Doombringer the 5th - ตอนที่ 101
Ch.101 – ช่วงพักกลางวันอันแสนวุ่นวาย
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 97
ช่วงพักกลางวันอันแสนวุ่นวาย
Part 1
หลังจากที่ทุกกลุ่มได้รับแหวน ‘เมโมรี่ริง’ สำหรับใช้ในการบันทึกการสำรวจดันเจี้ยนครบแล้ว อาจารย์เอนจิลก็ปล่อยให้ทุกคนไปเตรียมตัวเพื่อทำภารกิจได้
เพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง นักเรียนส่วนใหญ่จึงเดินทางไปที่โรงอาหารเพื่อรับประทานอาการกลางวันกันก่อน จะได้ออกเดินทางไปทำภารกิจสำรวจในช่วงบ่าย ทำให้ห้องอาหารใต้อาคารเรียนยังคงว่างเปล่าเช่นเคย
แม้จะไม่ได้ใส่ใจกับสายตาอันไม่เป็นมิตรของคนในห้องนัก แต่ซาลก็ไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมเพราะมีเขาอยู่ด้วย จึงแวะทานอาหารเพียงลำพังที่นี่ โดยปล่อยให้คุโระไปทานอาหารกลางวันกับกลุ่มของฟาลโก้ จะได้เป็นการกระชับความสัมพันธ์และทำให้คุโระสนิทสนมกับคนในกลุ่มมากยิ่งขึ้น
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ซาลก็มายืนรอบริเวณใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ กับประตูทางทิศตะวันตกของโรงเรียน เพื่อรอคุโระมาสมทบ จะได้ออกไปทำภารกิจพร้อมกัน
ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำพื้นใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วจากทางด้านหลัง ราวกับกำลังมีคนวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างสุดฝีเท้า เพียงไม่กี่วินาที อีกฝ่ายก็เข้ามาจนประชิดตัวของซาลได้แล้ว
แต่นั่นเป็นความตั้งใจของเขาเอง
นับแต่ได้ยินเสียงฝีเท้าจากระยะไกล ซาลก็รู้สึกตื่นตัวและพิเคราะห์อย่างรวดเร็วว่าคนที่กำลังตรงเข้ามานี้มีเจตนาอะไรกันแน่
ถึงคนในห้องจะรู้สึกรังเกียจเขาแค่ไหน แต่ก็ไม่น่าจะมีใครที่เกิดความไม่พอใจจนถึงขั้นที่จะลงไม้ลงมือกับเขาในตอนนี้ โดยเฉพาะที่นี่เป็นพื้นที่โล่ง ใกล้ ๆ กับหน้าประตูฝั่งตะวันตกของโรงเรียนซึ่งอยู่ห่างจากเส้นทางสัญจรไปเพียงเล็กน้อยจึงมีผู้คนเดินไปมาอยู่ตลอดเวลา ต่อให้มีคนคิดร้ายกับเขาจริง ๆ ก็ไม่น่าเลือกสถานที่พลุกพล่านแบบนี้เป็นที่ลงมือได้
เมื่อพิจารณาดูแล้ว คนที่กล้าลงมือกับเขาโดยไม่สนใจทั้งเวลาและสถานที่แบบนี้ ก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ซาลรอให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีเข้ามา ซึ่งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวสุดท้ายที่ทิ้งน้ำหนักลงพื้นมากเป็นพิเศษก็ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกระโจนพุ่งเข้ามาหาเขาแบบทุ่มทั้งตัว
ในท่วงท่าแบบนี้ จุดที่ฝ่ายตรงข้ามเล็งไว้น่าจะเป็นร่างกายช่วงบน คือศีรษะหรือไม่ก็แผ่นหลัง ซาลจึงก้มตัวลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ฝ่ามือของผู้โจมตีที่หวดเข้ามายังไหล่ของเขาพลาดเป้าไปอย่างฉิวเฉียด
หลังจากหลบการโจมตีได้แล้ว เขาก็ดีดตัวออกมาเพื่อรักษาระยะห่าง และเพ่งมองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นไปดังคาด ผู้ที่เข้ามาโจมตีเขาอย่างอุกอาจในที่สาธารณะซึ่งมีคนพลุกพล่านแบบนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ลาซ น้องสาว (?) ของเขานั่นเอง
เพราะถูกอีกฝ่ายหลบการโจมตีได้ ทำให้ลาซขมวดคิ้วลงและจ้องกลับมาด้วยสีหน้าที่ขุ่นเคือง แต่เพราะใบหน้าอันจิ้มลิ้มของเธอ เพียงแค่เม้มปากแสดงความไม่พอใจก็ทำให้แก้มน้อย ๆ ทั้งสองข้างพองออกมาจนดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว ทำให้มันเหมือนเป็นการแสดงอาการแง่งอนของเด็กเล็ก ๆ มากกว่า
ซาลพยายามสะกดกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมาเพราะสีหน้าที่เขามองว่าดูตลกของลาซ ก่อนจะถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสบาย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เพิ่งกินข้าวเสร็จก็ออกมาวิ่งเลยแบบนี้ ไม่กลัวอาหารจะไม่ย่อยเหรอ?”
