Doombringer the 5th - ตอนที่ 104
Ch.104 – สิ่งที่ทำให้คนแตกต่าง
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 100
สิ่งที่ทำให้คนแตกต่าง
Part 1
ซาลควบม้าด้วยความเร็วสูงสุดมุ่งตรงมายังทางออกของป่าสนธยา เพื่อให้ดูเหมือนเป็นการหนีอย่างสุดชีวิตจากฟอเรสต์เบฮีมอธ
ระหว่างทาง เขาเห็นกลุ่มนักผจญภัยหลายกลุ่มวิ่งฝ่าแนวป่าสวนทางไป คนเหล่านั้นเหลือบมองมายังเขาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรและมุ่งหน้าต่อไปยังส่วนลึกของป่า พวกเขาคือนักผจญภัยระดับสูงของอีจิสไพร์มซึ่งมาเพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์นั่นเอง
เมื่อเห็นคนเหล่านั้นวิ่งสวนเข้าไป ซาลก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่จับแช็คโทล (ชื่อที่เขาตั้งให้กับฟอเรสต์เบฮีมอธ) ได้ก่อนที่คนอื่น ๆ จะมาถึง ไม่เช่นนั้นเขาก็อาจต้องรามือไปกลางคัน หรือที่แย่กว่านั้น แซ็คโทลอาจต้องถูกเหล่านักผจญภัยฆ่าก็ได้
ไม่นานนัก ซาลก็ควบม้าออกมาจนถึงสุดขอบของป่าสนธยา ทันทีที่เขาโผล่พ้นชายป่าออกมา ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีขนาดไพศาลของเขตอีจิสไพร์มก็ปรากฏต่อสายตาของเขาอีกครั้ง
บริเวณแนวหลักเขตที่วางล้อมป่าสนธยาเอาไว้เหมือนกับเป็นแนวรั้ว คุโระกับนักเรียนชายรุ่นพี่อีกคนหนึ่งกำลังยืนรอการมาของซาลอยู่แล้ว เขาจึงควบม้าตรงเข้าไปหาทั้งสองคนในทันที
ทันที่ที่ไปถึง เขาก็ลงจากหลังม้าและยกเลิกการอัญเชิญ ทำให้ม้าศึกสีน้ำตาลตัวนั้นสลายร่างกลายเป็นละอองแสงไป
คุโระที่เห็นว่าซาลยังคงปลอดภัยดีก็แสดงความดีใจออกมา ใบหน้าของเขายิ้มแย้มด้วยความผ่อนคลายหลังจากต้องตกอยู่ในความกังวลมาตลอดนับแต่แยกทางกัน
นักเรียนรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คุโระก็มีสีหน้าที่คลายความกังวลลงเช่นกัน เขาเอ่ยคำพูดกับซาลทันทีเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้
“รอดมาได้จริง ๆ สินะ? ไม่เลวเลย ฉันน่ะแอบคิดว่าคงไม่ได้เจอกับนายอีกแล้วนะเนี่ย ว่าแต่เจ้าเบฮีมอธตัวนั้นล่ะ?”
เพราะผืนป่ารอบนอกอยู่ในภาวะสงบมาโดยตลอดจนกระทั่งซาลมาถึง แปลว่าเจ้าเบฮีมอธร่างยักษ์นั่นไม่ได้ไล่กวดเขามาด้วย ทำให้รุ่นพี่รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ซึ่งซาลก็พอจะนึกคำอธิบายเอาไว้บ้างแล้ว
“มันตามผมมาได้แค่นิดเดียวก็หยุดชะงักแล้วหนีกลับเข้าป่าไปน่ะครับ ดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ว่ากำลังมีนักผจญภัยระดับสูงใกล้เข้ามา ก็เลยชิงหนีไปซะก่อน”
“อ้อ แบบนี้นี่เอง ฉันก็เห็นเหมือนกันว่ามีนักผจญภัยระดับสูงหลายกลุ่มมุ่งตรงเข้าไปในป่าเพื่อเคลียร์พื้นที่ แปลว่าเจ้าเบฮีมอธตัวนั้นก็มีประสาทสัมผัสดีเหมือนกันนะ”
“ครับ ว่าแต่คนอื่น ๆ ล่ะครับ?”
