Doombringer the 5th - ตอนที่ 106
Ch.106 – กองไฟ
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 102
กองไฟ
Part 1
วันต่อมา ที่ประตูทิศตะวันออกของกำแพงชั้นที่ห้า เมืองจูริสไพร์ม เมืองหลวงของอาณาจักรจูริส
กองคาราวานสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วยรถม้านับสิบคันได้เคลื่อนเข้าประตูเมืองมา เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้ที่ได้พบเห็น
ความโดดเด่นของกองคาราวานนี้คือ สมาชิกส่วนใหญ่ของกองคาราวานเป็นคนของเผ่าเอลฟ์ ถึงจะมีเผ่ามนุษย์ปะปนอยู่บ้างและคนของเผ่าเอลฟ์จะพยายามสวมผ้าคลุมปกใบหูเพื่ออำพราง แต่ใบหน้าที่มีลักษณะเรียวงามเป็นเอกลักษณ์นั้นก็ยังมิอาจปกปิดตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้มิด
แม้เมืองหลวงจูริสไพร์มจะเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของอาณาจักร ทำให้มีผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์เดินทางเข้าออกอยู่เป็นประจำ แต่คณะเดินทางขนาดใหญ่ของคนต่างเผ่าแบบนี้ ปกติจะพบเห็นได้เฉพาะในช่วงที่มีงานเทศกาล หรือมีการมาเยือนของคณะทูตเท่านั้น การมาของพวกเขาจึงสร้างความแปลกใจให้กับผู้คนในจูริสไพร์มอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะคนเหล่านี้เพียงแค่เข้ามาแยกย้ายกันซื้อของอยู่เพียงวันเดียว แล้วก็ออกจากเมืองไปทันที แถมยังออกเดินทางทั้งที่เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว ทำให้ผู้คนอดนึกประหลาดใจไม่ได้
ในคืนนั้น เหล่าพ่อค้าของจูริสไพร์มต่างก็มาชุมนุมกันในร้านเหล้าโดยมิได้นัดหมาย
พวกเขามาสังสรรค์กัน เพราะสินค้าค้างปีที่ถือครองอยู่เป็นเวลานาน วันนี้กลับมีคนมาเหมาซื้อไปจนหมดเกลี้ยง ทำให้ทุกคนต่างก็อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะดื่มฉลองกัน
ทุกคนโอภาปราศรัยกันด้วยความรื่นเริง ต่างคนต่างคุยโม้โอ้อวดว่าวันนี้ตนเองขายของได้กำไรไปมากเท่าไหร่ เมื่อคนหนึ่งพูดตัวเลขออกมา อีกคนหนึ่งก็เกทับ แล้วก็จะมีอีกคนเกทับลงไปอีก เป็นการหยอกล้อกันในเชิงสนุกสนาน
จนกระทั่งเมื่อมีคนถามผู้ที่บอกตัวเลขสูงสุดว่าเขาขายสินค้าอะไรออกไป บรรยากาศอันคึกครื้นที่เคยมีอยู่ก็พลันเปลี่ยนเป็นความเงียบสงัด
พ่อค้าแต่ละคนต่างทยอยกันพูดว่าพวกเขาขายสินค้าอะไรออกไป เมื่อทุกคนบอกออกมาจนหมดแล้ว ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
เพราะสินค้าที่ทุกคนขายออกกไปต่างก็เป็นสินค้าชนิดเดียวกัน มันเป็นวัตถุดิบค้างปีที่แทบจะไม่มีคนซื้อ แต่วันนี้กลับมีคนมาเหมาของสิ่งนี้จากทุกร้านไปจนไม่เหลือ
การที่จู่ ๆ จะมีคนมาเหมาสินค้าที่ขายไม่ออกไปจนหมด แถมยังเหมาไปเกือบทุกร้าน แปลว่ากำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างกับสินค้านั้น ทำให้คุณค่าของมันเปลี่ยนแปลงไป และราคาของมันก็จะต้องถีบตัวสูงขึ้นด้วย
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไป เพราะพวกเขาเริ่มคิดว่าได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไปซะแล้ว
เช้าวันต่อมา ณ อาคารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในตัวเมืองชั้นในของจูริสไพร์ม
มันเป็นอาคารที่ทั้งใหญ่โตและกว้างขวางราวกับเป็นมหาวิหารหรือปราสาทขนาดย่อม ๆ หากแต่ไม่มีลวดลายอันวิจิตรตระการตาหรือการประดับตกแต่งอันหรูหราให้เห็น เป็นเพียงตัวอาคารเรียบ ๆ ที่สร้างจากหินอ่อนสีขาวซึ่งตอนนี้เริ่มจะซีดหม่นลงตามการเวลา แต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่มั่นคงและน่าเกรงขาม
มันคือที่ทำการสมาพันธ์การค้าแห่งจูริสไพร์ม
สมาพันธ์แห่งนี้เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มการค้าหลากหลายกลุ่มที่เข้ามาทำการค้าในเมืองหลวง
การใช้คำว่า ‘รวมตัว’ อาจเป็นคำที่สุภาพไปสักหน่อย เพราะความจริงแล้วกลุ่มการค้าอื่น ๆ ถูกบีบให้เข้าร่วมหรือฮุบกลืนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสมาพันธ์ ภายใต้การบงการของเหล่าขุนนางและผู้มีอิทธิพล ซึ่งให้การสนับสนุนพีชคีปเปอร์อยู่
ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้คอยให้การสนับสนุนแก่พีชคีปเปอร์ในด้านการเงิน แลกเปลี่ยนกับการได้รับสิทธิพิเศษจากพีชคีปเปอร์ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนปรนทางกฎเกณฑ์ หรือการใช้อิทธิพลของพีชคีปเปอร์เกื้อหนุนกิจการของกลุ่มอิทธิพลเหล่านั้น หรือลำพังแค่การงดเว้นการตรวจสอบการใช้วงเวทเคลื่อนย้ายของพวกเขาก็ทำให้สมาพันธ์การค้าสามารถขนสินค้าจำนวนมากเข้ามาขายจนทำกำไรมหาศาลได้โดยไม่ต้องเสียภาษี อภิสิทธิ์นี้ทำให้สมาพันธ์การค้าแห่งจูริสไพร์มเป็นองค์กรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดและยากที่จะมีผู้ต่อกรด้วย
หนึ่งในเหตุผลที่ทางการจูริสไปจนถึงพีชคีปเปอร์ยอมให้ทำแบบนี้ก็เพราะกลุ่มการค้าจากทวีปอื่น ๆ เช่นเทอร่า หรือโดมินาเรีย ต่างก็มีความพยายามที่จะเข้ามาแทรกแซงเพื่อครองส่วนแบ่งตลาดในจูริสไพร์มเช่นกัน ซึ่งหากปล่อยให้มีกลุ่มอิทธิพลของทวีปอื่น ๆ มามีอิทธิพลในแวดวงธุรกิจของจูริสได้ก็จะมีผลต่อความมั่นคงของอาณาจักร ทางการจูริสและพีชคีปเปอร์จึงยอมหลับตาข้างหนึ่งและปล่อยให้สมาพันธ์การค้าแห่งจูริสไพร์มทำตามใจชอบ เพราะแม้จะเป็นองค์กรที่ฉ้อฉล แต่ก็เป็นคนในอาณาจักรเอง การเลี้ยงอสรพิษที่ภักดีต่อถิ่นที่อยู่เอาไว้ ย่อมดีกว่าปล่อยให้สัตว์ร้ายจากต่างถิ่นเข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์ได้
ที่ห้องโถงขนาดใหญ่ภายในตัวอาคาร บริเวณปลายสุดของห้องมีชายวัยกลางคนสามคนนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงซึ่งตั้งอยู่บนพื้นยกระดับ ให้บรรยากาศคล้ายกับการนั่งบัลลังก์ของเหล่าผู้พิพากษา พวกเขากำลังฟังการรายงานของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่บริเวณด้านหน้าของพื้นยกระดับ และที่ด้านหลังของชายหนุ่มถัดออกไปอีกเล็กน้อยก็มีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งยืนฟังอยู่ด้วย
นี่เป็นการประชุมรายงานผลประกอบการประจำวันของสมาพันธ์การค้าแห่งจูริส ซึ่งจะจัดขึ้นทุก ๆ เช้า ตามปกติมันเป็นเพียงแค่การประชุมเพื่อรับฟังรายงานทั่ว ๆ ไป แต่ในวันนี้บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างจะอึมครึมกว่าที่ควร เพราะสีหน้าของชายวัยกลางคนทั้งสามที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ต่างก็สื่อถึงโทสะอันคุกรุ่นออกมา หลังจากที่ได้รับฟังรายงาน
“มีคนมาเหมา ‘หญ้ามายาสีขาว’ ไปจนเกือบหมดเมือง แต่พวกแกเพิ่งจะมารายงานเอาป่านนี้เรอะ!? ไม่รู้สึกรึไงว่ามันผิดปกติน่ะ!? มีหัวคิดกันบ้างรึเปล่า!?”
เมื่อถูกชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ฝั่งขวาตวาดด้วยเสียงอันดัง ชายหนุ่มที่กล่าวรายงานก็ลดตัวลงนั่งชันเข่าและก้มหน้าด้วยท่าทีแสดงทั้งอาการสำนึกผิดและหวาดกลัวออกมา กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาก็ทำแบบเดียวกันด้วย
“คือ… เราเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องเมื่อตอนเช้ามืดนี่เองครับ… เพราะร้านสาขาแต่ละร้านส่งมาแค่ยอดขายเปล่า ๆ เมื่อเราตรวจสอบรายการสินค้าที่ขายถึงรู้ว่าของที่มียอดขายสูงสุดของทุกร้านคือ ‘หญ้ามายาสีขาว’ ซึ่งถูกซื้อไปหมดทั้งสต๊อกของทุกร้าน เราถึงได้เห็นความผิดปกติน่ะครับ…”
ชายหนุ่มพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาโดยยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง ส่วนชายวัยกลางคนทั้งสามที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็หันมาปรึกษากันด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“เป็นความพยายามกักตุนสินค้าของใครบางคนรึเปล่า? ‘หญ้ามายาสีขาว’ น่ะเป็นพืชที่ขึ้นเฉพาะในฤดูหนาว แต่ตอนนี้ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว มันเลยเป็นวัตถุดิบที่หาไม่ได้อีกจนกว่าจะถึงฤดูหนาวครั้งหน้าซึ่งคงกินเวลาอีก 9-10 เดือน ถ้าสินค้าเกิดขาดแคลนขึ้นมา ราคาของมันก็อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าได้”
ชายคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ฝั่งซ้ายพูดขึ้น เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุ 40-50 ปี แต่มีผมสีเทาและไว้เคราแพะยาวลงไปจนถึงหน้าอก ทำให้ดูมีอายุนิดหน่อย
“ราคาของมันไม่น่าจะปรับขึ้นได้หรอก ถึงจะเป็นของที่หาได้เฉพาะฤดูกาล แต่ ‘หญ้ามายาสีขาว’ ก็มีคุณสมบัติไม่ต่างจาก ‘หญ้ามายา’ ทั่ว ๆ ไปสักเท่าไหร่ ประโยชน์เดียวของมันคือการเอามาใช้ทำเป็นสารละลายสำหรับปรุงโพชั่นและยาชนิดต่าง ๆ เท่านั้น ต่อให้เกิดการขาดแคลนขึ้นมาจริง ๆ ก็สามารถใช้หญ้ามายาแทนได้ และหญ้ามายาก็เป็นของที่หาได้ทั่วไป ของแบบนี้ไม่มีทางที่จะราคาขึ้นได้หรอก เว้นแต่…”
ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ฝั่งขวาเอ่ยแย้งขึ้นก่อนจะหยุดพูดไปกลางคัน เขาเป็นชายวัยกลางคนผู้มีผมสีดำหน้าตาเกลี้ยงเกลา แม้จะมีรอยย่นบนใบหน้าให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ยังดูเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี ทั้งสองคนนี้คือผู้อาวุโสของสมาพันธ์การค้าแห่งจูริสไพร์ม ซึ่งคอยเป็นผู้ช่วยและที่ปรึกษาให้กับผู้นำคนปัจจุบัน
ชายที่นั่งอยู่ตรงกลางครุ่นคิดตามคำพูดของชายทั้งสองอยู่พักหนึ่ง เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราดกหนา แต่ก็ตัดเล็มจนดูเรียบร้อย ทั้งเส้นผมและหนวดเคราของเขาต่างก็เป็นสีน้ำตาลแดงอันเงางาม ขับเน้นให้ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมของเขายิ่งดูภูมิฐานและมีระดับ
เขาคือ ไคโร บราวอส ผู้นำรุ่นที่สี่ของสมาพันธ์การค้าแห่งจูริส แม้ไคโรจะมีอายุเพียงสี่สิบกลาง ๆ แต่เพราะเขาคลุกคลีอยู่ในแวดวงการค้ามาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาเป็นทั้งพ่อค้าและนักลงทุนที่มีประสบการณ์ไม่แพ้คนที่อายุมากกว่าเลย
“เรื่องนี้ดูมีเลศนัยจริง ๆ …พอจะรู้รึเปล่าว่าพวกพ่อค้าที่มาเหมา ‘หญ้ามายาสีขาว’ ไปน่ะเป็นคนจากที่ไหน?”
ไคโรเอ่ยถามไปยังชายหนุ่มที่ยังคงนั่งชันเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงยำเกรง
“เรื่องนี้เราลองสอบถามจากเหล่าพ่อค้าประจำร้านมาแล้ว ถึงพวกเขาจะไม่รู้ที่มาที่แน่ชัดของพ่อค้ากลุ่มนี้ เพราะเป็นพ่อค้าที่มากับกองคาราวานและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่หลาย ๆ คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พ่อค้าหลาย ๆ คนในกลุ่มนั้นมีลักษณะเหมือนกับพวกเอลฟ์ครับ”
“พวกเอลฟ์เหรอ?”
“ใช่ครับ คนเหล่านั้นสวมผ้าคลุมเพื่ออำพรางใบหูของตัวเองไว้เหมือนกับไม่อยากให้ใครรู้ตัวจริง แต่พวกพ่อค้าประจำร้านบอกว่าเค้าโครงหน้าแบบนั้น ดูยังไงก็น่าจะเป็นเผ่าเอลฟ์ไม่ผิดแน่ครับ”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้ไคโรเอนกายกลับขึ้นมาพิงพนักอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบคลึงเคราพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด ส่วนที่ปรึกษาทั้งสองซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างก็เริ่มแลกเปลี่ยนความเห็นกันต่อ
“นี่จะเป็นแผนการของกลุ่มการค้าจากทวีปอื่นรึเปล่า? การเหมาวัตถุดิบหมดทั้งตลาดแบบนี้ กลุ่มการค้าเล็ก ๆ ไม่น่าจะทำได้เลยนะ”
“ไม่หรอก ‘หญ้ามายาสีขาว’ น่ะเป็นวัตถุดิบที่มีราคาถูก หนึ่งกิโลกรัมขายอยู่ที่ 5-6 ซิลเวอร์เท่านั้น ปกติร้านค้าจะทำการสต๊อกสินค้าที่ขายยากแบบนี้เอาไว้ไม่เกิน 100 กิโลกรัม การเหมาหญ้ามายาหมดทั้งร้านก็จะใช้เงินแค่ 5-6 โกลด์ เท่านั้นเอง ร้านค้าในจูริสไพร์มนี่น่ะมีอยู่ทั้งหมดประมาณห้าร้อยร้าน ดังนั้นการเหมาหญ้ามายาหมดทั้งเมืองก็จะใช้เงินราว ๆ 3,000 โกลด์ แม้จะเป็นเงินจำนวนไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ใช่ปริมาณที่พวกขุนนางหรือกลุ่มการค้าระดับกลางจะรวบรวมไม่ได้หรอกนะ”
