Doombringer the 5th - ตอนที่ 105
Ch.105 – ความเสี่ยงและค่าตอบแทน
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 101
ความเสี่ยงและค่าตอบแทน
Part 1
หลังจากถ่ายเทจิตต่อสู้และพลังเวทลงไปในแท่งผลึกจนเต็มเปี่ยมแล้ว คุโระก็คลายมือของเขาออก เผยให้เห็นแท่งผลึกแก้วชิ้นเท่าฝ่ามือซึ่งตอนนี้กำลังมีแสงสีฟ้าอ่อน ๆ เรืองรองออกมา
ไม่นานนัก แสงสีฟ้าภายในนั้นก็เริ่มรวมตัวกันกลายเป็นดวงแสงเล็ก ๆ จำนวนมาก ก่อนจะลอยออกมาจากแท่งผลึก แล้วค้างอยู่กลางอากาศ จนมีลักษณะคล้ายกับหมู่ดาว
แม้คุโระจะไม่มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์ แต่เขาก็พอจะมองออกว่านี่ไม่ใช่การเรียงตัวตามแบบดวงดาวบนท้องฟ้า เพราะมันทั้งซับซ้อนและมีความหนาแน่นเกินกว่าจะเป็นแค่หมู่ดาว ละอองแสงจำนวนมากที่เรียงตัวกันอยู่นั้นดูคล้ายกับเป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งของจักรวาลอันไพศาลมากกว่า
ซาลเพ่งพิจารณาการเรียงตัวของดวงแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ธาตุลม ราศีมังกร (Capricorn) ศูนย์ถ่วงเป็นกลาง… ไม่เลวนี่นา ถือว่าค่อนข้างเหมาะกับการเป็นเฟนเซอร์เลยนะเนี่ย นับว่านายเลือกคลาสได้ไม่ผิดจริง ๆ ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น คุโระก็เพ่งมองกลุ่มแสงที่ลอยอยู่กลางอากาศอีกครั้ง แต่ดูยังไงก็ไม่เห็นรูปแบบที่น่าจะใช้แยกแยะลักษณะของมันได้เลย ทว่าซาลกลับบรรยายคุณลักษณะของมันออกมาได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว ทำให้เขารู้สึกสงสัยในวิธีอ่านกลุ่มแสงนี้อยู่เล็กน้อย แต่ถึงจะรู้เรื่องนั้นไปก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์อะไรกับเขา คุโระจึงถามถึงเรื่องของคุณสมบัติที่ซาลอ่านได้แทน
“เอ่อ… แล้ว มันทำอะไรได้บ้างเหรอครับ?”
“อ้อ ธาตุลมน่ะหมายถึงนายเป็นคนที่เอนเอียงไปทางธาตุลม หากเน้นการฝึกเวทมนตร์หรือกระบวนท่าที่มีคุณสมบัติของธาตุลมก็จะพัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น แต่ธาตุลมจะเป็นปฏิปักษ์กับธาตุดิน การฝึกกระบวนท่าหรือเวทมนตร์ที่มีคุณสมบัติของธาตุดินจะทำได้ช้าลงแทน สำหรับเฟนเซอร์ กระบวนท่าส่วนใหญ่น่าจะมีคุณสมบัติของธาตุลมอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหานะ อีกอย่างคือผู้เอนเอียงไปทางธาตุลมจะเหมาะกับการฝึกที่มีความเข้มข้นปานกลางแต่ต่อเนื่อง คือเวลาฝึกไม่จำเป็นต้องโหมใช้แรงมาก แค่ควบคุมพลังแต่พอดีและดำเนินการฝึกเป็นเวลานาน สัก 45-60 นาทีขึ้นไป จะทำให้พัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น”
“แบบนี้นี่เอง… แล้วเรื่องจักรราศีล่ะครับ?”
“จักรราศีของนายคือราศีมังกร (Capricorn) ในช่วงราศีนี้ กระแสเวทมนตร์ของโลกจะมีความเข้มข้นของธาตุดินมากกว่าธาตุอื่น ๆ ทำให้ร่างกายและพื้นฐานทางเวทมนตร์ของนายมีคุณสมบัติของธาตุดินด้วย นี่เป็นคุณสมบัติคนละอย่างกับความเอนเอียงธาตุนะ อย่าสับสน ร่างกายที่มีคุณสมบัติของธาตุดินจะบ่มเพาะกล้ามเนื้อได้ง่าย จึงควรเลือกการฝึกที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อควบคู่ไปด้วย นอกจากนี้คุณสมบัติธาตุดินจะตอบสนองต่อการฝึกที่สม่ำเสมอ จึงควรจัดตารางเวลาการฝึกในแต่ละวันเอาไว้ให้เป็นเวลาที่แน่นอน และหลีกเลี่ยงการฝึกที่ผิดเวลา”
คุโระพยักหน้ารับและพยายามทบทวนเพื่อจดจำในสิ่งที่ซาลพูดให้ขึ้นใจ ก่อนจะถามต่อ
“แล้วเรื่องศูนย์ถ่วงของจิตใจล่ะครับ?”
