Doombringer the 5th - ตอนที่ 103
Ch.103 – จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 99
จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
Part 1
โดยปกติแล้วในดันเจียนแต่ละแห่งจะมีมอนสเตอร์ที่มีระดับพลังใกล้เคียงกันเข้าไปอยู่อาศัย ดันเจียนแต่ละแห่งจึงถูกจัดอันดับ (แรงค์) ตามระดับของมอนสเตอร์ที่อยู่ภายใน โดยแรงค์ H จะเป็นดันเจียนที่มีมอนสเตอร์ระดับ 1, 2, 3 แรงค์ G จะเป็นดันเจียนที่มีมอนสเตอร์ระดับ 2, 3, 4 แรงค์ F จะเป็นดันเจียนที่มีมอนสเตอร์ระดับ 3, 4, 5 แรงค์ E จะเป็นดันเจียนที่มีมอนสเตอร์ระดับ 4, 5, 6 แรงค์ D จะเป็นดันเจียนที่มีมอนสเตอร์ระดับ 5, 6, 7 แรงค์ C จะเป็นดันเจียนที่มีมอนสเตอร์ระดับ 6, 7, 8 แรงค์ B จะเป็นดันเจียนที่มีมอนสเตอร์ระดับ 7, 8, 9 แรงค์ A จะเป็นดันเจียนที่มีมอนสเตอร์ระดับ 8, 9, 10 สำหรับดันเจียนที่มีมอนสเตอร์ระดับสูงกว่านี้ จะถูกจัดเป็นดันเจียนแรงค์ S ซึ่งเป็นชั้นพิเศษ
มอนสเตอร์สองระดับแรกในแต่ละพื้นที่จะเป็นประชากรส่วนใหญ่ของพื้นที่นั้น และมีมอนสเตอร์ระดับสูงจำนวนไม่กี่ตัวเป็นเจ้าถิ่น หรือบอสของพื้นที่นั้น เช่นดันเจี้ยนแรงค์ H จะมีมอนสเตอร์ระดับ 1-2 อยู่ทั่วไป แต่จะมีเจ้าถิ่นเป็นมอนสเตอร์ระดับ 3 ไม่กี่ตัวคุมพื้นที่อยู่
สำหรับป่าสนธยา ชั้นแรกจัดเป็นพื้นที่แรงค์ F ซึ่งมอนสเตอร์ส่วนใหญ่เป็นมอนสเตอร์ระดับ 3-4 และมีมอนสเตอร์ระดับ 5 เป็นเจ้าถิ่น ส่วนชั้นที่สองเป็นพื้นที่แรงค์ E ซึ่งมอนสเตอร์ในนั้นจะเป็นมอนสเตอร์ระดับ 4-5 โดยมีมอนสเตอร์ระดับ 6 เป็นเจ้าถิ่น ทว่าชั้นที่สามของป่าสนธยาจะมีระดับก้าวกระโดดขึ้นไปอีกสองขั้น คือเป็นพื้นที่แรงค์ C ซึ่งมอนสเตอร์ส่วนใหญ่เป็นมอนสเตอร์ระดับ 6-7 และมีมอนสเตอร์ระดับ 8 เป็นเจ้าถิ่นนั่นเอง
ตามมาตรฐานของโรงเรียนนักผจญภัยทั่วไปแล้ว ผู้ที่จบหลักสูตรนักผจญภัยรุ่นเยาว์ในช่วงอายุ 12-13 ปี จะต้องผ่านการทดสอบสำหรับการเลื่อนระดับเป็นนักผจญภัยระดับ 1 ซึ่งเป็นการทดสอบที่ไม่ยากนัก แค่เคลียร์พื้นที่ซึ่งมีมอนสเตอร์ระดับ 1-2 อยู่ก็พอ แต่โรงเรียนอีจิสไพร์ม หรือโรงเรียนนักผจญภัยชั้นนำระดับทวีปทุกโรงเรียน จะมีการคัดสรรที่เข้มข้นกว่า นักเรียนที่จะเข้ารับการคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนจึงต้องเป็นนักผจญภัยระดับ 2 คือสามารถเคลียร์ดันเจี้ยนระดับ H ได้ เป็นระดับที่สูงกว่าหลักสูตรของโรงเรียนทั่ว ๆ ไปอยู่หนึ่งขั้น
นอกจากนี้ หนึ่งในเงื่อนไขสำหรับการเลื่อนชั้นปีของนักเรียนในอีจิสไพร์มนอกเหนือจากการทำคะแนนให้ได้มากกว่าเกณฑ์แล้ว ยังต้องมีระดับของการเป็นนักผจญภัยตามเกณฑ์ที่ทางโรงเรียนกำหนดด้วย คือผู้ที่จะขึ้นปีสองได้ต้องเป็นนักผจญภัยระดับ 3 (เคลียร์ดันเจี้ยนระดับ G ได้) ผู้ที่จะขึ้นปีสามได้ต้องเป็นนักผจญภัยระดับ 4 ฯลฯ แปลว่าในปีสุดท้ายคือปีที่หก นักเรียนปีหกจะต้องผ่านการทดสอบเพื่อเป็นนักผจญภัยระดับ 8 ให้ได้ถึงจะจบการศึกษา แต่สำหรับผู้มีความสามารถอาจเข้ารับการทดสอบเพื่อเลื่อนขั้นให้เหนือกว่านี้ได้เช่นกัน