“อ้อ พวกเขาพาเนียร์.. นักเรียนหญิงคนที่สะดุดล้มเข้าไปส่งในเมืองก่อนน่ะ เพราะว่าเธอข้อเท้าพลิก เรากลัวว่าถ้าเบฮีมอธกล้าตามออกมาจากป่า เราจะพาเธอจะหนีไม่ทัน… จะว่าไปแล้ว นายนี่ฝีมือไม่เลวเลยนะ เป็นแค่นักเรียนปีหนึ่งแท้ ๆ แต่สามารถตรึงมอนสเตอร์ระดับ 8 เอาไว้ได้ด้วยตัวคนเดียวแบบนั้นน่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรขนาดนั้นหรอกครับ นั่นเป็นแค่เวทพันธนาการระดับกลาง แต่เพราะใช้อย่างเหมาะสมและถูกจังหวะ ก็เลยพอจะถ่วงเวลาเบฮีมอธตัวนั้นได้น่ะครับ”
แม้ซาลจะพยายามพูดกลบเกลื่อน แต่คำพูดที่เหมือนกับการถ่อมตัวนี้ก็ทำให้รุ่นพี่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่แสดงความรู้สึกยกย่องขึ้นไปอีก
ถึงจะเป็นเพียงเวทระดับกลาง แต่เวท ‘ควิกแซนด์’ ที่ใช้สร้างบึงทรายดูดขึ้นมานั้นก็เป็นเวทที่มีความซับซ้อนพอสมควร นับว่าเป็นความสามารถที่เหนือกว่าเด็กปีหนึ่งทั่ว ๆ ไปอยู่ดี ที่สำคัญคือความกล้าที่จะก้าวออกไปเผชิญหน้ากับเบฮีมอธเพื่อปกป้องผู้อื่นโดยไม่มีท่าทีลังเลนั้นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก
ระหว่างที่กำลังรอการมาของซาล เขาก็ได้พูดคุยกับคุโระไปบ้างแล้ว ทำให้รู้ว่าเด็กปีหนึ่งผู้กล้าหาญที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ทุกคนได้หนีออกมาก่อนนี้ก็คือ ซาลารัส แฮลเซียน บุตรชายของผู้สร้างหายนะคนที่ห้า
เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อทบทวนดูดี ๆ แล้ว เขาเคยได้ยินข่าวลือว่าการทรยศของซารามอธนั้นเกิดจากการครอบงำของปิศาจ ก่อนหน้านั้นซารามอธก็เป็นผู้สร้างสันติภาพที่สร้างผลงานเอาไว้มากมายคนหนึ่ง หากทายาทของเขาจะเป็นคนที่กล้าหาญและซื่อตรงเช่นกันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร
ด้วยความรู้สึกชื่นชม นักเรียนรุ่นพี่คนนั้นจึงยื่นมือออกไปพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“ฉัน เมอร์เลน… เมอร์เลน เวนเชส อยู่ปีสี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ผม ซาลารัส แฮลเซียน อยู่ปีหนึ่ง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”
“อืม ซาลารัส เรื่องในวันนี้ถือว่าทั้งฉันและเพื่อน ๆ ต่างก็ติดค้างนายอยู่ ถ้านายมีปัญหาอะไรต้องการให้ช่วยละก็ มาบอกพวกเราได้เลยนะ”
เมอร์เลนรู้ว่าเพราะฐานะของซาลอาจทำให้เขาต้องพบกับความลำบากในโรงเรียนอยู่บ้างจึงตัดสินใจว่าจะให้ความช่วยเหลือกับเขาเท่าที่จะทำได้ ซึ่งซาลก็พยักหน้ารับ ก่อนที่จะบอกลาและพาคุโระกลับไปยังโรงเรียน
เนื่องจากกลุ่มนักผจญภัยที่เข้าไปเคลียร์พื้นที่หาฟอเรสต์เบฮีมอธไม่พบ แม้พวกเขาจะพยายามเข้าไปค้นหาในพื้นที่ชั้นในสุดแล้วก็ตาม ทำให้จำเป็นต้องงดใช้พื้นที่ป่าสนธยาเป็นการชั่วคราว
เรื่องนี้ทำให้นักเรียนเกือบทั้งหมดไม่สามารถทำภารกิจสำรวจพื้นที่ของป่าสนธยาในวันนั้นได้ อาจารย์เอนจิลจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะนี่เท่ากับว่าเด็กนักเรียนปีนี้จะมาส่งภารกิจได้ช้ากว่าปกติ แต่แล้วเธอก็ต้องรู้สึกแปลกใจ เมื่อพอถึงเวลาประมาณสี่โมงเย็น ซาลกับคุโระก็มาพบเธอที่ห้องพักอาจารย์สาขาการสำรวจ เพื่อส่งภารกิจกับเธอ
ตามปกติแล้วสำหรับนักเรียนปีหนึ่ง การสำรวจป่าชั้นแรกจะใช้เวลาโดยเฉลี่ยราว ๆ 12 ชั่วโมง นี่เป็นเวลาที่จะนับเฉพาะช่วงเวลาที่เหล่านักเรียนอยู่ในอาณาเขตของป่า ซึ่งตามสถิติแล้ว กลุ่มที่เคยทำภารกิจนี้ได้เร็วที่สุดก็ยังใช้เวลาไปถึง 8 ชั่วโมง แต่ตอนนี้สถิตินั้นได้ถูกทำลายลงแล้ว
เพราะกลุ่มของซาลกับคุโระ ใช้เวลาไปเพียงชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
การนับเวลาจะเริ่มขึ้นเมื่อ ‘เมโมรี่ริง’ ที่เหล่านักเรียนพกพาไปด้วยได้เคลื่อนที่ผ่านหลักเขตของป่าสนธยา มันไม่ใช่แค่อุปกรณ์สำหรับบันทึกภารกิจ แต่ยังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้จับเวลาในการทำภารกิจของแต่ละกลุ่มด้วย ซึ่งจากข้อมูลในแหวน บ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากลุ่มของซาลใช้เวลาอยู่ในป่าสนธยาเพียงแค่ 90 นาทีเท่านั้น
