป็นคนค้นพบวิธีการสร้างสมุนที่พัฒนาได้ก็ตาม แต่แซนโดรก็มั่นใจในความรู้และสติปัญญาของตัวเองจึงคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ต่อยอดวิทยาการนี้ได้ก่อน กระนั้นก็ถูกเด็กคนนี้ตัดหน้าไปอีกจนได้
“…นี่คือพลังของวัยเยาว์สินะ …ไม่ถูกผูกมัดด้วยกรอบหรือแบบแผน …ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัด …สู้ไม่ได้จริง ๆ แฮะ…”
แซนโดรเอ่ยออกมาเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มละไมและสายตาอันอ่อนโยนผิดกับสีหน้าตามปกติที่ค่อนข้างจะเรียบเฉย น้ำเสียงนั้นก็แฝงไปด้วยความภูมิใจในตัวซาลารัสอีกด้วย แต่ประโยคสุดท้ายนั้นเธอพูดเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ เพราะไม่อยากให้เขาได้ยิน
“เห? พูดอะไรเป็นยายแก่ไปได้น่ะ แต่จะว่าไปก็เป็นยายแก่อยู่แล้วนี่นะ …แอ๊ก!”
ซาลซึ่งพูดจาหาเรื่องเจ็บตัวก่อนจะหันกลับมามองก็โดนตีเข่าเข้าสีข้างจนต้องทรุดลงไปกองตามระเบียบ แต่เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าได้พลาดสิ่งที่หาดูยากไปซะแล้ว
หลังจากตัวงออยู่พักหนึ่ง ซาลก็ลุกกลับขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ยังบิดเบี้ยวอยู่นิด ๆ และทำการปรับแต่งวงเวทอัญเชิญอีกครั้ง
“นี่ ผมอยากลองพัฒนามันเป็นระดับ 4 ดูน่ะ อยากรู้ว่าจะได้ ‘ดราก้อนสกิน’ ขั้นที่สองเหมือนของจริงมั้ย ขอใช้มอนสเตอร์ในดันเจียนเพื่อเก็บเลเวลหน่อยละกันนะ”
“…อืม …เอาสิ …ไว้เดี๋ยวค่อยร่ายเวทดึงดูดมอนสเตอร์ใหม่ก็ได้…”
เมื่อได้รับอนุญาต เขาก็อัญเชิญมังกรลงไปในดันเจียนและเริ่มทำการเคลียร์มอนสเตอร์
หลังจากเคลียร์มอนสเตอร์กลุ่มเล็ก ๆ ไปได้สี่กลุ่ม มังกรของซาลก็กลายเป็นสมุนระดับ 3 เขาตั้งใจจะเคลียร์ดันเจียนต่อไปเรื่อย ๆ ให้มังกรกลายเป็นระดับ 4 แต่ก็สังเกตเห็นคุณสมบัติที่เปลี่ยนแปลงไปของมังกรตัวนั้นซะก่อน
“หืม? อะไรหว่า? จู่ ๆ ก็มีทักษะเพิ่มขึ้นมาเอง …’ไฟร์เบรธ’ (Fire Breath) ขั้นที่หนึ่งงั้นเหรอ? นี่มันอะไรอะ?”