กลุ่มนักเรียนรุ่นพี่ที่กำลังวิ่งหนีมอนสเตอร์อยู่นั้น น่าจะเป็นนักเรียนปี 4 หรือไม่ก็ปี 5 แปลว่าพวกเขาเป็นนักผจญภัยระดับ 5-6 จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ ‘ฟอเรสต์เบฮีมอธ’ เจ้าถิ่นของป่าสนธยาชั้นที่สามซึ่งเป็นมอนสเตอร์ระดับ 8 อยู่แล้ว
สำหรับซาล เพราะไม่อยากโดดเด่นหรือเป็นที่สะดุดตาเกินไปจึงเข้ารับการสอบเลื่อนขั้นเพียงแค่ระดับ 3 เพื่อให้เข้าเรียนในโรงเรียนอีจิสไพร์มได้เท่านั้น แต่ตัวเขาเองเคยผ่านภารกิจระดับ 10 ของลิลลี่โฮไรซอนมาแล้ว แปลว่าหากจะเข้ารับการทดสอบเพื่อขึ้นเป็นนักผจญภัยระดับ S ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ความจริงแม้ความสามารถทางกายภาพหรือเวทมนตร์ของเขาจะสูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน 2-3 เท่า แต่มันก็ไม่ได้สูงถึงระดับ S ทว่าเพราะความสามารถในการใช้เวทมนตร์อันหลากหลายและไหวพริบอันชาญฉลาดจึงทำให้เขาสามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งหรือมีพลังมากกว่าได้โดยไม่ต้องอัญเชิญสมุนระดับสูงออกมาด้วยซ้ำ
‘ฟอเรสต์เบฮีมอธ’ อสูรยักษ์ที่มีรูปร่างเหมือนวัวกระทิงที่หุ้มด้วยเปลือกแข็งสีดำสนิทเริ่มวิ่งเหยาะ ๆ เพื่อเตรียมจะเร่งความเร็วเข้าไล่กวดเหล่านักเรียนที่กำลังวิ่งตรงมาทางจุดที่พวกซาลยืนอยู่
ซาลจ้องมองอสูรยักษ์โดยมีความคิดเพียงอย่างเดียวในหัว คือทำอย่างไรถึงจะสกัดการเคลื่อนไหวของมันเพื่อจับมันใส่ลงในวงเวทพันธสัญญาได้
แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรได้มากนัก เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยคุโระที่ร้องเรียกชื่อเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“คุณซาลครับ!”
“โอ้ จริงด้วย ต้องหนีก่อนสินะ”
เมื่อพูดจบ ซาลก็กลับหลังหันและเริ่มออกวิ่ง โดยมีคุโระที่ยังคงข้องใจในท่าทีแปลก ๆ ของเขาวิ่งตามไป
เพราะที่นี่มีคนอื่นอยู่เยอะไปหน่อย ทั้งคุโระ และเหล่านักเรียนรุ่นพี่อีกสี่คนที่กำลังวิ่งหนีมาทางนี้ การจะจับมอนสเตอร์ระดับแปดต่อหน้าทุกคนก็ดูจะเป็นการเปิดเผยฝีมือมากจนเกินไป ซาลจึงคิดว่าควรจะหลบไปจากที่นี่ก่อน แล้วค่อยแอบกลับมาจับเบฮีมอธตัวนี้ในภายหลังจะดีกว่า
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังวิ่งอยู่ สายรัดข้อมือประจำตัวนักเรียนของพวกเขาก็เรืองแสงขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังออกมา
“ประกาศถึงนักเรียนทุกคนที่อยู่ในป่าสนธยา ขณะนี้มีมอนสเตอร์ระดับสูงได้ข้ามเขตจากป่าส่วนลึกออกมายังป่าส่วนนอก ขอให้นักเรียนทุกคนที่อยู่ในป่าสนธยาชั้นหนึ่งและชั้นสองรีบออกมานอกบริเวณโดยเร็วที่สุด”
เมื่อฟังคำแจ้งเตือนจากโอเปอเรเตอร์ของโรงเรียนจบ ซาลก็หันไปพูดกับคุโระด้วยสีหน้าประทับใจ
“ระบบข่าวสารของโรงเรียนเรานี่ก็ทำงานใช้ได้นะเนี่ย พอเกิดเรื่องปุ๊บก็มีการแจ้งเตือนเลย ไม่เลว ๆ ”
“ก็ยังช้าเกินไปอยู่ดีนั่นแหละครับ! มันอยู่ข้างหลังเราแล้วเนี่ย!”
“เฮ้ นั่นเพราะพวกเราเข้ามาลึกเกินไปด้วยต่างหาก จะโทษเขาไม่ได้หรอก”
“จะอะไรก็ช่างเถอะครับ! นี่มันไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้นะครับ!”
