Doombringer the 5th - ตอนที่ 100
Ch.100 – คลาสที่ถูกลืม
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 96
คลาสที่ถูกลืม
Part 1
เพราะเวลายังค่อนข้างเช้าอยู่ และนักเรียนส่วนใหญ่จะใช้เวลาที่ห้องอาหารหรือที่ระเบียงในการพบปะพูดคุยกันก่อนจนกว่าใกล้จะถึงเวลาเรียน ซาลจึงมาถึงห้องเรียนเป็นคนแรก
เขาขึ้นไปนั่งประจำยังที่นั่งแถวบนสุดเช่นเคย ไม่นานนักก็เริ่มมีนักเรียนคนอื่น ๆ ทยอยกันตามมา
ทว่าสายตาของแต่ละคนที่เหลือบมองมายังเขานั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด บางคนก็แอบมองแล้วรีบหลบสายตาไปเหมือนกลัวจะสบตากับเขา บางคนก็จ้องมองด้วยแววตาอันไม่เป็นมิตรที่เจือปนความรู้สึกรังเกียจอยู่ด้วย
ท่าทีเหล่านั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ทุกคนรู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้แล้ว ทำให้ซาลคิดในใจว่าข่าวสารในหมู่นักเรียนนี่ก็แพร่กระจายไปเร็วดีทีเดียว
แม้บรรยากาศจะดูน่าอึดอัด แต่ซาลก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดหรือไม่พอใจเลยสักนิด
เขากลับรู้สึกสนุกไปกับมันจนเผลอยิ้มออกมาที่มุมปากในระหว่างที่กำลังคิดแผนการว่าจะพลิกจากคนที่ถูกรังเกียจให้กลายเป็นคนที่ทุกคนยอมรับและชื่นชมได้อย่างไร
ไม่นานนัก ฟาลโก้ กับคุโระ ก็เดินเข้ามาในห้อง โดยมีเพื่อน ๆ ของฟาลโก้เดินตามเข้ามาด้วย
ทันทีที่มาถึงเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองยังจุดที่ซาลนั่งอยู่ด้วยแววตาจริงจังราวกับจะเป็นการเตือนไม่ให้รังแกคุโระอีก แต่ซาลที่กำลังคิดอะไรอยู่เพลิน ๆ พอเหลือบไปเห็นอีกฝ่ายจ้องมองมาก็เผลอยิ้มตอบและโบกมือทักทาย ทำให้ฟาลโก้ขมวดคิ้วลงเพราะคิดว่ากำลังถูกเยาะเย้ย
เขาปรับสีหน้าให้สงบลง ก่อนจะหันไปหาคุโระแล้วตบไหล่ของอีกฝ่ายเบา ๆ พลางพูดให้กำลังใจไปด้วย
“ไม่ต้องห่วงนะ อยู่ในห้อง หมอนั่นคงไม่กล้าทำอะไรหรอก พอเลิกเรียนแล้วก็รีบมาหาพวกเราล่ะ”
“คะ.. ครับ…”
คุโระรับคำ ก่อนจะเดินขึ้นไปยังที่นั่งของตัวเอง ส่วนฟาลโก้ก็จ้องมองซาลด้วยสายตาอันมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังที่นั่งของตนเองเช่นกัน
ท่าทางที่เหมือนกับพยายามสร้างแรงกดดันให้อีกฝ่ายของฟาลโก้กลับทำให้ซาลรู้สึกเอ็นดูจนเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่านั่นเป็นนิสัยที่ไม่เลวนัก การได้เห็นนักผจญภัยรุ่นเยาว์ที่รักความยุติธรรมแบบนี้ทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเชื่ออย่างสนิทใจว่านี่คือนิสัยที่แท้จริงของฟาลโก้
เพราะได้ศึกษาบันทึกและประวัติศาสตร์มามากมาย ทำให้ซาลรู้ว่าไม่ควรเชื่ออะไรง่าย ๆ จากการดูเพียงผิวเผิน
ใช่ว่าเขาจะกลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายและหวาดระแวงในตัวผู้อื่นไปแล้ว แต่เพราะประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากแปดขุนพล ทำให้เขารู้ว่าเหรียญมักจะมีสองด้านเสมอ อีกอย่างคือตอนนี้ฟาลโก้เข้ามาพัวพันกับแผนการของเขาแล้ว การรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไรกันแน่และสามารถทำอะไรได้บ้างจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถวางแผนและ ‘จัดสรรบทบาท’ ได้อย่างเหมาะสม
ความจริงอาซาเรลได้สืบค้นและถ่ายทอดข้อมูลของนักเรียนในห้องมาให้เขาบ้างแล้ว แต่นั่นก็เป็นแค่ข้อมูลพื้นฐานทั่วไป ยังไม่ได้มีการเจาะลึกอย่างจริงจัง แต่หลังจากวันนี้ซาลคิดว่าคงต้องให้ทำการสืบประวัติของฟาลโก้อย่างจริงจังสักหน่อย เพื่อป้องกันความผิดพลาด
เมื่อคุโระเดินมาถึงที่นั่งของตนเอง เขาก็แอบกระซิบถามซาลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ได้หันมาสบตากับคู่สนทนา เพราะไม่อยากให้คนอื่น ๆ ผิดสังเกต
“ทำไมคุณซาลถึงต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะครับ… ไม่สิ.. ทำไมถึงต้องทำเพื่อผมขนาดนั้นด้วย? เราสองคนก็รู้จักกันแค่ผิวเผินเท่านั้น ไม่มีเหตุผลที่คุณซาลจะต้องยอมทำเพื่อผมถึงขนาดเสียสละตัวเองเลยนี่นา?”