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยขึ้น แซนโดรจึงเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ และเมื่อเห็นคุณสมบัติชนิดใหม่ของมังกร เธอก็ต้องแสดงอาการแปลกใจออกมา
“…’ไฟร์เบรธ’ งั้นเหรอ? …นั่นเป็น ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ อีกอย่างหนึ่งของมังกร …ทำให้สามารถพ่นลมหายใจธาตุต่างๆได้ …เป็นการโจมตีแบบพิเศษที่ไม่ต้องใช้พลังเวทมนตร์ …มังกรระดับ 3 จะมีคุณสมบัตินี้ก็จริงหรอกนะ …แต่ทำไมร่างอัญเชิญถึงมีได้ล่ะ…”
“เห? ทำไมถึงมีของแบบนี้โผล่ขึ้นมาเองได้ล่ะ? ก็ติดตั้ง ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ของ ‘ดรากอนสกิน’ ไปแค่อย่างเดียวนี่นา อันที่จริงผมไม่รู้โครงสร้างอักขระของ ‘ไฟร์เบรธ’ เลยด้วยซ้ำ ไม่ได้ใส่ลงไปแน่ ๆ ”
แซนโดรเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่แพ้กัน เธอให้ซาลารัสกางผังโครงสร้างวงเวทอัญเชิญของมังกรระดับหนึ่งขึ้นมาดูอีกครั้งเพื่อทำการตรวจสอบหาสิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ เพราะนอกจาก ‘ดรากอนสกิน’ ที่เพิ่มลงไปแล้ว ก็ไม่มีโครงสร้างอื่นที่ถูกปรับแต่งอีกเลย
หลังจากพิจารณาอยู่พักหนึ่ง แซนโดรก็แสดงสีหน้าเหมือนกับนึกอะไรออก
“…นี่เป็นแค่ทฤษฎีนะ …เคยมีคนตั้งสมมุติฐานเอาไว้ว่า …’คุณสมบัติเฉพาะ’ ทุกชนิดของตัวตนใด ๆ ก็ตามจะมาจากต้นกำเนิดเดียวกันทั้งหมด คือ ‘รากฐานของคุณสมบัติ’ …เมื่อ ‘รากฐานของคุณสมบัติ’ พัฒนาไป ก็จะทำให้เกิด ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ที่แตกกิ่งก้านสาขาออกมาจากรากฐานนั้นอีกทีหนึ่ง …การที่เธอปรับแต่งโครงสร้างของ ‘ดรากอนสกิน’ ลงจนเป็นระดับศูนย์นั้น อาจทำให้มันสูญเสียสภาพของ ‘ดรากอนสกิน’ ไปแล้ว …และกลับไปเป็น ‘รากฐานของคุณสมบัติมังกร’ …เมื่อรากฐานอันนี้เกิดการพัฒนาขึ้น มันจึงให้ ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ทุกชนิดที่มังกรจะมีได้ออกมาแทน…”
“เอ๋! จริงดิ!? แบบนี้ก็สุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ! เท่ากับว่าจะมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับมังกรจริง ๆ ทุกประการเลยนะเนี่ย! ว้าว!!
ซาลกระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้นและดีใจสุด ๆ ส่วนแซนโดรก็ยังอึ้งไม่หาย
ถึงครั้งนี้จะเป็นความบังเอิญที่ได้ผลลัพธ์เหนือกว่าที่คาดเอาไว้ แต่เด็กคนนี้ก็ทำสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นการค้นพบระดับศตวรรษเป็นชิ้นที่สามแล้วในช่วงเวลาแค่ไม่ถึงสัปดาห์มานี้
“…เธอสนใจจะเป็นเชฟ (Chef) มั้ย?…”
“หา? ว่าอะไรนะ?”
“…ไม่มีอะไร…”
แซนโดรแอบคิดว่าถ้าซาลเป็นเชฟละก็ คงคิดค้นเมนูเด็ดระดับเทพได้ไม่เว้นแต่ละวันแน่ แต่เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีที่ของผู้ใหญ่ยังเหลืออยู่น้อยนิด เธอจึงไม่ได้พูดมันออกไป
ซาลเปิดดูหน้าจอคุณสมบัติของมังกร พลางจินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ ถึงความสามารถในอนาคตที่มันจะมีได้ แค่คิดก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนหยุดไม่อยู่แล้ว
“นี่ๆ แซนโดร มังกรน่ะยังมี ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ อะไรอีกบ้างเหรอ?”
“…ถึงจะมีเกล็ดสีเทา แต่เจ้านี่มันเป็นมังกรธาตุไฟสินะ?…”
“อื้ม ก็สร้างมาโดยใช้มังกรไฟเป็นพื้นฐานอะนะ”
“…ที่ระดับสูง ๆ จะมี ‘เบลซซิ่งสเคล’ (Blazing Scale) …ท่าที่ทำให้เกล็ดทั้งตัวลุกเป็นไฟ แผ่ความร้อนออกมาแผดเผาศัตรูรอบข้าง …และมี ‘เมเทโอชาวเวอร์’ (Meteor Shower) ท่าโจมตีพิเศษที่จะเรียกฝนลูกไฟจำนวนมากมาโจมตีพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง…”
“หวาว ยอดเลย แล้วที่ระดับไหนถึงจะได้ท่าพวกนี้มาเหรอ?”
