Doombringer the 5th - ตอนที่ 109
Ch.109 – นักเวทสีเทา
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 105
นักเวทสีเทา
Part 1
ในช่วงปลายสัปดาห์ นักเรียนของโรงเรียนอีจิสไพร์มส่วนใหญ่มักจะจะทำภารกิจของวิชาแรกเสร็จสิ้นกันหมดแล้ว
โดยปกติ เหล่านักเรียนจะพยายามทำภารกิจให้เสร็จภายในวันธรรมดา ก็คือภายในวันจันทร์ถึงศุกร์ เพื่อให้มีเวลาว่างก่อนที่จะเริ่มวิชาใหม่ จะได้สามารถใช้เวลาช่วงนี้ได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ น้อยคนที่จะยอมพลาดโอกาสในการเข้าไปเที่ยวในย่านการค้าอันคึกคักของจูริสไพร์ม
แต่สำหรับซาล ในวันสุดสัปดาห์นี้ เขาเลือกที่จะใช้เวลากับเขตชุมชนของอีจิสไพร์มมากกว่า
เรื่องนี้มีสาเหตุหลายประการด้วยกัน
ประการแรกคือ ด้วยเงินทุนที่ได้จากการ ‘ค้าขาย’ ในช่วงกลางสัปดาห์ ทำให้เขาสามารถเริ่มดำเนินแผนการตามที่ตั้งใจเอาไว้ได้ แต่ก่อนที่จะไปยังแผนการขั้นต่อไป เขาก็ต้องสานต่อแผนการที่ทำค้างเอาไว้ซะก่อน นั่นก็คือการยึดครองพื้นที่ ทั้งภายในโรงเรียนอีจิสไพร์ม และภายในดันเจี้ยนทั้งเจ็ดแห่งรอบเขตอีจิสไพร์มด้วย
การยึดครองในที่นี้หมายถึงการควบคุมพื้นที่อยู่เบื้องหลัง โดยการวางพื้นที่ดันเจี้ยนมิติทับลงไปบนพื้นที่ของดันเจี้ยนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำการควบคุมและใช้งานดันเจี้ยนทุกแห่งได้อย่างเต็มที่ ซึ่งขุนพลของเขาหกคนจากแปดคนก็กำลังเร่งดำเนินการในเรื่องนี้อยู่ แต่เพราะดั้งเจี้ยนแต่ละแห่งต่างก็กินอาณาเขตไพศาล แถมยังมีผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา การลอบวางดันเจี้ยนในพื้นที่เหล่านั้นจึงเป็นงานที่ต้องอาศัยความระมัดระวังและใช้เวลามากตามไปด้วย
อีกด้านหนึ่ง เอ็มเมอริช (ขุนพลผู้มีผมสีฟ้า) และยูนิตี้ (ขุนพลผู้มีผมสีเขียว) ก็ได้รับมอบหมายให้แทรกแซงระบบป้องกันของโรงเรียนอีจิสไพร์ม โดยเฉพาะเครือข่ายเวทตรวจจับและกล้องวงจรปิด เพื่อให้พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวในโรงเรียนได้สะดวกขึ้น เพื่อการนี้ เอ็มเมอริชเลือกใช้วิธีการ ‘ฝังชุดคำสั่ง’ เข้าไปในระบบป้องกันของโรงเรียน เพื่อให้สามารถรับรู้และบิดเบือนข้อมูลต่าง ๆ ได้โดยไม่ถูกตรวจจับ แต่การจะทำเช่นนั้นก็ต้องอาศัยวิธีการที่ยุ่งยากและซับซ้อนพอสมควรด้วย จึงต้องอาศัยยูนิตี้ ซึ่งเป็นบุคคลระดับมันสมองอีกคนหนึ่งของแปดขุนพลมาช่วยในการดำเนินการ
การดำเนินการยึดครองทั้งโรงเรียนและพื้นที่ดันเจี้ยนของอีจิสไพร์มอย่างลับ ๆ นี้ ทำให้ซาลยังไม่อยากออกห่างจากเขตโรงเรียนสักเท่าไหร่ เพื่อจะได้สามารถติดต่อสื่อสารและรับการรายงานความเคลื่อนไหวจากเหล่าขุนพลได้อย่างสะดวก แต่นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็ยังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่งด้วย
นั่นก็คือการฟื้นฟู ‘สมาคมประจำคลาส’ ของคลาสซัมมอนเนอร์ ในย่านชุมชนของอีจิสไพร์มขึ้นมา
เพราะหลังจากที่เด็กนักเรียนกลุ่มอื่น ๆ ทำภารกิจเสร็จสิ้นในช่วงกลางสัปดาห์และไปส่งภารกิจกับอาจารย์เอนจิลแล้ว เมื่อทุกคนได้เห็นสถิติอันน่าตกใจของซาลและคุโระ ก็ทำให้เกิดกระแสความข้องใจขึ้นมา
เนื่องจากกลุ่มของซาลสามารถทำภารกิจเสร็จสิ้นได้ตั้งแต่วันแรก แถมยังใช้เวลาไปเพียงชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ในขณะที่กลุ่มที่ทุกคนมองว่าเป็นกลุ่มที่เก่งที่สุดในห้องอย่างกลุ่มของฟาลโก้ ยังใช้เวลาร่วมสิบชั่วโมง ความแตกต่างนี้ทำให้ทุกคนต่างก็เกิดความข้องใจ และบางคนถึงกับไม่สามารถยอมรับได้
เพราะกลุ่มของซาลมีคนเพียงสองคน ไม่ควรจะเป็นกลุ่มที่สามารถทำภารกิจนี้ผ่านได้ด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับผ่านภารกิจโดยใช้เวลาน้อยที่สุดและได้คะแนนสูงสุด เป็นเรื่องที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของใครหลาย ๆ คน ที่สำคัญคือเพราะข่าวลือที่มีมาก่อนหน้า ทำให้เด็กในห้องส่วนใหญ่ล้วนแต่มีอคติกับซาล จนถึงขั้นไม่ชอบหน้าหรือเกลียดเลยก็ว่าได้ การที่ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับคนที่ตนรู้สึกดูถูกและรังเกียจจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาทำใจยอมรับได้ยาก