“ศูนย์ถ่วงจิตใจของนายมีลักษณะเป็นกลาง จิตที่เป็นกลางจะทำให้คนผู้นั้นมีพัฒนาการที่รวดเร็วขึ้นถ้าควบคุมพลังในกายให้อยู่ในสภาพสมดุล คือพยายามปรับระดับจิตต่อสู้และพลังเวทมนตร์ ให้อยู่ในปริมาณที่ไล่เลี่ยกัน การฝึกฝนในสภาพนี้จะช่วยให้พื้นฐานของพลังทั้งสองด้านสามารถเกื้อหนุนพัฒนาการของผู้ฝึกได้ดีที่สุด ส่งผลให้เกิดการพัฒนาฝีมืออย่างรวดเร็วด้วย อีกอย่างคือจิตที่เป็นกลางจะไม่มีความเอนเอียงเข้าหาแสงสว่างหรือความมืด ทำให้ฝึกฝนทักษะของทั้งหกธาตุได้อย่างอิสระ โดยไม่มีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบใด ๆ ยกเว้นธาตุดินที่เป็นปฏิปักษ์กับความเอนเอียงธาตุของนายอยู่ ทำให้อาจมีพัฒนาการช้ากว่าทักษะของธาตุอื่น ๆ ”
“แบบนี้นี่เอง… ถ้างั้น ผมลองดูเลยก็แล้วกันนะครับ”
“เดี๋ยวก่อน นั่นยังเป็นแค่พื้นฐานการปฏิบัติตนในการฝึกเท่านั้นเอง เคล็ดลับในการฝึกจริง ๆ คือนี่”
เมื่อพูดจบ ซาลก็นำหนังสือเล่มหนึ่งออกมากางแล้วถือค้างไว้ มันเป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยหน้ากระดาษขาว ๆ อันว่างเปล่า เขาใช้มืออีกข้างวาดไปบนอากาศจนมีอักขระแสงและโครงสร้างเวทมนตร์จำนวนมากเริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นวง ล้อมรอบสมุดเล่มนั้นไว้
ทันทีที่โครงสร้างนั้นเสร็จสมบูรณ์ มันก็กลายสภาพเป็นวงเวทที่สอดประสานกันโดยมีหนังสือในมือของซาลเป็นจุดศูนย์กลาง เมื่อเขาวางมือลงบนด้านล่างของหนังสือ กลุ่มแสงที่ลอยอยู่เหนือผลึกแก้วในมือคุโระก็วิ่งกรูกันเข้ามาและซึมหายไปในหน้าอันว่างเปล่าของหนังสือที่เปิดรอไว้
ทันทีที่ดวงแสงทั้งหมดหายเข้าไปหนังสือแล้ว หนังสือเล่มนั้นก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมาพร้อม ๆ กับวงเวทที่ห้อมล้อมมันอยู่ หลังจากที่แสงสว่างนั้นหายไป บนมือของซาลก็ปรากฏหนังสือที่มีข้อความเขียนเอาไว้เกือบครบทุกหน้าอยู่แทน มันยังคงเป็นหนังสือเล่มเดิม เพียงแต่มีข้อความต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาบนหน้ากระดาษอันว่างเปล่าของมันเท่านั้น
“นี่คือคู่มือสำหรับผู้ที่เกิดในราศีมังกร, เอนเอียงไปยังธาตุลม, และมีศูนย์ถ่วงจิตเป็นกลาง คุณสมบัติทั้งสามนี้สามารถทำให้เกิดลักษณะเฉพาะของผู้คนได้ 144-216 รูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีลำดับของ ‘วิถีพลัง’ ที่แตกต่างกัน เพื่อความสะดวก ฉันเลยเขียนโครงสร้างเวทที่บรรจุฐานข้อมูลของรูปแบบทั้งหมดเอาไว้แล้ว แค่ใส่คุณสมบัติที่อ่านค่าได้จากผลึกแก้วลงไปในวงเวท ก็จะสามารถดึงเอาข้อมูลจากฐานข้อมูลออกมาใส่ไว้ในหนังสือแทนได้ แบบนี้จะได้ไม่ต้องมานั่งไล่เรียงรูปแบบแต่ละอย่างไงล่ะ”
ซาลปิดหนังสือและยื่นมันให้กับคุโระที่ยังคงมองเขาด้วยสีหน้าตื่นตะลึงอยู่
คุโระยื่นผลึกแก้วคืนให้กับซาลก่อนจะรับหนังสือมาและก้มลงมองหนังสือเล่มนั้น บนหน้าปกของมันมีข้อความว่า ‘นิวทรัลวินด์คาปริคอร์น’ (Neutral Wind Capricorn) เขียนเป็นชื่อหนังสืออยู่ แต่อีกเรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เขาเพิ่งรู้ว่ามีเวทมนตร์ที่ใช้สร้างหนังสือแบบนี้ด้วย
“พื้นฐานที่ควรรู้ฉันก็บอกไปหมดแล้ว แต่เคล็ดลับการฝึกจริง ๆ จะอยู่ที่การเดินพลังให้ถูกต้องตาม ‘ลำดับวิถีพลัง’ ของตัวเอง ลองเปิดดูที่บทแรกสิ มันจะมีบอกอยู่”
คุโระยังคงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่หยุด ก่อนจะเปิดหนังสือดูตามที่ซาลบอก เขาพบว่าในบทแรกนี้มีคำแนะนำเกี่ยวกับตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย และลำดับการเดินพลังไปยังส่วนต่าง ๆ ซึ่งมีรูปแบบเฉพาะที่เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