“…เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่แน่ใจหรอกนะ …มันมีบันทึกไว้ว่ามังกรจริง ๆ สามารถใช้ความสามารถเหล่านั้นได้ …แต่สำหรับร่างอัญเชิญแล้วยังไม่เคยมีใครลองเขียนโครงสร้างเวทมนตร์สำหรับความสามารถพวกนั้นมาก่อนเลย …เพราะมันเป็นความสามารถระดับสูงน่ะ …ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นระดับ 6 ขึ้นไป โดยเฉพาะท่าระดับสูงมาก ๆ เนี่ยอาจต้องรอถึงระดับ 8 ก็ได้…”
แม้จะฟังดูไม่เยอะ แต่การเลื่อนระดับแต่ละขั้นนั้นจะต้องการการพัฒนาค่าสถานะหลักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงหลังจากระดับ 5 ซึ่งเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนผ่านระหว่างมอนสเตอร์ระดับสูงกับมอนสเตอร์ระดับต่ำ ทำให้แม้จะพัฒนาขึ้นมาจนถึงระดับ 5 ได้อย่างรวดเร็ว แต่การจะพัฒนาจนเลื่อนระดับต่อจากนี้ได้เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลามากขึ้นเป็นทวีคูณ
“เอ๋~ ระดับ 8 เลยเหรอ? ทั้ง ๆ ที่สองท่าแรกก็ได้มาตั้งแต่ระดับต่ำ ๆ แท้ ๆ ”
“…นั่นเพราะมันเป็นความสามารถพื้นฐานไงล่ะ …ความสามารถระดับสูงก็จะเป็นอีกขั้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปมาก …และน่าจะยังมีความสามารถระดับเหนือขึ้นไปอีก…”
“ยังมีทักษะที่เหนือกว่านั้นด้วยเหรอ!?”
“…ใช่ …ว่ากันว่าพวกมังกรที่มีระดับ A หรือ S จะมีท่าไม้ตายเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป …ทว่าแม้แต่ในหมู่มังกรจริง ๆ ก็มีน้อยตัวที่จะขึ้นถึงระดับนี้ เลยไม่ค่อยมีคนรู้ว่ามันเป็นทักษะอะไรกันแน่ …บางทีมันอาจเป็นท่าที่เกิดจากการคิดค้นขึ้นเองก็ได้ แต่ก็เป็นท่าที่สามารถใช้ออกมาได้เพราะมีคุณสมบัติสูงมาก ๆ เท่านั้นอยู่ดี…”
“ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ! ต้องไปให้ถึงระดับ A ให้ได้เลย!”
หลังจากนั้นซาลก็เคลียร์มอนสเตอร์จนหมดทั้งดันเจียน แต่มังกรของเขากลับยังอยู่แค่ระดับ 4 เหมือนเดิม ดูเหมือนค่าประสบการณ์ที่ได้จากการสู้มอนสเตอร์จะทำให้สมุนพัฒนาได้ช้ากว่าการสู้กับนักผจญภัยพอสมควรจริง ๆ
ซาลร่ายเวทดึงดูดมอนสเตอร์ใหม่อีกครั้งและกลับไปที่ห้องสมุดเพื่อทำการรื้อผังโครงสร้างสมุนใหม่ทั้งหมด ส่วนแซนโดรก็แยกตัวไปเตรียมอาหารเพราะใกล้จะได้เวลาอาหารเย็นแล้ว
สมุนชุดเก่าไม่ได้ถูกสร้างมาให้มี ‘รากฐานของคุณสมบัติ’ แต่แรก ดังนั้นถึงจะพัฒนาไปแค่ไหนก็จะไม่ได้รับ ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ อยู่ดี ทำให้จำเป็นต้องรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ทั้งหมด ซาลจึงค่อย ๆ แยกส่วนประกอบของวงเวทอัญเชิญแต่ละชุดด้วยความอาลัย