นอกจากเรื่องเวลาที่ใช้ไปเพียงน้อยนิดแล้ว แผนที่ในเมโมรี่ริงอันนั้นยังบันทึกพื้นที่ของป่าสนธยาชั้นแรกเอาไว้อย่างครบถ้วน แถมยังมีพื้นที่บางส่วนของป่าสนธยาชั้นที่สองติดมาด้วย ทำให้อาจารย์เอนจิลทั้งรู้สึกทึ่งและประหลาดใจ
ซาลอัญเชิญหมาจิ้งจอกออกมาสามตัว พร้อมกับอธิบายวิธีการที่เขาใช้ ซึ่งเมื่ออาจารย์เอนจิลได้ฟังแล้ว เธอก็คลายสีหน้าประหลาดใจลง แต่ก็ยังอดแสดงความรู้สึกทึ่งออกมาทางสายตาที่จ้องมองไปยังซาลไม่ได้
แม้เธอจะเคยได้ยินเรื่องการใช้สมุนอัญเชิญในการดูลาดเลาหรือสำรวจพื้นที่ที่เข้าถึงยากมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะสามารถใช้สมุนอัญเชิญสำรวจพื้นที่กว้างขนาดนี้ในเวลาอันสั้นได้
พอเธอลองทบทวนดูดี ๆ แล้ว การใช้งานสมุนในลักษณะนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าจะทำได้จริง ๆ แค่ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครสนใจจะเรียนเวทอัญเชิญอย่างจริงจัง เธอจึงไม่เคยเจอใครที่ใช้เวทอัญเชิญในการทำภารกิจมาก่อน ด้วยเหตุนี้ อาจารย์เอนจิลจึงเพียงคิดว่ามันเป็นความสามารถที่พบเห็นได้ยาก และเธอเป็นฝ่ายที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมันไม่พอเอง ไม่ใช่ว่ามันเป็นความสามารถที่ผิดปกติอะไร
ถึงกระนั้น เธอก็ยังรู้สึกชื่นชมซาลที่รู้จักประยุกต์ใช้เวทอัญเชิญในเชิงนี้ได้ ตอนที่เขาบอกว่าสามารถทำภารกิจนี้ได้ตามลำพังสองคน เธอคิดว่านั่นเป็นเพียงการพูดโอ้อวดของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมซะอีก แต่ตอนนี้อีกฝ่ายได้พิสูจน์แล้วว่าเธอคิดผิด ทำให้เอนจิลรู้สึกละอายใจอยู่เล็กน้อยที่ด่วนตัดสินคนเกินไป
เธอให้คะแนนเต็มกับทั้งสองคน และบันทึกเวลาของพวกเขาเอาไว้เป็นสถิติใหม่ โดยใส่ข้อมูลกำกับเอาไว้ด้วยว่าเป็นการสำรวจด้วย ‘สมุนอัญเชิญ’ ของคลาสซัมมอนเนอร์
แม้จะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อทั้งสองคนไปบ้าง แต่อาจารย์เอนจิลก็ยังกล่าวเตือนทั้งคู่ว่าภารกิจของวิชาอื่น ๆ อย่างเช่นภารกิจล่านั้นอาจไม่ใช่อะไรที่ทำได้ง่าย ๆ เหมือนกับภารกิจสำรวจ เพราะมันเป็นภารกิจที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ ซึ่งซาลกับคุโระก็น้อมรับคำเตือนเอาไว้ ก่อนจะขอตัวกลับ
เมื่อทั้งสองคนออกจากห้องพักอาจารย์ไปแล้ว อาจารย์เอนจิลก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพึมพำคำพูดอันแผ่วเบาที่เหมือนการพูดกับตัวเองออกมา
“สงสัยจะต้องเรียนเวทอัญเชิญบ้างซะแล้วแฮะ…”
——————————————————————————–
Part 2
วีรกรรมของซาลได้ถูกบอกต่อกันไปในกลุ่มนักเรียนปีสี่ แต่ก็แค่ในวงจำกัดเท่านั้น
ผิดกับข่าวลือในแง่ลบของเขาที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วภายในคืนเดียว แถมคนส่วนใหญ่ยังเชื่อในข่าวแง่ลบมากกว่าด้วย
เพราะเขาเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ ทำให้ทัศนะคติที่ผู้คนมีต่อเขาไม่ค่อยดีอยู่แล้ว คนส่วนใหญ่จึงยอมเชื่อในข่าวที่เป็นแง่ร้ายมากกว่าแง่ดี เพราะมันตรงกับความเชื่อดั้งเดิมของพวกเขามากกว่า
แม้จะมีเรื่องวีรกรรมอันกล้าหาญของเขาถูกเล่าต่อกันมาจากกลุ่มนักเรียนปีสี่ แต่เพราะอคติที่มีต่อซาลเป็นทุนเดิม ประกอบกับข่าวแง่ลบของเขาที่แพร่กระจายออกมาก่อนหน้านี้ ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่มองว่ามันเป็นแค่การฟลุค หรือความเข้าใจผิดของคนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นเอง คนอย่างลูกชายของผู้สร้างหายนะคนนั้นน่ะเหรอที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อคนอื่น คงมีเจตนาร้ายอะไรสักอย่างแต่ไปอยู่ในสถานการณ์นั้นพอดีมากกว่า
อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าค่านิยมของนักผจญภัยสมัยนี้ให้ความสำคัญกับ ‘พลัง’ เป็นหลัก การใช้เวทพันธนาการหรือลูกเล่นในการถ่วงเวลามอนสเตอร์ได้จึงไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์หรือเก่งกล้าสักเท่าไหร่ ต้องสามารถโค่นมอนสเตอร์ระดับสูงลงได้ในไม่กี่กระบวนท่าหรือใช้การโจมตีอันทรงพลังไล่มันไปได้สิจึงจะถือว่าเก่งจริง