คุโระตวาดใส่ด้วยสีหน้าร้อนรนเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมซาลถึงยังใจเย็นอยู่ได้ ในขณะที่ซาลเบะปากนิดหน่อยเพราะถูกตัดบทอย่างไร้เยื่อใย แต่เขาก็พอจะเข้าใจอีกฝ่ายอยู่บ้าง
เพราะเบฮีมอธกำลังไล่กวดพวกเขาจนเข้ามาใกล้ทีละน้อยแล้ว
ด้วยรูปร่างอันใหญ่โตของมัน แม้จะยืนด้วยสี่ขาก็ยังมีความสูงเกือบห้าเมตร แถมร่างกายยังกำยำลำสั่นจนเปลือกสีดำที่ห่อหุ้มตัวมันอยู่ขดทับกันราวกับเป็นมัดกล้ามเนื้อ
หากมันวิ่งอย่างสุดฝีเท้าจริง ๆ นักผจญภัยทั่วไปคงไม่มีทางหนีพ้นการไล่ล่าของมันไปได้ ที่เหล่านักเรียนรุ่นพี่หนีรอดมาจนถึงตรงนี้ได้เป็นเพราะมันยังเล่นสนุกอยู่เท่านั้น
แต่ตอนนี้มันตามทุกคนมาจนถึงเขตนอกสุดของป่าสนธยาแล้ว มันรู้ดีว่าเหลือพื้นที่ให้เล่นกับเหยื่ออีกเพียงไม่มากนัก ยังไงก็ต้องจัดการกับทุกคนก่อนที่จะพ้นเขตชายป่านี้ออกไป มันจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างเต็มที่
เหล่านักเรียนรุ่นพี่วิ่งใกล้เข้ามาจนอยู่ห่างจากพวกซาลไปเพียงไม่กี่เมตร ก่อนที่ความเร็วของพวกเขาจะลดลงและรักษาระยะเอาไว้ได้แค่นั้น คงเพราะพวกเขาวิ่งหนีมอนสเตอร์ตัวนี้มานานจนใกล้จะหมดแรงแล้ว ในขณะที่เจ้าเบฮีมอธยังคงไล่กวดอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย และร่นระยะห่างเข้ามาเรื่อย ๆ
หากเป็นแบบนี้ต่อไป ทุกคนต้องถูกเบฮีมอธตามทันแน่ ซาลจึงแอบร่ายเวท ‘โกรวท์’ (Growth) ใส่ต้นไม้สองข้างทางไปด้วยในระหว่างที่วิ่ง ทำให้หลังจากที่ทุกคนวิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ต้นไม้เหล่านั้นก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและแผ่กิ่งก้านออกมาขวางเส้นทางของเบฮีมอธเอาไว้
แม้ลำต้นที่ยื่นออกมาจะไม่ใช่อุปสรรคสำหรับมันนัก เพราะเพียงแค่พุ่งชนมันก็สามารถทะลวงฝ่าแนวไม้ต่อไปได้ แต่เพราะตามพื้นยังมีรากไม้ที่แผ่ออกมากีดขวางเส้นทางอยู่อีก รากไม้เหล่านี้หยั่งลึกลงไปในพื้นดินด้วยผลของเวท ‘โกรวท์’ จนทำให้มันถูกถอนขึ้นมาลำบาก หลังจากวิ่งเตะรากไม้ที่ทั้งแข็งและเหนียวจนขาเกือบขวิด เจ้าเบฮีมอธก็ต้องพยายามก้าวเท้าหลบเลี่ยงรากไม้เพื่อไม่ให้สะดุดอีก แต่นั่นก็ทำให้ความเร็วของมันลดลงด้วย
ด้วยอัตราความเร็วที่ลดลงนี้ ซาลคิดว่าทั้งเขาและเหล่ารุ่นพี่น่าจะวิ่งพ้นออกจากเขตชายป่าได้ก่อนที่จะถูกตามทัน แต่ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าของเบฮีมอธที่วิ่งตามมาก็ขาดหายไปซะเฉย ๆ
ด้วยสัญชาตญาณและความรู้สึกผิดสังเกต ซาลจึงรีบหันไปมองยังด้านหลังอีกครั้ง และภาพที่เห็นก็ทำให้เขาอยู่ในอาการตกตะลึงจนต้องตะโกนเตือนทุกคน
“รีบกระโดดเร็วเข้า!!”