ท่าทางไม่ยี่หระของเขาทำให้ลาซยิ่งขมวดคิ้วและพองแก้มขึ้นอีก จนซาลเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว แต่ก็พยายามฝืนไว้เพราะรู้ว่าถ้าหลุดหัวเราะออกมา เธอจะต้องโกรธแน่ ๆ
“ไม่ต้องมาพูดดีเลยนะ! ฉันได้ยินหมดแล้ว! นายไปรังแกนักเรียนคนอื่นใช่มั้ย!? นิสัยไม่ดีเลย! นายกลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่!?”
แม้จะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ใบหน้าของลาซก็ยังดูน่ารักจนไร้ซึ่งความรู้สึกคุกคามอย่างที่เจ้าตัวพยายามจะให้เป็นอยู่ดี
สิ่งที่เธอพูดทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะไม่นึกว่าข่าวจะไปเร็วขนาดนี้ แค่พ้นช่วงพักกลางวัน คนที่อยู่ห้องอื่นก็ยังได้ยินเรื่องนี้ด้วย แปลว่าตัวเขาอยู่ในความสนใจของนักเรียนคนอื่น ๆ มากกว่าที่คิด
การจะอธิบายเรื่องราวกับลาซไปตามตรงนั้นดูจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร เขาจึงคิดว่าควรหาทางกลบเกลื่อนไปก่อนจะดีกว่า
“เฮ้ นั่นมันเรื่องเข้าใจผิดน่ะ พอดีฉันมีเรื่องโต้เถียงกับเพื่อนนิดหน่อย แล้วมีคนมาเห็นเข้าพอดี ก็เลยนึกว่าฉันไปรังแกคนอื่นเข้า”
“จริงเหรอ? แต่ที่ฉันได้ยินมามันไม่ใช่แบบนี้นี่นา?”
ลาซพูดด้วยสีหน้าที่สื่อว่ายังไม่เชื่อในสิ่งที่ซาลพูดสักเท่าไหร่ ทำให้เขาต้องถามรายละเอียเพิ่มเติม
“งั้นเหรอ? แล้วเธอได้ยินมายังไงบ้างล่ะ?”
“ก็ มีคนบอกว่านายบีบบังคับเด็กผู้ชายคนนึงให้มาเป็นลูกน้อง พอทำอะไรไม่ถูกใจก็ใช้กำลังลงโทษ เมื่อเช้าพอเขาซื้ออาหารมาไม่ตรงกับที่สั่ง นายก็เอานมสาดใส่หน้าเขา เอาถาดอาหารฟาดหัว แล้วยังยัดขนมปังทั้งชิ้นเข้าไปในปากของเขา จนเจ้าตัวเกือบจะสำลักตายด้วย”
พอได้ยินที่ลาซพูด ซาลก็ถึงกับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งด้วยความงงงัน
ความจริงเขาก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าข่าวลือที่พูดแบบปากต่อมากมักจะมีการใส่สีตีไข่ลงไปตามคะนองปากของผู้พูด แต่ไม่นึกว่าชั่วเวลาเพียงไม่นาน เรื่องจะถูกแต่งเติมไปได้ขนาดนี้
——————————————————————————–
Part 2
ซาลเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขาประเมินอคติที่คนอื่นมีต่อเขาต่ำเกินไปหน่อย
แม้เขาจะไม่สนใจความคิดของคนอื่นที่มีต่อเขา แต่ถ้าคนผู้นั้นเป็นน้องสาว (?) ของเขาเอง มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาไม่อยากให้ลาซมองว่าเขาเป็นคนไม่ดี จึงคิดว่าควรจะแก้ความเข้าใจผิดนี่ซะก่อน
“เรื่องที่ว่ามานั่น เธอได้ยินมาจากคนอื่นสินะ?”
“อื้ม ที่โรงอาหารน่ะ เขาพูดเรื่องนี้กันทั้งนั้นแหละ”
“แล้วรู้รึเปล่าว่าผู้เสียหาย.. คนที่ถูกฉันรังแกน่ะเป็นใคร?”
“เรื่องนั้น… ไม่มีการบอกชื่อ รู้แต่ว่าเป็นเด็กผู้ชายห้องเดียวกับนายน่ะ”
“ไม่รู้ทั้งชื่อและรูปพรรณเลยเหรอ? แบบนี้มันจะเป็นเรื่องที่ถูกอ้างขึ้นมาลอย ๆ ก็ได้งั้นสิ?”