ตามปกติแล้ว การบริหารวิถีพลัง ไม่ว่าจะเป็นจิตต่อสู้หรือพลังเวทมนต์ ต่างก็มีรูปแบบที่อิสระ ทุกคนถูกสอนมาให้ทำการเดินพลังตามที่ตนเองถนัดที่สุด เพราะเชื่อว่านั่นคือรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน เช่นในการรวบรวมจิตต่อสู้ บางคนอาจถนัดที่จะรวบรวมพลังจากท้องน้อยแล้วค่อยส่งไปยังฝ่ามือ ก่อนจะใช้อาบอาวุธที่ถืออยู่ หรือบางคนอาจรวบรวมพลังขึ้นบนฝ่ามือเลยก็ได้ เช่นเดียวกับพลังเวทมนตร์ ที่บางคนก็รวบรวมพลังไว้ที่ทรวงอกก่อนจะส่งผ่านไปยังฝ่ามือเพื่อร่ายเวท หรืออาจรวบรวมพลังเวทขึ้นที่ฝ่ามือเลยก็ได้เช่นกัน
แต่ในคู่มือของซาลได้เขียนลำดับของการถ่ายเทจิตต่อสู้เอาไว้ว่า ให้รวบรวมจิตต่อสู้โดยเริ่มจากฝ่าเท้า แล้วส่งผ่านขึ้นมายังท้องน้อย ต่อไปยังแผ่นหลัง และขึ้นไปที่หัวไหล่ ก่อนจะไล่ไปยังปลายแขน
ส่วนการถ่ายเทพลังเวท ให้เริ่มจากจมูก ลงไปที่ทรวงอก แล้วลงไปยังท้องน้อย ก่อนจะส่งต่อไปยังหัวไหล่ และแขน ตามด้วยท้องน้อยและขา เป็นลำดับขั้น
เมื่อเห็นคุโระยังมีสีหน้างุนงงสงสัยอยู่ ซาลจึงช่วยอธิบายประกอบ
“นี่คือลำดับวิถีพลังของนายไงล่ะ เป็นรูปแบบเฉพาะสำหรับคนที่เกิดในรอบราศีมังกรและมีความเอนเอียงไปทางธาตุลม ถ้าเดินพลังตามลำดับนี้แทนที่จะรวบรวมพลังด้วยวิธีปกติละก็ จะทำให้สามารถรวบรวมและถ่ายเทพลังได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะหากทำความคุ้นเคยและคอยบริหารวิถีพลังด้วยการเดินพลังตามลำดับนี้ ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มปริมาตรความจุของพลัง, ความรวดเร็วในการรวบรวมและส่งถ่ายพลัง, ทั้งยังทำให้พลังที่กลั่นกรองออกมามีความบริสุทธิ์มากขึ้น และสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย”
“มะ.. มีวิธีแบบนี้ด้วยเหรอครับ!? ทะ.. ถ้างั้น ผมลองดูเลยก็แล้วกันนะครับ”
คุโระเอ่ยถามด้วยอาการตื่นเต้น ซึ่งทันทีที่ซาลพยักหน้า เขาก็เริ่มรวบรวมพลังโดยใช้ลำดับขั้นตามที่เขียนไว้ในคู่มือทันที
แม้ในครั้งแรกจะยังรู้สึกติดขัดอยู่บ้างเพราะปกติแล้วคุโระจะใช้การรวบรวมพลังเข้าที่ฝ่ามือเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นจิตต่อสู้หรือเวทมนตร์ แต่ทันทีที่ทำความคุ้นเคยกับมัน เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าการรวบรวมพลังเวทหรือจิตต่อสู้สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่าปกติมาก
ตามปกติการจะถ่ายเทจิตต่อสู้ของเขาเป็นจำนวน 30% ลงไปในดาบ คุโระต้องใช้เวลาราว ๆ 2 วินาทีในการรวบรวมพลังที่ฝ่ามือ และอีก 1 วินาทีในการถ่ายเทพลังลงไปในดาบ รวมแล้วต้องใช้เวลาประมาณ 3 วินาที แต่ด้วยการรวบรวมพลังตามลำดับขั้นในคู่มือ เขาสามารถถ่ายเทจิตต่อสู้ที่รวมรวมขึ้นบริเวณฝ่าเท้าแล้วส่งตรงมายังดาบได้ด้วยเวลาเพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้น เรียกว่าเร็วขึ้นกว่าเดิมเกือบสามเท่า ทำให้เขารู้สึกตกใจมาก
“นะ.. นี่มัน!? ไม่น่าเชื่อเลย! ก็แค่เปลี่ยนตำแหน่งที่ใช้รวบรวมพลังแท้ ๆ แถมการรวบรวมพลังก็เริ่มตรงจุดที่อยู่ห่างจากฝ่ามือตั้งเยอะ ไหนจะมีการเดินพลังอ้อมไปอ้อมมาอีก ทำไมถึงใช้เวลาน้อยกว่าการรวบรวมพลังที่ฝ่ามือโดยตรงได้ล่ะครับ?”
“ผู้คนมักจะคิดว่าพลังงานในร่างกายคนเราก็เหมือนกับน้ำที่ถูกเก็บกักไว้ในลูกโป่ง ต่อให้เจาะรูตรงไหนก็จะมีน้ำพุ่งออกมาได้เหมือนกัน แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด ความจริงแล้วร่างกายของคนเรามีลักษณะเหมือนกับผืนดินที่มีทางน้ำใต้ดินไหลอยู่ หากขุดในจุดที่ทางน้ำอยู่ลึก ก็อาจต้องขุดลงไปเป็นสิบ ๆ หรือเป็นร้อยเมตรถึงจะเจอทางน้ำ กลับกันถ้าหากขุดในจุดที่เป็นตาน้ำพอดี แค่ขุดลงไปไม่กี่เมตรก็จะเจอทางน้ำได้ ส่วนลำดับพวกนั้นก็คือเส้นทางที่มีสิ่งกีดขวางน้อยที่สุด ถึงจะอ้อมไปหน่อย แต่ก็ไร้ซึ่งอุปสรรคใด ๆ ทำให้กระแสน้ำไหลไปยังปลายทางได้เร็วกว่าการใช้เส้นตรงที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางไงล่ะ”
ด้วยคำอธิบายที่ชัดเจนของซาล ทำให้คุโระเข้าใจทุกอย่างในที่สุด
“แบบนี้นี่เอง… เคล็ดลับประจำตระกูลแฮลเซียนนี่สุดยอดไปเลยครับ!”