ด้วยเหตุนี้ทัศนะคติของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อซาลจึงยังไม่เปลี่ยนไปนัก ทั้งไม่เชื่อว่าเขาจะทำเพื่อคนอื่น และไม่คิดว่าเป็นคนที่มีฝีมืออะไรด้วย แค่ฟลุคหรือเล่นลูกไม้เก่งเท่านั้นเอง แม้ในกลุ่มนักเรียนปีสี่ โดยเฉพาะคนที่สนิทกับกลุ่มของเมอร์เลน จะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่สำหรับนักเรียนส่วนใหญ่ ถ้าไม่รู้สึกเฉย ๆ ก็ยังคงมีอคติต่อซาลอยู่เช่นเดิม
หากเป็นคนอื่นนี่คงนับเป็นเรื่องที่แย่ แต่สำหรับซาล การถูกเข้าใจผิดแบบนี้นับเป็นเรื่องที่เป็นผลดีต่อแผนการของเขามากที่สุดแล้ว
เช้าวันต่อมา ซาลก็นัดพบกับคุโระที่ชั้นดาดฟ้าของหอพัก
เขาได้ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เกือบทั้งคืน จนได้ข้อสรุปว่า ควรจะต้องมีมาตรการอะไรบางอย่างในการจัดการกับสถานการณ์เฉพาะหน้าแบบที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้
เพราะการจะเปิดเผยฝีมือของตัวเองบ่อย ๆ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก และการหลบเลี่ยงปัญหาไปตลอดก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสะดวก ที่สำคัญคือในสัปดาห์ที่สามจะเป็นวิชา ‘พื้นฐานภารกิจล่า’ ซึ่งจำเป็นจะต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ การจะเก็บคะแนนเต็มเพื่อเลื่อนห้องด้วยคนเพียงสองคนโดยไม่ถูกสงสัยก็ยิ่งเป็นเรื่องยาก เพราะในการทำภารกิจแบบนี้ ผลลัพธ์ของมันเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ทำภารกิจมีฝีมือในการต่อสู้มากน้อยแค่ไหน
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ เขาจึงต้องนึกหาทางที่จะทำให้สามารถทำภารกิจและฝ่าฟันอันตรายต่าง ๆ ได้โดยไม่ถูกสงสัย ซึ่งวิธีที่เขาคิดขึ้นมาได้ก็คือ ถ้าเขาแสดงฝีมือไม่ได้ ก็ให้คุโระเป็นคนแสดงฝีมือแทนซะสิ
เพราะเหตุนี้ เขาจึงนัดคุโระขึ้นมาพบบนชั้นดาดฟ้า เพื่อที่จะฝึกฝนคุโระให้แข็งแกร่งขึ้น จะได้มีข้ออ้างว่าที่สามารถผ่านภารกิจหรือฝ่าฟันภยันตรายทั้งหมดมาได้นั้นเป็นเพราะฝีมือของคุโระนั่นเอง เพื่อการนี้ เขาจึงได้แฮคกล้องวงจรปิดของชั้นดาดฟ้าเพื่อให้มันแสดงภาพพื้นที่เปล่า ๆ ซ้ำไปซ้ำมา จะได้ไม่มีใครในห้องเฝ้าระวังของโรงเรียนอีจิสไพร์มพบเห็นการฝึกนี้เข้า
ที่ซาลพยายามทำภารกิจประจำสัปดาห์ให้จบโดยเร็ว นอกจากจะเป็นเพราะเขาต้องการคะแนนสำหรับเลื่อนห้องแล้ว เขายังต้องการเวลาว่างสำหรับใช้ในการดำเนินแผนการอื่น ๆ ด้วย การจบภารกิจให้เร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการอาศัยคุโระเป็นฉากบังหน้าให้กับความสำเร็จนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากนี้ ซาลยังคิดว่าคุโระเป็นคนที่น่าคาดหวังและไว้ใจได้ หากฝึกฝนดี ๆ ละก็ ในอนาคต คุโระอาจเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของเขาก็ได้
ซาลมายืนรอก่อนเวลานัดราว ๆ สิบห้านาที แต่ผ่านไปแค่ห้านาที คุโระก็ขึ้นมาถึงบนดาดฟ้า เพราะเขาเป็นคนที่ชอบมาก่อนเวลาเช่นกัน ซึ่งเมื่อเห็นซาลมารออยู่ก่อนแล้ว คุโระก็แสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปหาและถามถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายนัดมา
“คุณซาล ต้องการจะให้ผมทำอะไรเหรอครับ?”
“จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ตอนนี้เราส่งภารกิจไปแล้ว ทำให้มีเวลาว่างทั้งสัปดาห์ นายมีแผนการที่จะทำอะไรในช่วงนี้รึเปล่า?”
“ก็… ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกนะครับ เดิมทีผมคิดว่าเราคงใช้เวลาเกือบเต็มสัปดาห์ในการทำภารกิจ แต่เพราะทำภารกิจเสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ผมเลยยังไม่ได้นึกว่าจะทำอะไรดี… คิดว่าคงจะใช้เวลาช่วงนี้ในการฝึกฝนและหาความรู้เพิ่มเติมน่ะครับ…”
“โอ้ งั้นก็พอดีเลย ถ้าไม่รังเกียจละก็ ให้ฉันช่วยมั้ย?”