เพราะสมุนทุกตัวถูกสร้างให้เป็นร่างอัญเชิญถาวรในทีแรก เมื่อแยกส่วนประกอบของวงเวททั้งหมดแล้วก็ยังเหลือร่างต้นของพวกมันอยู่ดี การจะลบตัวตนของพวกมันต้องใช้เวท ‘อันซัมมอน’ (Unsummon) เพื่อสลายร่างอัญเชิญไป สำหรับคนที่มีความรู้สึกผูกพันกับสมุนทุกตัวอย่างซาลแล้วนี่ก็ไม่ต่างไปจากการฆ่าพวกมันทิ้ง แต่จะอย่างไรพวกมันก็เป็นร่างอัญเชิญที่ไม่มีอนาคตอยู่ดี เขาจึงได้แต่สลายร่างของพวกมันไปด้วยความกล้ำกลืน
ซาลสลายการอัญเชิญของเหล่าสมุนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงเหล่าสมุนคู่ใจทั้งสามตัว ทาร์ทารัส, เซอร์บีรัส, อีเรบัส หมาป่าสามสหายที่เป็นสมุนชุดแรกของเขา ทำให้เขาเกิดความลังเลขึ้นมา เพราะเขามีความผูกพันกับพวกมันมากเป็นพิเศษ
“อา… ยังไงก็ทำไม่ลงจริง ๆ แฮะ…”
เพราะทำใจสลายร่างของพวกมันทิ้งไปไม่ได้ ซาลจึงแปลงพวกมันกลับเป็นอักขระอีกครั้ง และลองสร้างวงเวทอัญเชิญของหมาป่าตัวใหม่โดยใช้อักขระของหมาป่าทั้งสามตัวเป็นองค์ประกอบเสริมดู เพื่อเก็บมันไว้เป็นที่ระลึก แม้จะกังวลว่าโครงสร้างอาจล้มเหลว แต่ปรากฏว่าร่างอัญเชิญสามารถก่อตัวขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงรู้สึกโล่งใจ
“โอ้ ไม่มีปัญหาด้วยแฮะ ถึงจะกินพลังเวทเพิ่มขึ้นอีกโขก็เถอะ แต่แบบนี้ก็เท่ากับได้หมาป่าที่สืบทอดจิตวิญญาณจากรุ่นก่อนจริง ๆ เลยสิเนี่ย ฮะ ๆ แต่เอ… แบ่งออกเป็นสามตัวเหมือนเดิมจะดีกว่ามั้ยนะ…”
ระหว่างที่กำลังคิดอยู่ ซาลก็เหลือบไปเห็นคุณสมบัติของหมาป่าตัวใหม่ที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก
“เห? ทำไมถึงมีทักษะติดตัวมาแต่เริ่มถึงสามอย่างเลยล่ะ? ทั้งที่เพิ่งเป็นสมุนระดับหนึ่งแท้ ๆ ปกติจะติดตั้งทักษะได้แค่อย่างเดียวด้วยซ้ำ แถมเราก็ยังไม่ได้ใส่ทักษะอะไรให้เลยด้วย…”
พอลองสำรวจดูดี ๆ ทักษะทั้งสามอย่างที่หมาป่าตัวใหม่มีมาแต่แรกนั้นก็คือ อินทิมิเดท, เพียชชิ่งโฮวล์, และ ฟีรัล
“ทักษะสามอย่างนี้มันเป็นทักษะที่ติดตัว ทาร์ทารัส, เซอร์บีรัส, และ อีเรบัส อยู่นี่นา! แปลว่าเกิดการถ่ายทอดทักษะที่ร่างอัญเชิญในอักขระเสริมมาให้กับร่างอัญเชิญที่เป็นเจ้าของวงเวทงั้นเหรอ!?”
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซาลจึงทำการแยกส่วนประกอบวงเวทอัญเชิญของมังกรระดับสามที่เพิ่งฝึกมา และเอาอักขระของมันมาฝังลงบนวงเวทของหมาป่าตัวใหม่นี้ด้วย
ปรากฏว่าการกระทำนี้ทำให้หมาป่าตัวใหม่ต้องการค่าร่ายสูงขึ้นมากจนร่ายไม่ออก แม้เขาจะกินมานาโพชั่นเติมพลังเวทจนเต็มแล้วก็ตาม เขาจึงต้องนำอักขระของหมาป่าสามตัวออกไป ถึงจะสามารถร่ายหมาป่าตัวใหม่ได้ด้วยพลังเวทที่เพียงพอแบบฉิวเฉียด
เมื่อร่ายได้สำเร็จก็พบว่าหมาป่าที่ร่ายออกมามีทักษะ ‘ดรากอนสกิน’ กับ ‘ไฟร์เบรธ’ ติดตัวมาด้วย
“แม้แต่ ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ก็ได้รับการถ่ายทอดเหรอเนี่ย!? ยอดไปเลย! แต่กินพลังเวทสุด ๆ ไปเลยแฮะ เพราะเป็นทักษะระดับสูง แถมไม่ใช่ทักษะเฉพาะของตัวมันเองงั้นเหรอ?”