“หุหุหุ… ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก”
เพราะถูกชมซึ่ง ๆ หน้า ทำให้ซาลอดรู้สึกเขินไม่ได้ ส่วนคุโระที่ยังตื่นเต้นกับความยอดเยี่ยมของเคล็ดลับนี้ไม่หายก็หันไปทดสอบการเดินพลังและใช้งานกระบวนท่าต่าง ๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อ
ในระหว่างคุโระกำลังยุ่งกับการทดลองอยู่นั้น ซาลก็เหลือบมองมายังผลึกแก้วที่อยู่ในมือของเขา และมองมันด้วยแววตาอันซับซ้อน ก่อนจะถ่ายเทจิตต่อสู้และพลังเวทลงไป
——————————————————————————–
Part 2
หลังจากที่ซาลถ่ายเทพลังลงไปจนเต็มผลึกแก้วแล้วเขาก็คลายมือออก ทำให้ปรากฏละอองแสงหลากสีซึ่งค่อย ๆ ลอยขึ้นมาเรียงตัวกันบนอากาศเหนือแท่งผลึก
ดวงแสงเหล่านั้นส่วนใหญ่มีสีแดงและสีขาว แต่ก็มีดวงแสงที่ทอประกายสีดำปะปนอยู่ด้วย
เมื่อเห็นดวงแสงเหล่านี้ ซาลก็มีสีหน้าที่จริงจังขึ้นเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่มันก็ไม่ใช่สีหน้าที่แสดงความเคร่งเครียดหรือลำบากใจอะไร
การเรียงตัวของดวงแสงนี้คือการเรียงตัวของราศีเมถุน (Gemini) ซึ่งมีศูนย์ถ่วงจิตใจในลักษณะไร้กฎเกณฑ์ แต่ที่พิเศษก็คือดวงแสงที่มีสีปะปนกันอยู่ถึงสามสีนั้นหมายถึงซาลมีความเอนเอียงธาตุทั้งธาตุไฟ, ธาตุแสง, และธาตุความมืดอีกเล็กน้อยด้วย
ร่างกายของคนที่เกิดในช่วงราศีเมถุนจะมีคุณสมบัติของธาตุลม ทำให้เป็นผู้ที่มีปัญญา สามารถเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เป็นธาตุเดียวในสี่ธาตุที่ไม่มีคุณสมบัติหนุนเสริมการพัฒนาทางกายภาพ, จิตต่อสู้, หรือพลังเวท โดยตรง แต่เพราะความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วก็พอจะชดเชยข้อเสียเปรียบด้านพื้นฐานร่างกายไปได้
สำหรับจุดศูนย์ถ่วงจิตใจที่มีลักษณะไร้กฎเกณฑ์นั้นจะทำให้มีพัฒนาการที่เร็วขึ้นถ้ารักษาระดับของจิตต่อสู้กับพลังเวทมนตร์เอาไว้ในอัตรา 2 ต่อ 1 ซึ่งความจริงแล้วนี่เป็นรูปแบบที่เหมาะกับการเป็นนักรบมากกว่านักเวท แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่มีจิตลักษณะนี้จะเป็นนักเวทไม่ได้ อีกอย่างคือจิตที่มีลักษณะไร้กฎเกณฑ์จะมีความเอนเอียงไปทางความมืด ทำให้พัฒนาทักษะธาตุความมืด, ธาตุไฟ, และธาตุน้ำ ได้เร็วขึ้น แต่จะพัฒนาทักษะธาตุแสง, ลม, และดิน ได้ช้าลงแทน
สิ่งที่เป็นความซับซ้อนสำหรับซาลก็คือ เขามีความเอนเอียงธาตุถึงสามธาตุ แถมสองในนั้นยังเป็นธาตุปรปักษ์กันเองด้วย คือธาตุแสงและธาตุความมืด ปกติการที่คน ๆ เดียวจะมีความเอนเอียงธาตุถึงสองธาตุก็นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากแล้ว แต่ซาลกลับมีธาตุที่สามเพิ่มเข้ามา ทำให้คุณสมบัติของเขามีความซับซ้อนกว่าคนทั่วไปมาก
ซาลเชื่อว่าเดิมทีเขามีเพียงความเอนเอียงธาตุไฟและธาตุแสงเป็นหลัก ดูได้จากดวงแสงของทั้งสองธาตุที่มีมากกว่าดวงแสงสีดำของธาตุมืดอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดว่าความเอนเอียงธาตุมืดนี้เกิดจากการที่เขาเคยไปสัมผัสกับ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ ของบิ๊กซิสฯ เข้า