เมื่อพูดจบ ซาลก็กระโดดลอยตัวขึ้นทันที แม้คุโระจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น แต่เขาก็เชื่อว่าซาลต้องมีเหตุผล จึงกระโดดตามอย่างว่าง่าย ส่วนกลุ่มนักเรียนรุ่นพี่ที่วิ่งตามมาเมื่อเห็นเด็กปีหนึ่งทั้งสองคนกระโดดโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาก็ทำตามบ้าง ยกเว้นเพียงนักเรียนหญิงคนเดียวที่ยังตอบสนองกับสถานการณ์ไม่ทัน
พริบตาต่อมา ผืนดินโดยรอบก็สั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว นักเรียนหญิงที่กระโดดไม่ทันจึงถูกแรงสะเทือนอันมหาศาลนั้นโยนตัวขึ้นในระหว่างวิ่งจนเสียหลักไถลหน้าลงกับพื้น
แรงสั่นนั้นเกิดจากการกระโจนอย่างสุดแรงของเบฮีมอธเพื่อข้ามรากไม้จำนวนมากที่กีดขวางเส้นทางอยู่ ก่อนมันจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงกระทืบพื้นเพื่อใช้แรงสะเทือนในการสกัดการหนีของเหล่านักเรียนนั่นเอง
หากไม่ได้คำเตือนของซาล คนอื่น ๆ คงจะเสียหลักเพราะแรงสะเทือนนี้จนล้มลงกับพื้นกันหมดแล้ว แต่เพราะเขา ทำให้เกือบทุกคนสามารถกระโดดหลบแรงสั่นสะเทือนนั้นได้ทัน ทว่าก็ยังมีคนหนึ่งที่หลบไม่พ้น
เพราะนักเรียนหญิงคนนั้นเสียหลักล้มลง ทำให้คนอื่น ๆ ในกลุ่มต้องยั้งเท้าและหันกลับไปมองเธอด้วย ดูเหมือนข้อเท้าของเธอจะพลิกในระหว่างที่ล้มลงทำให้ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
เพื่อน ๆ ของเธอต่างก็อยากจะเข้าไปช่วย แต่เพราะอีกฟากหนึ่ง เจ้าอสูรกระทิงร่างยักษ์ก็กำลังวิ่งกวดเข้ามาอย่างดุดัน มันเป็นภาพที่น่ากลัวจนทำให้พวกเขาอยากจะกลับหลังหันแล้ววิ่งหนีไป ทว่าหากทิ้งเพื่อนร่วมกลุ่มไว้ให้ตายอยู่ที่นี่ พวกเขาเองก็คงตายตาไม่หลับหรือต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ ความรู้สึกอันขัดแย้งนั้นทำให้เกิดความลังเลจนทุกคนทำอะไรไม่ถูกและได้แต่ยืนนิ่งโดยไม่ได้ขยับไปไหน
ในเวลานั้น มีคนเพียงคนเดียวที่ไม่มีอาการลังเลและมุ่งตรงเข้าไปยืนบังนักเรียนหญิงที่ยังอยู่ในอาการตื่นกลัวเอาไว้
เขาก็คือบุตรชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่นั่นเอง
——————————————————————————–
Part 2
ชั่ววินาทีที่หันหลังให้กับทุกคนอยู่นั้น ซาลก็แสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมา
เขารู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันช่างย่ำแย่ซะจริง หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากแสดงฝีมือให้คนอื่นเห็นเลย ไม่อยากแม้แต่แสดงความกล้าด้วยซ้ำ แต่หากปล่อยไว้ นักเรียนหญิงรุ่นพี่คนนี้คงต้องถูกเบฮีมอธวิ่งเหยียบจนกลายเป็นเศษเนื้อแน่ ๆ ซึ่งเขาคงยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นไม่ได้
ในเมื่อเหลือทางเลือกอยู่ไม่มากนัก ซาลจึงทำได้แค่จำกัดความเสียหายเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
ทันทีที่ก้าวไปยืนอยู่ด้านหน้าของนักเรียนหญิง เขาก็กางฝ่ามือเพื่อยิงเวทไฟร์บอลไปยังพื้นเบื้องหน้าที่อยู่ห่างออกไป ทำให้เกิดม่านควันจากการระเบิดคละคลุ้งขึ้นมาบดบังทัศนะวิสัยจนมองไม่เห็นเจ้ากระทิงยักษ์ที่กำลังวิ่งตรงเข้ามา แต่เสียงฝีเท้าย่ำพื้นอันดังสนั่นของมันก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ได้
วินาทีต่อมา เขาก็ย่อตัวลงและเอามือทั้งสองสัมผัสกับพื้นดิน ทำให้เกิดวงเวทขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้นดินเบื้องหน้าม่านควันนั้น ทั้งสีและแสงของวงเวทค่อนข้างอ่อนจนถ้าไม่เพ่งมองดี ๆ ก็อาจจะมองไม่เห็น ราวกับมันเป็นวงเวทที่ได้รับพลังไม่สมบูรณ์ แต่โครงสร้างของมันก็เชื่อมต่อกันอย่างครบถ้วน