“ช่วย? หมายถึง… เป็นคู่ฝึกซ้อมน่ะเหรอครับ? ก็ได้อยู่นะครับ”
ความจริงซาลอยากจะบอกว่าเขาจะช่วยเป็นครูฝึกให้กับคุโระมากกว่า แต่การพูดแบบนั้นไปตรง ๆ มันก็จะดูเป็นการยกตนข่มท่านมากไปหน่อย จึงพยายามหาคำมาอธิบายให้ฟังดูอ้อมค้อมอีกนิด
“จริง ๆ คือฉันมี ‘เคล็ดการฝึกประจำตระกูลแฮลเซียน’ อยู่น่ะ ถ้าฝึกตามวิธีนี้ละก็ รับรองว่าทั้งทักษะทางกายภาพ, จิตต่อสู้, และพลังเวทของนายจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแน่ ฉันจะถ่ายทอดเคล็ดการฝึกนี้ให้กับนาย พอนายแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เราจะได้ทำภารกิจในอนาคตได้ง่ายขึ้นไปด้วยไงล่ะ”
“เอ๋!? ไม่ได้หรอกนะครับ ถ้านั่นเป็นเคล็ดลับประจำตระกูลละก็ จะเอามาให้คนนอกอย่างผมฝึกได้ยังไงกันล่ะครับ?”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเคล็ดวิชาเท่านั้นเอง ไม่ถึงขั้นเป็นความลับสุดยอดที่ถ่ายทอดกันเฉพาะในหมู่ทายาทหรอกนะ เคล็ดระดับนี้สามารถถ่ายทอดให้กับผู้ที่มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเราได้อย่างไม่มีปัญหา ขอแค่นายสัญญาว่าจะไม่เอาไปเผยแพร่ต่ออีกก็พอแล้ว อีกอย่างคือนี่เป็นเรื่องที่ส่งผลกับอนาคตของพวกเราด้วย อย่างที่อาจารย์เอนจิลพูดเมื่อวานนี้นั่นแหละ กลุ่มที่มีแค่สองคนน่ะ จะผ่านภารกิจที่ต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์ซึ่ง ๆ หน้าอย่างภารกิจล่าคงเป็นการยากนะ ถ้าพวกเราไม่พัฒนาฝีมือขึ้นโดยเร็วละก็ โอกาสของเราในการผ่านภารกิจก็จะน้อยลงไปอีก”
เมื่อได้ฟังเหตุผลของซาล คุโระมีท่าทีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แม้เขาจะยังมีสีหน้าเกรงใจอยู่บ้าง แต่ในที่สุดเขาก็ยอมรับปาก
“ในเมื่อคุณซาลพูดแบบนั้น… ผมก็ขอฝากตัวด้วยก็แล้วกันนะครับ”
“อื้ม ขั้นแรกก็คงต้องดูพื้นฐานของนายก่อน ลองสู้กับเจ้านี่ดูละกัน”
เมื่อพูดจบ ซาลก็อัญเชิญสมุนที่มีรูปร่างเหมือนกับอัศวินในชุดเกราะสีเทาอันมิดชิดออกมาหนึ่งตัว
มันคือ ‘ซอร์ดแมน’ สมุนที่เขาสร้างขึ้นมาใช้เป็นกำลังพลระดับล่างของกองทัพซาลารัสนั่นเอง สมุนเหล่านี้เป็นแค่ร่างอัญเชิญแบบง่าย ๆ ที่ไม่มีวิญญาณเทียม จึงไม่สามารถพัฒนาตัวเองจากการต่อสู้ได้ แต่ก็มีข้อได้เปรียบตรงที่สามารถสร้างได้เป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว
แม้จะบอกว่าเป็นกำลังพลระดับล่าง แต่ซอร์ดแมนตัวนี้ก็ได้รับการปรับแต่งคุณสมบัติจนมีพลังเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับสาม แม้แต่รูปลักษณ์ยังดูเหมือนกับอัศวินในชุดเกราะ ทำให้ดูน่าเกรงขามมากทีเดียว
ถึงจะมีพลังเทียบเท่ามอนสเตอร์ระดับสาม แต่มันก็เป็นแค่สมุนอัญเชิญที่ไร้จิตใจ ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ต่ำกว่ามอนสเตอร์ระดับสามจริง ๆ อยู่พอสมควร หากไม่อยู่กันเป็นกลุ่มมันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอะไรเลย ซาลจึงคิดว่าต่อให้คุโระเป็นแค่นักเรียนปีหนึ่ง เขาก็น่าจะรับมือมันได้ไม่ยาก
คุโระเดินเข้าประจำที่ก่อนจะเหลือบมองมาทางซาลเพื่อรอสัญญาณ ซึ่งทันทีที่ซาลพยักหน้า เขาก็พุ่งเข้าไปหาซอร์ดแมนตัวนั้นอย่างรวดเร็วในทันที
ซอร์ดแมนของซาลยกโล่และดาบขึ้นมาป้องกันศัตรูที่ตรงเข้ามาทางด้านหน้า แต่เพียงแวบเดียว คุโระก็ก้าวเท้าและเปลี่ยนทิศทางเพื่ออ้อมไปทางด้านหลังของโล่ที่ซอร์ดแมนถืออยู่แทน ก่อนจะตวัดดาบเล่มเรียวเล็กของเขาเข้าใส่ช่องว่างของเกราะบริเวนข้อพับแขนของมัน ทำให้มือข้างซ้ายที่ถือโล่อยู่ห้อยตกลงราวกับสูญเสียการควบคุมในแขนข้างนั้นไปซะเฉย ๆ
ซอร์ดแมนตัวนั้นตอบสนองการโจมตีด้วยการพลิกตัวและตวัดดาบเป็นวงกว้างกวาดเข้าใส่คุโระ คมดาบเหวี่ยงตามเข็มนาฬิกามายังด้านหน้าของเขา แต่ก็ยังช้ากว่าการเคลื่อนไหวของคุโระอยู่ก้าวหนึ่ง เขาก้มตัวลงต่ำจนหน้าอกแทบจะลงไปเฉียดกับพื้น และหลบการโจมตีนั้นได้ พลางผนึกจิตต่อสู้เข้ากับดาบที่ถืออยู่จนใบดาบเริ่มเรืองแสงสีขาวออกมา
เพราะเหวี่ยงดาบโจมตีเป็นวงกว้างแล้วพลาดเป้า แถมเขนซ้ายของมันยังไม่อยู่ในสภาพที่จะยกโล่ขึ้นมากันได้อีก ตอนนี้ซอร์ดแมนของซาลจึงเปิดช่องว่างขนาดใหญ่ราวกับกำลังอ้าแขนรอรับการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งคุโระก็เล็งจังหวะนี้เอาไว้อยู่แล้ว