แม้ความเอนเอียงธาตุมืดของซาลจะมีเป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับความเอนเอียงธาตุแสง แต่เพราะศูนย์ถ่วงจิตใจของเขาคือไร้กฎเกณฑ์ ซึ่งเป็นลักษณะที่เอนเอียงไปทางความมืดอยู่แล้ว ส่งผลให้มีพัฒนาการทางธาตุแสง, ดิน, และลม ช้าลง เมื่อคุณสมบัตินี้รวมกับความเอนเอียงทางธาตุมืดอีกนิดหน่อยก็ทำให้เกิดผลหักล้างกัน จนทำให้เขามีพัฒนาการในทั้งธาตุแสงและธาตุมืดช้าลง โชคยังดีที่คุณสมบัติประจำราศีของเขาเป็นธาตุลมซึ่งมีจุดเด่นเรื่องพัฒนาการโดยรวมทำให้พอจะชดเชยในเรื่องนี้ได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม จิตไร้กฎเกณฑ์นั้นก็มีผลเกื้อหนุนธาตุไฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในธาตุที่เขาเอนเอียงอยู่แล้ว ทำให้เขามีพัฒนาการของทักษะธาตุไฟรวดเร็วเป็นพิเศษ แต่เวทที่เขาชอบใช้ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เวทธาตุไฟอยู่ดี มันจึงไม่ค่อยมีประโยชน์กับเขานัก
โดยสรุปแล้ว เพราะความเอนเอียงธาตุที่มีถึงสามธาตุและเป็นปรปักษ์กัน แถมศูนย์ถ่วงจิตใจของเขายังขัดกับธาตุเด่นและเกื้อหนุนธาตุด้อย ทำให้เกิดผลหักล้างกันจนแทบจะไม่เหลือข้อดีอะไรเลย และยังส่งผลต่อเนื่องไปยัง ‘ลำดับวิถีพลัง’ ของเขาด้วย ทำให้มันมีรูปแบบที่ทั้งซับซ้อน ยุ่งเหยิง และด้อยประสิทธิภาพกว่าที่ควรจะเป็น แต่การที่มีความเอนเอียงธาตุถึงสามธาตุพร้อมกันก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียไปซะทีเดียว
เพราะแม้คุณสมบัติของมันจะขัดแย้งกันจนทำให้มีพัฒนาการที่ช้า แต่การที่มีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ก็ทำให้เขาสามารถเข้าถึงการใช้งานทักษะและเวทมนตร์ระดับสูงได้ในอนาคต เพราะมีความเอนเอียงไปยังธาตุเหล่านั้นนั่นเอง
โดยเฉพาะธาตุแสงกับธาตุมืดนั้นเป็นต้นกำเนิดของเวทมนตร์ประเภท มิติ-เวลา ซึ่งถือว่าเป็นเวทชนิดพิเศษที่น้อยคนจะสามารถฝึกจนถึงระดับสูง ๆ ได้ แม้ขั้นพื้นฐานที่สุดของมันคือการสร้างห้องมิติเก็บของ หรือเวทอัญเชิญ จะเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ฝึกได้ แต่นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวของเวทประเภทมิติ-เวลา เท่านั้น สิ่งที่เวทสายนี้สามารถทำได้ยังมีอีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่น้อยคนที่จะฝึกได้เกินกว่านี้ เพราะยิ่งเป็นเวทที่ซับซ้อนก็ต้องอาศัยการผสานพลังเวททั้งธาตุแสงและธาตุมืดในระดับสูง ซึ่งคนทั่วไปจะสามารถผูกมัดตนเองได้กับธาตุเดียว ทำให้การฝึกเวทเหล่านี้ต้องใช้อาติแฟคหรืออุปกรณ์ช่วย ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถฝึกฝนหรือดึงพลังเต็มที่ออกมาได้ แต่ซาลมีความเอนเอียงทั้งสองธาตุอยู่ในตัวแล้ว ทำให้เขามีคุณสมบัติในการฝึกฝนเวทมนตร์สายนี้เหนือกว่าคนทั่ว ๆ ไป
นั่นเป็นสาเหตุที่เขายังเก็บความเอนเอียงธาตุมืดเอาไว้แม้จะรู้วิธีปรับแต่งความเอนเอียงธาตุแล้ว และรู้ว่ามันจะทำให้การฝึกฝนของเขาเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะเขายอมแลกสิ่งนี้กับการที่จะสามารถเข้าถึงเวท มิติ-เวลา ระดับสูงได้ในอนาคตนั่นเอง
อีกด้านหนึ่ง คุโระก็ยังคงตื่นเต้นกับการทดสอบกระบวนท่าต่าง ๆ ด้วยเคล็ดวิชาประจำตระกูลแฮลเซียน เขารู้สึกว่าตัวเองมีความก้าวหน้าขึ้นจนรู้สึกได้ ทั้งที่ทำการฝึกฝนเพียงไม่ถึงชั่วโมง ยิ่งสัมผัสได้ถึงความก้าวหน้า เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นจนไม่อยากหยุด ทำให้ซาลต้องปรามเขาไว้ไม่ให้หักโหมเกินไป
“นายเองก็ลองกลับไปอ่านเคล็ดลับและคำแนะนำต่าง ๆ ในคู่มือดูนะ หลังจากนี้ก็ลองสร้างตารางฝึกของตัวเองดู แล้วก็ทำการฝึกไปเรื่อย ๆ ช่วงสัปดาห์นี้ฉันมีธุระที่ต้องจัดการนิดหน่อยทำให้คงมาเจอนายทุกวันไม่ได้ ถ้ามีอะไรสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเร่งด่วนก็ใช้แหวนสื่อสารติดต่อมาก็แล้วกันนะ”
“ระ.. รับทราบครับ! ขอบคุณมากครับคุณซาลารัส!”