“ความสูงประมาณห้าเมตร ช่วงขาก็น่าจะสักสามเมตร ถ้างั้นความลึกสักสี่เมตรก็น่าจะเอาอยู่ล่ะมั้ง”
ซาลพึมพำกับตัวเองในขณะที่เพ่งมองไปยังม่านควันเบื้องหน้า และพริบตาต่อมา เขาคู่ใหญ่ตามด้วยร่างสีดำทะมึนของเบฮีมอธก็กระโจนฝ่าม่านควันออกมา
ซาลรอจังหวะที่มันกำลังจะหยั่งขาหน้าทั้งสองลงกับพื้น และชั่วพริบตาก่อนที่กีบเท้าของมันจะลงถึงพื้นนั้นเอง เขาก็เปิดการทำงานของวงเวท
โครงสร้างอักขระบนวงเวทเปล่งแสงอ่อน ๆ ออกมาวูบหนึ่ง ก่อนที่วงเวททั้งหมดจะสลายหายไป จากนั้นผืนดินที่เคยถูกวงเวทปกคลุมอยู่ก็แปรสภาพไปเป็นบึงทรายขนาดใหญ่ ทำให้ขาหน้าของเบฮีมอธที่กำลังหยั่งลงพื้นต้องจมลึกลงไปจนสุดโคนขา เช่นเดียวกับขาหลังของมันที่หย่อนตามลงมาก็มีสภาพไม่ต่างกัน ทำให้ตัวมันเกือบทั้งตัวจมอยู่ในบึงทรายในทันที
ทั้งคุโระและเหล่านักเรียนรุ่นพี่ต่างก็ตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะพวกเขาไม่คิดว่ามอนสเตอร์ระดับสูงซึ่งนับเป็นเจ้าถิ่นของป่าสนธยาอย่างฟอเรสต์เบฮีมอธจะถูกหยุดการเคลื่อนไหวเอาไว้ได้ง่าย ๆ โดยเด็กปีหนึ่งเพียงคนเดียว แถมเวทที่เด็กคนนั้นใช้ยังเป็นเวทที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย
นั่นก็เพราะเวทสายพันธนาการอย่าง ‘ควิกแซนด์’ (Quick Sand) ที่ซาลใช้ในการสร้างหลุมทรายดูดขึ้นมา จัดเป็นเวทที่มีความซับซ้อนจนแม้แต่นักผจญภัยระดับสูงยังไม่ค่อยจะนิยมใช้กันนัก
ทว่าแม้จะจมลงไปในหลุมทรายเกือบทั้งตัว แต่เจ้ากระทิงยักษ์ก็ยังพยายามดีดตัวขึ้นจากผืนทรายที่เหนี่ยวรั้งร่างกายของมันอยู่ และค่อย ๆ ตะเกียกตะกายเข้ามาใกล้ขอบบึงอย่างช้า ๆ
“แรงเยอะดีจริง ๆ แฮะ แค่ ‘ควิกแซนด์’ คงไม่พอจริง ๆ ด้วยสินะ…”
ซาลพึมพำกับตัวเอง ในขณะที่คุโระวิ่งเข้ามาสมทบพอดี
“คุณซาลครับ! จังหวะนี้แหละ! เรารีบไปกันเถอะครับ!”
ความจริงหลุมทรายดูดนี้น่าจะซื้อเวลาได้มากพอที่จะให้ทุกคนหนีรอดไปได้ รวมทั้งตัวเขาเองด้วย แต่ในจังหวะนั้น ซาลก็คิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะพอดี จึงนึกหาเหตุผลให้คนอื่น ๆ ล่วงหน้าไปก่อน
“ถ้าฉันไม่อยู่ที่นี่ เวทจะคลายลงและทำให้มันตามพวกเราไปได้… นายรีบพาทุกคนหนีไปก่อนเถอะ ฉันจะพยายามตรึงผลของเวทเอาไว้ให้นานที่สุด แล้วจะรีบตามไป”
“ได้ยังไงกันล่ะครับ!? แบบนั้นก็เหมือนกับคุณซาลเสียสละตัวเองเพื่อพวกเราเลยไม่ใช่เหรอ!?”
“ไม่ใช่หรอกน่า ดูนี่นะ”
เมื่อพูดจบ ซาลก็โบกมือเรียกวงเวทหนึ่งวงขึ้นมาบนพื้นดินใกล้ ๆ ไม่นานนักก็มีม้าศึกขนสีน้ำตาลแดงเป็นเงางามตลอดทั้งตัวปรากฏขึ้นมาจากวงเวท
ทันทีที่ได้เห็น ทั้งคุโระและนักเรียนคนอื่น ๆ ก็เข้าใจทันทีว่านี่คือพาหนะอัญเชิญนั่นเอง
“พวกนายรีบล่วงหน้ากันไปก่อนได้เลย เดี๋ยวพอถึงเวลาที่ต้องหนีจริง ๆ แล้ว ฉันก็จะใช้ม้าตัวนี้หนีตามออกไปเอง ความจริงก็อยากจะอัญเชิญม้าหลาย ๆ ตัวออกมาให้พวกนายใช้น่ะนะ แต่สำหรับฉันตอนนี้ แค่อัญเชิญออกมาใช้เองคนเดียวก็เต็มที่แล้วน่ะ”
ความจริงคือซาลสามารถอัญเชิญม้าออกมาสำหรับแต่ละคนได้อยู่แล้ว แต่การอัญเชิญพาหนะถึงห้าตัวออกมาพร้อมกันเป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังเวทมหาศาล สำหรับนักเรียนปีหนึ่งอย่างเขาไม่ควรจะมีพลังเวทมากถึงขนาดนั้น ซาลจึงต้องแสร้งพูดแบบนั้นออกไปเพื่อไม่ให้ใครสงสัย และให้ทุกคนวางใจด้วย
เมื่อเห็นว่าเขามีทางหนีทีไล่เตรียมเอาไว้แล้ว คนอื่น ๆ จึงยอมหนีไปแต่โดยดี นักเรียนชายรุ่นพี่ทั้งสามคนเข้ามาช่วยพยุงนักเรียนหญิงขึ้นก่อนจะพาเธอไป โดยที่สายตาของนักเรียนหญิงคนนั้นยังคงจับจ้องแผ่นหลังของซาลอย่างไม่วางตา
“อย่าฝืนตัวเองล่ะเจ้าหนู! รีบตามมานะ!”