ทันทีที่ซอร์ดแมนหันตัวมาจนถึงมุมที่เหมาะเจาะ คุโระก็ดีดตัวจากพื้นแล้วแทงดาบที่อาบด้วยแสงสีขาวของเขาเข้าไปในช่องว่างของหมวกเหล็กบริเวณเบ้าตาของซอร์ดแมนในทันที เป็นการโจมตีอันคมกริบและแม่นยำทั้งยังเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ทำให้หมวกเหล็กของซอร์ดแมนถึงกับระเบิดออก ก่อนที่ร่างของมันจะค่อย ๆ สลายกลายเป็นละอองแสงไป
ผลของการต่อสู้นี้นับว่าเหนือกว่าที่ซาลคาดเอาไว้มากทีเดียว เขาจึงยืนมองด้วยความตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
พอทบทวนดูแล้ว ซาลก็นึกขึ้นได้ว่า คุโระเคยบอกว่าตัวเองเป็นซอร์ดแมนสายเฟนเซอร์ ซึ่งเป็นสายที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว นักดาบสายนี้จะมีความคล่องตัวสูง โจมตีได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ แม้ท่าโจมตีจะมีรัศมีแคบ แต่ก็มีพลังทำลายมหาศาล การเลือกซอร์ดแมนเกราะหนักที่เคลื่อนไหวเชื่องช้ามาเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเขาจึงไม่ต่างจากการยื่นของขบเคี้ยวให้กับอีกฝ่ายเลย
ถึงกระนั้น สมุนที่ซาลอัญเชิญออกมาก็มีพลังเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับสาม การที่มันถูกจัดการลงได้ในชั่วพริบตาแบบนี้ แปลว่าฝีมือของคุโระเองก็ไม่ใช่ธรรมดา
จากที่ซาลประเมินแล้ว ความสามารถในการสู้แบบตัวต่อตัวของคุโระน่าจะใช้ดวลกับนักผจญภัยระดับสามหรือระดับสี่ได้อย่างสบาย (ถ้าคนเหล่านั้นไม่ใช่นักผจญภัยที่เน้นฝึกฝนการสู้แบบตัวต่อตัวเหมือนกัน) ทำให้เขายิ่งรู้สึกสนใจในตัวคุโระมากขึ้นอีก
เพราะความมุ่งมั่นคือหัวใจสำคัญของการฝึกฝน ซาลรู้สึกสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุให้คนที่ดูสงบเสงี่ยมและไม่กล้าสู้คนอย่างคุโระเกิดความมุ่งมั่นในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แบบตัวต่อตัวจนมีฝีมือขนาดนี้ได้กันนะ
อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาสืบสาวเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านั้น เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการพัฒนาฝีมือของคุโระให้อยู่ในระดับที่ทุกคนเชื่อว่าเขาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของกลุ่ม ไม่ใช่ซาล ซึ่งจากฝีมือพื้นฐานของเจ้าตัวที่เหนือกว่าที่ซาลคาดเอาไว้ในทีแรก นั่นคงไม่ใช่เรื่องยากนัก
ความรู้สึกพึงพอใจนี้ ทำให้ซาลถึงกับยิ้มออกมาด้วยแววตาอันเป็นประกาย ทั้งเพราะดีใจที่แผนการนี้น่าจะดำเนินไปได้ราบรื่นกว่าที่คาด และเพราะความตื่นเต้นที่จะได้เห็นพัฒนาการของคุโระด้วย
——————————————————————————–
Part 3
“ยอดเยี่ยม! ที่แท้ก็นายก็เป็นพวกคมในฝักนี่เอง นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ”
ซาลตบมือพลางพูดชมเชยไม่ขาดปาก ทำให้คุโระพลอยเขินไปด้วย
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวก็พอได้อยู่ แต่ไสตล์การต่อสู้ของผมมันไม่เหมาะกับการร่วมทีมกับคนอื่นเท่าไหร่ เวลาออกผจญภัยกันเป็นกลุ่ม ผมก็ช่วยเหลืออะไรเพื่อนร่วมทีมไม่ได้มากด้วย ทำให้มักจะเป็นเศษเหลือของห้องอยู่บ่อย ๆ”
ที่คุโระพูดนั้นไม่ใช่การถ่อมตัว แต่เป็นเรื่องจริง เพราะแม้นักดาบสายเฟนเซอร์จะถนัดการต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ในการผจญภัยหรือสู้กับมอนสเตอร์สักเท่าไหร่นัก เพราะกระบวนท่าส่วนใหญ่มีไว้รับมือกับคู่ต่อสู้ที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งในการผจญภัยจริง ๆ โอกาสที่จะถูกรุมโดยมอนสเตอร์จำนวนมากก็มีสูง ทำให้ไม่สามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่ บ่อยครั้งจึงถูกมองว่าเป็นตัวถ่วงของกลุ่ม
“แค่ได้รู้ว่านายมีพื้นฐานขนาดนี้ก็พอแล้ว ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของการฝึกล่ะ ก่อนอื่นก็ต้องทดสอบคุณสมบัติแฝงของนายซะก่อน เอ้า รับนี่ไปสิ”
ซาลนำผลึกแก้วที่มีขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือออกมาจากช่องมิติเก็บของ ก่อนจะยื่นมันให้กับคุโระ ซึ่งคุโระก็รับผลึกนั้นมาพิจารณาดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามกลับไป
“ผลึกนี่คือ…? แล้วไม่ใช่ว่าเมื่อกี้คือการทดสอบเหรอครับ?”