สำหรับสกุลเงินในโลกใหม่นี้จะใช้สกุลเงินเดียวกันทั่วทั้งโลก โดยมีเหรียญกษาปณ์สามระดับเป็นสื่อกลางในการแปลกเปลี่ยน คือ โกลด์ (ทอง), ซิลเวอร์ (เงิน), และ คอปเปอร์ (ทองแดง) หนึ่งร้อยคอปเปอร์ จะมีค่าเท่ากับหนึ่งซิลเวอร์ และหนึ่งร้อยซิลเวอร์จะมีค่าเท่ากับหนึ่งโกลด์ พูดง่าย ๆ ว่าโกลด์คือเหรียญที่มีมูลค่าสูงสุด
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าเงินหนึ่งโกลด์มีค่าเท่าไหร่ก็ต้องเปรียบเทียบจากมูลค่าของคอปเปอร์ซึ่งเป็นเหรียญที่มีมูลค่าต่ำสุดซะก่อน
ในโลกนี้ อาหารทั่ว ๆ ไปที่ชาวบ้านธรรมดากินกันในหนึ่งมื้อจะมีราคาอยู่ที่ 40-50 คอปเปอร์ อันที่จริงถ้าเป็นอาหารตามสั่งแบบจานเดียวจะมีราคาอยู่ที่เพียง 15-20 คอปเปอร์ด้วยซ้ำไป ส่วนค่าที่พักแรมตามโรงแรมขนาดกลางก็จะอยู่ที่ราว ๆ 1-3 ซิลเวอร์ต่อคืน แล้วแต่เกรดของโรงแรม ค่าเช่าบ้านขนาดสามคนอยู่ก็จะอยู่ที่ราว ๆ 20 ซิลเวอร์ต่อเดือน ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 2-3 ซิลเวอร์ต่อชั่วโมง คนทั่วไปต่อให้ไม่ใช่นักผจญภัยแต่ถ้ารู้จักทำงานหาเลี้ยงชีพก็สามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ขาดเหลืออะไร เพราะค่าครองชีพของโลกนี้ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับรายได้
ของที่มีราคาอยู่ในระดับโกลด์ส่วนมากจะเป็นของชิ้นใหญ่หรือมีมูลค่าสูง เช่น ม้าชั้นดีหนึ่งตัวก็จะมีราคาตั้งแต่ 3-5 โกลด์ คฤหาสน์พร้อมที่ดินขนาด 200 ตารางวาจะมีราคาอยู่ราว ๆ 400 – 500 โกลด์ หรืออุปกรณ์นักผจญภัยทั้งอาวุธและชุดเกราะระดับสูงก็อาจมีราคาเป็นร้อยโกลด์ได้ตามแต่คุณภาพ
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ไคโรก็เอ่ยคำพูดขึ้นอีกครั้ง
“ตอนนี้เรายังมีหญ้ามายาสีขาวเหลืออยู่อีกเท่าไหร่?”
“ในคลังสำรองของเรายังมีหญ้ามายาสีขาวเก็บไว้อีกราว ๆ 20 ตัน ครับ”
“อืม… จากจำนวนร้านค้าในจูริส คนกลุ่มนี้น่าจะได้หญ้ามายาสีขาวไปราว ๆ 50 ตันแล้ว ถึงอย่างนั้นด้วยอัตราการถือครองของเรา อีกฝ่ายก็คงไม่สามารถปั่นราคาด้วยการกักตุนได้ง่าย ๆ แต่เราก็ไม่ควรประมาท พวกแกรีบส่งคนติดตามไปดูว่ากองคาราวานกลุ่มนี้เดินทางไปที่ไหนอีกบ้าง และหาทางตรวจสอบเจตนาในการกว้านซื้อมาให้ได้”
“ครับ!”
เมื่อได้รับคำสั่ง ชายหนุ่มก็หันหลังและเดินออกจากห้องโถงไปทันที โดยมีกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเดินตามไปด้วย
เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ไคโรก็หันมาพูดกับที่ปรึกษาซึ่งนั่งอยู่ด้านซ้ายมือ
“พวกนั้นบอกว่าพ่อค้าที่มามีคนของเผ่าเอลฟ์อยู่ด้วย ให้คนของเราใช้เส้นสายสืบข่าวในอีเว่นสตาร์ (เมืองหลวงของเอลฟ์) ดู ว่าพักนี้มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง โดยเฉพาะการค้นพบวิทยาการหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ น่ะ ไปสืบมาให้ละเอียด แล้วรีบมารายงาน”
ที่ปรึกษาฝั่งซ้ายพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปทางประตูด้านข้างซึ่งอยู่ห่างจากบัลลังก์ที่นั่งไปเล็กน้อย เพื่อจัดการตามคำสั่ง
“ตอนนี้พวกพ่อค้ารายย่อยหรือพวกพ่อค้าเร่น่าจะยังมีคนที่ถือครองหญ้ามายาสีขาวอยู่บ้าง ส่งคนของเราไปเฝ้าดูกระดานแลกเปลี่ยนที่บาซ่าไว้ ถ้าราคาเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนักก็ให้ช้อนซื้อมาเก็บไว้ซะ ถึงจะไม่รู้ว่าเจตนาของกลุ่มคนที่มากว้านซื้อคืออะไร แต่ตอนนี้เราควรถือครองสินค้าตัวนี้ให้มากเข้าไว้ก่อน”
ที่ปรึกษาฝั่งขวาพยักหน้ารับ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะลุกขึ้นเพื่อไปดำเนินการ ประตูของห้องโถงก็เปิดออก ก่อนจะมีชายหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาที่หน้าบัลลังก์ ทำให้ไคโรต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“มีเรื่องอะไรรึ? ถึงต้องรีบร้อนขนาดนี้”
ชายหนุ่มพักหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำตอบออกมา ด้วยการพูดที่ยังติดขัดอยู่เล็กน้อย
“ทะ.. ที่บาซ่า… มีคนขึ้นป้ายประกาศรับซื้อหญ้ามายาสีขาวอยู่ครับ แถมคนที่ต้องการซื้อมีเป็นจำนวนมาก จนราคาถีบตัวขึ้นไปสูงกว่าปกติถึง 50% แล้วครับ!”