ซาลลองสร้างสมุนใหม่ ๆ อีกหลายตัวและนำไปเพิ่มระดับกับสเกลตันเพื่อทดสอบอะไรหลาย ๆ อย่างดู เมื่อทำการทดสอบไปพักใหญ่เขาก็ได้ข้อสรุปแบบคร่าว ๆ ออกมา
1. เมื่อสร้างวงเวทโดยใช้อักขระที่เกิดจากการแปลงสภาพสมุนตัวอื่นมาเป็นตัวเสริม จะทำให้สมุนตัวหลักได้รับการถ่ายทอดทักษะหรือคุณสมบัติพิเศษจากสมุนตัวเสริมมาด้วย
2. การอัญเชิญสมุนที่ได้รับคุณสมบัติเสริมจะต้องการพลังเวทในการร่ายมากขึ้น ส่วนอัตราค่าร่ายที่เพิ่มขึ้นนั้นจะขึ้นอยู่กับระดับของสมุนตัวเสริม, ระดับของทักษะ, และจำนวนทักษะที่สมุนตัวเสริมมี
3. สมุนตัวเสริมไม่สามารถพัฒนาตัวเองหรือทักษะได้ในขณะที่เป็นแค่ตัวเสริม แต่สมุนตัวหลักของวงเวทนั้นยังพัฒนาตัวเองได้ตามปกติ
“อืม… เงื่อนไขหลักๆก็คงจะเป็นราวๆนี้ล่ะมั้ง น่าเสียดายที่ทักษะจากร่างเสริมจะไม่เกิดการพัฒนาไปพร้อมกับร่างหลัก แถมยังกินค่าร่ายมหาศาลอีกต่างหาก แต่แบบนี้ก็แปลว่าการจะสร้างสมุนระดับเทพที่มี ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ จากสมุนหลากหลายสายพันธุ์รวมกันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขอแค่มีพลังเวทเพียงพอเท่านั้น”
ซาลรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้นที่ค้นพบวิธีการสร้างสมุนระดับสุดยอดแบบนี้ขึ้นมา
แม้ด้วยพลังของเขาในตอนนี้อาจยังสร้างสมุนในฝันไม่ได้ แต่ในอนาคตเมื่อมีพลังเพียงพอแล้วจะต้องสร้างร่างอัญเชิญที่แข็งแกร่งระดับเดียวกับเทพหรือมารได้อย่างแน่นอน แค่คิดเขาก็แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว
หลังจากทดลองจนเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็กลับไปยังห้องรับประทานอาหารที่แซนโดรรออยู่
ซาลไม่ได้บอกเรื่องการค้นพบครั้งใหม่นี้กับแซนโดร เพราะอยากจะเก็บไว้ทำให้เธอประหลาดใจในภายหลัง
———————————————————————————————————-
Part 3
ในเย็นวันนั้น ทั้งสองคนก็รับประมานทานอาหารด้วยกันตามปกติ
ซาลยังมีเรื่องที่อยากจะคุยกับแซนโดรอยู่จึงพยายามรอให้จบมื้ออาหารซะก่อน แต่วันนี้เธอจัดเตรียมอาหารเอาไว้เยอะเป็นพิเศษจึงยังกินไม่เสร็จซะที
ที่ว่าเยอะนั้นไม่ใช่ปริมาณ แต่เป็นจำนวน วันนี้แซนโดรจัดเตรียมอาหารสารพัดชนิดวางอยู่เต็มโต๊ะ ทุกจานเป็นอาหารฝรั่งเศษที่มีปริมาณต่อจานอยู่ไม่มากนัก แต่แซนโดรทำออกมาเกือบหมดทุกเมนู ทำให้บนโต๊ะมีอาหารกว่าสามสิบชนิดวางเรียงรายกันจนเต็มโต๊ะ
แซนโดรเป็นคนกินเร็ว หากเป็นอาหารจานโตเธอจะสามารถกินจนหมดได้ในเวลาเพียงเล็กน้อยโดยไม่มีท่าทีมูมมามเลย แต่สำหรับอาหารฝรั่งเศษเหล่านี้เธอกลับใช้เวลาซึมซับรสชาติกับอาหารแต่ละชนิดมากเป็นพิเศษ เมื่อรับประทานหมดจานหนึ่งก็จิบน้ำชาและพักให้รสอาหารจางไปจากลิ้นก่อนที่จะเริ่มรับประทานจานต่อไป ทำให้เสียเวลาในการทานมากกว่าปกติ
ซาลที่ดูแล้วคิดว่าการทานอาหารมื้อนี้คงต้องใช้เวลาอีกนานจึงเริ่มพูดเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ออกมาทันทีโดยไม่รอให้จบมื้ออาหาร
“นี่ แซนโดร ผมคิดว่าดันเจียนที่ใช้อยู่เนี่ย มันมีปัญหาเยอะเกินไปนะ”
“…หืม?…”
แซนโดนหันมาฟังแม้ปากจะยังเคี้ยวไม่หยุด ซาลจึงพูดต่อไป