แม้จะรู้ว่ามันเป็นคำถามที่เสียมารยาท แต่คุโระที่ครุ่นคิดเรื่องนี้มาโดยตลอดก็นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลอะไรถึงต้องทำแบบนั้น เขาจึงตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ ซึ่งซาลที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับโดยไม่ได้หันมามองคุโระเช่นกัน
“ฉันน่ะยังไงก็เป็นคนที่ถูกรังเกียจอยู่แล้วล่ะ ถึงจะโดนเกลียดเพิ่มขึ้นอีกสักนิดมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่นายน่ะยังมีโอกาสอยู่ ในระหว่างที่ยังไม่ถูกใส่ร้ายจนพลอยถูกเกลียดไปด้วยน่ะ ถ้าเข้ากลุ่มได้สำเร็จ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว”
ตำคอบนั้นทำให้คุโระครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ยังรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง จึงถามอีกครั้ง
“นั่นน่ะ… ยังไม่ใช่การอธิบายเหตุผลที่คุณซาลยอมทำแบบนี้เลยนี่ครับ”
เมื่อถูกย้อนถาม ซาลก็คิดได้ว่านั่นไม่ใช่คำอธิบายเหตุผลของการกระทำจริง ๆ ซะด้วย
ความจริงคือเขาแค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะถูกคนในห้องรังเกียจขึ้นกว่าเดิม เพราะเชื่อว่าสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ถ้ามีการจัดการอย่างเหมาะสม และเขาก็ไม่อยากให้เด็กดีอย่างคุโระต้องถูกกลั่นแกล้งด้วย แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วนั่นคงเป็นเหตุผลที่ฟังดูเลื่อนลอยเกินไปหน่อย ซาลจึงต้องนึกหาข้ออ้างที่ฟังดูเข้าเค้ากว่านี้แทน
“ความจริงแล้ว… มันเป็นแผนน่ะ”
“แผนเหรอครับ?”
คุโระแสดงท่าทางสงสัยออกมา แต่ก็พยายามไม่หันไปมองอีกฝ่าย ส่วนซาลก็อธิบายต่อ
“ฉันมีวิธีที่จะเปลี่ยนความคิดของทุกคนที่มีต่อฉันอยู่ แต่เรื่องนั้นก็ต้องอาศัย ‘บุคคลที่สาม’ เป็นตัวช่วยด้วย ซึ่งคนที่ว่าก็คือนายไงล่ะ จากนี้คงต้องขอฝากด้วยนะ”
คำอธิบายของซาลทำให้คุโระรู้สึกงุนงงยิ่งขึ้นกว่าเดิม จึงเอ่ยถามต่อไป
“วิธีการเหรอครับ? ต้องการให้ผมทำอะไรงั้นเหรอครับ?”
“เรื่องของวิธีการยังไม่แน่นอนเท่าไหร่น่ะนะ ของมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในอนาคตด้วย ตอนนี้นายแค่ทำตัวตามปกติ คลุกคลีกับกลุ่มเพื่อน ใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างที่ควรจะเป็น แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”
เงื่อนไขนั้นฟังดูดีเกินจริงจนทำให้คุโระเกิดรู้สึกกังวลขึ้นมาว่ากำลังจะโดนหลอกให้ไปทำอะไรไม่ดีรึเปล่า จึงย้อนถามกลับไปอีกครั้ง
“ถะ… ถ้าถึงเวลานั้นขึ้นมา แล้วผมไม่อยากจะทำตามที่คุณซาลสั่งล่ะครับ?”
“ถ้าแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้นะ ทำตามที่นายสบายใจเถอะ”
คำพูดนั้นทำให้คุโระอดเหลือบมองไปยังซาลไม่ได้ และเขาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและท่าทีสบาย ๆ ที่ไม่ใช่การพูดประชดประชันแต่อย่างใด ทำให้คุโระยิ่งรู้สึกสับสนขึ้นไปอีก
“แปลว่าคุณซาลยอมเสียสละตัวเองช่วยผมก่อน โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนเลยงั้นเหรอ?”