หนึ่งในนักเรียนชายพูดขึ้น ก่อนจะหิ้วปีกของนักเรียนหญิงพร้อมกับเพื่อนอีกคนและพาเธอวิ่งออกไป
“ผมจะรออยู่ด้านนอกนะครับ…”
คุโระพูดกับซาลด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ยังคงมีความลังเลอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็หันหลังและวิ่งตามเหล่านักเรียนรุ่นพี่ไปอีกคน ทำให้ตรงนั้นเหลือเพียงซาลกับเบฮีมอธในบึงทรายอยู่ตามลำพัง
เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้ว ซาลก็แสยะยิ้มออกมา และจ้องมองไปยังเบฮีมอธด้วยแววตาอันชั่วร้าย
——————————————————————————–
Part 3
ทางด้านเบฮีมอธที่ตะเกียกตะกายมาจนใกล้จะถึงขอบบึงแล้วก็ย่อตัวลงอีกครั้งเพื่อรวบรวมพลัง ก่อนจะดีดตัวกระโจนขึ้นมาจากบึงทรายดูดได้ในที่สุด ทันทีที่เท้าของมันหยั่งถึงพื้น มันก็พุ่งตรงเข้ามาหาซาลด้วยอาการโกรธเกรี้ยวในทันที
ซาลไม่ได้ขยับไปไหนเลย เขาเอาแต่เพียงนั่งรออยู่กับที่จนกระทั่งเบฮีมอธวิ่งเข้ามาถึง ซึ่งทันทีที่เข้ามาได้ระยะ มันก็สะบัดหัวแล้วเสยขึ้นเพื่อแทงเขาขวิดเป้าหมายอย่างแรง ทำให้พื้นดินเกิดรอยขนาดใหญ่สองรอยเพราะถูกเขาของเบฮีมอธถากเข้า
แต่มันก็ต้องพบกับความแปลกใจ เพราะนอกจากผิวดินที่ถูกถากแล้ว มันก็ไม่รู้สึกว่าเขาของมันเกี่ยวโดนอะไรอีกเลย ทำให้ต้องหันลงมามองอีกครั้ง และพบว่าจุดที่ซาลเคยนั่งอยู่ยังคงเหลือเงาร่างของเขาอยู่จาง ๆ แต่เงานั้นก็กำลังเลือนหายไปแล้ว
ระหว่างที่มันกำลังงุนงงอยู่ ซาลก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่แนวไม้ใกล้ ๆ เจ้ากระทิงยักษ์จึงรีบพุ่งตรงเข้าไปหาโดยไม่มีท่าทีลังเล มันพุ่งชนแนวไม้บริเวณนั้นจนหักโค่นและราบเป็นหน้ากลอง แต่เป้าหมายของมันก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วเช่นกัน ทำให้มันรู้สึกงุนงงมากขึ้นอีก เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ขยับไปไหนเลยแท้ ๆ แต่การโจมตีของมันก็พลาดเป้าเป็นครั้งที่สองแล้ว
ซาลยังคงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในจุดที่ห่างออกไป ทำให้เบฮีมอธรีบพุ่งเข้าใส่ในทันที คราวนี้มันเร่งความเร็วสุดฝีเท้าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหลบเลี่ยงหรือหนีไปได้ แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวก่อนที่มันจะถึงเป้าหมาย ทิวทัศน์บริเวณนั้นก็เปลี่ยนไป พร้อม ๆ กับร่างของซาลที่เลือนหายไปด้วย
หลังจากทิวทัศน์ลวงที่แสดงอยู่จางหายไป มันก็พบว่าเบื้องหน้านั้นคือบึงทรายดูดที่มันเพิ่งจะขึ้นมาได้นั่นเอง
เพราะความที่รู้ตัวในระยะที่ค่อนข้างกระชั้นชิด ทำให้มันพุ่งลงไปติดอยู่ในบึงทรายดูดอีกครั้ง