เพราะสุดยอดเคล็ดวิชาอันประเมินค่ามิได้ที่ซาลมอบให้ ทำให้คุโระรู้สึกปลื้มปิติจนเผลอเรียกชื่อเต็มของซาลออกมาด้วยความเคารพ
ในสายตาของคุโระตอนนี้ ซาลกลายเป็นบุคคลที่ทั้งน่ายกย่องและน่าเทิดทูนราวกับเป็นจ้าวชีวิต เพราะเขาได้เห็นทั้งความฉลาด, ความเสียสละ, ความกล้าหาญ, ความเอื้อเฟื้อ, และความรอบรู้ของซาลซึ่งเหนือกว่าคนทั่วไปหลายเท่า อีกอย่างคือ นับแต่ได้พบกับซาล ชีวิตที่กำลังอยู่ในจุดอับของเขาก็เริ่มมีแสงสว่างส่องลงมาและมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับซาลเป็นเทพยาดาที่ลงมาโปรดเขาก็ไม่ปาน
ภายในใจของคุโระเกิดความคิดอันแน่วแน่ขึ้นว่า หากเป็นคนผู้นี้ละก็ ต่อให้ปลายทางเป็นสุดขอบนรก เขาก็จะขอติดตามไปด้วย
ทั้งสองคนร่ำลากันก่อนจะแยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง สำหรับคุโระแล้วแน่นอนว่าเขาคงจะทดลองฝึกฝนตามคู่มือของซาลไปจนกว่าจะพอใจ ส่วนซาลหลับจากกลับมายังชั้นลอยของหอพักแล้ว เขาก็แตะสัมผัสลูกแก้วเคลื่อนย้ายในถุงนอน เพื่อเดินทางไปยังบ้านพักต่างมิติในทันที
——————————————————————————–
Part 3
ทันทีที่เข้ามาในบ้านพัก ซาลก็เดินตรงขึ้นไปยังห้องประชุม ซึ่งที่นั่นก็มีขุนพลทั้งแปดมานั่งรออยู่แล้ว
เมื่อเขาเดินไปถึงเก้าอี้ที่หัวโต๊ะ ขุนพลทั้งแปดก็ลุกขึ้นยืนเพื่อให้ซาลนั่งลงก่อน จากนั้นทุกคนจึงค่อยนั่งตาม
พอทุกคนนั่งกันหมดแล้ว ลูเซียน (ขุนพลผู้มีผมสีทอง) และเทเรนซ์ (ขุนพลผู้มีผมสีส้ม) ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะค้อมตัวก้มหัวให้กับซาลโดยพร้อมเพรียงกัน
“พวกเราต้องขอโทษด้วยนะครับ! เป็นเพราะพวกเราไม่ได้เรื่องแท้ ๆ ทำให้ท่านจอมพลต้องตกอยู่ในอันตราย! ความจริงเราน่าจะส่งสมุนจากพื้นที่ชั้นแรกเข้าไปหยุดยั้งเบฮีมอธตัวนั้น ไม่น่าต้องให้ท่านจอมพลลงมือเองเลย!”
ทั้งสองคนกล่าวขอขมาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แต่ซาลก็โบกมือให้ทั้งสองนั่งลงและกล่าวกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า การใช้มอนสเตอร์มาช่วยน่ะอาจทำให้คนอื่นผิดสังเกตเอาได้ นั่นนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้วล่ะ พวกนายนั่งลงเถอะ”
ลูเซียนกับเทเรนซ์มองหน้ากันด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมนั่งลงตามคำสั่งของซาล
เมื่อทั้งสองคนนั้นนั่งลงแล้ว เซธที่นั่งอยู่ด้านข้างของซาลก็เอ่ยคำพูดขึ้นบ้าง
“สำหรับเรื่องที่ให้ผมไปสืบประวัติของคุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ ผมได้ข้อมูลมาแล้วครับ คือว่า…”
“เรื่องที่เขาเล่าให้ฉันฟัง เป็นความจริงรึเปล่า?”
เพราะถูกถามแทรกในขณะที่ยังพูดไม่ทันจบประโยค ทำให้เซธชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามของซาลกลับไป
“เป็นความจริงครับ เขาเคยถูกเพื่อนใช้เป็นตัวแทนในการยื่นหนังสือร้องเรียน จนถูกทางโรงเรียนเพ่งเล็ง และถูกลอยแพจากกลุ่มเพื่อนมาแล้ว ที่สำคัญคือ…”
“แค่นั้นก็พอแล้ว ขอบคุณมากนะเซธ ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มเติม ไว้ฉันจะถามอีกที”
เพราะถูกตัดบทเป็นครั้งที่สอง ทำให้เซธได้แต่นิ่งเงียบไป เขาแสดงความหงุดหงิดออกมาทางสายตาเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้กลายเป็นปกติดังเดิม และกลับไปนั่งตัวตรงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนดูออกว่าซาลมีเรื่องที่ต้องการจะพูดเป็นการเฉพาะ ถึงได้ตัดบทการรายงานของเซธถึงสองครั้ง ทำให้ไม่มีใครพูดอะไรแทรกอีก เมื่อที่ประชุมอยู่ในความสงบแล้ว ซาลจึงเอ่ยคำพูดออกมา
“ตอนนี้เรื่องที่ฉันให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือเรื่องเงินทุน แผนการทั้งหมดของเราต้องชะงักงันไปเพราะว่ามีเงินทุนไม่พอ เราต้องหาทางระดมทุนมาให้ได้มากที่สุด พวกนายได้ความคิดดี ๆ กันบ้างรึยัง?”