“หวังสิ ตั้งใจฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย? ก็ฉันอยากให้นายร่วมมือกับฉันต่อจากนี้ไง”
“แต่เรื่องนั้นผมจะทำหรือไม่ทำก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ? ถ้าหากผมไม่ยอมทำ ก็เท่ากับคุณซาลยอมเสียสละตัวเองฟรี ๆ โดยไม่ได้อะไรเลยนะครับ”
“ถ้าเอาแต่คิดว่าอาจจะไม่ได้สิ่งตอบแทนกลับมาก็เลยตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไรเพื่อคนอื่น โลกนี้ก็คงเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัวที่นึกถึงแต่ตัวเองมาก่อนและไม่ยอมช่วยเหลือใครเลย แบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่น่าเศร้าหรอกเหรอ? หากต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น อยากให้คนอื่นทำเพื่อเรา ก็ต้องรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่นไปก่อน แบบนั้นต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่ทำให้คนอื่นยอมทำเพื่อเราบ้าง”
คำพูดของซาลทำให้คุโระถึงกับนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน เพราะเขาคาดไม่ถึงว่านี่จะเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากบุตรชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ ซึ่งเป็นเด็กที่น่าจะใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมนและความเกลียดชังมาโดยตลอด ทำให้ไม่น่าจะมีความคิดอันใสซื่อบริสุทธิ์แบบนี้ได้เลย
ตัวคุโระเองทั้งเคยถูกเพื่อน ๆ ทอดทิ้งและได้เห็นความฟอนเฟะของพวกผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนจนละเลยในสิ่งที่ควรทำแถมยังเอาแต่ปกป้องกันเองอีก ทำให้เขาไม่ได้มองโลกหรือสังคมเป็นสิ่งที่งดงามขนาดนั้น
“คุณซาลน่ะ ไร้เดียงสาเกินไปแล้วนะครับ…”
“เฮ้ อย่าเข้าใจผิดสิ ฉันไม่ได้มอบความช่วยเหลือแก่คนอื่นแบบมั่วซั่วหรอกนา หากเป็นคนที่ไม่สมควรได้รับมัน หรือเป็นคนที่คาดหวังไม่ได้ ฉันก็ไม่เสียเวลาด้วยหรอก ที่ช่วยนายก็เพราะว่านายเป็นคนที่คาดหวังได้ไงล่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณซาลน่ะเชื่อคนง่ายเกินไปแล้วนะครับ”
แม้สายตาของเขาจะยังดูลังเลอยู่บ้าง แต่คุโระก็พูดพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะเขาก็ไม่ได้รังเกียจคนที่มีนิสัยแบบนี้ ทั้งยังรู้สึกดีอีกด้วยที่มีคนให้ความเชื่อใจกับตนเองถึงขนาดนั้น
“นายอาจจะไม่รู้ตัว แต่สิ่งที่นายทำก็มากพอจะพิสูจน์ว่าเป็นคนที่ฉันสามารถคาดหวังได้แล้วล่ะนะ เอ้า ว่าไง จะยอมร่วมมือกับฉันรึเปล่า?”
“…ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรง หรือไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอะไรละก็ ผมจะทำเท่าที่ทำได้ครับ”
ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจของคุโระก็คิดว่า ต่อให้เป็นเรื่องที่ไม่ดีสักเล็กน้อย เขาก็จะพยายามทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ เพราะตอนนี้เขาอยากจะลองเดิมพันกับบุตรชายของผู้สร้างหายนะคนนี้ดูสักตั้ง
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องที่ฉันจะให้นายทำน่ะไม่มีเรื่องที่ไม่ดีอยู่แล้วล่ะ (คิดว่านะ)”
เพราะเรื่องที่ไม่ดีน่ะฉันทำเองก็ได้ นั่นเป็นประโยคสุดท้ายในใจที่ซาลไม่ได้พูดออกไป
เมื่อทั้งคู่เจรจากันจนได้ข้อยุติ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่อาจารย์ประจำรายวิชาเดินเข้ามาในห้องพอดี
——————————————————————————–
Part 2
อาจารย์ที่เดินเข้ามาเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามและดูอ่อนเยาว์เหมือนผู้หญิงที่เพิ่งจะผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นมาหมาด ๆ เธอมีผมยาวสีน้ำตาลและสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยเวสต์ (เสื้อกั๊กแบบเป็นทางการ) สีเทา คู่กับกระโปรงสีเดียวกันซึ่งมีความยาวเลยหัวเข่ามาเล็กน้อย แม้จะดูเป็นอาจารย์ที่มีอายุน้อย แต่จากการแต่งตัวและการก้าวย่างอย่างมั่นใจของเธอทำให้ซาลคิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นอาจารย์ที่มีประสบการณ์คนหนึ่ง
ทันทีที่เดินมาถึงโพเดียมที่อยู่หน้าห้อง อาจารย์สาวก็แนะนำตัวกับนักเรียนทุกคนในทันที
“ฉัน เอนจิล นอร์เบิล เป็นอาจารย์ประจำรายวิชา ‘พื้นฐานการสำรวจ’ ตอนนี้พวกเธอได้ก้าวข้ามจากการเป็นนักผจญภัยรุ่นเยาว์มาสู่การเป็นนักผจญภัยรุ่นสามัญแล้วนะ แต่การจะเป็นนักผจญภัยรุ่นสามัญอย่างเต็มตัวน่ะยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลนัก…”
หลังจากนั้นอาจารย์เอนจิลก็ร่ายยาวเกี่ยวกับความแตกต่างของนักผจญภัยรุ่นเยาว์กับรุ่นสามัญอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะต่อด้วยการบรรยายเกี่ยวกับพื้นฐานของการสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ที่รกร้างไปจนถึงภายในดันเจียน ซึ่งแม้การบรรยายของเธอจะมีความดึงดูดและน่าสนใจ แต่เพราะวิชานี้มุ่งเน้นการสำรวจพื้นที่ซึ่งไม่ใช่หัวข้อที่น่าตื่นตาตื่นใจสักเท่าไหร่ ทำให้นักเรียนหลายคนไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก
โดยเฉพาะที่นั่งด้านหลังซึ่งอยู่ชั้นบนสุด คุโระที่เพิ่งจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็แอบพูดกับซาลอีกครั้ง
“จริงสิครับ ฟาลโก้น่ะบอกว่าจะไปขอให้อาจารย์วารัลแบ่งกลุ่มใหม่โดยให้ผมแยกไปอยู่กลุ่มอื่น แบบนั้นคุณซาลก็ยิ่งลำบากแย่น่ะสิครับ”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ต่อให้ไม่มีกลุ่มอยู่หรือต้องฉายเดี่ยว ฉันก็ทำภารกิจด้วยตัวคนเดียวได้ไม่มีปัญหา แต่ดูจากท่าทางของอาจารย์วารัลแล้ว เขาคงไม่ยอมง่าย ๆ หรอก ซึ่งฉันคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสดีก็ได้”
แม้จะขัดหูกับคำพูดที่ว่าสามารถทำภารกิจเองคนเดียวได้ แต่คุโระก็ยังมีเรื่องที่ข้องใจมากกว่า
“โอกาสดี? ยังไงเหรอครับ?”
