Doombringer the 5th - ตอนที่ 11
Ch.11 – ผู้เฝ้าทางแห่งอคาทอช
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 11
ผู้เฝ้าทางแห่งอคาทอช
Part 1
ซาลากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดชั้นใต้ดินของมาลาไคท์คีป
วันนี้ตรงกับวันหยุดพักประจำสัปดาห์พอดี แซนโดรจึงอนุญาตให้เขาใช้เวลาได้ตามใจชอบ ช่วงเช้านี้เขาจึงเลือกที่จะอ่านบันทึกของโลกเก่าซึ่งตั้งใจจะอ่านมานานแล้วแต่ก็ไม่มีเวลาซะที
ไหน ๆ ก็ตั้งใจจะเป็นผู้สร้างหายนะ (แบบปลอม ๆ ) แล้ว ซาลจึงลองคุ้ยหาบันทึกเกี่ยวกับเหล่าจอมมารหรือผู้สร้างหายนะของโลกเก่าดู เผื่อจะได้วิธีการที่ช่วยเป็นแนวทางในการเป็นผู้สร้างหายนะดูบ้าง
เขาอ่านบันทึกไปแล้วทั้งสิ้นสามเรื่องด้วยกัน
เรื่องแรกคือเรื่อง ‘จอมมารแห่งแหวน’
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจอมมารที่มีจุดอ่อนคือแหวนของตนเอง ทั้งที่ตอนแรกสร้างแหวนขึ้นมาเพื่อใช้ครอบครองทุกสิ่ง แต่พอแหวนหลุดออกจากนิ้ว ร่างกายก็ระเบิดทันที แถมแหวนยังถูกคนแอบนำไปทำลายที่ภูเขาไฟหนึ่งเดียวซึ่งสามารถทำลายมันได้ เพราะจอมมารลืมสั่งให้คนเฝ้าทางเข้าภูเขาไฟเอาไว้ กลายเป็นจุดจบของจอมมารติงต๊องซึ่งพ่ายแพ้อย่างง่าย ๆ ทั้งที่อีกเพียงนิดเดียวก็จะยึดครองโลกได้สำเร็จอยู่แล้ว
ข้อคิดที่ซาลได้จากบันทึกเรื่องนี้คือ ไม่ควรใส่วิญญาณตัวเองลงไปในของที่ถูกขโมยได้ง่ายอย่างแหวน และควรจัดเวรยามเฝ้าดันเจียนของตัวเองเอาไว้เสมอ
เรื่องที่สองที่เขาอ่านคือ ‘ความพิโรธแห่งราชาลิช’
ราชาแห่งลิชผู้นี้เป็นจ้าวแห่งอันเดด (Undead) มีไพร่พลมหาศาลเหลือคณานับ และยังมีเหล่าขุนพลคู่ใจอีกมากมายซึ่งแต่ละคนสามารถต่อกรกับเหล่าผู้กล้าระดับสูงสุดของฝ่ายธรรมะได้คราวละหลายสิบคนเลยทีเดียว
แต่ราชาลิชกลับมีแผนการพิสดาร คือต้องการคัดเฉพาะผู้กล้าระดับสูงสุดของโลกมายังหน้าบัลลังก์ของตนเอง จะได้สังหารผู้กล้าทั้งหมดแล้วเปลี่ยนให้เป็นผีดิบเพื่อให้มารับใช้ตนเองในฐานะขุนพลชุดใหม่ เพื่อการนี้ราชาลิชยอมสละขุนพลของตนเองไปจนหมด โดยให้ทุกคนไปตายในการทดสอบเหล่าผู้กล้า ซึ่งซาลคิดว่าเป็นเรื่องที่ติงต๊องสิ้นดี เพราะดูยังไงขุนพลชุดเก่าก็เก่งกว่าเหล่าผู้กล้าเห็น ๆ
หลังจากขังผู้นำของผู้กล้าไว้ในก้อนน้ำแข็งเพื่อให้ดูวาระสุดท้ายของเหล่าพวกพ้อง และสู้กับเหล่าผู้กล้าแบบออมมือไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ราชาลิชก็เริ่มเพลี่ยงพล้ำ แต่ก็ยังรักษาฟอร์มด้วยการบอกว่า ‘ทั้งหมดเป็นการทดสอบ และเป็นไปตามแผน’ ก่อนจะใช้ท่าไม้ตายเพื่อคร่าวิญญาณของเหล่าผู้กล้าทั้งหมดได้ในคราวเดียว
แต่ในช่วงเวลาสุดท้าย ผู้นำของเหล่าผู้กล้าซึ่งถูกผนึกอยู่ก็รวบรวมพลังแห่งแสง ปลดพันธนาการของตนเองออกมาทำลายดาบของราชาลิชได้สำเร็จ ทำให้เหล่าผู้กล้ารวมพลังกันโค่นราชาแห่งลิชลงได้ในที่สุด นี่จึงเป็นจอมมารอีกคนที่พ่ายแพ้ให้กับความคิดประหลาด ๆ ของตนเอง