“ก็…”
ลาซเริ่มอ้ำอึ้งเพราะรู้ตัวว่าเธอเองก็ด่วนสรุปไปหน่อย ซาลจึงรีบสำทับเพิ่ม
“คนทั่วไปน่ะมักจะอคติกับฉันเพราะเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่อยู่แล้ว การที่จะมีคนจับเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาใส่สีตีไข่ตามจินตนาการเพื่อสนับสนุนความเกลียดชังของเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เธอเองก็เป็นทายาทของตระกูลแฮลเซียน น่าจะเคยเจอเรื่องแบบนี้มาบ้างนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ลาซก็กลอกตาไปทางอื่นและทำท่าเหมือนกำลังนึกย้อนถึงอะไรบางอย่าง จนซาลแอบรู้สึกแปลกใจว่าน้องสาว (?) ของเขาไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนั้นมาบ้างเลยรึไง หรือว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอถูกเลี้ยงมาในโรงเรียนมายา เหมือนกับที่เขาเคยอยู่เมื่อหกปีก่อน แต่ดูจากความคุ้นเคยของลาซกับกลุ่มเพื่อนทั้ง อลัน, โลเฟ่น, และทาลิสแล้ว มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
ในระหว่างที่ซาลกำลังครุ่นคิดอยู่ ลาซก็เอ่ยคำตอบที่ทำให้เขาแปลกใจออกมา
“จะว่าไปมันก็มีอยู่บ้างจริง ๆ ด้วยแฮะ”
“มีจริง ๆ เหรอ? คนที่คอยว่าร้ายเธอน่ะนะ?”
“ก็มีทุกรูปแบบนั่นแหละ ทั้งที่คอยพูดให้ร้าย และที่คอยกลั่นแกล้งต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะเป็นแอบเอารองเท้าไปซ่อน เอาของใช้ไปซ่อน แกล้งสาดน้ำใส่ตอนเข้าห้องน้ำ แกล้งเขียนข้อความด่าทอไว้บนโต๊ะ แล้วก็ยังมีอีกหลายอย่าง จำไม่หมดหรอก เอ๊ะ… ว่าไปแล้วมันก็ไม่เรียกว่ามีอยู่บ้างนะเนี่ย…”
แค่ฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายเล่าก็ทำให้ซาลรู้สึกเหมือนมีคนเอามือมาบีบหัวใจของเขาจนแน่นหน้าอกแล้ว แต่ลาซซึ่งเป็นผู้เล่ากลับพูดด้วยสีหน้าสบาย ๆ และไร้เดียงสาที่ไม่แสดงความรู้สึกเจ็บปวดหรือแค้นเคืองใด ๆ ออกมาเลย ทำให้เขาสงสัยว่าเธอไม่รู้สึกเจ็บแค้นอะไรบ้างเลยรึไง แต่ตอนนี้เขาเป็นห่วงความรู้สึกของเธอมากกว่า
“เธอคง.. ลำบากมากเลยสินะ?”
“ก็ไม่หรอก แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ น่ะ หลังจากทำการ ‘ปรับทัศนะคติ’ กับพวกตัวการ ก็ไม่มีใครมาก่อกวนหรือกลั่นแกล้งฉันอีกแล้ว ช่วงเวลาห้าปีมานี้นับว่าเป็นเวลาที่ค่อนข้างสงบสุขทีเดียว”
ลาซยังคงพูดด้วยสีหน้าที่สดใสและยิ้มแย้มราวกับมันเป็นเรื่องในอดีตที่ไม่สำคัญอะไรและเธอก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันด้วยซ้ำ ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นอีก
“ปรับทัศนะคติเหรอ?”
“อื้ม ในตอนแรกฉันก็ยอมรับการกลั่นแกล้งพวกนั้นอยู่เงียบ ๆ น่ะนะ เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว และส่วนหนึ่งฉันคิดว่ามันเป็นเพราะเรื่องที่พ่อทำด้วย ยังไงพ่อก็เคยทำผิดจริง ๆ การที่พวกเขาต้องการจะระบายความโกรธแค้นกับเราก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
ซาลรู้สึกขัดใจกับคำพูดของลาซอยู่บ้าง แต่ก็พอเข้าใจว่าเธอยังไม่รู้ความจริงในเรื่องที่ว่าซารามอธ พ่อของพวกเขาไม่ได้เป็นผู้สร้างหายนะที่ทำการรุกรานโลกโดยตรง จึงยังไม่ได้สอดคำและปล่อยให้ลาซเล่าต่อไป
“แต่ต่อมา ฉันเห็นว่าคนพวกนั้นไม่ได้กลั่นแกล้งแค่ฉันคนเดียว แต่ยังกลั่นแกล้งคนอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีประวัติทางบ้านเกี่ยวกับพวกนอกรีตหรือไม่ก็ตาม ขอแค่เป็นคนที่ดูอ่อนแอและถูกเอาเปรียบได้ง่าย พวกนั้นก็จะรังแก ทำให้ฉันเข้าใจว่าความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ระบายความเจ็บแค้นหรือพยายามทวงความยุติธรรม แต่พวกเขากำลัง ‘หลงทาง’ ต่างหาก”
“หลงทางเหรอ?”