คำกล่าวรายงานของชายหนุ่ม ทำให้ไคโรกับที่ปรึกษาอีกคนได้แต่มองหน้ากันด้วยความงุนงง
——————————————————————————–
Part 2
ที่ด้านนอกกำแพงเมืองทางทิศใต้ของจูริสไพร์ม ห่างจากกำแพงเมืองไปเพียงไม่กี่สิบเมตร เป็นที่ตั้งของย่านการค้าอิสระที่ให้เหล่าพ่อค้าทั้งที่เป็นพ่อค้าจากในเมืองและพ่อค้าเร่ร่อน ออกมาตั้งแผงขายของหรือตั้งร้านค้าชั่วคราวได้
ที่แห่งนี้คือบาซ่า (Bazaar) เป็นตลาดเสรีที่ตั้งขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเหล่าพ่อค้าจากเมืองอื่นที่ต้องการจะมาทำการค้าขายที่จูริไพร์ม เพราะจูริสไพร์มเป็นเมืองที่ใหญ่มาก ตัวเมืองแบ่งออกเป็นห้าชั้นซึ่งล้วนแล้วแต่ล้อมด้วยกำแพงสูง แถมร้านค้าต่าง ๆ ก็ยังอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย การจะตระเวนดูสินค้าให้ทั่วและทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนจึงต้องใช้เวลาหลายวัน ทำให้เสียเวลามาก
ทางการจึงจัดตั้งตลาดเสรีแห่งนี้ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางการค้า เพื่อให้พ่อค้าในจูริสไพร์มสามารถส่งตัวแทนมาตั้งแผงลอยหรือร้านชั่วคราวในบาซ่าแห่งนี้ได้ จะได้ทำการค้าขายกับบุคคลภายนอกได้สะดวกขึ้น ส่วนพ่อค้าเร่หรือพ่อค้าที่มาจากต่างถิ่นก็สามารถเช่าพื้นที่ของบาซ่าเพื่อตั้งร้านค้าได้เช่นกัน แบบนี้พวกเขาก็จะสามารถขายของได้โดยไม่ต้องตระเวนไปตามร้านค้าต่าง ๆ เกือบทั่วทั้งเมืองเพื่อขายของ
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับเหล่าพ่อค้ามากยิ่งขึ้น บาซ่าแห่งนี้จึงมีบริการอีกอย่างหนึ่งคือ ‘กระดานแลกเปลี่ยน’ (Trading Board) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใจกลางของบาซ่า มันไม่ใช่กระดานสำหรับติดประกาศค้าขายทั่วไปเหมือนกับในร้านเหล้าหรือโรงแรม แต่เป็นกระดานเวทมนตร์ขนาดใหญ่ที่มีความสูงเกือบสิบเมตร ซึ่งจะแสดงรายการสินค้าพร้อมกับราคาที่มีคนต้องการซื้อขายอยู่
ด้านหน้าของกระดานแลกเปลี่ยนจะเป็นเคาเตอร์ขนาดใหญ่ของผู้ดูแลกระดาน ซึ่งจะมีพนักงานประจำเคาเตอร์อยู่ห้าคน และมีพนักงานที่คอยทำหน้าที่ประสานงานโดยรอบอยู่อีกนับสิบคน ทุกคนต่างก็ใส่ชุดยูนิฟอร์มที่สุภาพเรียบร้อยและดูภูมิฐาน ทำให้บริเวณกระดานแลกเปลี่ยนแห่งนี้มีบรรยากาศราวกับเป็นธนาคารที่ตั้งอยู่กลางแจ้งเลยก็ว่าได้
หน้าที่ของกระดานแลกเปลี่ยนนี้คือการเป็น ‘คนกลาง’ ในการซื้อขาย เพื่อให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเข้าถึงสินค้าที่ต้องการได้เร็วขึ้น โดยผู้ที่มีความประสงค์จะขายสินค้าก็ต้องนำสินค้ามาฝากไว้กับทางผู้ดูแลกระดานแลกเปลี่ยน และระบุราคาของสินค้าที่ต้องการเอาไว้ เพียงเท่านี้สินค้าของเขาก็จะถูกบรรจุลงไปในรายการสินค้าประกาศขายเพื่อรอคนมาซื้อ หากมีคนที่สนใจสินค้าตัวนั้น และพอใจในราคา ก็สามารถซื้อสินค้าจากกระดานแลกเปลี่ยนไปได้เลยในจำนวนที่ตนเองต้องการ โดยทางกระดานแลกเปลี่ยนจะเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขายในอัตรา 1% จากราคารวมของสินค้าทั้งหมด ไม่ว่าสินค้านั้นจะขายออกหรือไม่ก็ตาม และค่าธรรมเนียมนี้จะต้องเสียเพิ่มทุก ๆ 24 ชั่วโมง จนกว่าจะนำสินค้านั้นออกจากกระดานแลกเปลี่ยน
สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อก็เช่นกัน หากหาสินค้าที่ต้องการจากในตลาดไม่ได้ และแม้แต่ในกระดานแลกเปลี่ยนก็ไม่มีของเหล่านั้นอยู่ด้วย ผู้ซื้อก็สามารถยื่นรายชื่อของสินค้าที่ต้องการจะซื้อ, จำนวนที่ต้องการซื้อ, และราคาสินค้าต่อหน่วย ให้กับทางกระดานแลกเปลี่ยนได้ แล้วชื่อของสินค้าที่ต้องการซื้อก็จะถูกบรรจุลงไปในรายการสินค้ารับซื้อ เมื่อมีพ่อค้าที่มีสินค้าอยู่และพึงพอใจในราคามาพบ ก็สามารถขายสินค้าผ่านทางกระดานแลกเปลี่ยนได้ทันที ซึ่งทางกระดานแลกเปลี่ยนจะคิดค่าธรรมเนียมจากผู้ซื้อเป็น 1% จากราคารวมของสินค้าทั้งหมดเช่นกัน แต่จะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมรายวันเหมือนกรณีของการฝากขาย
การฝากขายหรือซื้อสินค้านี้ ไม่จำเป็นจะต้องมาทำที่เคาเตอร์ของกระดานแลกเปลี่ยนที่บาซ่าโดยตรง แต่สามารถส่งมอบเงินหรือสินค้ากับศูนย์บริการของกระดานแลกเปลี่ยนที่มีอยู่กว่า 30 แห่งทั่วเมืองจูริสไพร์มได้ เพราะคลังมิติของศูนย์บริการทุกแห่งนั้นเชื่อมต่อกับศูนย์หลักที่บาซ่าอยู่แล้ว ทำให้สามารถถ่ายโอนทั้งสินค้าและเงินตราไปยังจุดต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่จะทำการเปิดบัญชีกับทางกระดานแลกเปลี่ยนเพื่อใช้เงินในนั้นซื้อขายของบนกระดานโดยไม่ต้องนำเงินไปที่เคาเตอร์ก็ได้ ทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งระบบอำนวยความสะดวกที่ได้รับความนิยมมาก