“เมื่อกี้คือการทดสอบฝีมือ แต่นี่คือการทดสอบคุณสมบัติแฝงของนาย เพื่อให้รู้ว่านายเหมาะกับแนวทางการฝึกรูปแบบไหนมากที่สุด จะได้ให้ฝึกด้วยวิธีการที่ถูกต้องไงล่ะ”
“เอ๋?”
คุโระแสดงสีหน้างงงวยออกมาเพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน ซาลจึงต้องอธิบายให้ฟัง
“คนเราทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติแฝงสองอย่างด้วยกัน หนึ่งคือ ‘ความเอนเอียงธาตุ’ (Elemental Sensitive) ซึ่งจะทำให้มีคุณสมบัติของธาตุใดธาตุหนึ่งในร่างกายมากกว่าธาตุอื่น ๆ แม้โดยปกติแล้วมนุษย์จะมีธาตุในร่างกายเป็นกลาง แต่ความจริงภายใต้ความเป็นกลางนั้นยังมีคุณสมบัติแฝงที่เกิดจากความเอนเอียงทางธาตุอยู่
สิ่งนี้จะให้ผลคล้ายกับการ ‘ผูกมัดตน’ (Devotion) กับธาตุต่าง ๆ ของพวกคลาสระดับสามที่ทำเพื่อให้ใช้งานเวทมนตร์และทักษะประจำธาตุได้ เพราะเหตุนี้ ทุกคนจึงมีธาตุที่ถูกโฉลกและธาตุที่เป็นปรปักษ์อยู่โดยไม่รู้ตัว เมื่อทำการฝึกฝนด้วยวิธีการปกติจึงทำให้มีพัฒนาการช้าลง หรือไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อรูปแบบของการฝึกนั้นขัดกับธาตุที่ตนเอนเอียงไปไงล่ะ”
“มีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วยเหรอครับ!? ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“นี่เป็นงานวิจัยลับที่มีคนรู้อยู่เพียงไม่มากนักน่ะ นายเองเมื่อรู้แล้วก็เหยียบไว้เลยนะ”
เพราะซาลพูดด้วยสีหน้าจริงจัง คุโระจึงพยักหน้ารับและไม่พูดอะไรอีก
“คุณสมบัติที่สองก็คือ ‘จักราศี’ (Zodiac) คือตามธรรมชาติแล้ว ในแต่ละรอบราศี โลกจะมีรูปแบบการไหลเวียนของกระแสเวทมนตร์แตกต่างกันออกไป ทันทีที่เด็กทารกเกิดขึ้นมา ร่างกายก็จะทำการปรับตัวให้เข้ากับกระแสเวทมนตร์ในรอบราศีนั้นก่อน การปรับตัวนี้ทำให้คุณสมบัติของร่างกายเบี่ยงเบนไปจนกลายเป็นคุณสมบัติแฝงอีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘จักราศี’ ซึ่งทำให้แต่ละคนมีจุดเด่นและจุดด้อยทั้งทางกายภาพและทางเวทมนตร์แตกต่างกันไปตามราศีเกิด และสิ่งนี้ยังเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติพิเศษหรือพรสวรรค์ของแต่ละคนด้วย”
คำพูดของซาลทำให้คุโระถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง เพราะมันเป็นความรู้ที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่เขาก็ไม่คิดว่าเรื่องที่ซาลพูดจะเป็นเรื่องเหลวไหลหรือล้อเล่นด้วย จึงได้แต่ฟังอยู่เงียบ ๆ
“สองอย่างนั้นคือคุณสมบัติที่ติดตัวมาโดยกำเนิด แต่หลังจากเติบโตขึ้นมา คนเรายังมีคุณสมบัติแฝงอย่างที่สามอยู่อีก ก็คือ ‘ศูนย์ถ่วงของจิตใจ’ (Alignment) สิ่งนี้หากให้อธิบายง่าย ๆ มันก็คืออุปนิสัยนั่นเอง โดยแบ่งออกเป็นสามรูปแบบคือ ‘เคร่งกฎ’, ‘เป็นกลาง’, และ ‘ไร้กฎเกณฑ์’ แม้จะบอกว่าเป็นอุปนิสัย แต่ความจริงแล้วมันเป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก พูดได้ว่ามันเป็นส่วนลึกของจิตใจ หรือสิ่งที่ตกผลึกจากอุปนิสัยและสภาพแวดล้อมของแต่ละคนมากกว่า
ในบรรดาคุณสมบัติแฝง นี่เป็นคุณสมบัติเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ความจริงคุณสมบัติแฝงสองอย่างแรกก็มีวิธีเปลี่ยนแปลงอยู่ แต่วิธีการนั้นค่อนข้างยุ่งยากมาก ผิดกับศูนย์ถ่วงของจิตใจที่อาจแปรเปลี่ยนได้อย่างฉับพลันเมื่อได้พบกับเหตุการณ์ที่กระทบต่อจิตใจหรือสิ่งที่ยึดมั่น ซึ่งแน่นอนว่าศูนย์ถ่วงของจิตใจนี้ก็มีผลต่อความสามารถทางร่างกายและเวทมนตร์เช่นกัน
โดยสรุปแล้ว มนุษย์ทุกคนจะมีคุณสมบัติแฝงอยู่สามอย่าง หนึ่งคือ ‘ความเอนเอียงธาตุ’ ซึ่งอาจเอนเอียงไปทาง ดิน, น้ำ, ลม, หรือไฟ โดยกำเนิด มีบางกรณีที่เอนเอียงไปทางธาตุแสงหรือความมืดด้วย แต่นั่นก็เป็นกรณีที่หายาก อย่างที่สองคือ ‘จักราศี’ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 12 รูปแบบ ตามจำนวนจักราศีในแต่ละปี อย่างที่สามคือ ‘ศูนย์ถ่วงของจิตใจ’ ซึ่งแบ่งออกเป็นอีกสามรูปแบบ