“อืม คนเรา ไม่ว่าใครก็อยากจะประสบความสำเร็จ อยากเป็นที่ยอมรับ อยากจะสัมผัสกับความรู้สึกที่ได้เป็นคนพิเศษที่อยู่เหนือผู้อื่น แต่การผลักดันตัวเองให้สูงขึ้นมันไม่ง่ายเท่ากับการพยายามกดผู้อื่นให้ต่ำลง คนเหล่านี้ก็เลยพยายามสร้างลำดับชั้น สร้างการแบ่งแยก กดผู้อื่นเพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้น แต่นั่นมันก็เป็นแค่ภาพลวงตา ท้ายสุดเมื่อไปอยู่ที่อื่นก็ต้องกลับสู่สภาพที่แท้จริงของตัวเองเพราะไม่เคยทำอะไรที่เป็นการยกระดับตัวเองอย่างจริงจัง นั่นแหละที่ฉันเรียกว่าการหลงทาง
สำหรับตัวฉันเองแล้วการจะถูกกลั่นแกล้งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่การจะปล่อยให้คนเหล่านั้นหลงทางต่อไป พร้อมกับผลักไสเด็กคนอื่น ๆ อีกหลายคนให้จมดิ่งสู่ความมืดไปด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ฉันก็เลยทำการ ‘ปรับทัศนะคติ’ กับคนพวกนั้น จนพวกเขายอมเลิกกลั่นแกล้งคนอื่นไปในที่สุดไงล่ะ”
ลาซเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยสีที่หน้าสดใสและแววตาเป็นประกาย ราวกับกำลังพูดอวดผลงานอันน่าภาคภูมิใจของตนเองให้อีกฝ่ายได้ฟัง
สีหน้าและท่าทางแบบนั้น ทำให้ซาลรู้สึกโล่งอก เพราะลาซไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งจนเกิดแผลใจอย่างที่เขากังวล ทั้งเขายังรู้สึกว่าลาซเป็นคนที่ทั้งเข้มแข็งและมีหัวคิดกว่าที่เขาเคยประเมินเอาไว้ด้วย
“แล้วที่บอกว่า ‘ปรับทัศนะคติ’ เนี่ย หมายถึงพูดคุยทำความเข้าใจเหรอ?”
“อืม… มันก็เริ่มด้วยการพูดคุยน่ะนะ”
ลาซตอบด้วยรอยยิ้มและแววตาขี้เล่นที่ดูเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ทำให้ซาลแอบคิดในใจว่า ‘แล้วมันไปจบด้วยอะไรล่ะเนี่ย?’ แต่เขาก็พอจะเดาเรื่องราวออกอยู่แล้ว จึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
ระหว่างนั้นเอง สีหน้าของลาซก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เหมือนกับเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“อ๊ะ! นี่นายกำลังเปลี่ยนเรื่องนี่นา!”
“ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย… แล้วเธอก็รู้ตัวช้าเกินไปแล้วนะ”
“ฮึ่ม… ก็อย่างที่เล่าไปนั่นแหละ นายคงไม่ได้หลงทางและพยายามกลั่นแกล้งคนอื่นด้วยเหตุผลแบบนั้นหรอกใช่มั้ย? ในฐานะของพี่สาวแล้ว ฉันยอมให้น้องชายเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ!”
ลาซจ้องเขม็งไปยังซาลและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง คำพูดช่วงท้ายนั้นทำให้หางคิ้วของซาลเริ่มกระตุกขึ้นมานิดหน่อย
“โฮ่… พี่สาวเหรอ? ตัวกะเปี๊ยกแค่นี้อะนะ?”
เขาพูดพลางเดินเข้ามายืนทาบตัวเองกับลาซในระยะประชิดและยืดอกขึ้นจนหน้าอกเขาเกือบจะไปกระทบกับใบหน้าของอีกฝ่าย ความจริงส่วนสูงของเขาก็มากกว่าลาซอยู่แล้ว ศีรษะของเธอจึงอยู่แค่ระดับหัวคิ้วของเขาเท่านั้น
ซาลเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางเหลือบตาลงมามองอีกฝ่ายเหมือนกับเขาอยู่สูงกว่าเป็นโยชน์ สีหน้าและท่าทางที่ดูเย่อหยิ่งและเย้ยหยันนั้นทำให้ลาซยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นอีก
“หนอย.. ยืดตัวแบบนี้มันขี้โกงไม่ใช่เหรอ!? แบบนั้นฉันก็ทำได้เหมือนกัน!”