การตรวจสอบรายการสินค้าที่อยู่ในฐานข้อมูลนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ แค่เพียงลงทะเบียนเป็นสมาชิกของกระดานแลกเปลี่ยน ก็จะได้รับสายรัดข้อมือซึ่งสามารถใช้เรียกดูรายการซื้อขายในฐานข้อมูลของกระดานแลกเปลี่ยนได้ทุกที่ทุกเวลา แต่คนจำนวนมากก็ชอบที่จะมายืนจับกลุ่มกันดูรายการสินค้าที่หน้ากระดานแลกเปลี่ยนบริเวณบาซ่ามากกว่า เพราะแบบนี้จะได้เห็นปฏิกิริยาของเหล่าพ่อค้าที่อยู่รอบบริเวณนั้นด้วย ว่ามีการตอบสนองต่อราคาสินค้าบนกระดานอย่างไรบ้าง
บนกระดานแผ่นใหญ่ของบาซ่า จะมีเฉพาะรายการสินค้าที่กำลังอยู่ในกระแส หรือมีราคาแตกต่างจากราคากลางมาก ๆ แสดงอยู่ เพื่อให้สินค้าที่ตั้งราคารับซื้อไว้แพงมาก ๆ หรือตั้งราคาขายไว้ถูกมาก ๆ จะปรากฏขึ้นมาก่อน ยิ่งราคาซื้อขายแตกต่างจากราคากลางมากเท่าไหร่ รายการนั้นก็จะยิ่งอยู่อันดับบนของกระดาน เพื่อให้สินค้าเหล่านั้นเกิดการซื้อขายได้เร็วขึ้น
ด้วยรูปแบบนี้ ปกติแล้วสินค้าที่จะขึ้นไปอยู่บนกระดานใหญ่ได้ จะต้องเป็นสินค้าที่มีมูลค่าหรือมีความต้องการสูงจริง ๆ แต่วันนี้ สินค้าที่ขึ้นไปอยู่ช่วงบนสุดของกระดาน กลับเป็น ‘หญ้ามายาสีขาว’ ของที่ไม่น่าจะมีมูลค่าอะไรเลยและมีอัตราการบริโภคน้อยจนไม่เคยเกิดการขาดแคลนมาก่อน แต่วันนี้ชื่อของมันกลับอยู่บนยอดของกระดาน โดยมีผู้เสนอซื้อทั้งหมดห้าราย และแต่ละรายต่างก็ให้ราคาสูงลิ่ว โดยมีตั้งแต่กิโลกรัมละ 7 ซิลเวอร์ ไปจนถึง 9 ซิลเวอร์ ซึ่งมากกว่าราคาปกติถึง 50% แถมยังรับซื้อกันคนละ 200-300 กิโลกรัมด้วย
นี่ไม่ใช่ราคาเริ่มต้นของมัน ความจริงแล้วคำประกาศรับซื้อก็เริ่มต้นที่ 6 ซิลเวอร์ ซึ่งนับเป็นราคาที่สูงที่สุดในช่วงหลายปีแล้ว ทำให้ประกาศรับซื้อนี้ขึ้นมาอยู่ที่ช่วงล่างของกระดานได้ พ่อค้าหลายคนจึงนำหญ้ามายาสีขาวที่ตัวเองพอมีอยู่ออกมาขาย แต่หลังจากได้รับสินค้าไปครบจำนวนแล้ว กลับมีคำประกาศซื้ออันใหม่ถูกส่งขึ้นมาทันที และในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีประกาศรับซื้ออีกอันที่ให้ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 7 ซิลเวอร์โผล่ขึ้นมา ทำให้เหล่าพ่อค้าในตลาดเริ่มมีอาการแตกตื่น
ราคาเหล่านี้นับเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงแล้ว จึงมีการขายหญ้ามายาสีขาวจนครบจำนวนอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่คำประกาศซื้ออันเก่าหายไปจากบนกระดาน คำประกาศซื้ออันใหม่ก็ถูกส่งขึ้นมา แถมยังมีคนต้องการซื้อมากกว่าเดิม และให้ราคาสูงขึ้นกว่าเดิมด้วย ผู้ซื้อแต่ละรายต่างก็เสนอราคาที่สูงขึ้นเพื่อตัดหน้าอีกฝ่าย จนทำให้ราคาของหญ้ามายาสีขาวขึ้นไปอยู่ที่ 9 ซิลเวอร์ในที่สุด
การเพิ่มขึ้นของราคาอย่างผิดปกตินี้ทำให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าทั้งที่อยู่ในเขตบาซ่าและอยู่ในตัวเมืองเริ่มรู้สึกผิดสังเกต และชะลอการนำสินค้าที่ตัวเองมีอยู่ออกมาขาย แต่การซื้อขายบนกระดานแลกเปลี่ยนก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ มีทั้งคนนำสินค้ามาขาย และคนที่ประกาศรับซื้อเพิ่มอีก และในแต่ละชั่วโมงก็จะมีการปรับขึ้นของราคาไปอีกครั้งละหนึ่งซิลเวอร์ จนพอถึงช่วงสาย ราคาของหญ้ามายาสีขาวก็ขึ้นไปอยู่ที่ 12 ซิลเวอร์แล้ว นี่เป็นราคาที่สูงกว่าปกติถึงหนึ่งเท่าตัวทีเดียว ทำให้แม้แต่พ่อค้าจากเมืองใกล้เคียงที่รีบนำสินค้าค้างปีของตัวเองมายังจูริสเพราะได้ข่าวว่ากำลังเป็นสินค้าที่ขาดตลาดและมีราคาดี พอมาถึงก็ยังต้องหยุดชะงักกับปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ และไม่กล้าทำการซื้อขาย เพราะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทุกคนได้แต่เฝ้าดูราคาของหญ้ามายาสีขาวบนกระดานแลกเปลี่ยนซึ่งยังคงพุ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องด้วยความรู้สึกลังเล เพราะไม่รู้ว่าการปรับตัวของราคานี้จะไปสิ้นสุดที่ใดกันแน่ หากขายตอนนี้อาจทำให้ได้กำไรสองเท่า แต่ถ้ารอขายตอนที่ราคาสูงกว่านี้ล่ะ? อาจได้กำไรเป็นสามเท่า สี่เท่ารึเปล่า?