ยังดีที่อาจารย์เอนจิลได้ช่วยอธิบายถึงวิธีการที่ซาลใช้ในการทำภารกิจให้ทุกคนได้ฟัง จึงพอจะคลายความข้องใจของเหล่านักเรียนไปได้บ้าง แต่หลายคนก็ยังคงคาใจและรู้สึกไม่ยอมรับอยู่ดี บางคนถึงกับมองว่าการใช้วิธีนี้ในการทำภารกิจเป็นวิธีที่ขี้โกงและเอาเปรียบคนอื่น ซึ่งคนที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย
คุโระที่รู้เรื่องนี้จากกลุ่มเพื่อนของฟาลโก้ก็รีบมาบอกกับซาลโดยพยายามใช้คำพูดที่นุ่มนวลที่สุด เพื่อให้เขารับรู้ล่วงหน้าและเตรียมใจไว้ซะแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่อารมณ์เสียหรือหงุดหงิดกับคำนินทาเหล่านี้ แต่ทันทีที่ได้ฟัง ซาลกลับยิ้มและหัวเราะออกมาด้วยท่าทีพึงพอใจ จนทำให้คุโระกลายเป็นฝ่ายที่ต้องงุนงงซะเอง
ที่ซาลหัวเราะก็เพราะว่า สำหรับเขาแล้ว การที่ถูกชี้หน้าว่าขี้โกง หรือเอาเปรียบ ก็เป็นหลักฐานว่าฝีมือและความสามารถของเขาเหนือกว่า จนฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถหาข้ออ้างอื่นใดมาใช้ในการแก้ตัวได้ จึงทำได้เพียงอ้างว่าอีกฝ่ายใช้วิธีที่ไม่ยุติธรรมเท่านั้น เขามองว่านี่เป็นการยอมรับความพ่ายแพ้และให้การยกย่องในลักษณะหนึ่ง หรือก็คือเก่งจนถูกมองว่าโกง ซึ่งเขาถือว่าเป็นคำชม นอกจากจะไม่ใช่เรื่องน่าหงุดหงิดอะไรแล้ว ยังเป็นเรื่องที่น่ายินดีด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้ชี้ให้เห็นประเด็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ซาลคิดว่าจะมองข้ามไปไม่ได้ นั่นก็คือคนทั่วไปยังคงมีความเข้าใจเกี่ยวกับเวทอัญเชิญของคลาสซัมมอนเนอร์ในระดับที่ต่ำอยู่
ในแง่หนึ่งนี่ก็นับเป็นเรื่องดี เพราะความที่วิชาสายนี้เป็นอะไรที่ล้าหลังและไม่เป็นที่นิยม ทำให้ระบบตรวจสอบสำหรับใช้กับเวทสายนี้ค่อนข้างล้าหลังไปด้วย เช่นเหล่าสมุนอัญเชิญที่เขาใช้ในแผนการ ‘ค้าขาย’ ช่วงก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นสมุนอัญเชิญรุ่นใหม่ที่มีการพรางตัวค่อนข้างสมบูรณ์จนคนทั่วไปแยกไม่ออกว่าเป็นคนจริง ๆ หรือสมุนอัญเชิญ แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะเวทตรวจสอบและแยกแยะที่ทางการใช้ในการตรวจสอบคนเข้าเมืองยังค่อนข้างล้าหลังอยู่มาก แม้จะแยกแยะร่างอัญเชิญทั่ว ๆ ไปได้ แต่สำหรับสมุนอัญเชิญของซาลที่ได้รับการปรับแต่งจนมีความทันสมัยเทียบเท่าวิทยาการแขนงอื่น ๆ แล้ว ระบบตรวจสอบเหล่านี้จะไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้เลย
แต่การที่คนทั่วไปยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับสมุนอัญเชิญหรือคลาสซัมมอนเนอร์ในระดับต่ำก็เป็นผลเสียได้เช่นกัน อย่างในกรณีนี้ เพราะเขาใช้วิธีการที่ไม่เคยมีใครพบมาก่อนในการทำภารกิจ ทำให้เกิดกระแสความสงสัยและเคลือบแคลงใจขนานใหญ่ขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นผลดีกับซาลในระยะยาว
เพราะเขาไม่อยากดึงดูดความสนใจของผู้คนมากจนเกินไป แต่การใช้วิชาหรือวิธีการที่คนไม่คุ้นเคย ย่อมต้องดึงดูดความสงสัยและเคลือบแคลงใจอย่างช่วยไม่ได้ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มักจะหวาดระแวงในสิ่งที่ไม่รู้จัก และยิ่งตัวเขาเองเป็นคนที่ถูกมองอย่างมีอคติอยู่แล้ว เรื่องนี้อาจถูกต่อเติมจนลุกลามบานปลายยิ่งขึ้นในอนาคตได้ เช่นผู้คนอาจมองว่าเวทอัญเชิญที่เขาใช้เป็นวิชาของพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดหรือวิชานอกรีต และนำไปเชื่อมโยงกับการใส่ร้ายป้ายสีอื่น ๆ อีก ซาลจึงคิดว่าต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้ก่อน
วิธีที่เขาคิดได้ก็คือการฟื้นฟู ‘สมาคมประจำคลาส’ ของคลาสซัมมอนเนอร์ขึ้นมา เพื่อให้ผู้คนรู้จักและมีความเข้าใจเกี่ยวกับคลาสซัมมอนเนอร์มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความระแวงสงสัยของผู้คนลง และยังทำให้ซัมมอนเนอร์กลายเป็นคลาสที่ได้รับการยอมรับดังที่เขาเคยตั้งเป้าหมายเอาไว้ด้วย เรียกว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเดินทางมาที่ย่านชุมชนทางทิศเหนือของโรงเรียนอีจิสไพร์ม เพราะเขารู้มาจากอาจารย์เอนจิลว่าในโซนสำหรับสมาคมของผู้ใช้เวทมนตร์ มีอาคารสมาคมหลังหนึ่งที่น่าจะนำมาใช้ในการตั้งสมาคมประจำคลาสได้นั่นเอง
——————————————————————————–
Part 2