ลาซเขย่งปลายเท้าขึ้นจนแทบจะเป็นมุมฉากกับพื้น มันเป็นการยืนด้วยปลายเท้าอย่างแท้จริง เหมือนกับนักบัลเลต์ ไม่ใช่การยืนบนนิ้วเท้า ทำให้ส่วนสูงของเธอตอนนี้ยืดสูงเลยระดับสายตาของซาลไปเล็กน้อย
เมื่อยืดตัวจนสูงกว่าซาลได้แล้ว ลาซก็เหลือบตาลงมามองพร้อมกับแสยะยิ้มก่อนจะพูดต่อ
“หุหุหุ ก็ไม่เท่าไหร่นี่นาน้องชาย… หัดกินผักซะบ้างนะ จะได้โตเร็ว ๆ ไงล่ะ”
“นี่มันเรียกว่าเขย่งแล้ว! ไม่ใช่ยืดตัวซะหน่อย! แบบนี้ฉันก็ทำได้เหมือนกัน!”
ซาลเขย่งปลายเท้าขึ้นบ้าง แม้เขาจะไม่ได้ยืนด้วยปลายเท้าอย่างสมบูรณ์เหมือนอย่างลาซ แต่เพราะส่วนสูงของเขามากกว่าอยู่แล้ว แค่อาศัยการเขย่งจึงทำให้เขาสามารถแซงลาซขึ้นไปได้อีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเช่นกัน
“หนอย.. งั้นถ้าแบบนี้ล่ะ!”
ลาซเอามือกดลงบนบ่าของซาลเพื่อยกตัวเองขึ้นจากพื้นในขณะที่ยังคงท่าทางที่เหมือนกับการยืนตัวตรงอยู่ ทำให้ตอนนี้เธอดูเหมือนคนที่กำลังลอยอยู่บนอากาศ แต่ความจริงเธอลอยตัวได้ด้วยการใช้มือยันลงบนบ่าของซาลนั่นเอง
ที่น่าแปลกคือซาลแทบไม่รู้สึกถึงแรงกดหรือน้ำหนักตัวของลาซเลย รู้สึกเพียงการสัมผัสของฝ่ามือที่วางลงบนบ่าเท่านั้น ราวกับตัวของลาซตอนนี้ไม่มีน้ำหนัก บางทีมันอาจเป็นวิชาหรือเคล็ดลับอะไรสักอย่าง แต่สีหน้าเย้ยหยันของลาซที่มองลงมาอย่างผู้มีชัยก็ทำให้เขาไม่มีกะใจจะไปคิดเรื่องอื่น
“หุหุหุ ตัวนายนี่หดลงเรื่อย ๆ เลยนะเนี่ย~ ถ้าละสายตาไปอีกหน่อยจะหดลงจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเลยรึเปล่าน้อ~? เดี๋ยวฉันจะช่วยจับนายใส่กล่องเก็บไว้ก่อนดีมั้ย? เพื่อความปลอดภัยน่ะ”
“บิดเบือนความจริงกันหน้าตาเฉยเลยนะ! สมองเธอมีปัญหารึเปล่าเนี่ย!?”
แม้จะโต้เถียงกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ในใจลึก ๆ แล้วซาลกลับรู้สึกสนุกและมีความสุขมาก เพราะเขาไม่ได้เล่นหัวและหยอกล้อกับพี่น้องวัยเดียวกันแบบนี้มานานแล้ว
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังยื้อยุดกันอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงคนทักพวกเขาขึ้นมา
“พวกเธอ… กำลังเล่นอะไรกันอยู่น่ะ?”
เมื่อได้เสียงที่แว่วมาจากทางด้านข้าง ทั้งสองคนก็หันไปมอง และพบว่า อลัน, โลเฟ่น, และทาลิส กำลังยืนมองพี่น้องทั้งสองอยู่ห่าง ๆ ด้วยแววตาอันซับซ้อนที่เต็มไปด้วยคำถาม
——————————————————————————–
Part 3
นอกจากเพื่อน ๆ ทั้งสามคนแล้ว ซาลกับลาซยังเพิ่งรู้สึกตัวว่าผู้คนที่เดินไปมาบนเส้นทางใกล้ ๆ ยังหันมามองพวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ ด้วย
ตัวลาซนั้นดูจะไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของคนอื่น ๆ เลยสักนิด แต่เมื่อเห็นเพื่อน ๆ มาแล้ว เธอก็ยอมลงมาจากบ่าของซาล ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาทุกคนในทันที
“โอ้ มากันแล้วเหรอ? ได้ความว่ายังไงบ้างล่ะ?”