แม้ราคาของมันสามารถปรับลดลงได้ทุกเวลา แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ ต่อให้พวกเขาเทขายสินค้าช้าไปสักหน่อยก็น่าจะขายได้ในราคากิโลกรัมละ 9-10 ซิลเวอร์ ซึ่งยังเป็นราคาที่สูงที่สุดในรอบหลายสิบปีอยู่ดี เรียกได้ว่าถึงขาดทุนก็ยังขาดทุนกำไร เหล่าพ่อค้าแม่ค้าจึงตัดสินใจเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของราคาต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อรอขายในจังหวะที่ราคาพุ่งขึ้นถึงขีดสูงสุด
ทุกคนในวงการธุรกิจของจูริสไพร์มต่างก็เฝ้าดูสถานการณ์นี้อย่างไม่กะพริบตา รวมไปถึงเหล่าผู้นำของสมาพันธ์การค้าแห่งจูริสไพร์มด้วย
——————————————————————————–
Part 3
ห้องโถงของสมาพันธ์การค้าแห่งจูริสไพร์มกำลังอยู่ในสภาพที่วุ่นวาย
ผู้คนจำนวนมากวิ่งเข้าวิ่งออกกันให้ขวักไขว่ บริเวณรอบ ๆ ห้องก็มีหน้าจอที่แสดงการข้อมูลการซื้อขายจำนวนมากถูกฉายอยู่บนอากาศ โดยมีกลุ่มคนที่สวมเสื้อผ้าอันดูภูมิฐานจ้องมองข้อมูลในหน้าจอพลางปรึกษาพูดคุยกันไปด้วย
ที่ด้านในสุดของห้อง ผู้นำของสมาพันธ์และเหล่าที่ปรึกษาก็ยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตนเองเช่นเดิม พวกเขากวาดสายตาดูบรรยากาศอันวุ่นวายภายในห้องด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะลงมือเร็วขนาดนี้ ยังไม่ถึงครึ่งวัน ราคาของหญ้ามายาสีขาวก็ขึ้นไปเป็นเท่าตัวแล้ว”
ที่ปรึกษาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้ายเอ่ยพูดขึ้น ที่ปรึกษาอีกคนจึงตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มอันเย้ยหยัน
“พวกมันดูถูกเรามากเกินไปแล้ว คงคิดว่าถือครองหญ้ามายาสีขาวทั้งหมดเอาไว้แล้วสินะ ถึงได้กล้าปั่นราคาตามใจชอบแบบนี้… เฮอะ! อยากรู้นักว่าตอนที่เราทุบตลาดด้วยหญ้าจำนวน 20 ตันที่อยู่ในมือเรานี่ มันจะทำหน้ายังไง!”
ไคโรไม่ได้แสดงความเห็นใด ๆ ต่อการสนทนาของที่ปรึกษาทั้งสอง เขาเพียงแต่มองการซื้อขายบนหน้าจออย่างไม่วางตา พลางพิจารณาถึงเรื่องต่าง ๆ ไปด้วย
การที่มีคนพยายามกักตุนสินค้าเพื่อปั่นราคาไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องแบบนี้มักมีให้เห็นอยู่เป็นระยะ ปีละครั้งสองครั้ง ขึ้นกับว่าช่วงไหนมีสินค้าที่ขาดแคลนบ้าง
แต่โดยปกติแล้ว การกักตุนสินค้าเพื่อปั่นราคา จะกระทำกับสินค้าที่มีมูลค่าและความต้องการสูง การปั่นราคาสินค้าที่มีทั้งมูลค่าและความต้องการต่ำอย่างหญ้ามายาสีขาวนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้ไคโรอดรู้สึกสงสัยไม่ได้
การจะเหมาหญ้ามายาสีขาวหมดทั้งเมืองจูริสไพร์มในวันเดียวต้องใช้เงินทุนไม่ต่ำกว่า 3000 โกลด์ นี่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ และคนที่สามารถหาเงินจำนวนนี้มาได้ต้องไม่ใช่คนโง่ขนาดที่พยายามดำเนินแผนการสิ้นคิดอย่างการเหมาสินค้าแล้วเอาออกมาปั่นราคาขายในวันถัดไปแบบนี้แน่ เพราะเป็นการการกระทำไม่น่าจะมีโอกาสสำเร็จได้เลย
ต่อให้สมาพันธ์การค้าแห่งจูริสไพร์มไม่มีสิ้นค้าชนิดนี้เก็บสำรองอยู่ แต่กลุ่มการค้าต่าง ๆ จากเมืองใกล้เคียงเมื่อได้ยินข่าวการพุ่งทะยานของราคาก็ต้องนำสินค้าในคลังของตัวเองออกมาขายแน่ และหญ้ามายาสีขาวเป็นวัตถุดิบที่ไม่มีความต้องการซื้อที่แท้จริงอยู่แล้ว เมื่อไหร่ที่มีการนำสินค้าเข้ามาขายเพิ่มจนล้นตลาด ราคาของมันก็จะดิ่งลงอย่างรวดเร็ว แต่การจะปล่อยสินค้าที่ถืออยู่เป็นจำนวนถึง 50 ตันออกมาในทีเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ ทำให้ผู้ที่กักตุนสินค้าอยู่ต้องพบกับความล้มเหลวอย่างแน่นอน