เมื่อได้ฟังคำถามนั้น ขุนพลทุกคนก็ได้แต่นิ่งเงียบและมองหน้ากันไปมา เพราะแม้จะพยายามนึกหาวิธีมาตลอดสองวันนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครที่ได้ความคิดดี ๆ เลย
ในที่สุด บริแกนดีน (ขุนพลผู้มีผมสีม่วง) ก็เอ่ยคำพูดขึ้นมา
“การจะได้เงินทุนเป็นจำนวนมากในเวลาอันสั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการนำเงินไปลงทุน แน่นอนว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง แต่เราก็สามารถเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยได้ เช่นการค้าขายพวกวัตถุดิบต่าง ๆ เราอาจเริ่มจากของที่มีอุปสงค์คงที่ สามารถซื้อขายในปริมาณมากโดยไม่กระทบกับราคาได้ เมืองหลวงจูริสไพร์มก็อยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล มันเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรและมีกำลังซื้อเป็นจำนวนมาก เหมาะจะทำการค้าที่สุด ช่วงแรกอาจได้กำไรช้าหน่อย แต่เมื่อเรามีเงินทุนมากขึ้นก็สามารถเพิ่มอัตราการซื้อขายเพื่อให้ได้ผลกำไรมากขึ้นได้ครับ”
บริแกนดีนเป็นคนที่มีสัญชาติญาณดีและมองการณ์ไกล จึงมีความสามารถในการลงทุนหรือค้าขายมากกว่าคนอื่น ๆ เขาเสนอแนวคิดนี้ขึ้นเพราะเชื่อมั่นความสามารถในการอ่านทิศทางตลาดของตนนั่นเอง
แต่ทันทีที่เสนอความคิดนี้ขึ้น ก็มีเสียงทัดทานจากเอ็มเมอริช (ขุนพลผู้มีผมสีฟ้า) อีกครั้ง
“จูริสไพร์มน่ะเป็นเมืองหลวงที่เก่าแก่และมีกลุ่มอำนาจอยู่มากมาย ทำให้ตลาดของเมืองมีกลุ่มการค้าซึ่งมีผู้ทรงอิทธิพลหนุนหลังอยู่นับไม่ถ้วน ครั้งก่อนที่เสนอแผนนี้ขึ้นมา ผมก็ขอให้นายพลอาซาเรลกับนายพลเซธไปสืบปริมาณการครอบครองสินค้าแต่ละชนิดของแต่ละกลุ่มการค้ามาแล้ว พบว่าสามารถสืบปริมาณถือครองที่แท้จริงได้ไม่ถึงครึ่ง ข้อมูลส่วนใหญ่ที่หามาได้จะเป็นพวกวัตถุดิบระดับล่างที่ไม่ใช่สินค้าเศรษฐกิจอะไร ส่วนของที่เป็นสิ่งค้าเศรษฐกิจจริง ๆ นั้นจะมีการปกปิดจำนวนการถือครองอย่างมิดชิดจนหาข้อมูลไม่ได้ หากเราทำการทุ่มตลาดผิดจุด ไปจับสินค้าที่มีคนถือครองเป็นจำนวนมากอยู่ละก็ พวกเขาสามารถเปิดคลังและส่งสินค้าออกมาขายตัดราคาจนทำให้เราล้มละลายได้เลยนะครับ วิธีนี้จึงมีความเสี่ยงเกินไปครับ”
“เรื่องนั้นฉันรู้ เพราะงั้นถึงคิดจะจับสินค้าระดับล่างที่ไม่มีคนกักตุนไงล่ะ เราจะเป็นผู้กักตุนสินค้าชนิดนั้นซะเอง แล้วค่อย ๆ ปล่อยขายออกไปทีละน้อย ถึงบอกว่าอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“ถึงจะเป็นของระดับล่างก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ถูกตัดราคาหรอกนะครับ สมาคมการค้ากลุ่มต่าง ๆ ของจูริสไพร์มน่ะมีเครือข่ายค่อนข้างกว้างไกล ถ้าเขาเห็นว่ามีสินค้าชนิดไหนขาดตลาด เขาอาจสั่งสินค้าจากภูมิภาคอื่นเข้ามาขายก็ได้”
“ถ้าสั่งสินค้าจากภูมิภาคอื่นเข้ามา ต้นทุนก็ต้องเพิ่มขึ้น พวกนั้นคงไม่สามารถตัดราคาเราได้มากนักหรอก และต่อให้พวกนั้นนำเข้าสินค้ามาตัดราคาได้จริง ๆ กำไรจากการขายในช่วงแรกก็น่าจะทำให้เรามีเงินทุนมากพอสำหรับการจับสินค้าตัวต่อไปนะ”
“แบบนั้นก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงมากเกินไปอยู่ดีนั่นแหละครับ ผมไม่เห็นด้วยหรอก…”
เอ็มเมอริชพูดด้วยสีหน้าเกรงใจพลางหลบสายตาไปทางอื่น แม้เขาจะไม่ค่อยอยากเผชิญหน้าหรือโต้แย้งกับขุนพลคนอื่น ๆ สักเท่าไหร่ แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของกองทัพซาลารัส เขาก็พร้อมที่จะยืนกรานความคิดของตัวเองให้ถึงที่สุด
บริแกนดีนมีสายตาที่แสดงความหงุดหงิดออกมาเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะคำแย้งของเอ็มเมอริชก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลซะทีเดียว ความจริงคือมันถูกต้องทุกอย่าง แผนการนี้มีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มากเกินไป ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วย แม้บริแกนดีนจะเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง แต่เขาก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าการลงทุนครั้งนี้จะสำเร็จ 100%