อลันกับโลเฟ่นที่ยืนอยู่หน้าทาลิสเหลือบมองมาทางซาลแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปสบตากับลาซด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ทำให้เธอต้องกระตุ้นทั้งสองคนอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงหรอก พูดมาตรง ๆ นี่แหละ จะได้คุยกันให้รู้เรื่องไปเลยไงล่ะ!”
ในเมื่อลาซยืนยันเช่นนั้น อลันจึงยอมเอ่ยปากพูดออกมา
“ฉันไปสอบถามมาแล้ว เรื่องที่ว่าน่าจะมีมูลความจริง เพราะมีคนในห้อง E พูดกันหนาหู และอ้างอิงคำบอกเล่าจากกลุ่มหัวกะทิของห้อง ซึ่งเป็นกลุ่มของ ฟาลโก้ เอซาล่อน ฉันเองก็พอได้ยินชื่อของเขาอยู่บ้างเหมือนกัน ถ้ามีคนกล้าอ้างชื่อของเขา มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่กุขึ้นนะ”
คำพูดของอลันทำให้ซาลรู้ว่าความจริงแล้วลาซก็ไม่ได้เชื่อข่าวลือนี้โดยสนิทใจ เธอจึงให้อลันไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้อแก้ตัวที่เขาอ้างส่ง ๆ ไปในทีแรกจึงกลับทำให้ซาลแก้ตัวลำบากมากยิ่งขึ้น
ลาซที่ได้ยินข้อมูลจากอลันก็หันมาจิกสายตาใส่ซาลอีกครั้งด้วยสีหน้าขุ่นเคืองที่ดูน่ารักของเธอ ทำให้ซาลต้องรีบคิดหาข้ออ้างอื่นเพื่อเอาตัวรอด ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นคน ๆ หนึ่งกำลังวิ่งมาทางนี้พอดี จึงนึกหาทางขึ้นมาได้
“นี่ แล้วมีคนบอกรึเปล่าว่าเด็กที่ถูกฉันแกล้งน่ะเป็นใคร?”
ซาลเอ่ยถาม ทำให้ลาซหันกลับไปรอฟังจากอลันอีกครั้ง ซึ่งอลันก็ตอบกลับมาทันที
“เห็นว่าเป็นเด็กที่ชื่อ คุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ เป็นนักเรียนจากทางใต้ของจูริสนี่เอง”
“แล้วนายเคยเห็นหน้าเขารึเปล่า?”
“ฉันยังไม่ได้พบตัวจริง แต่ก็พอรู้จากคนอื่นมาว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายที่มีผมสีเทาจาง ๆ และมีท่าทางเซื่อง ๆ เหมือนคนที่ไม่กล้าสู้คน”
“ยังมีอะไรจะแก้ตัวอีกมั้ย?”
ลาสยิงคำถามกลับมาทันทีที่อลันพูดจบ แต่ซาลก็ยังคงยืนกรานคำเดิม
“ก็บอกแล้วไงว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันไม่ได้รังแกเขาจริง ๆ นะ”
“ขนาดนี้แล้วยังจะมาแก้ตัวอีกเหรอ? ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันแบบนี้น่ะ?”
“ยังไงมันก็แค่คำที่คนพูดต่อกันมา ทำไมเธอถึงไม่ลองถามความจริงจากเจ้าตัวดูล่ะ? เขามาโน่นแล้วไง”
คำพูดของซาลทำให้ทุกคนหันไปมองยังทิศที่เขาชี้โดยพร้อมเพรียงกัน แล้วก็พบว่ากำลังมีเด็กผู้ชายผมสีเทาที่มีท่าทางเหมือนกับที่อลันบอกกำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาทางนี้จริง ๆ
“ขะ.. ขอโทษที่มาช้านะครับ พอดีคนอื่น ๆ น่ะ.. เอ๋?”
คุโระที่มาสายไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังยืนประจันหน้ากับซาลอยู่ เมื่อเห็นทุกคนมองมาทางเขาเป็นตาเดียวกันจึงทำให้เขาวางตัวไม่ถูก
ทันทีที่คุโระมาถึง ลาซก็เดินเข้าไปถามคำถามกับเขาทันที
“เธอคือคุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ ใช่มั้ย?”
“เอ๋? เอ่อ.. ใช่ครับ”
เพราะเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ามีความคล้ายคลึงกับซาลเป็นอย่างมาก คุโระจึงเกิดอาการสับสนไปแวบหนึ่ง แต่เขาก็ยังตอบคำถามของเธอกลับไป
“ที่มีคนบอกว่าเธอถูกลูกชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่กลั่นแกล้งจนเกือบปางตายน่ะ เป็นความจริงเหรอ?”