“ก็ถ้าอาจารย์วารัลไม่ยอมแบ่งกลุ่มให้ใหม่ เรื่องนี้ต้องทำให้ฟาลโก้รู้สึกสงสัยแน่ ถ้าเขาถามขึ้นมา นายก็ใช้โอกาสนี้เล่าเรื่องที่โรงเรียนเก่าให้เขาฟังซะ หรือต่อให้เขาไม่ถาม นายก็ลองเป็นคนเกริ่นนำในทำนองว่า ‘กะแล้วเชียว’ หรือ ‘ไม่น่าแปลกใจหรอกครับ’ เพื่อให้เขาถามต่อ จะได้เล่าเรื่องให้เขาฟัง เท่านี้ก็จะพลิกเป็นฝ่ายเปิดโปงความจริงได้ก่อนจะถูกใส่ร้ายไงล่ะ”
พอได้ฟังคำอธิบาย คุโระก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ทั้งแสดงความรู้สึกทึ่งและชื่นชมออกมา เพราะเขาคาดไม่ถึงว่าซาลจะคิดแผนการได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่เขาเพิ่งจะเล่าเรื่องให้ฟังเท่านั้น
ระหว่างที่คุยกันอยู่ อาจารย์เอนจิลก็จบการบรรยายหลักและเข้าถึงช่วงมอบหมายภารกิจประจำสัปดาห์พอดี
การเรียนการสอนของโรงเรียนอีจิสไพร์มในปัจจุบันนี้จะแบ่งการเรียนในแต่ละชั้นปีออกเป็นสามภาคเรียน โดยแต่ละภาคเรียนจะมีเวลาสามเดือนด้วยกัน
ในแต่ละภาคเรียนจะมีวิชาอยู่เพียงสี่วิชา แต่จะเพิ่มระดับความยากของวิชาขึ้นในแต่ละเดือน และแต่ละวิชาจะทำการเรียนการสอนสลับกันไปวิชาละหนึ่งสัปดาห์
สำหรับนักเรียนปีหนึ่ง สี่วิชาที่จะต้องเจอในเทอมแรกก็คือ ‘พื้นฐานการสำรวจ’, ‘พื้นฐานภารกิจเก็บเกี่ยว’, ‘พื้นฐานภารกิจล่า’, และ ‘พื้นฐานการเคลียร์ดันเจียน’
วิชาแรกที่พวกซาลเจอก็คือ ‘พื้นฐานการสำรวจ’ ซึ่งหลังจากฟังการบรรยายและได้รับการมอบหมายภารกิจแล้ว พวกเขาก็จะต้องทำภารกิจให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ เพราะสัปดาห์หน้าจะเป็นการเรียนการสอนของวิชาถัดไป ส่วนวิชาที่เรียนกันเป็นสัปดาห์แรกนี้จะวนกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้าเดือนที่สอง แต่เนื้อหาของวิชาและระดับของภารกิจก็จะมีความยากเพิ่มขึ้นด้วย
อาจารย์เอนจิลเปิดดูหน้าจอเวทมนตร์เพื่อสำรวจรายชื่อนักเรียนและดูการจัดกลุ่มว่าประกอบไปด้วยคลาส (สายอาชีพ) อะไรบ้าง จะได้ทำการประเมินก่อนมอบหมายภารกิจให้ ซึ่งเธอก็พูดกับนักเรียนไปด้วยในระหว่างที่เปิดดูข้อมูล
“ปีนี้อาจารย์วารัลตั้งให้มีกลุ่มละห้าคนสินะ ถึงฉันจะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เพราะมันขัดกับมาตรฐานทั่วไป แต่มันเป็นสิทธิ์ของอาจารย์ประจำชั้นที่จะจัดสรรการแบ่งกลุ่มตามความเหมาะสม ฉันคงไปก้าวก่ายอะไรไม่ได้ ถึงงั้นก็ควรจะรู้ไว้ว่าห้องอื่น ๆ ยังคงมีการแบ่งกลุ่มแบบสี่คนอยู่นะ พวกเธอถ้าได้เลื่อนไปอยู่ห้อง D ก็เตรียมปรับตัวไว้ด้วยล่ะ”
เหล่านักเรียนพากันพยักหน้า เพราะนี่เป็นเรื่องที่พวกเขาพอจะรู้อยู่แล้ว ส่วนอาจารย์เอนจิลก็สำรวจรายชื่อของนักเรียนในแต่ละกลุ่มต่อ
“เท่าที่ดูก็จัดกลุ่มกันได้ไม่เลวนะ ความจริงการจะจัดกลุ่มให้พอดีโดยมีสมาชิกครบทุกตำแหน่งน่ะเป็นเรื่องยาก เพราะจำนวนนักเรียนที่มีความสนใจในแต่ละคลาสแต่ละตำแหน่ง มักไม่สมดุลกันอยู่แล้ว ถึงในปีแรก ๆ ตำแหน่งของสมาชิกกลุ่มอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก เพราะภารกิจที่ได้รับมอบหมายยังไม่ยากเท่าไหร่ แต่พอขึ้นปีสามพวกเธอจะได้รับมอบหมายภารกิจที่มีความซับซ้อนและต้องการความสามารถเฉพาะทางหรือสมาชิกที่ทำหน้าที่เฉพาะตำแหน่งมากขึ้น