กระบวนการปั่นราคาสินค้านั้นจะมีขั้นตอนหลัก ๆ อยู่สามระยะด้วยกัน ระยะแรกคือการกว้านซื้อสินค้ามากักตุนเอาไว้ ระยะที่สองคือการปั่นราคาสินค้าให้สูงขึ้น และระยะที่สามคือการปล่อยสินค้าออกไป
ระยะที่สามซึ่งเป็นการปล่อยสินค้านั้น ถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เพราะผู้กักตุนได้ถือครองสินค้าอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถปล่อยสินค้าออกมาคราวละมาก ๆ ได้ เพราะหากปล่อยสินค้าออกมาเป็นปริมาณที่เยอะเกินไปจะทำให้คนในตลาดแตกตื่นและแห่ขายตามกันจนทำให้ราคาตกอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่จะปล่อยของออกมาได้หมด ราคาก็อาจตกต่ำจนขาดทุนย่อยยับไปแล้ว
สิ่งที่ผู้กักตุนสินค้าต้องทำก็คือพยายามใช้ประโยชน์จากเหล่าผู้ค้ารายย่อยที่คิดจะหาผลกำไรจากภาวะนี้นั่นเอง โดยในขณะที่ราคาขึ้นสูง ผู้ค้าหลายคนที่ไม่มีสินค้าอยู่ในมือจะพยายามยื่นประกาศรับซื้อสินค้าในราคาที่ใกล้เคียงกับราคาปัจจุบันเพื่อให้ได้สินค้ามาถือไว้สำหรับเก็งกำไร ในช่วงที่การปั่นราคายังไม่ถึงขีดสุดก็อาจมีการปล่อยสินค้าให้ผู้ค้าเหล่านี้ได้ถือครองอยู่บ้าง แต่เมื่อการปั่นราคาใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุด การซื้อขายสินค้าจะกระทำกับคู่ค้าที่เป็นเครือข่ายของผู้กักตุนสินค้าเองเท่านั้น ก็คือทำการค้าขายกับตัวเอง เพื่อสร้างภาพว่ายังคงมีความต้องการสินค้าอยู่ และปั่นราคาสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ บีบให้ผู้ค้ารายย่อยต้องประกาศรับซื้อด้วยราคาที่สูงขึ้นตาม
พอถึงจุดหนึ่งเมื่อมีผู้ค้ารายย่อยประกาศรับซื้อสินค้ามากพอ เช่นการค้าขายหญ้ามายาสีขาวครั้งนี้ แต่ละคนต่างก็ประกาศซื้อ-ขายกันคราวละ 200-300 กิโลกรัมขึ้นไป แปลว่าขอแค่มีผู้รับซื้อเพียง 200 คนก็สามารถระบายสินค้าปริมาณ 50 ตันได้หมดในคราวเดียวแล้ว ซึ่งสำหรับตลาดขนาดใหญ่อย่างตลาดของจูริสไพร์ม มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย
เมื่อได้ปริมาณการรับซื้อที่ต้องการแล้ว ผู้กักตุนสินค้าก็จะทำการปล่อยสินค้าออกมาขายให้กับผู้รับซื้อทุกคนในคราวเดียว ก่อนจะเชิดเงินหนีไป ในเวลาเดียวกันความต้องการสินค้าทั้งหมดก็จะหยุดชะงักลงเพราะผู้ที่ทำการซื้อขายลวง ๆ มาตลอดได้จากไปแล้ว ทำให้ในตลาดเหลือแต่ผู้ขายแต่ไม่มีผู้ซื้อ ราคาสินค้าก็จะดิ่งลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้เหล่าผู้ค้าที่รับซื้อสินค้าในราคาสูงไปต้องประสบภาวะล้มละลายกันถ้วนหน้า
นี่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในตลาดของจูริสไพร์ม ทำให้ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่จะหลงกลได้ง่าย ๆ การที่จู่ ๆ ของที่ไม่มีประโยชน์ใช้สอยอย่างหญ้ามายาสีขาวจะมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแบบนี้ ต่อให้เป็นแค่เด็กฝึกงานในร้านค้าก็ยังดูออกว่ามันเป็นการปั่นราคา เหล่าผู้ค้าในจูริสไพร์มส่วนใหญ่จึงเฝ้ารอให้ผู้ปั่นราคาทำการผลักดันราคาขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดเพื่อที่จะได้แห่กันเทขายทำกำไรเท่านั้น ไม่มีใครคิดจะยื่นคำประกาศรับซื้อสินค้ามาเก็งกำไรเลยแม้แต่คนเดียว
ด้วยเหตุนี้ ไคโรจึงอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ยังมีเหตุผลอื่น ๆ แอบแฝงอยู่อีกรึเปล่า เพราะมันเป็นแผนการที่โง่จนเกินไป แต่คิดยังไงเขาก็คิดไม่ออก
ในระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ ราคาของหญ้ามายาสีขาวในกระดานแลกเปลี่ยนก็พุ่งขึ้นไปที่ 15 ซิลเวอร์ต่อกิโลกรัมแล้ว