“เอ๋!? มะ.. ไม่ใช่นะครับ มีใครไปพูดแบบนั้นเหรอครับ?”
การปฏิเสธด้วยท่าทางที่ดูตกใจของคุโระทำให้ทุกคนในกลุ่มของลาซต่างก็มองหน้ากันไปมา ก่อนที่อลันจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามบ้าง
“ดูจากท่าทางที่ยังแข็งแรงดีของนายแล้ว ที่ว่าโดนเล่นงานจนปางตายคงเป็นการพูดที่เกินจริงไปหน่อย แต่คนในห้อง E ก็พูดกันว่านายโดนรังแกโดยลูกชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่อยู่ดี นั่นไม่เป็นความจริงเหรอ?”
“ระ.. เรื่องนั้น…”
คุโระมีมีอาการอ้ำอึ้ง เนื่องจากซาลให้เขาเล่นละครตามน้ำเป็นผู้ถูกรังแกจริง ๆ แต่ตอนนี้เหมือนกับกำลังมีคนมาคาดคั้นเพื่อเอาผิดกับซาลให้ได้ ซึ่งคุโระไม่แน่ใจว่าควรจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร
ในระหว่างนั้น ซาลก็พูดแทรกขึ้นมา เพราะเขาได้คิดหาข้ออ้างสำหรับเรื่องนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“นั่นเป็นเพราะเราไม่อยากให้ฟาลโก้เสียหน้าน่ะ”
คำพูดของซาลทำให้ทุกคนหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง เขาจึงอธิบายต่อ
“ถึงจะเป็นความเข้าใจผิด แต่ฟาลโก้ก็มีเจตนาดี และตรงนั้นก็มีคนอยู่เยอะ พวกเราไม่อยากทำให้ฟาลโก้เสียหน้าจึงปล่อยให้เรื่องเลยตามเลยไปโดยกะจะอธิบายกับเขาทีหลัง ไม่คิดว่าแค่แป๊บเดียวก็มีการบอกต่อและเสริมแต่งเรื่องจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ เฮ้อ… ดูจากท่าทางของนายแล้ว คงหาโอกาสอธิบายไม่สำเร็จสินะ?”
ซาลถามพลางมองไปยังคุโระ ซึ่งเจ้าตัวก็มีอาการอึกอักอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจในเจตนาของซาลและตอบกลับมาตามที่เขาปูทางไว้
“อะ.. เอ่อ… ใช่ครับ ทุกคนเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว ทำให้เป็นเรื่องที่เอ่ยปากยากจริง ๆ ครับ”
เมื่อได้ยินการตามน้ำของคุโระ ซาลก็แอบยิ้มอยู่ในใจ เพราะถึงแม้จะดูเป็นเด็กซื่อ ๆ แต่คุโระก็ไม่ใช่คนโง่ที่ไม่มีไหวพริบซะทีเดียว ซาลจึงคิดว่าแบบนี้ค่อยน่าฝากความหวังไว้หน่อย
“เห็นรึเปล่า? มันเป็นเรื่องที่คนอื่นเข้าใจผิดกันไปเองน่ะ หายข้องใจแล้วสินะ?”
ซาลหันไปพูดกับลาซเพื่อให้เธอยอมปล่อยวางเรื่องนี้ไป แต่ดูเหมือนลาซจะยังไม่ยอมง่าย ๆ อยู่ดี
“ต่อให้เอ่ยปากลำบากแค่ไหน แต่ก็ต้องแก้ไขความเข้าใจผิดให้ถูกต้องสิ นายมากับฉัน เราจะไปอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยกัน”
ลาซเดินไปหาคุโระเพราะต้องการจะพาเขาไปอธิบายกับทุกคน ทำให้คุโระหันมามองซาลด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนอีกครั้ง แต่ซาลที่เห็นท่าทีนั้นของลาซกลับยิ้มออกมา
เพราะถึงแม้ลาซจะแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์และชวนทะเลาะอยู่ไม่ขาด แต่เมื่อเห็นเขาตกที่นั่งลำบากหรือมีเรื่องเดือดร้อน เธอก็พยายามช่วยเขาแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ ทำให้ซาลเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในหัวใจ
นี่คือสายสัมพันธ์ของพี่น้องที่ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้
แต่ถ้าปล่อยให้ลาซพาคุโระไปพูดกับทุกคนจริง ๆ แผนการที่เขาวางเอาไว้ก็จะล้มเหลว หรือต่อให้ไม่ล้มเหลวก็อาจส่งผลในทางตรงกันข้ามได้ จึงต้องพูดห้ามเอาไว้ก่อน
“แบบนั้นน่ะไม่ได้ผลหรอก เธออย่าไปจะดีกว่านะ”
“หืม? หมายความว่าไง?”