หลังจากเดินผ่านอาคารประจำสมาคมของคลาสอื่น ๆ ที่ตั้งเรียงรายกันเต็มสองฟากถนนจนโผล่ออกมาทะลุที่อีกฟากหนึ่งของเขตชุมชน ซาลและคุโระที่ขอติดตามมาด้วยก็พบกับที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งมีหอคอยห้าหลังตั้งตระหง่านอยู่ แม้หอคอยแต่ละหลังจะอยู่ห่างกันมาก แต่จากจุดที่พวกซาลยืนอยู่ก็สามารถมองเห็นหอคอยทั้งหมดในระยะสายตาได้พร้อมกัน
หอคอยทั้งห้าหลังนี้เรียงตัวกันเป็นรูปกากบาท โดยมีหอคอยสีเทาหลังหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง และอีกสี่หลังตั้งกระจายกันไปยังสี่ทิศ คือหอคอยสีน้ำตาลทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ, หอคอยสีน้ำเงินทางตะวันออกเฉียงเหนือ, หอคอยสีฟ้าใสทางตะวันออกเฉียงใต้, และหอคอยสีแดงทางตะวันตกเฉียงใต้ ลักษณะของอาคารประจำสมาคมที่สร้างขึ้นมาเป็นหอคอยแบบนี้เป็นลักษณะเฉพาะสำหรับสมาคมนักเวทซึ่งมีสมาชิกเป็นจำนวนมากเท่านั้น เพราะหากเป็นสมาคมที่มีสมาชิกไม่ถึงหนึ่งร้อยคนแล้ว การจะสร้างหอคอยขนาดใหญ่แบบนี้ขึ้นมาเป็นอาคารสมาคม ก็ดูจะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไปหน่อย
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะในทีแรกเขาก็ไม่คิดว่าอาคารที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้จะเป็นหอคอยขนาดใหญ่แบบนี้ เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นอาคารสมาคมเล็ก ๆ มากกว่า จึงต้องเหลือบมองแผนที่ที่อาจารย์เอนจิลให้มาอีกครั้ง แล้วก็พบว่าอาคารที่อาจารย์เอนจิลบอก คือหอคอยที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างหอคอยทั้งสี่นั่นไม่ผิดอย่างแน่นอน
คุโระซึ่งรู้สึกสงสัยไม่แพ้กันก็เพ่งพิจารณาหอคอยทั้งหมดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันมาพูดกับซาล
“ใช่ที่นี่แน่เหรอครับ? แต่นั่นมันเป็นอาคารสมาคมขนาดใหญ่ทั้งนั้นเลยนี่นา ทำไมถึงถูกทิ้งร้างได้ล่ะครับ?”
“ที่นี่แหละ ไม่ผิดแน่… แต่ไม่รู้ว่าข้อมูลที่อาจารย์เอนจิลให้มาจะเป็นข้อมูลเก่ารึเปล่า… ยังไงก็ลองเข้าไปดูกันก่อนเถอะ”
เมื่อพูดจบ ซาลก็เดินตรงไปยังหอคอยที่อยู่ตรงกลางระหว่างหอคอยทั้งสี่ โดยมีคุโระเดินตามไปติด ๆ
หลังจากใช้เวลาหลายนาทีในการเดินผ่านที่ราบ ซาลและคุโระก็เดินมาถึงด้านหน้าของหอคอย ทำให้พวกเขายิ่งได้เห็นอย่างถนัดตาว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้ซะอีก มันน่าจะมีความสูงไม่ต่ำกว่า 50 เมตร หรือเทียบเท่าตึกสิบชั้นเลยทีเดียว
หอคอยหลังนี้สร้างจากหินแกรนิตสีเทาหม่น แม้ด้านนอกของหอคอยที่ต้องแสงอาทิตย์จะดูเป็นสีเทาจาง ๆ แต่ภายในหอคอยซึ่งมีแสงค่อนข้างน้อยนั้นให้ความรู้สึกมืดทึบราวกับเป็นดันเจี้ยน เพียงมองเข้าไปก็ทำให้คุโระรู้สึกเย็นเยียบไปจนถึงสันหลังแล้ว
ประตูด้านหน้าของหอคอยนั้นเปิดอ้าอยู่ ซึ่งหากเป็นที่ทำการสมาคมปกติ การจะเปิดประตูหน้าของห้องโถงไว้ตลอดเวลาแบบนี้เพื่อรอรับผู้มาเยือนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สำหรับอาคารที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ ประตูหน้าของมันควรจะปิดอยู่มากกว่า ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกสงสัย แต่เขาก็ยังคงเดินตรงเข้าไปด้านใน เพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะรู้ให้แน่ชัด ว่าอาคารหลังนี้มีคนใช้อยู่รึเปล่ากันแน่
หลังจากผ่านประตูหน้าและเดินเข้ามาในหอคอยได้ระยะหนึ่ง ซาลและคุโระก็มาพบกับห้องโถงซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นัก ภายในห้องนั้นมีแสงค่อนข้างน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับมืด ทั้งพื้นห้อง, กำแพง, และเสาที่ประดับประดาอยู่โดยรอบต่างก็มีสีเทาอ่อน ๆ ทำให้บรรยากาศภายในนี้ค่อนข้างเย็นยะเยือก เหมือนกับเป็นห้องที่อยู่ในชั้นใต้ดิน
ที่ด้านหนึ่งของห้องโถง มีแท่นศิลาคล้ายกับแท่นบูชาถูกตั้งอยู่ โดยบนส่วนยอดของแท่นบูชานั้นมีกล่องสี่เหลี่ยมทรงแบนลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นอาติแฟคหรือของล้ำค่าประจำสมาคมที่ถูกนำมาตั้งไว้เพื่อให้คนสักการะบูชา
ซาลพิจารณาดูสภาพแวดล้อมของที่แห่งนี้ดูแล้ว ที่นี่ดูไม่เหมือนกับสถานที่ซึ่งถูกทิ้งร้างเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ทั้งพื้น, ผนัง, รวมไปถึงแท่นบูชา ต่างก็ได้รับการดูแลทำความสะอาดเป็นอย่างดี จนไม่มีเศษฝุ่นจับอยู่เลย เขาจึงคิดว่าที่นี่น่าจะมีคนเข้ามาจับจองใช้งานก่อนหน้านี้แล้ว หรือบางทีมันอาจไม่เคยถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ตั้งแต่แรกก็ได้
ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะติดต่อกลับไปยังอาจารย์เอนจิลอีกครั้งเพื่อขอความแน่ชัดดีรึไม่ ก็มีเสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนพื้นแกรนิตของหอคอยแห่งนี้จนเกิดเป็นเสียงก้องกังวานดังแว่วมา เสียงนั้นเข้ามาใกล้ห้องโถงที่ซาลกับคุโระกำลังยืนอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนจึงหันไปมองยังประตูซึ่งเป็นที่มาของเสียงนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน
ไม่นานนัก ก็ปรากฏร่างของหญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมาจากประตูด้านข้างของห้องโถง เธอเป็นหญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองได้สัดส่วน กิริยาที่ทั้งสำรวมและสื่อถึงความมั่นใจของเธอทำให้ดูราวกับเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ เธอมีเส้นผมสีเทายาวสลวยราวกับเส้นไหมที่ทอดยาวลงไปจนถึงบั้นเอว และมีดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ดูสว่างไสวและเจิดจ้าราวกับท้องฟ้าในยามกลางวันที่ไร้เมฆบดบัง ทำให้ใบหน้าอันงดงามนั้นยิ่งดูทรงเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่งขึ้นไปอีก
ความงามของหญิงสาวที่ปรากฏตัวออกมาทำให้คุโระได้แต่ยืนมองจนตาค้างไป
ส่วนซาลนั้นเคยชินกับความงามในระดับนี้แล้วจึงไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษนัก เขาพิจารณาดูหญิงสาวอย่างเยือกเย็น ซึ่งดูจากชุดยูนิฟอร์มและช่วงอายุของเธอแล้ว ซาลคิดว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นนักเรียนของโรงเรียนอีจิสไพร์มที่อยู่ในช่วงปี 5-6 หรือก็คือเป็นรุ่นพี่ของพวกเขานั่นเอง
ยังไม่ทันที่ซาลจะได้พูดอะไรออกไป หญิงสาวก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำถามขึ้นมาซะก่อน
“พวกเธอมาสมัครเข้าสมาคมงั้นเหรอ? ดีจริง ๆ เลย ฉันกำลังกังวลอยู่เลยว่าถ้าวันนี้ยังไม่มีคนมาสมัครเข้าชมรมจะทำยังไงดี”
หญิงสาวเอ่ยพูดด้วยเสียงน้ำเสียงอันนุ่มนวลและใบหน้ายิ้มแย้มจนทำให้คุโระได้แต่ยิ่นนิ่งไปอีกครั้ง ผิดกับซาลที่ต้องขมวดคิ้วเพราะคำพูดนั้น
“เข้าสมาคม? แปลว่าอาคารหลังนี้ถูกจับจองเป็นที่ทำการสมาคมแล้วสินะครับ? ความจริงคือพวกผมแค่มาสำรวจสถานที่น่ะครับ เพราะอาจารย์เอนจิลบอกว่ามีอาคารอยู่หลังหนึ่งซึ่งน่าจะใช้เป็นที่ตั้งสมาคมประจำคลาสได้ พวกผมถึงได้มาที่นี่ เราไม่ได้จะมาสมัครเข้าสมาคมหรอกครับ”
“เอ๋? แปลกจัง… ก็อาจารย์เอนจิลบอกว่าจะส่งนักเรียนปีหนึ่งสองคนมาสมัครเข้าชมรมในวันนี้นี่นา…”
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว ซาลก็ยิ่งมีสีหน้างุนงงมากขึ้นกว่าเดิม เขาจึงปลีกตัวออกมาเพื่อใช้แหวนสื่อสารติดต่อกลับไปยังอาจารย์เอนจิลเพื่อสอบถามเรื่องนี้ ซึ่งหลังจากใช้เวลาติดต่ออยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงของอาจารย์เอนจิลที่เหมือนจะกำลังอยู่ในอารมณ์ขี้เล่นตอบกลับมา
“ว่าไงซาลารัส ทุกอย่างราบรื่นดีรึเปล่า?”
“จะราบรื่นได้ยังไงกันล่ะครับ!? ที่นี่น่ะมีคนจับจองไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ไหนอาจารย์บอกว่าอาคารหลังนี้ยังว่างอยู่ไงล่ะ?”
“เห~ ครูบอกว่า ‘มีที่เหมาะ ๆ สำหรับการตั้งสมาคมประจำคลาสอยู่แห่งหนึ่ง’ ไม่ได้บอกว่ามันเป็นที่ว่างซะหน่อย แต่ไหน ๆ ก็ไปถึงที่นั่นแล้ว เธอก็สมัครเข้าสมาคมนั้นไปเลยก็แล้วกันนะ”
“ดะ.. ได้ยังไงกันล่ะครับ!? นี่อาจารย์หลอกพวกผมมาขายรึไงเนี่ย!?”
“ฮ่ะ ๆ ๆ ครูล้อเล่นน่ะ ความจริงคือ ที่แห่งนั้นน่ะกำลังมีปัญหาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพวกเธอเอง หรือเด็กคนนั้น ต่างก็ไม่สามารถที่จะครอบครองหรือรักษาหอคอยหลังนั้นเอาไว้ได้หรอก แต่ถ้าทุกคนร่วมมือกันก็อาจจะพอมีโอกาสอยู่นะ ยังไงเธอลองพูดคุยกับอีกฝ่ายดูสิ ถ้าตกลงกันได้ละก็ เธออาจได้ที่ทำการสมาคมเอาไว้ใช้งานร่วมกัน แต่ถ้าหาข้อสรุปไม่ได้จริง ๆ … ก็คงจะไม่มีใครได้ใช้งานหอคอยหลังนั้นอีกแล้วล่ะ พยายามเข้านะ”
“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิครับอาจารย์! พูดให้รู้เรื่องก่อนสิ!”