ซาลรู้สึกว่าจอมมารแห่งโลกเก่ามีแต่พวกติงต๊อง แพ้ภัยตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่เรื่องของราชาแห่งลิชก็ยังพอทำให้เขาเห็นประเด็นสำคัญหลาย ๆ อย่างที่น่าสนใจเหมือนกัน แม้จะไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีให้ทำตาม แต่ก็พอใช้ในการเรียนรู้จากความผิดพลาดได้
เรื่องที่สามที่เขาเลือกมาอ่านด้วยก็คือ ‘จอมมารเศรษฐศาสตร์’ หรือที่บันทึกบางเล่มให้ชื่ออีกอย่างหนึ่งไว้ว่า ‘จอมมารก้อนเนื้อ’
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของจอมมารสาวที่สามารถชักชวนผู้กล้าให้มาเป็นพวกได้สำเร็จ
ทว่าเป้าหมายของจอมมารคือการสร้างโลกที่ดียิ่งขึ้นผ่านการพัฒนาทั้งทางด้านสังคม, การศึกษา, เศรษฐกิจ ด้วยความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์และการเมืองของตนเอง เพื่อให้โลกได้พบกับความสันติสุขอันยั่งยืน
แม้จะขัดใจกับความขี้อ้อนของจอมมารสาวและฉากที่เน้นถึงก้อนเนื้อขนาดมหึมาของจอมมารไปบ้าง แต่เพราะเนื้อหาด้านวิชาการของเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดและน่าสนใจ ซาลจึงรู้สึกเพลิดเพลินกับการอ่านพอสมควร
เขาคิดว่าจอมมารคนนี้มีส่วนคล้ายเหมือนกับตนเองอยู่บ้าง คือแม้จะได้ชื่อว่าเป็นจอมมาร และเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก แต่ในความจริงแล้วเป็นผู้ที่พยายามช่วยโลกอยู่ ซาลยังแอบคิดว่าสักวันหนึ่งถ้าได้เจอกับผู้สร้างสันติภาพหญิงสาวที่มาเพื่อปลิดชีวิตเขา เขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมเธอให้เข้ามาเป็นพวกได้แบบจอมมารคนนี้รึเปล่านะ
ระหว่างที่อ่านไปได้เกือบครึ่งเล่ม ซาลก็รู้สึกถึงการสั่นไหวของพลังเวทรอบตัว เป็นสัญญาณว่าแซนโดรกำลังเรียกตัวเขาอยู่ ซาลจึงหลับตาลงและรวบรวมสมาธิ จากนั้นร่างของเขาก็หายวับไป
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ซาลก็กลับมาอยู่บนรถม้า โดยมีแซนโดรนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และมีอาหารมากมายวางอยู่บนโต๊ะตรงกลางระหว่างที่นั่งทั้งสองฟาก
“…ได้เวลาอาหารแล้วน่ะ …การเคลื่อนย้ายจิตไม่มีปัญหาใช่มั้ย?…”
“อื้ม เหมือนไปอยู่ที่นั่นเองทุกประการเลยล่ะ สะดวกดีนะ”
ร่างที่ซาลใช้อ่านหนังสือในห้องสมุดอยู่จนถึงเมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงร่างอัญเชิญเสมือนเท่านั้น
แซนโดรทำพันธสัญญาอัญเชิญกับซาล แล้วอัญเชิญร่างเสมือนลงไปในห้องสมุดของมาลาไคท์คีปจากนั้นจึงมอบสิทธิ์ความเป็นเจ้าของร่างเสมือนให้กับเขา
เมื่อได้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของแล้ว ซาลก็ใช้เวท ‘โพสเซสชั่น’ (Possession) เวทขั้นที่สองของ ‘มิเนี่ยนวิชั่น’ ที่เรียนมาจากแซนโดร ในการควบคุมร่างเสมือนอย่างสมบูรณ์ เวทนี้ช่วยให้ผู้เป็นเจ้าของร่างเสมือนสามารถควบคุมใช้งานร่างเสมือนได้ราวกับเป็นร่างกายของตนเอง ทำให้ซาลสามารถใช้งานห้องสมุดได้ แม้ตัวจะอยู่บนรถม้าก็ตาม
“อันที่จริงถ้าให้ผมอัญเชิญสมุนลงไปในมาลาไคท์คีปเองได้ก็น่าจะสะดวกกว่านะ จะได้ไม่ต้องรบกวนแซนโดรด้วยไง”