ฉันจึงขอแนะนำให้พวกเธอพยายามฝึกฝนคลาสรองในตำแหน่งอื่น ๆ เผื่อไว้ซะแต่เนิ่น ๆ เช่นพวกที่เป็นสายนักรบก็ควรฝึกคลาสสายแท๊งค์เผื่อไว้บ้าง หรือคนที่เป็นนักเวทก็ควรฝึกคลาสสายซัพพอร์ทหรือฮีลเลอร์ไว้ด้วย เพราะในวันข้างหน้าเมื่อต้องทำภารกิจที่ต้องการหน้าที่เฉพาะแล้วหาสมาชิกในตำแหน่งที่ต้องการไม่ได้ พวกเธอจะได้สลับคลาสไปเป็นตำแหน่งที่ยังขาดอยู่ได้ แบบนี้ก็จะไม่เสียเวลาในการหาคนใหม่ หรือต้องสะดุดชะงักเพราะหาคนไม่ได้ เพราะคลาสสายแท๊งค์กับฮีลเลอร์น่ะเป็นตำแหน่งที่มักจะขาดแคลนเสมอ ดังนั้นจึงควรเตรียมทางเลือกเผื่อเอาไว้ซะแต่เนิ่น ๆ ”
เมื่อได้ฟังคำแนะนำนั้น เหล่านักเรียนก็พยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนจะหันไปปรึกษากันเกี่ยวกับคลาสรองที่แต่ละคนควรจะเลือก
ในระหว่างนั้นเอง อาจารย์เอนจิลก็มาสะดุดตากับกลุ่มสุดท้ายของห้อง ซึ่งมีสมาชิกในกลุ่มเพียงสองคน ก็คือ ซาลารัส แฮลเซียน กับ คุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ
เธอรู้อยู่แล้วว่าในห้องนี้มีบุตรชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่อยู่ด้วย และรู้ว่าเขาถูกตัดออกมาเป็นเศษเหลือของห้อง ทำให้ต้องอยู่ในกลุ่มที่มีเพียงสองคน จึงไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนั้น แต่ที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือคลาสของเขาที่ถูกระบุเอาไว้ในทะเบียนข้อมูลของนักเรียน
“ซาลารัส แฮลเซียน… คลาสหลักคือ ‘ซัมมอนเนอร์’ งั้นเหรอ?”
การพึมพำคำพูดออกมาของอาจารย์เอนจิล ทำให้ทุกคนในห้องต่างหันขึ้นไปมองยังที่นั่งของซาลกับคุโระอย่างพร้อมเพรียงด้วยสีหน้าประหลาดใจ ราวกับได้เห็นสิ่งมีชีวิตหายากที่หลายร้อยปีจะปรากฏตัวสักครั้งหนึ่งอย่างไงอย่างงั้น
——————————————————————————–
Part 3
เอนจิล นอร์เบิล เป็นหนึ่งในศิษย์เก่าของอีจิสไพร์ม
ก่อนจะเข้ามาศึกษาต่อที่นี่ เธอเองก็เป็นนักผจญภัยรุ่นเยาว์ของอาณาจักรเอ็นซิส และใช้ชีวิตบนเส้นทางสายนี้มาโดยตลอด แต่กว่ายี่สิบปีนับแต่เธอเป็นนักผจญภัยมานี้ เธอไม่เคยเจอใครที่มีคลาสหลักเป็นซัมมอนเนอร์มาก่อนเลย
จริงอยู่ว่านักผจญภัยระดับสูงหลายคนมักจะเรียนเวทอัญเชิญติดตัวไว้บ้างเพื่อเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในบางด้าน เช่นเอาไว้อัญเชิญพาหนะ แต่เพราะในแง่อื่นแล้วซัมมอนเนอร์เป็นคลาสที่ยังล้าหลังและมีประสิทธิภาพด้อยกว่าคลาสอื่น ๆ พอสมควร จึงไม่มีใครคิดที่จะเรียนเป็นคลาสหลักมาก่อน
ที่น่าแปลกใจกว่านั้นก็คือ ในการสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนอีจิสไพร์ม จะมีทั้งข้อสอบภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งในการทดสอบขั้นสุดท้ายของภาคปฏิบัตินั้นจะเป็นการทดสอบความสามารถในสถานการณ์จริง โดยแต่ละคลาสจะได้รับการทดสอบแตกต่างกันออกไป
สำหรับซัมมอนเนอร์นั้นถูกจัดให้เป็นนักเวทประเภทหนึ่ง เงื่อนไขการทดสอบจะใช้มาตรฐานเดียวกับคลาสสายนักเวทอย่างเมจ (Mage) ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในคลาสที่มีพัฒนาการล้ำหน้าที่สุด ทำให้มาตรฐานการทดสอบต้องมีระดับสูงไปด้วย จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้ใช้คลาสตกยุคอย่างซัมมอนเนอร์ที่จะสามารถผ่านมาตรฐานอันสูงชันนั้นได้
แต่ ซาลารัส แฮลเซียน ก็ได้มานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว แปลว่าเขาสามารถใช้คลาสซัมมอนเนอร์ในการผ่านการทดสอบนั้นได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้อาจารย์เอนจิลรู้สึกประหลาดใจ จนต้องเอ่ยถามออกมา
“เธอผ่านการทดสอบเพื่อเข้าเรียนด้วยการใช้คลาสซัมมอนเนอร์จริง ๆ น่ะเหรอ?”
ซาลรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ถูกถามเช่นนั้น แต่พอเขาทบทวนดูดี ๆ แล้วในสายตาของคนนอกมันคงเป็นเรื่องแปลกจริง ๆ เพราะวิทยาการของคลาสซัมมอนเนอร์ทั่ว ๆ ไปนั้นล้าหลังกว่าคลาสอื่นมาก แม้เขาจะพัฒนาวิชาจนอยู่ในระดับที่เหนือกว่าคลาสอื่น ๆ ไปแล้ว แต่นั่นก็เป็นความก้าวหน้าของตัวเขาเองคนเดียว ไม่ใช่ความก้าวหน้าของสาขาวิชา การที่คนอื่นจะยังมองว่าซัมมอนเนอร์เป็นคลาสอันดับโหล่อยู่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
เรื่องนี้ทำให้เขานึกถึงเป้าหมายอีกอย่างหนึ่งในชีวิตขึ้นมาได้ คือการทำให้ซัมมอนเนอร์กลายเป็นคลาสหลักที่ได้รับการยอมรับไม่ด้อยไปกว่าคลาสอื่น ๆ แต่สำหรับตอนนี้การปกปิดความสามารถของตัวเองต้องมาก่อน ทำให้ไม่สามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่ เป้าหมายนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องรอไปเป็นลำดับสุดท้าย
“อ่า… ใช่ครับ”
แค่คำตอบนั้นยังคงไม่สามารถอธิบายในสิ่งที่เอนจิลสงสัยได้ เธอถึงสอบถามเขาต่อไป
“หมายถึงใช้เวทอัญเชิญในการทดสอบน่ะนะ? แต่การทดสอบของคลาสสายเวทน่ะมีทั้งการทดสอบโจมตีเป้าหมายจำนวนมาก และการทดสอบพลังโจมตี สมุนอัญเชิญของซัมมอนเนอร์โดยเฉพาะของนักผจญภัยที่ยังมีอายุน้อยน่ะไม่น่าจะมีประสิทธิภาพสูงขนาดนั้นนี่นา”
“อย่าดูถูกไปสิครับ นี่ไม่ใช่เวทอัญเชิญธรรมดา แต่เป็นเวทอัญเชิญประจำตระกูลแฮลเซียนซึ่งสืบทอดกันมา ทำให้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเวทอัญเชิญทั่ว ๆ ไปไงล่ะครับ”
ซาลพยายามแต่งเรื่องที่พอจะฟังดูเข้าเค้าขึ้นมาเป็นข้ออ้างให้กับตัวเอง แต่ดูเหมือนอาจารย์เอนจิลจะยังไม่ค่อยเชื่อนัก เพราะเธอกลับมีสีหน้าที่แสดงความขุ่นข้องใจออกมามากกว่าเดิม
จริงอยู่ว่า ซารามอธ แฮลเซียน พ่อของซาล ถูกยกให้เป็นนักสู้อัจฉริยะซึ่งร่ำเรียนและแตกฉานในสายวิชาต่าง ๆ มากมาย แต่เอนจิลไม่เคยได้ยินว่าเขาเคยร่ำเรียนหรือใช้วิชาของคลาสซัมมอนเนอร์ด้วย
อีกอย่างคือตระกูลแฮลเซียนก็เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นในรุ่นของซารามอธนี่เอง การบอกว่าเป็นวิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูลจึงทำให้เธอยิ่งรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้อง
ซาลที่เห็นสีหน้าของอาจารย์เอนจิลก็พอจะเดาออกว่าข้ออ้างนี้คงฟังดูไม่เข้าท่า จึงลองยกเหตุผลอื่นขึ้นมาสนับสนุนด้วย
“ความจริงคือผมก็ใช้วิชาสายเวทของคลาสอื่น ๆ เป็นตัวช่วยด้วยน่ะครับ ใช้ทั้งเวทมนตร์ของตัวเองประกอบกับการใช้งานเหล่าสมุน ก็เลยทำให้พอจะผ่านการทดสอบมาได้อย่างฉิวเฉียดครับ”
ซาลพยายามอธิบายด้วยสีหน้าที่ดูหลุกหลิกอยู่เล็กน้อย แต่เพราะมันเป็นคำอธิบายที่พอฟังขึ้น จึงทำให้อาจารย์เอนจิลเริ่มผ่อนคลายท่าทีสงสัยลง
เพราะแม้จะเป็นแค่คลาสรอง แต่หากผู้ใช้มีความเชี่ยวชาญ ก็สามารถดึงประสิทธิภาพของคลาสออกมาใช้งานได้ไม่ด้อยไปกว่าคลาสหลักเลย การที่จะสามารถผ่านการทดสอบมาได้ด้วยทักษะทางเวทมนตร์จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แม้เธอจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเขาจึงเลือกซัมมอนเนอร์เป็นคลาสหลักทั้งที่มีความสามารถทางเวทมนตร์สูงกว่า แต่นั่นอาจเป็นเรื่องของความชอบส่วนตัวก็ได้ ซึ่งนับว่าเป็นความชอบที่แปลกดี