ยังไม่ทันที่ซาลจะเข้าใจในรายละเอียดดี อาจารย์เอนจิลก็ตัดการติดต่อไป ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปคุยกับหญิงสาวอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร หญิงสาวก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อนเช่นเคย
“เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการเลยสินะ? ฉันชื่อ โลริน… โลริน มิแทรนเดียร์ เป็นนักเรียนปีห้าของโรงเรียนอีจิสไพร์ม ยินดีที่ได้รู้จักนะ แล้วพวกเธอคือ?”
“ผะ.. ผม คุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ อยู่ปีหนึ่ง ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
คุโระที่ยืนอยู่ใกล้กว่าแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยจนทำให้โลรินยิ้มออกมาด้วยสายตาเอ็นดู ส่วนซาลก็แนะนำตัวเองเป็นลำดับต่อมา
“ผมซาลารัส แฮลเซียน อยู่ปีหนึ่งเช่นกัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“หุหุหุ ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก ว่าแต่พวกเธอบอกว่ามาที่นี่เพราะต้องการสถานที่สำหรับใช้เป็นที่ทำการสมาคมประจำคลาสงั้นเหรอ?”
สีหน้าของโลรินที่ไม่แสดงอาการใด ๆ เมื่อได้ยินชื่อหรือนามสกุลของซาลเลยทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย แต่การจะมีคนที่ไม่ใส่ใจและไม่รู้จักตระกูลของเขาอยู่บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ซาลจึงดำเนินการสนทนาต่อโดยไม่ได้เอ่ยถึงประเด็นนั้นเช่นกัน
“ใช่ครับ ผมอยากจะได้สถานที่สำหรับก่อตั้งสมาคมประจำคลาส ‘ซัมมอนเนอร์’ ซึ่งอาจารย์เอนจิลบอกว่านี่คือที่ ๆ ใช้ได้ แต่ในเมื่อมันเป็นที่ของสมาคมอื่นไปแล้ว ผมเลยไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์เอนจิลถึงยังแนะนำพวกเรามาอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดของซาล โลรินก็แสดงท่าทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดกับเขาอีกครั้ง
“แบบนี้นี่เอง… ดูเหมือนว่าพวกเราจะถูกอาจารย์เอนจิลหลอกเอาซะแล้วล่ะนะ…”
“ถูกหลอก? หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”
“คือการคงสภาพสมาคมเพื่อใช้งานอาคารสถานที่ของโรงเรียนน่ะจำเป็นจะต้องมีสมาชิกในสมาคมอย่างน้อยสี่คน โดยปกติแล้วฉันจะขอให้เพื่อน ๆ ช่วยมาเป็นสมาชิกแต่ในนามให้ จึงพอจะรอดพ้นการสั่งยุบสมาคมมาได้
แต่ในปีนี้พวกสมาคมนักเวททั้งสี่หอคอยมีความต้องการที่จะใช้หอคอยแห่งนี้ในการก่อตั้งอาคารพหุภาคีซึ่งเป็นศูนย์ประสานงานของหอคอยทั้งสี่ขึ้นมา พวกเขาเลยวิ่งเต้นทำการเคลื่อนไหวและผลักดันกฎใหม่ ๆ กับทางโรงเรียนอีกหลายข้อ รวมไปถึงกดดันพวกเพื่อน ๆ ไม่ให้มาช่วยเป็นสมาชิกแต่ในนามให้กับสมาคมนี้ด้วย ตอนนี้ฉันเลยเหลือสมาชิกคนอื่นอยู่แค่หนึ่งคนเท่านั้น ทำให้จำเป็นต้องหาคนมาเพิ่มภายในเที่ยงวันนี้ ไม่เช่นนั้นจะขาดคุณสมบัติน่ะ
อาจารย์เอนจิลบอกกับฉันว่าจะช่วยหาคนอีกสองคนที่เหลือแล้วส่งมาให้ ฉันก็เลยวางใจและได้แต่รออยู่ที่นี่ ไม่นึกว่าจะมีเงื่อนไขแบบนี้ติดมาด้วย เรียกว่าเสียท่าแล้วจริง ๆ …”
แม้คำพูดของเธอจะฟังดูเหมือนไม่สบอารมณ์กับสถานการณ์นี้นัก แต่โลรินก็ยังพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเยือกเย็นราวกับไม่ได้ใส่ใจกับมันสักเท่าไหร่ ทำให้ซาลเดาไม่ออกว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่เขาก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
——————————————————————————–
Part 3
สำหรับโลริน เธอจำเป็นต้องได้สมาชิกอีกสองคนมาเพิ่ม ไม่เช่นนั้นสมาคมจะถูกยุบ และเธอจะเสียสิทธิ์ในการครอบครองหอคอยแห่งนี้ไป ส่วนซาลเองก็มีคนไม่พอสำหรับการก่อตั้งสมาคมอยู่แล้ว และอาคารหลังนี้ก็เป็นอาคารในสังกัดของโรงเรียนหลังสุดท้ายที่นักเรียนสามารถใช้สิทธิ์ครอบครองเพื่อตั้งสมาคมด้วย หากไม่ร่วมมือกับโลรินในการรักษามันไว้ เขาเองก็ต้องประสบปัญหาในการก่อตั้งสมาคมเช่นกัน โดยสรุปก็คือ ทั้งสองฝ่ายต้องหาทางประนีประนอมและรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมเดียว ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีใครสามารถรักษาสมาคมและหอคอยแห่งนี้เอาไว้ได้เลย