ลาซที่ได้ยินคำพูดนั้นจึงหันกลับมามองซาลอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเธอพลางอธิบายต่อ
“เราพลาดโอกาสที่จะอธิบายไปแล้ว ตอนนี้ถึงพยายามไปอธิบายทีหลัง ต่อให้พาคุโระไปด้วย คนก็จะมองว่าเป็นเพราะเขาถูกข่มขู่ให้บิดเบือนความจริง และไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดอยู่ดี โดยเฉพาะแต่ละคนต่างก็ใส่สีตีไข่กันไปซะเยอะแล้ว พวกเขาไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายเข้าใจผิดง่าย ๆ หรอก
อีกอย่างคือการที่เธอเป็นคนพาเขาไปก็จะยิ่งทำให้เรื่องเลวร้ายลงซะเปล่า ๆ เพราะเธอก็เป็นทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ คนจะมองว่านี่เป็นการพยายามปกป้องกันเองของพี่น้อง นอกจากจะทำให้ฉันพ้นข้อกล่าวหาไม่ได้แล้ว ตัวเธออาจจะโดนดึงมาพัวพันด้วยนะ”
คำอธิบายของซาล ทำให้ลาซต้องหยุดและครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามกลับมาอีกครั้ง
“แล้วจะปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดอยู่แบบนี้น่ะเหรอ?”
“ความเข้าใจผิดน่ะแก้ไขได้ด้วยการกระทำ ส่วนข่าวลือก็ไม่ใช่สิ่งยั่งยืนอยู่แล้ว ถ้าทุกคนเห็นว่าความจริงแล้วฉันก็ปฏิบัติตัวดีต่อคุโระ พวกเขาก็จะเปลี่ยนความคิดและมองข่าวลือพวกนั้นเป็นเรื่องไร้สาระไปเองนั่นแหละ”
แม้จะไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิดอยู่แบบนี้ แต่คำพูดของซาลก็มีเหตุผล ในที่สุดลาซจึงยอมให้ซาลทำตามที่เขาต้องการ
“เข้าใจล่ะ เอาตามนั้นก็ได้ แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา นายต้องรีบมาบอกฉันนะ”
“โฮ่ เธอเป็นห่วงฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ซาลแกล้งถามด้วยสีหน้ากวน ๆ แต่ลาซเองก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มและแววตาที่ยียวนไม่แพ้กัน
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็มันเป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องดูแลน้องชายนี่นา”
คำตอบของลาซทำให้หัวคิ้วของซาลมีอาการกระตุกขึ้นอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดโต้ตอบกลับไป อีกฝ่ายก็ชิงหันไปพูดกับเพื่อน ๆ ของเธอแทน
“เอาล่ะ! ในเมื่อหมดเรื่องแล้ว เราก็ไปทำภารกิจแรกของสัปดาห์นี้กันเลยดีกว่า! โอ้ว~!”
ลาซประกาศก้องกับเพื่อนทั้งสามด้วยเสียงอันดังพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นฟ้าด้วยท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ก่อนจะวิ่งไปทางประตูโรงเรียนเพื่อออกไปทำภารกิจ โดยไม่รอเพื่อน ๆ ของเธอเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ… ก็บอกว่าอย่าวิ่งไงเล่า… ค่อย ๆ เดินไปเหมือนคนอื่นเขาบ้างได้มั้ยเนี่ย… เอ้า! ช่วยไม่ได้! พวกเราก็ไปกันเถอะ!”
“อื้ม”
โลเฟ่นกับทาลิสตอบรับคำพูดของอลัน ก่อนที่ทั้งสามคนจะออกวิ่งตามลาซไป
การจากไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุของลาซและเพื่อน ๆ ทำให้ทั้งซาลและคุโระได้แต่ยืนอึ้ง
“เอ่อ… พี่สาวของคุณซาลเนี่ย เป็นคนที่ไม่เหมือนใครดีนะครับ…”
“จะพูดว่าบ้าก็บอกมาเถอะ แล้วยัยนั่นก็ไม่ใช่พี่สาวของฉันหรอกนะ เป็นน้องสาวต่างหาก”
“ผะ.. ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะครับ.. อะ.. เอ๋?”
“เฮ้อ… เรื่องมันยาวน่ะ เอาเป็นว่าฉันจะเล่าให้ฟังในระหว่างเดินทางก็แล้วกัน พวกเราก็ไปกันบ้างเถอะ”
“คะ.. ครับ”
เมื่อพูดจบ ทั้งสองคนก็เดินไปยังประตูโรงเรียน เพื่อออกเดินทางไปทำภารกิจยังป่าสนธยาตามที่ตั้งใจเอาไว้
และแล้วบรรยากาศอันแสนวุ่นวายที่บริเวณใกล้กับประตูฝั่งตะวันตกของโรงเรียนอีจิสไพร์มก็สงบลง