เมื่อนำความเป็นไปได้ทั้งหมดนี้มาคำนวณแล้วเท่ากับว่ามนุษย์แต่ละคนอาจมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไปได้ 144-216 รูปแบบ แต่การฝึกสอนวิชาตามมาตรฐานจะมีเพียง 1-2 รูปแบบ เพราะตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าเด็กทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีคุณสมบัติที่เท่าเทียมกัน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ผิด ทำให้โลกนี้มีทั้งคนที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และคนที่ฝึกฝนเท่าไหร่ก็ไม่คืบหน้า เพราะแต่ละคนก็ตอบสนองต่อรูปแบบการฝึกตามมาตรฐานแตกต่างกันไงล่ะ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของซาลจนจบ คุโระก็ตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง
หากสิ่งที่ซาลพูดมาเป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าแนวทางการศึกษาของโลกดำเนินไปในทิศทางที่ผิดมาโดยตลอด และทฤษฎีนี้ก็เป็นทฤษฎีอันทรงคุณค่าในระดับที่สามารถพลิกโฉมของโลกได้เลยทีเดียว
คุณสมบัติแฝงทั้งสามอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ซาลค้นพบเพราะความสงสัยใคร่รู้ของเขา ในระหว่างที่อยู่ในลิลลี่โฮไรซอนกับขุนพลทั้งแปด
เพราะแปดขุนพลที่น่าจะมีคุณสมบัติพื้นฐานเท่าเทียมกันทุกประการและฝึกฝนตัวเองด้วยวิธีเดียวกันกลับมีพัฒนาการช้าหรือเร็วไม่เท่ากัน ทำให้ซาลเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าอะไรเป็นสาเหตุ เขาและเหล่าขุนพลจึงทำการค้นคว้าหาข้อมูลในห้องสมุดลับของลิลลี่โฮไรซอน จนพบทฤษฎีจำนวนหนึ่งที่น่าจะมีความเชื่อมโยงกับคุณสมบัติพื้นฐานโดยกำเนิดของแต่ละบุคคล
แม้ทฤษฎีทั้งหมดนั้นจะไม่ถูกต้อง แต่แนวคิดของมันก็ทำให้ซาลสามารถคิดค้นทฤษฎีใหม่ที่ใกล้เคียงกับความจริงขึ้นมาได้ จนในที่สุดเขาก็สามารถพิสูจน์ทฤษฎีที่เป็นจริงขึ้นมาได้ทั้งหมดสามทฤษฎีด้วยกัน ก็คือ ทฤษฎี ‘ความเอนเอียงธาตุ’, ทฤษฎี ‘จักราศี’, และ ทฤษฎี ‘ศูนย์ถ่วงของจิตใจ’ ซึ่งเป็นสาเหตุให้คนแต่ละคนมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ต่อให้มีพื้นฐานเท่าเทียมกันและฝึกฝนด้วยกระบวนการเดียวกัน ก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้
ด้วยการค้นพบคุณสมบัติแฝงของบุคคลจากสามทฤษฎีนี้ ทำให้ซาลสามารถออกแบบกระบวนการสำหรับการฝึกฝนร่างกาย, จิตต่อสู้, และเวทมนตร์ ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบุคคลนั้น ๆ ได้ ด้วยการดึงจุดเด่นออกมาใช้ และเลี่ยงจุดด้อยให้มากที่สุด ทำให้ผู้ที่ฝึกฝนตนเองด้วยกระบวนการที่เหมาะสมนี้สามารถพัฒนาฝีมือได้เร็วกว่าการฝึกด้วยวิธีธรรมดา 5-10 เท่าเลยทีเดียว
เพราะเขาเป็นคนค้นพบทฤษฎีนี้ นี่จึงถือเป็นเคล็ดลับประจำตระกูลแฮลเซียนด้วย คำพูดที่เขาบอกกับคุโระจึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องโกหก
“นะ.. นี่คือเคล็ดลับประจำตระกูลแฮลเซียนงั้นเหรอครับ? ถ้านี่เป็นความจริงละก็…”
คุโระพึมพำออกมาด้วยสีหน้าที่ยังอยู่ในอาการตะลึง ส่วนซาลก็ตอบกลับไปด้วยสีหน้าสบาย ๆ ตามปกติของเขา
“นี่ยังแค่ส่วนของทฤษฎีเท่านั้นเอง เคล็ดการฝึกที่แท้จริงอยู่หลังจากนี้ต่างหาก แต่ก่อนอื่นเราต้องตรวจสอบคุณสมบัติแฝงของนายก่อน เอ้า ผนึกจิตต่อสู้และพลังเวทลงในผลึกนั่นซะ แล้วเราก็จะได้รู้กัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของซาล คุโระก็เหลือบตาลงมองแท่งผลึกในมือของเขาอีกครั้ง
เขากำมือลงและถ่ายเทจิตต่อสู้กับพลังเวทลงในแท่งผลึกด้วยใจที่เต้นระทึกและความอยากรู้ว่าคุณสมบัติแฝงของเขาจะออกมาในรูปแบบไหนกันแน่