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ความจริงผมคิดว่ามันเป็นของที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว ทั้งใช้สร้างหินเวทมนตร์ได้ และยังดึงดูดพวกนักผจญภัยมาใช้ฝึกสมุนได้ด้วย แต่ผมคิดว่ามันก็ยังมีข้อด้อยอยู่อีกหลายอย่าง
อย่างแรกเลยก็คือเราไม่สามารถแน่ใจได้ 100% ว่านักผจญภัยจะเก็บดันเจียนไว้ ถ้าโชคไม่ดีเจอพวกรีบเคลียร์ภารกิจ ดันเจียนอาจถูกเคลียร์ตั้งแต่วันแรกเลยก็ได้ ทำให้เราต้องมาสร้างดันเจียนกันใหม่
อย่างที่สองคือ เพราะต้องคอยเอาใจพวกนักผจญภัยและระวังไม่ให้ผิดสังเกต ทำให้เราใช้งานสมุนอย่างเต็มที่ไม่ได้ จะส่งสมุนเยอะเกินไปก็ไม่ได้ เพราะจะถูกสงสัยหรือทำให้นักผจญภัยเป็นอันตราย เท่ากับว่าต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิม”
แซนโดรคิดตามไปด้วยในระหว่างที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่ และเมื่อกลืนอาหารที่อยู่ในปากลงคอไปแล้วเธอจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะแสดงความเห็นออกมา
“…ถึงจะนำสมุนไปสู้ได้คราวละไม่มาก …แต่เมื่อเทียบประสิทธิภาพต่อเวลาแล้ว …นี่ก็เป็นวิธีที่รวดเร็วมากแล้วนะ…”
เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงมีความคิดอะไรอยากจะบอก จึงเอ่ยนำเพื่อให้เขาพูดออกมาเพราะอยากฟังความคิดนั้น แต่ซาลมองไม่เห็นถึงเจตนานี้จึงยังพูดด้วยท่าทีระมัดระวัง
“มันก็เป็นวิธีที่เร็วมากแล้วจริง ๆ แต่ก็ต้องการการดูแลจัดการอย่างใกล้ชิดซึ่งกินเวลาพอกัน อย่างเมื่อวานนี้รวมเวลาแล้วเราต้องเฝ้าดูพวกนักผจญภัยร่วมสี่ชั่วโมงทีเดียว และนั่นก็คือปัญหาข้อที่สาม คือเราต้องใช้เวลากับการเฝ้าดูค่อนข้างมาก”
“…ถ้าเอาไปสู้กับนักผจญภัยตามสถานที่อื่นก็ต้องเฝ้าดูด้วยตัวเองไม่ต่างกันนั่นแหละ …แถมยังจะผิดสังเกตและทำให้ถูกสงสัยมากกว่าด้วย…”
“นั่นแหละคือปัญหาข้อที่สี่ ‘การถูกสงสัย’ เพราะต้องระวังไม่ให้มีสิ่งผิดปกติจนถูกสงสัยก็เลยใช้งานได้แค่สมุนที่ตรงตามภูมิประเทศของดันเจียน อย่างหมาป่า หรือสัตว์ป่า แต่สมุนที่ผมต้องการจะเลี้ยงและพัฒนาจริง ๆ น่ะคือพวกมังกรกับนักรบต่างหาก”
แซนโดรหยุดครุ่นคิดและทบทวนในเรื่องที่ได้ยิน
แม้จะเป็นสมุนระดับเดียวกัน แต่ด้วย ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์นั้นทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของสมุนแต่ละประเภทแตกต่างกันมากด้วย อย่างหมาป่าที่ซาลใช้ประจำนั้นแม้จะมีคุณสมบัติดี ๆ ให้พัฒนาได้อยู่หลายอย่าง แต่ก็ไม่มีอันไหนที่เทียบเท่า ‘ดรากอนสกิน’ ของมังกรได้เลย
ยิ่งตอนนี้ค้นพบวิธีพัฒนา ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ตามการเติบโตของร่างอัญเชิญแล้วก็ยิ่งควรที่จะลงทุนกับร่างอัญเชิญระดับสูง ๆ ที่มีคุณสมบัติดี ๆ ให้พัฒนามากกว่า
“…ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล …ฉันเองก็คิดว่าเธอควรจะหันไปฝึกและพัฒนาร่างอัญเชิญที่มีคุณสมบัติพิเศษอย่างมังกร มากกว่าร่างอัญเชิญที่มีคุณสมบัติธรรมดา ๆ อย่างพวกหมาป่าเหมือนกัน …แต่เรื่องวิธีการฝึกยังไงก็คงไม่แตกต่างหรอก แค่ต้องเปลี่ยนสถานที่เท่านั้น…”
เมื่อเแซนโดรแสดงท่าทีเห็นด้วยแล้วในบางส่วน ซาลจึงยิ่งรู้สึกโล่งอกและกล้าพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำขึ้น
“อันที่จริงผมลองคิดไว้แล้วล่ะ ถ้าเราเปลี่ยนไปใช้ดันเจียนตามธรรมชาติแทนล่ะ?”