จริงอยู่ว่าซาลก็มีเงินพอที่จะเช่าหรือซื้อพื้นที่ในเขตชุมชนและก่อสร้างอาคารสมาคมขนาดเล็กได้ แต่การทำแบบนั้นจะทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยได้ว่าเขาเอาเงินมาจากไหนหรือได้รับการสนับสนุนจากใคร มันจึงเป็นวิธีที่เขาต้องการจะหลีกเลี่ยง การใช้อาคารที่ได้รับการสนับสนุนจากทางโรงเรียนในการก่อตั้งสมาคมจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เพราะโลรินจำเป็นต้องได้สมาชิกมาเพิ่มเพื่อรักษาสถานภาพของสมาคมเอาไว้ ทำให้ดูเหมือนซาลจะเป็นฝ่ายได้เปรียบในการยื่นเงื่อนไข แต่ซาลคิดว่าความจริงแล้วสถานะของเขาก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่ายสักเท่าไหร่นัก เพราะเป้าหมายของเขาคือการก่อตั้งสมาคมประจำคลาส ‘ซัมมอนเนอร์’ เท่ากับให้โลรินยอมยุบสมาคมของตนเองซะ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ขัดกับเจตนาในการรักษาสถานภาพสมาคมของเธออยู่ดี จึงไม่น่าจะเป็นเงื่อนไขที่เธอยอมรับได้ และหากทำข้อตกลงกันไม่ได้ เขาเองก็ไม่สามารถตั้งสมาคมและใช้หอคอยแห่งนี้ได้เช่นกัน เรียกว่าผลเสียที่เขาจะได้รับก็ไม่ได้ดีไปกว่าผลเสียที่อีกฝ่ายจะได้รับสักเท่าไหร่ จึงนับเป็นจุดที่ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบไปกว่ากันเลย
โลรินเองก็เข้าใจในจุดนี้ดี แต่ด้วยความที่เธอเป็นรุ่นพี่และมีอาวุโสมากกว่า เธอจึงมั่นใจว่าจะสามารถหว่านล้อมหรือยื่นเงื่อนไขให้อีกฝ่ายโอนอ่อนผ่อนตามได้ จึงเป็นฝ่ายเริ่มเปิดการเจรจาก่อน
“เธอบอกว่าอยากจะก่อตั้งสมาคมสำหรับคลาส ‘ซัมมอนเนอร์’ สินะ? พูดแบบนี้อาจจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ซัมมอนเนอร์น่ะเป็นคลาสที่แทบจะไม่มีคนเรียนเป็นคลาสหลักเลยไม่ใช่เหรอ? การจะตั้งสมาคมสำหรับคลาสซัมมอนเนอร์ในตอนนี้มันอาจจะเร็วเกินไปนะ ที่สำคัญคือถ้าไม่มีสมาชิกมาเพิ่มละก็ พอฉันจบออกไป สมาคมก็ต้องถูกยุบอยู่ดี… เอางี้ดีมั้ย? เธอมาเข้าเป็นสมาชิกสมาคม ‘นักเวทสีเทา’ ของฉันก่อน แล้วช่วยกันรักษาสมาคมนี้ไว้ ในระหว่างนี้เธอก็พยายามหาผู้ที่สนใจจะเป็นสมาชิกของสมาคมซัมมอนเนอร์มาเพิ่ม อีกสองปีหลังจากนี้ ก่อนพิธีจบการศึกษา ฉันจะโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของสมาคมให้กับเธอ เธอกับกลุ่มเพื่อนจะได้ใช้ที่นี่ในการตั้งสมาคมซัมมอนเนอร์ต่อและใช้งานมันได้ตามใจชอบในอีกสี่ปีที่เหลือ แบบนี้จะดีกว่านะ”
คำพูดที่ฟังดูมีเหตุผลประกอบกับสีหน้าอันอ่อนโยนที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาของโลรินทำให้ถ้อยคำที่เธอเอ่ยออกมามีพลังดึงดูดให้คนคล้อยตามอย่างน่าประหลาด แม้แต่คุโระก็ยังพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่รู้ตัว ผิดกับซาลที่เพราะได้ยินคำพูดซึ่งเหมือนกับการดูหมิ่นคลาสซัมมอนเนอร์อยู่นิด ๆ จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“ขอโทษนะครับ แต่ทางผมเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องทำให้คลาสซัมมอนเนอร์กลายเป็นที่รู้จักให้เร็วที่สุดเช่นกัน ถ้าจะให้รอถึงสองปีเลยก็คงจะไม่ได้… อีกอย่างคือ สมาคมนี้ก็ไม่ได้รับความนิยมถึงขั้นที่แทบจะไม่มีสมาชิกที่แท้จริงสักคนเลยนี่นา… สภาพของคลาส ‘นักเวทสีเทา’ นี่ ก็ไม่ดีไปกว่าคลาสซัมมอนเนอร์เท่าไหร่หรอกมั้งครับ?”
คำพูดตอกกลับของซาลทำให้โลรินถึงกับชะงักไปวูบหนึ่ง ดวงตาสีฟ้าครามคู่งามของเธอทอประกายเย็นเยียบออกมาเล็กน้อย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แค่คุโระที่เฝ้าดูสีหน้าของโลรินอยู่ตลอดก็มองเห็นมันอย่างชัดเจนทำให้เขาถึงกับหายใจสะดุดขึ้นมาเพราะรับรู้ถึงอารมณ์ของอีกฝ่ายที่แปรเปลี่ยนไป
เพราะรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยดี และการเจรจาที่มีเค้าลางว่าจะล้มเหลว คุโระจึงแทรกการสนทนาโดยการนำเสนอความคิดของตนเองขึ้นมา
“ทะ.. ถ้ายังไงต่างฝ่ายต่างก็อยากจะรักษาคลาสของตัวเองเอาไว้ในสมาคมให้ได้จริง ๆ ละก็… ลองตั้งเป็น ‘สมาคมพันธมิตร’ ดูดีมั้ยครับ?”
คำพูดของคุโระทำให้ทั้งซาลและโลรินหันไปมองเขาโดยพร้อมเพรียงกัน ทางด้านโลรินนั้นแสดงท่าทีครุ่นคิดออกมาเพราะเธอเข้าใจในสิ่งที่คุโระพูดถึงอยู่แล้ว ส่วนซาลนั้นไม่คุ้นกับคำ ๆ นี้นัก จึงเอ่ยถามกับคุโระอีกครั้ง
“สมาคมพันธมิตร? หมายถึงอะไรเหรอ?”