ในระหว่างนั้นเอง เหล่านักเรียนในห้องที่ไม่ได้คิดแบบเดียวกับอาจารย์เอนจิลก็เริ่มเกิดความสงสัยว่าบุตรชายของผู้สร้างหายนะคนนี้ผ่านการทดสอบและเข้ามาเรียนในโรงเรียนได้อย่างไร เพราะอาศัยลำพังแค่คลาสอันดับบ๊วยอย่างซัมมอนเนอร์คงไม่มีทางผ่านการทดสอบมาได้แน่
ส่วนการจะใช้คลาสรองเป็นตัวช่วยในการผ่านการทดสอบก็ยิ่งเป็นเรื่องยาก เพราะหลาย ๆ คนในที่นี้ขนาดอาศัยความสามารถของคลาสหลักอย่างสุดความสามารถยังแทบจะไม่ผ่านการทดสอบเลย ทำให้หลายคนเริ่มเกิดความคิดที่ว่าซาลอาจใช้เส้นสายหรือใช้วิธีสกปรกในการเข้ามาเรียน
นั่นเป็นเรื่องปกติของการมีอคติต่อใครบางคน ที่มักจะต่อเติมความสงสัยด้วยความคิดในแง่ร้ายเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว
แม้จะหมดข้อสงสัยเรื่องคลาสของเขาแล้ว แต่อาจารย์เอนจิลก็ยังมีความกังวลอีกอย่างหนึ่ง คือการที่กลุ่มของซาลมีกันเพียงสองคน การจะมอบหมายภารกิจที่ต้องทำเป็นกลุ่มให้กับคนที่มีสมาชิกไม่ครบนั้นดูจะเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเกินไปสักหน่อย แถมหนึ่งในสองคนยังมีคลาสหลักเป็นคลาสสุดห่วยอย่างซัมมอนเนอร์ซะอีก
“ยังไงก็เถอะ การที่มีกันอยู่แค่สองคนเนี่ย มันค่อนข้างจะเสี่ยงอยู่นะ…”
เอนจิลกำลังคิดอยากจะไปคุยกับวารัลให้ทำการแบ่งกลุ่มใหม่ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ซาลก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาซะก่อน
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องภารกิจน่ะ แค่พวกเราสองคนก็ทำได้สบายอยู่แล้ว”
คำพูดอันมั่นใจนั้นทำให้นักเรียนทั้งห้องหันไปมองซาลเป็นตาเดียวกันอีกครั้ง แม้แต่คุโระที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ยังตาโตเป็นไข่ห่าน เพราะถูกเรียกรวมอยู่ในคำว่า ‘พวกเรา’ ด้วย
เพราะคำพูดนั้นทั้งฟังดูเป็นการโอ้อวดตัวเอง และยังเหมือนเป็นการดูถูกนักเรียนคนอื่น ๆ ในทางอ้อม เนื่องจากทุกคนรู้ดีว่าแม้แต่ดันเจียนระดับต่ำสุดของที่นี่อย่าง ‘ป่าสนธยา’ ก็ยังมีข้อห้ามไม่ให้กลุ่มที่มีสมาชิกต่ำกว่าสี่คนย่างกรายเข้าไป เพราะมันเป็นที่อันตราย การบอกว่าสามารถทำภารกิจสำรวจพื้นที่เหล่านี้ด้วยคนเพียงสองคนได้จึงเป็นการดูถูกทั้งสถานที่และผู้คนที่ทำตามมาตรฐานนี้ด้วย
เอนจิลเองก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกดูหมิ่นในวิชาที่เธอสอนเช่นกัน จึงเอ่ยคำพูดกับซาลด้วยสายตาที่ปนความรู้สึกไม่พอใจอยู่ภายใน
“เธออาจเห็นว่านี่เป็นวิชาง่าย ๆ อย่างการสำรวจพื้นที่ แต่การจะสำรวจพื้นที่ดันเจียนทั้งหมดได้ก็เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยทักษะในระดับสูงไม่แพ้การทำภารกิจประเภทอื่น ๆ หรอกนะ เพราะในระหว่างสำรวจก็ต้องพบปะและต่อสู้กับมอนสเตอร์มากมาย เผลอ ๆ จะต้องทำการต่อสู้บ่อยกว่าภารกิจล่าซะอีก เพราะต้องทำการสำรวจพื้นที่ให้ทั่ว ไม่ใช่แค่ได้วัตถุดิบจากการล่ามาแล้วก็จะกลับเลยได้ พวกเธอแค่สองคนน่ะคิดว่าจะทำได้จริง ๆ น่ะเหรอ?”