ดันเจียนตามธรรมชาติคือสถานที่รกร้างต่าง ๆ ที่มีละอองเวทมนตร์มารวมตัวกันอยู่มากจนดึงดูดมอนสเตอร์ให้เข้ามาอยู่อาศัย อาจเป็นภายในอาคารสิ่งก่อสร้าง หรือเป็นแค่พื้นที่เปิดโล่ง ทั้งทุ่งหญ้าหรือหุบเขาก็ได้
“…ดันเจียนตามธรรมชาติงั้นเหรอ? …แต่แบบนั้นเราก็ทำได้แค่เอาสมุนไปปล่อยทิ้งไว้น่ะสิ …แล้วก็ต้องคอยเทียวไปอัญเชิญสมุนใหม่เรื่อย ๆ ด้วย…”
“แล้วถ้าเราสร้างดันเจียนมิติแบบเปิด ทับลงบนดันเจียนตามธรรมชาติล่ะ?”
“…สร้างทับงั้นเหรอ?…”
“ใช่แล้วล่ะ ถ้าเราสร้างดันเจียนมิติแบบเปิด ทับลงบนดันเจียนตามธรรมชาติ โดยที่ไม่ได้ปรับแต่งภูมิประเทศอะไรมากนัก คนก็จะแยกไม่ออกหรอกว่ามันเป็นดันเจียนมิติหรือดันเจียนตามธรรมชาติกันแน่ เพียงแค่ต้องซ่อนแกนของดันเจียนให้ดี ๆ เท่านั้น”
หลังจากฟังความเห็นของซาล แซนโดรก็รู้สึกว่ามันเป็นวิธีที่ไม่เลวเช่นกัน
“…แบบนั้นก็จะอัญเชิญสมุนลงไปยังพื้นที่ได้เลยโดยที่ไม่ต้องไปเอง …แต่เรื่องที่ต้องคอยเฝ้าดูก็ยังไม่เปลี่ยนไม่ใช่เหรอ?…”
“เปลี่ยนสิ ที่เราต้องเฝ้าดูก็เพราะต้องคอยจัดสรรมอนสเตอร์ให้เหมาะสมเพื่อเอาใจนักผจญภัย พวกนั้นจะได้ไม่รีบเคลียร์ดันเจียนทิ้ง แต่ถ้าพวกนั้นเข้าใจว่านี่เป็นดันเจียนตามธรรมชาติ ไม่มีแกนของดันเจียนให้เคลียร์ ก็จะล่ามอนสเตอร์หรือเคลียร์พื้นที่ตามภารกิจแค่เพียงอย่างเดียว เราไม่ต้องกังวลว่าพวกนั้นจะมาเคลียร์ดันเจียน พอไม่ต้องสนเรื่องความพอใจของนักผจญภัย เราก็แค่ใส่ ๆ มอนสเตอร์ลงไปในพื้นที่โดยไม่ต้องมาเฝ้าดูก็ได้ วางมอนสเตอร์ทิ้งไว้ให้คนมาสู้ไปตามเรื่อง ถ้ากลัวคนผิดสังเกตที่มีมอนสเตอร์เกิดเร็วเกินไปก็ทิ้งช่วงสักหลาย ๆ วันค่อยใส่สมุนชุดใหม่ลงไปก็ได้”
“…แบบนั้นแปลว่าก็ต้องสร้างดันเจียนแบบนี้ขึ้นมาหลาย ๆ แห่งเพื่อวนรอบการใช้ฝึกสมุนสินะ…”
“ถูกเผงเลย! สมเป็นแซนโดร! ถ้าเตรียมดันเจียนกึ่งธรรมชาติแบบนี้ไว้สัก 4-5 แห่งละก็ น่าจะวนรอบใช้งานได้โดยไม่มีใครผิดสังเกตล่ะ!”