“เอ่อ… คือในการก่อตั้งสมาคม ไม่ว่าจะเป็นสมาคมของเอกชน หรือสมาคมที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ก็มักจะประสบปัญหาในลักษณะนี้ได้เหมือนกัน บางครั้งก็มีเงินทุนไม่พอสำหรับการก่อตั้งสมาคม หรือบางครั้งก็มีสมาชิกน้อยเกินไปจนไม่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ จึงมีการก่อตั้งสมาคมในรูปแบบของความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มหลาย ๆ กลุ่มขึ้นมา เรียกว่า ‘สมาคมพันธมิตร’
สำหรับสมาคมประจำคลาส โดยมากก็จะเป็นการรวมตัวกันของพวกสายคลาสย่อย เช่นพวกนักเวทสายซัพพอร์ทหลาย ๆ สายที่รวมตัวกันขึ้นมาเป็นสมาคมพันธมิตรของนักเวทสายซัพพอร์ทขึ้นมา หรือในบางกรณีก็มีการตั้งสมาคมที่ผสมผสานหลาย ๆ คลาสเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งนักดาบ นักเวท และนักธนู แล้วตั้งชื่อใหม่เป็นสมาคมพันธมิตรนักผจญภัย อะไรเทือกนี้ก็ได้ ผมว่าคุณซาลกับคุณโลรินก็น่าจะใช้วิธีนี้ได้นะครับ”
เมื่อได้ฟังข้อเสนอของคุโระ ซาลก็คิดว่านี่เป็นวิธีที่ไม่เลวเหมือนกัน ส่วนโลรินก็เผยรอยยิ้มของเธอออกมาอีกครั้ง เพราะเธอคิดว่านี่เป็นวิธีที่เหมาะสมตั้งแต่ได้ยินเป็นครั้งแรกแล้ว
“เอางั้นก็ได้ นี่จะเป็นสมาคมพันธมิตรของนักเวทสีเทากับซัมมอนเนอร์… จะว่าไปแล้ว ‘นักเวทสีเทา’ นี่คือคลาสอะไรเหรอครับ? ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย รึว่าจะเป็นแค่สไตล์?”
ซาลหันไปถามโลรินด้วยสีหน้าข้องใจ เพราะแม้เขาจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับชื่อของนักเวทสีเทาอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ใช่หนึ่งในคลาสหลักของนักเวทอย่างแน่นอน และเขาก็ไม่เคยได้ยินไสตล์การต่อสู้ที่มีชื่อเรียกแบบนี้ด้วย
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น แววตาของโลรินก็เปล่งประกายออกมา ราวกับว่าเธอรอให้มีคนถามคำถามนี้มานานแล้ว
“โอ้ ฉันยังไม่ได้บอกกับพวกเธอสินะ? ถึงจะมีคนรู้จักและให้ความสนใจค่อนข้างน้อย แต่ ‘นักเวทสีเทา’ น่ะจัดเป็นคลาสหลักของนักเวทอีกคลาสหนึ่งเลยก็ว่าได้ โดยเริ่มคลาสระดับแรกที่ ‘เกรย์แอพเพรนทีส’ (Grey Apprentice), ต่อด้วย ‘เกรย์เมจ’ (Grey Mage) เป็นคลาสระดับสอง ตามด้วย ‘เกรย์วิซาร์ด’ (Grey Wizard) เป็นคลาสระดับสาม และยังมีคลาสระดับสี่ซึ่งจัดเป็นคลาสในตำนานคือ ‘ไวท์วิซาร์ด’ (White Wizard) ด้วย”
คำอธิบายของโลรินทำให้แม้แต่คุโระที่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจยังต้องรู้สึกงุนงง เพราะเขาไม่เคยได้ยินคลาสนักเวทสายนี้มาก่อน แถมคลาสระดับสี่ยังกระโดดจากนักเวทสีเทา (เกรย์) ไปเป็นนักเวทสีขาว (ไวท์) อีกด้วย เป็นสิ่งที่ฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลเลย
สำหรับซาล ยิ่งได้ฟังคำอธิบายนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นหูกับมันมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เอ่อ… แล้วนักเวทสีเทานี่ มีความพิเศษที่แตกต่างจากนักเวทสายอื่นยังไงบ้างเหรอครับ?”
ซาลเอ่ยคำถามเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเพราะเขารู้สึกเหมือนกับจะเริ่มจับทางอะไรได้แล้ว ส่วนโลรินก็ตอบกลับมาด้วยแววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เธอกล่าวอธิบายอย่างละเอียดด้วยสีหน้าที่มีชีวิตชีวาที่สุด
“นักเวทสีเทาน่ะเป็นนักเวทที่ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เดิม ๆ ของนักเวทที่ต้องคอยหลบอยู่แต่ในแนวหลังและพึ่งพาการปกป้องของเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอ… ผู้ที่เป็นนักเวทสีเทาน่ะสามารถปกป้องตัวเองจากภยันตรายได้เกือบทุกชนิด หรือสามารถเข้าปะทะกับศัตรูในแนวหน้าด้วยตัวเองเลยก็ได้ นี่เป็นคลาสนักเวทที่แข็งแกร่งที่สุดและไร้ซึ่งจุดอ่อนใด ๆ แถมยังไม่ใช่คลาสที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากการกำเนิดโลกใหม่เหมือนกับนักเวทคลาสอื่น ๆ แต่เป็นคลาส ‘นักเวทที่แท้จริง’ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยโลกเก่า และตระกูลมิแทรนเดียร์ของฉันก็เป็นผู้ค้นพบและได้ทำการสืบทอดเคล็ดวิชาของ ‘นักเวทสีเทา’ มาหลายชั่วอายุคนแล้ว”
โลรินอธิบายทุกอย่างด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้ฟังคำอธิบายนั้น ซาลก็ค่อนข้างแน่ใจในตัวตนของ ‘นักเวทสีเทา’ ไปกว่า 90% แล้ว แต่ก็ยังดำเนินการสนทนาต่อไป
“ที่ว่าค้นพบเนี่ยคือ?”