ท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของเอนจิลนั้นทำให้ซาลรู้สึกตัวว่าหลุดปากพูดอะไรที่เสียมารยาทโดยไม่ได้ตั้งใจไปซะแล้ว จึงพยายามแก้ไขคำพูดซะใหม่ เพราะไม่อยากให้ดูเป็นการอวดตัวมากจนเกินไป
“อย่าเข้าใจผิดสิครับ ผมไม่ได้ดูถูกวิชานี้หรอกนะ แค่จะบอกว่าพวกเราสองคนก็พอจะทำได้เฉย ๆ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เราค่อยกลับมาขอคำปรึกษากับอาจารย์อีกทีก็ได้ แบบนั้นดีมั้ยครับ?”
แม้จะยังคงมีสายตาแข็งกระด้างอยู่ แต่เอนจิลก็เริ่มสงบใจลงได้ เพราะคิดว่าความหลงตัวเองหรือความคึกคะนองก็เป็นนิสัยปกติของเด็กนักเรียนวัยนี้อยู่แล้ว จึงไม่ควรไปใส่ใจกับมันมากนัก
ถึงอย่างนั้นการสอนให้เด็กที่หลงตัวเองได้รับรู้ความยากลำบากของความเป็นจริงก็เป็นงานของผู้เป็นอาจารย์เช่นกัน เธอจึงตัดสินใจดำเนินการมอบหมายภารกิจต่อ แม้จะคิดว่ากลุ่มของเด็กปากดีที่มีกันอยู่แค่สองคนนี้คงไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงได้
“ถ้างั้นเราก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า… ภารกิจสำหรับสัปดาห์แรกนี้ก็คือการสำรวจพื้นที่ของ ‘ป่าสนธยา’ อย่างที่รู้ว่าป่าสนธยานั้นจะมีการแบ่งระดับความลึกของพื้นที่เป็นสามระดับ สำหรับพวกเธอ ขอแค่ทำการสำรวจพื้นที่ระดับแรกสุดได้ครบ 100% ภายในสัปดาห์นี้ก็ถือว่าผ่านภารกิจแล้ว
การให้คะแนนจะดูจากความสมบูรณ์ของแผนที่ที่พวกเธอเขียนขึ้นมาด้วย ‘ดันเจี้ยนแมปปิ้ง’ (Dungeon Mapping), ความลึกของพื้นที่ที่เข้าไปสำรวจ, และระยะเวลาที่ใช้ในการสำรวจ ยิ่งทำการสำรวจได้เร็วและนำแผนที่มาส่งได้เร็วก็จะได้คะแนนเยอะ และยิ่งทำการสำรวจพื้นที่ส่วนลึกเข้าไปได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้คะแนนเพิ่ม
แต่อย่าลืมว่าแม้พื้นที่ส่วนลึกจะทำให้ได้คะแนนเพิ่ม แต่สิ่งที่ใช้ตัดสินว่าผ่านภารกิจหรือไม่คือพื้นที่ระดับแรก ถ้าสำรวจไม่ครบ 100% ก็ถือว่าไม่ผ่านภารกิจนะ เอ้า ถ้าเข้าใจแล้วก็มารับ ‘เมโมรี่ริง’ พวกนี้ไปได้”
เมื่อพูดจบ อาจารย์เอนจิลก็นำแหวนจำนวนแปดวงออกมาวางบนโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ โพเดียม
แหวนเหล่านี้คือ ‘เมโมรี่ริง’ (Memory Ring) แหวนที่ใช้สำหรับบันทึกแผนที่ซึ่งอ่านลักษณะภูมิประเภทได้จากเวท ‘ดันเจี้ยนแมปปิ้ง’ เวทอ่านภูมิประเทศที่นักผจญภัยใช้กันในการสำรวจเส้นทางในระหว่างเคลียร์ดันเจียน เพื่อให้รู้ลักษณะภูมิประเทศล่วงหน้า
การบันทึกสภาพภูมิประเทศลงในแหวนวงนี้จะทำให้รู้ว่านักเรียนแต่ละกลุ่มสามารถสำรวจพื้นที่ไปได้มากน้อยแค่ไหน เพราะข้อมูลทุกอย่างจะถูกบันทึกเอาไว้ในแหวนทั้งหมด
นักเรียนแต่ละกลุ่มต่างก็ส่งตัวแทนเดินลงไปรับแหวนจากอาจารย์เอนจิลมา ซึ่งซาลก็ใช้ท่าทางบอกใบ้ให้คุโระเป็นคนเดินลงไปรับแหวน เพราะคิดว่าแบบนั้นน่าจะดีกว่า
คุโระที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนค่อย ๆ เดินลงไปด้านล่างด้วยความกังวลใจว่าเขากับซาลจะสามารถเอาตัวรอดในดันเจี้ยนและสำรวจพื้นที่ระดับแรกของป่าสนธยาได้ครบหรือไม่ เพราะมันไม่ใช่ภารกิจที่คนแค่สองคนจะสามารถทำได้ภายในเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์เลย
ตรงกันข้ามกับซาลที่ตอนนี้กำลังคิดว่าควรจะสำรวจพื้นที่ของป่าสนธยาไปลึกสักเท่าไหร่ดี จึงจะได้คะแนนเต็มโดยไม่เป็นที่ผิดสังเกตมากจนเกินไป