แซนโดรฟังแผนการนั้นแล้วก็รู้สึกเห็นด้วย หากใช้วิธีนี้ก็จะสามารถปล่อยสมุนทิ้งไว้ให้พบการต่อสู้เองได้โดยไม่ต้องมาคอยดูแล ส่วนเธอกับซาลก็จะสามารถใช้เวลาระหว่างนั้นในการฝึกฝนวิชาอื่น ๆ ได้ แม้วิธีนี้จะต้องมีการเตรียมการเยอะหน่อย แต่ในระยะยาวแล้วมันดูคุ้มค่าคุ้มเวลากว่ามาก
‘…เจ้าเด็กคนนี้จะทำให้แปลกใจไปได้ถึงไหนกันนะ…’
แซนโดรแอบยิ้มเล็ก ๆ ให้กับความคิดนั้น เพราะวันนี้อีกฝ่ายได้ทำเรื่องให้เธอแปลกใจและประทับใจอย่างต่อเนื่อง เป็นความรู้สึกที่เธอไม่ได้พบเจอมานานแล้ว ส่วนซาลที่ยังมัวแต่ตื่นเต้นกับการนำเสนอแนวคิดนั้นอยู่ก็พูดต่อไปโดยไม่ทันได้มองสีหน้าของแซนโดร
“ทีนี้ก็คือเรื่องของสถานที่… จริง ๆ ผมก็อยากจะฝึกสมุนแบบอื่น ๆ ไปด้วยน่ะนะ แต่ยังไงก็อยากเน้นไปที่มังกรเป็นหลัก แถวนี้มีที่ ๆ พอจะเหมาะกับการใส่มังกรลงไปในดันเจียนบ้างรึเปล่า?”
“…แถวนี้คงไม่มีหรอก …หรือถ้ามีก็คงน้อยมาก ไม่พอให้วนรอบแบบวันชนวันแน่ …ในเขตเลนเทียนี่ มังกรนับเป็นมอนสเตอร์ที่หายากน่ะ…”
“อา… ถ้างั้นจะทำไงดีล่ะ?”
“…เราก็ต้องไปในที่ ๆ มีมังกรเป็นสัตว์พื้นเมือง …ถ้าเป็นที่นั่นละก็ …ต่อให้มีมังกรโผล่มาทุกวันก็ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องแปลกแน่…”
“ที่นั่น? ที่ไหนเหรอ?”
ซาลเอียงคอถามด้วยความสงสัย ในขณะที่แซนโดรยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบลงไปอึกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“…เทือกเขาอคาทอช (Akatosh) ดินแดนของเหล่ามังกร …ที่นั่นมีดันเจียนของมอนสเตอร์เผ่ามังกรอยู่มากมาย …ส่วนใหญ่ก็เป็นดันเจียนธรรมชาติบนที่เปิดโล่งซะด้วย …เรียกว่าเหมาะสมที่สุด…”
“อคาทอช… ที่อยู่ในเขต เซนิธาล น่ะเหรอ? แต่นั่นมันต้องข้ามเขตไปอีกอาณาจักรนึงเลยนะ”
“…ใช่แล้ว …ไปเตรียมตัวให้พร้อม …พรุ่งนี้เราจะไปเซนิธาลกัน…”
เมื่อแซนโดรพูดจบ ซาลก็หยุดนิ่งไปพักหนึ่งเพื่อปรับความคิดเพราะยังตั้งตัวไม่ทัน แต่พอเข้าใจคำพูดทั้งหมดแล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่แสดงทั้งความรู้สึกดีใจ ประหลาดใจ และตื่นเต้นออกมา
สำหรับคนที่ชื่นชอบมังกรเป็นการส่วนตัวอย่างซาล การได้ไปถึงดินแดนถิ่นกำเนิดของเหล่ามังกรอย่างอคาทอชนับเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งก็ว่าได้ เขาจึงรีบกลับขึ้นไปเตรียมสัมภาระในห้องเพื่อให้พร้อมสำหรับการเดินทาง
ในคืนนั้นซาลตื่นเต้นจนแทบนอนไม่หลับเลยทีเดียว
เขาเฝ้าแต่คิดถึงการเดินทางในวันรุ่งขึ้น และสิ่งที่จะได้พบเจอเมื่อไปถึงที่หมาย เรื่องที่คิดนั้นมีอยู่มากมายจนลำดับไม่ถูก ในที่สุดเขาก็ผลอยหลับไปในระหว่างที่คิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่นั่นเอง