ในระหว่างนั้น เทเรนซ์ก็พูดแทรกขึ้นมา
“แล้วถ้าเราควบคุมอัตราการผลิตของสิ้นค้าชนิดนั้นได้ล่ะ? ฉันได้ข่าวมาว่าตอนนี้ที่เซนิธาลหนังจิ้งจอกเงินกำลังเป็นของหายาก ทำให้ราคาพุ่งสูงปรี๊ดเลย เพราะจิ้งจอกสีเงินเป็นสัตว์ท้องถิ่นของเซนิธาลที่ไม่มีในภูมิภาคอื่น ๆ พอเกิดการขาดแคลนก็ไม่มีใครสามารถนำสินค้าเข้ามาเพิ่มได้เพราะที่แหล่งกำเนิดเองก็ยังขาดแคลน ที่เขตอีจิสไพร์มนี่ก็มี ‘แอนเทรีย’ (มอนสเตอร์รูปร่างคล้ายกวาง) เป็นสัตว์ประจำถิ่นอยู่แถว ๆ ที่ราบทางตะวันตกเฉียงเหนือนี่นา เขาของมันน่ะสามารถหาได้จากที่นี่เท่านั้น ถ้าเราไปล่ามันมาให้หมด พร้อมกับกว้านซื้อของที่มีอยู่ในตลาดด้วย เท่านี้ก็น่าจะปั่นราคาตามใจชอบได้แล้วนะ”
ไอเดียของเทเรนซ์ทำให้เอ็มเมอริชต้องขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายให้เขาฟัง
“ทำแบบนั้นมันก็น่าสงสัยเกินไปน่ะสิครับ ทั้งกว้านซื้อของในตลาด แถมยังล่าแอนเทรียซะหมดทุ่ง เหตุการณ์ประจวบเหมาะกันแบบนี้ มีหวังโดนคนของทางการเข้ามาตรวจสอบแน่ ๆ ว่าอยู่เบื้องหลังการล่าแอนเทรีย ซึ่งการล่านอกฤดู แถมยังล่าเกินจำนวนที่กำหนดน่ะ มีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิตเลยนะครับ ถ้าจะใช้แผนนี้ละก็ คุณเทเรนซ์ก็ไปนั่งขายเองก็แล้วกันนะ”
เมื่อถูกเอ็มเมอริชตอกกลับแบบนั้น เทเรนซ์ก็ได้แต่นิ่วหน้าลง แม้สายตาของเขาจะสื่อความไม่พอใจออกมาบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่แววตาที่ผูกใจเจ็บหรืออาฆาตอะไร เหมือนเป็นการมองค้อนซะมากกว่า
ในระหว่างนั้นเอง ซาลที่นั่งฟังการสนทนาของเหล่าขุนพลมาตลอดก็มีสีหน้าเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้
“เดี๋ยวก่อน… ความคิดนี้อาจจะพอใช้ได้ก็ได้นะ”
คำพูดนั้นทำให้ขุนพลทั้งแปดหันไปมองซาลโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งเอ็มเมอริชที่มีสีหน้าลำบากใจก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“มะ.. หมายถึงเราจะล่าแอนเทรียมาขายจริง ๆ น่ะเหรอครับ? แต่แบบนั้นมัน…”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันหมายถึงการขายของที่สามารถควบคุมอัตราการผลิตได้ต่างหาก เอ็มเมอริช นายสืบข้อมูลสินค้าในตลาดของจูริสไพร์มมาหมดแล้วสินะ? พวกของประจำถิ่นที่สามารถหาได้เฉพาะในจูริสมีอะไรบ้าง? เอาเฉพาะสินค้าที่มีราคาถูก และมีการเก็บเอาไว้เป็นจำนวนมาก พวกสินค้าที่ขายไม่ค่อยออกน่ะ”
“เอ่อ… สินค้าที่หาได้เฉพาะในจูริส มีเป็นจำนวนมาก และราคาถูกเพราะขายไม่ออก…”
เอ็มเมอริชเปิดหน้าจอเวทมนตร์ขึ้นมาเพื่อดูข้อมูลสินค้าที่เขาเคยให้อาซาเรลกับเซธไปเก็บรวบรวมเอาไว้ เมื่อกวาดสายตาดูข้อมูลเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยคำตอบออกมา
“ของที่เข้าข่ายนี้ก็มี ‘หญ้ามายาสีขาว’, ‘เล็บแอนเทรีย’, แล้วก็ ‘เห็ดหยาดน้ำตา’ ครับ ทั้งสามอย่างนี้เป็นของที่เอามาใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ อัตราการบริโภคก็เลยต่ำไปด้วย ทำให้แม้จะเป็นของที่หาได้เฉพาะในจูริส ทั้งยังเป็นของที่มีแค่ตามฤดูกาล แต่มันก็ยังเป็นของที่ขายไม่ค่อยออก จนบางร้านแทบไม่อยากจะเก็บเอาไว้ให้เปลืองที่แล้ว”
“นั่นแหละของที่ฉันต้องการ! เราจะมาขายของพวกนี้กัน!”
ซาลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นและแววตาเป็นประกาย ทำให้ขุนพลทั้งแปดได้แต่จ้องมองเขาด้วยสีหน้างุนงง
เขามอบหมายงานให้ขุนพลแต่ละคนรับไปทำ ก่อนจะสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่
ในระหว่างที่ได้รับมอบหมายงานอยู่นั้น บางคนก็พอจะเดาสิ่งที่ซาลต้องการจะทำออกแล้ว แต่บางคนก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ จึงได้แต่ไปทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายโดยเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