“ต้นตระกูลของฉันเป็นผู้ค้นพบอาติแฟคที่ได้บันทึกภาพวีรกรรมทั้งหมดของนักเวทสีเทาแห่งโลกเก่าเอาไว้ไงล่ะ มันก็คืออาติแฟคชิ้นนี้ไง ตามมาสิ ฉันจะให้ดู”
เมื่อพูดจบ โลรินก็เดินไปยังแท่นบูชาที่อยู่ปลายห้องโถง ที่ซึ่งมีกล่องสี่เหลี่ยมทรงแบนลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
เธอวาดมือไปบนอากาศ ทำให้เกิดอักขระเวทและวงเวทปรากฏขึ้นมาห้อมล้อมกล่องสี่เหลี่ยมกล่องนั้นเอาไว้ ก่อนที่มันจะฉายภาพการผจญภัยของนักผจญภัยกลุ่มหนึ่งขึ้นบนอากาศ โดยเน้นไปที่นักเวทชราคนหนึ่งซึ่งสวมหมวกปลายแหลมและชุดคลุมนักเวทซึ่งมีสีเทาตลอดทั้งตัว
นักผจญภัยกลุ่มนี้มีคนเพียงไม่กี่คน แต่ต้องต่อสู้กับเหล่าอมนุษย์นับร้อย ทำให้ทุกคนถูกผลักดันให้กระจัดกระจายกันออกไปและต้องต่อสู้กับศัตรูเพียงลำพัง ในสถานการณ์แบบนี้หากเป็นนักเวทปกติคงไม่มีทางที่จะเอาตัวรอดจากศัตรูจำนวนมากที่กรูกันเข้ามาได้แน่ แต่นักเวทชราผู้สวมชุดคลุมสีเทาก็ใช้ดาบในมือข้างหนึ่งร่วมกับไม้เท้าในมืออีกข้างในการปัดป้องและไล่ฟาดฟันเหล่าอมนุษย์จนแตกกระเจิงไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เวทเลยแม้แต่บทเดียว
ความสามารถในการต่อสู้ของนักเวทชราที่แทบจะเหนือกว่านักดาบหนุ่มซะอีกนั้น ทำให้คุโระถึงกับตาค้างไปด้วยความทึ่ง
ในระหว่างที่กลุ่มนักผจญภัยกำลังหนีการตามล่าและข้ามสะพานแคบมาได้ อสูรนรกร่างยักษ์ที่มีเปลวเพลิงลุกโชนทั่วทั้งร่างก็ตามมาทัน นักเวทชราคนนั้นจึงหยุดอยู่ที่กลางสะพานเพียงลำพังเพื่อสกัดกั้นการไล่ตามของอสูรนรกอย่างองอาจ
เขาร่ายเวทป้องกันอันทรงพลัง ทำให้สามารถรับการโจมตีด้วยดาบเพลิงของอสูรนรกตนนั้นเอาไว้ได้ และใช้ไม้เท้าทุบสะพานจนขาดในขณะที่เจ้าอสูรก้าวขึ้นมาบนสะพาน ทำให้มันตกลงไปยังหุบเหวเบื้องล่าง แต่ก่อนจะตกลงไป มันก็ตวัดแส้เพลิงดึงร่างของนักเวทชราผู้นั้นลงไปด้วย
แม้จะถูกดึงลงไปในหุบเหว แต่นักเวทชราก็ยังคว้าดาบที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศและพุ่งลงไปฟาดฟันกับอสูรนรกต่ออีกรอบ ทั้งสองต่างก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดในขณะที่ตกลงไปโดยไม่มีใครยอมใคร ในที่สุดทั้งคู่ก็มาโผล่ยังพื้นที่ต่างมิติอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นซากปรักหักพังที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และดำเนินการต่อสู้กันต่ออย่างถึงเลือดถึงเนื้อ
ทั้งความอึดและความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของนักเวทชราที่สามารถใช้ดาบต่อกรกับอสูรนรกแบบตัวต่อตัวได้อย่างสูสียิ่งกว่าจอมดาบใด ๆ ที่คุโระเคยเห็นมา ทำให้เขาติดตามดูการต่อสู้ด้วยใจเต้นระทึก
ในที่สุด นักเวทชราก็สามารถสังหารอสูรนรกตนนั้นลงได้ ก่อนที่จะนอนหมดแรงและสิ้นลมตามมันไปอีกคน แต่ปลายทางของเขากลับไม่ใช่ความตาย แต่เป็นการเลื่อนระดับขึ้นเป็นคลาสที่สี่! ก็คือการกลายเป็นพ่อมดสีขาว! เป็นผลตอบแทนในการเอาชนะอสูรนรกได้ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวนั่นเอง
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้ โลรินก็คลายเวทออก ทำให้ภาพที่ฉายอยู่ดับวูบลง ก่อนที่เธอจะพูดปิดท้าย
“นั่นก็คือการเดินทางของนักเวทสีเทาแห่งโลกเก่า และการต่อสู้ที่ทำให้เขาได้เลื่อนคลาสเป็นนักเวทสีขาวไงล่ะ”
โลรินกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มและสีหน้าที่แสดงความภูมิใจอย่างที่สุด เพราะตระกูลของเธอเป็นผู้ค้นพบอาติแฟคชิ้นนี้ และใช้ข้อมูลภายในนั้นในการสร้างคลาส ‘นักเวทสีเทา’ ขึ้นมา ตามแบบฉบับของนักเวทชราที่ได้เห็นในบันทึกนั่นเอง
คุโระจ้องมองโลรินสลับกับอาติแฟคที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยแววตาที่ทั้งแสดงความรู้สึกตื่นเต้นและชื่นชม เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าในสมัยโลกเก่ามีนักเวทที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ด้วย จึงทั้งรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจมาก
ส่วนซาล เมื่อได้เห็นภาพทั้งหมดจากอาติแฟคที่โลรินฉายให้ดู เขาก็แสดงสีหน้าอันซับซ้อนออกมา
เพราะเขาเคยเห็นบันทึกชุดนี้มาแล้วจากห้องสมุดของแซนโดร ทำให้รู้ว่ามันเป็นเพียงวรรณกรรมของโลกเก่าเท่านั้น จึงไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเรื่องนี้ดีกันแน่