คราวนี้จุดที่มันตกลงไปอยู่ไม่ห่างจากขอบบึงมากนัก มันจึงพยายามหันหัวกลับมาเพื่อตะกายขึ้นฝั่งอีกครั้ง แต่หลังจากใช้เท้าตะกุยพื้นทรายไปได้ไม่กี่ครั้ง มันก็พบว่าขาของมันถูกอะไรบางอย่างรัดพันเข้าจนไม่สามารถขยับได้อีก
ขาของมันถูกสิ่งที่มองไม่เห็นใต้ผืนทรายดูดนั้นรัดพันไปทีละข้าง เจ้าสิ่งนั้นค่อย ๆ เลื้อยลามขึ้นมาตามร่างกายอันใหญ่โตของเบฮีมอธจนในที่สุดก็โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นผิวของหลุมทรายดูด เผยให้เห็นว่าสิ่งนั้นคือรากไม้ขนาดใหญ่ที่เกิดจากการขดตัวซ้อนกันของรากไม้หลายเส้นจนแทบจะกลายเป็นเชือกเกลียวนั่นเอง
รากไม้นั้นเกี่ยวกระหวัดขึ้นมาพันแม้แต่แผ่นหลังของมัน ทบแล้วทบเล่า และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จากรากไม้สีเขียวแก่เหมือนเถาวัลย์ ก็กลายเป็นรากไม้สีน้ำตาลและจับตัวแข็งราวกับรากของต้นไม้ใหญ่ ทำให้เจ้าเบฮีมอธที่ทั้งจมอยู่ในบึงทรายและถูกพันธนาการด้วยรากไม้เหล่านี้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย
ในระหว่างที่พยายามดิ้นรนอยู่นั้นเอง มันก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินมายังบริเวณขอบของบึงทราย ทำให้ดวงตาของมันแดงก่ำยิ่งขึ้นกว่าเดิมเพราะโทสะอันพุ่งพล่าน
เพราะเด็กคนนั้นก็คือเป้าหมายที่มันพยายามจะไล่ขยี้แต่ก็หลบการโจมตีของมันไปได้ทุกครั้งราวกับเป็นภาพมายานั่นเอง
“ต่อให้มีพละกำลังมหาศาลแค่ไหน แต่ถ้าขยับตัวไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์แหละนะ”
ซาลเอ่ยพูดขึ้นพลางปรายสายตามองเบฮีมอธที่ถูกพันธนาการอยู่ด้วยสีหน้าราวกับกำลังเย้ยหยัน ทำให้เจ้ากระทิงยักษ์ยิ่งมีอาการโกรธเกรี้ยวมากขึ้นอีก แต่ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้อยู่ดี
มันได้แต่มองดูอีกฝ่ายวาดมือไปบนอากาศ ก่อนจะปรากฏอักขระจำนวนมากขึ้นโดยรอบตัวมัน อักขระเหล่านั้นค่อย ๆ เกิดการเรียงตัวและสอดประสานกันจนกลายเป็นโครงสร้างวงเวทขนาดใหญ่ที่ครอบตัวมันเอาไว้ในที่สุด
“ขอต้อนรับสู่กองทัพซาลารัสนะ คุณเบฮีมอธ”
เมื่อพูดจบ ซาลก็เปิดการทำงานของวงเวท ทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าเปล่งออกมา
เมื่อแสงสว่างนั้นจางลง ร่างของเบฮีมอธที่ถูกพันธนาการอยู่ในบึงทรายก็หายวับไป เหลือเพียงรากไม้ที่ยังคงรูปร่างเหมือนกับเคยห้อหุ้มอะไรบางอย่างอยู่เท่านั้น
“เอาล่ะ ทีนี้ก็… ลองอัญเชิญออกมาดูดีกว่า… ลดขนาดตัวลงเหลือสัก 1 ใน 10 ก็แล้วกัน”
ซาลย่อตัวลงและสร้างวงเวทอัญเชิญขึ้นบนพื้นอีกวงหนึ่ง หลังจากที่เขาถ่ายเทพลังเวทลงไปก็มีแสงสว่างเรืองรองเปล่งออกมาจากวงเวท ก่อนที่จะมีร่างของฟอเรสต์เบฮีมอธซึ่งมีความสูงประมาณ 50 เซนติเมตรปรากฏออกมา
“โอ้ว ไม่เลวเลยนี่นา.. ว๊าก!”
ทันทีที่ออกมาจากวงเวท เจ้าเบฮีมอธตัวน้อยก็พุ่งเข้าชนหน้าอกของซาลจนเขาต้องหงายหลังลงไปนอนแบกับพื้นในทันที
มันยังไม่หยุดแค่นั้น เจ้าเบฮีมอธยังคงวิ่งอ้อมตีวงเพื่อตั้งหลักและสร้างแรงสะสมสำหรับการพุ่งชนครั้งต่อไป ก่อนจะมุ่งตรงเข้ามาหาซาลอีกครั้ง แต่เพราะขาสั้น ๆ ของมันทำให้ความเร็วในการวิ่งไม่ได้มากไปกว่าหมาหรือแมวเลย ซาลจึงสามารถลุกกลับขึ้นมาและชิงอุ้มตัวเจ้าเบฮีมอธขึ้นจากพื้นก่อนที่มันจะพุ่งชนเขาได้ทัน
เมื่อถูกอุ้มจนลอยขึ้น เจ้าเบฮีมอธตัวน้อยก็ใช้ขาทั้งสี่ตะกุยตะกายไปยังซาลด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวมากขึ้น แต่ด้วยขนาดตัวของมันก็ทำให้ไม่มีแรงกดดันหรือคุกคามอะไรเลย ออกจะดูน่ารักไปซะด้วยซ้ำ
“โฮ่ ๆ ๆ แข็งแรงดีนี่นา แบบนี้สิค่อยน่าเลี้ยงหน่อย.. เอ… ให้ชื่อว่าอะไรดีน้า~”
ซาลจับร่างของเบฮีมอธตัวน้อยหันหน้าออกเพื่อไม่ให้มันใช้ขาในการตะกุยเขาได้ ก่อนจะกอดร่างของมันเข้ามาแนบอกพลางพูดกับตัวเอง โดยไม่ได้สนสีหน้าและท่าทีโกรธเกรี้ยวอันน่ารักน่าชังของมันเลยแม้แต่น้อย
นี่คือเวท ‘พันธสัญญานิรันดร์’ ฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งซาลได้ทำการพัฒนาขึ้นในช่วงสามปีมานี้
เดิมทีเวทพันธสัญญานิรันดร์ เป็นวงเวทที่ใช้สำหรับกักขังผู้คนลงในวงเวทเพื่อให้สามารถอัญเชิญร่างเสมือนของคนผู้นั้นออกมาได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการทำพันธสัญญา
แต่วงเวทนี้มีข้อเสียคือ ผู้ที่ถูกกักขังอยู่ในห้องมิติของวงเวทจะถูกกัดกร่อนจากห้วงมิติไปเรื่อย ๆ จนตายไปในที่สุด ซึ่งเมื่อร่างต้นตายไป วงเวทก็จะใช้งานไม่ได้อีก ทำให้ที่ผ่านมา ซาลจึงใช้มันกับสมุนอัญเชิญเท่านั้น เพราะเป็นตัวตนที่ไม่ได้รับผลจากห้วงมิตินี้
ทว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา ซาลได้พยายามทำการปรับปรุงพัฒนาเวทนี้ซะใหม่ จนในที่สุดเขาก็ค้นพบวิธีที่สามารถรักษาร่างต้นของผู้ที่ถูกกักขังเอาไว้ในวงเวทได้แล้ว ด้วยการทำให้ร่างนั้นอยู่ในสภาพจำศีลในห้วงมิติเวลาแบบพิเศษ จึงสามารถปกป้องร่างต้นเอาไว้ไม้ให้ถูกกัดกร่อนโดยห้วงมิติได้ มันจึงกลายเป็นวงเวทที่ใช้งานได้อย่างไม่จำกัดไปด้วย
ตามปกติเขาจะอัญเชิญแค่ร่างเสมือนออกมาใช้งาน โดยปล่อยให้จิตของร่างต้นหลับใหลต่อไปก็ได้ แต่เพราะซาลอยากจะเล่นกับฟอเรสต์เบฮีมอธตัวนี้ รวมทั้งอยากจะฝึกให้มันมาเป็นสมุนที่แท้จริงด้วย จึงทำการเชื่อมต่อจิตของร่างต้นเข้ากับร่างเสมือน คล้ายกับการต่อเวท ‘โพสเซสชั่น’ ให้จิตของร่างต้นได้เข้ามาควบคุมร่างเสมือนแทน ทำให้ได้เบฮีมอธที่ยังคงดุดันและเกรี้ยวกราดออกมา แม้จะมีขนาดตัวแค่หนึ่งในสิบก็ตาม
“อืม… ร่างกายกำยำแบบนี้ มีเปลือกสีดำห่อหุ้มคล้ายกับเปลือกแมลงแบบนี้ เป็นลักษณะที่เคยเห็นมาจากที่ไหนสักแห่งน้า~ เอาเป็นว่าฉันจะตั้งชื่อให้นายว่า ‘แซ็คโทล’ ละกัน โอเคนะแซ็คโทล!”
เมื่อพูดจบ ซาลก็พลิกตัวของเบฮีมอธกลับมาเพื่อจ้องตามันอีกครั้ง สายตาของมันยังคงดูโกรธเกรี้ยวไม่เปลี่ยนแปลง และพยายามใช้เท้าตะกุยใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างสุดความสามารถ แต่ขาสั้น ๆ ของมันก็เอื้อมมาไม่ถึงตัวซาลอยู่ดี
“โอ้ ๆ ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ? ฮะ ๆ ๆ โอเค ไปกันเถอะแซ็คโทล”
โดยไม่ได้สนใจท่าทีของฝ่ายตรงข้าม ซาลก็กอดแซ็คโทลเข้ากับอกอีกครั้งด้วยความเอ็นดู ก่อนจะยกเลิกการอัญเชิญเพื่อส่งจิตของมันกลับไป จากนั้นเขาจึงกวักมือเรียกม้าสีน้ำตาลที่แอบอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ ๆ ให้เข้ามาหา เพื่อขี่มันออกจากป่าสนธยาและออกไปสมทบกับคุโระและคนอื่น ๆ ตามที่ได้นัดกันเอาไว้