จริง ๆ คือเขาอยากจะใช้เวลาในห้องสมุดตามใจชอบเมื่อไหร่ก็ได้มากกว่า แต่แสร้งอ้างไปงั้น
“…เรล์มน่ะต่างกับดันเจียน …ถึงจะรู้อักขระเฉพาะของเรล์ม แต่ไม่ใช่เจ้าของก็อัญเชิญสมุนลงไปไม่ได้หรอกนะ …อีกอย่างคือถ้าใช้ ‘โพสเซสชั่น’ กับร่างอัญเชิญอื่น ๆ มันมักจะมีปัญหาเรื่องการควบคุม เพราะไม่ชินกับร่างนั้น …ถ้าใช้ ‘โพสเซสชั่น’ กับร่างที่เหมือนกับตัวจริงเป๊ะจะใช้งานง่ายกว่า …ที่สำคัญคือระยะทางที่สามารถเชื่อมต่อกับร่างเสมือนได้น่ะมีจำกัด ถ้าไม่ใช่เพราะฉันมีเครือข่ายวงเวทเคลื่อนย้ายที่เป็นตัวช่วยส่งต่อสัญญาณละก็ แค่พ้นออกจากเขตเลนเทียมา เธอก็เชื่อมต่อกับร่างเสมือนไม่ได้แล้วล่ะ…”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแซนโดร ซาลก็เข้าใจข้อจำกัดของวิธีนี้ จึงไม่ได้บ่นอะไรออกมาแม้จะรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย อย่างไรก็ตามการที่สามารถใช้ห้องสมุดจากที่ไกล ๆ ได้ก็นับเป็นเรื่องที่ดีเกินคาดแล้ว
ทั้งสองคนทานอาหารกลางวันกันบนรถม้าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เมื่อทานเสร็จ รถม้าก็เดินทางมาถึงจุดเทเลพอร์ทแห่งหนึ่งที่แซนโดรซ่อนเอาไว้พอดี
ที่นั่นเป็นชายป่าซึ่งอยู่ห่างจากถนนสายหลักไปไม่มาก รถม้ามาหยุดอยู่ตรงที่ว่างซึ่งแวดล้อมไปด้วยต้นไม้มากมาย แม้จะเข้ามาในป่าไม่ลึกนัก แต่แถวนี้ก็มีต้นไม้หนาทึบจนมองออกไปไม่เห็นถนนสายหลักเลย
แซนโดรวาดมือไปบนอากาศเล็กน้อยก่อนจะถ่ายเทพลังเวท ซาลที่แอบมองลอดหน้าต่างอยู่ก็สังเกตเห็นต้นไม้หลายต้นที่แวดล้อมที่ว่างนี้อยู่เริ่มมีอักขระปรากฏที่ลำต้นและเรืองแสงออกมา
ไม่นานวงเวทขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนพื้น ความกว้างของมันโอบล้อมพื้นที่ที่รถม้ากำลังจอดอยู่ได้เกือบทั้งหมด จากนั้นแสงสีฟ้าอ่อนจากวงแวทก็แผ่ขึ้นมาปกคลุมไปทั่วบริเวณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่รถม้าทั้งคันจะหายวับไป
———————————————————————————————————-
Part 2
เมื่อแสงที่อาบรอบตัวรถหายไป ซาลก็พบว่ารถม้าได้เคลื่อนย้ายมายังป่าอีกแห่งหนึ่งแล้ว แม้จะเป็นป่าเหมือนกันแต่เขาก็สังเกตเห็นความต่างของต้นไม้ ซึ่งไม่ใช่ต้นไม้ชนิดเดียวกับป่าที่เข้ามาก่อนหน้านี้
ถึงจะเคยใช้วงเวทเคลื่อนย้ายของมาลาไคท์คีปมาแล้ว แต่ซาลก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกับการเคลื่อนย้ายแบบนี้อยู่ดี แถมนี่ยังเป็นการเดินทางไกลเพื่อไปยังอคาทอช แหล่งกำเนิดของเหล่ามังกร สถานที่ในฝันของเขา ซาลจึงมองสำรวจออกไปนอกหน้าต่างพลางพูดกับแซนโดรด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“แจ๋วเลย~ ตอนเดินทางคราวที่แล้วก็ใช้วิธีแบบนี้ใช่มั้ย?”
“…อืม …ก็ประมาณนี้แหละ …จริง ๆ ฉันไม่ค่อยอยากใช้วงเวทเคลื่อนย้ายตอนกลางวันเท่าไหร่ …แต่การผ่านแดนตามปกติมันเสียเวลาในการตรวจสอบเอกสารเยอะ แถมไม่รู้ว่าจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อค้นหาตัวเธอรึเปล่า …เพราะฉะนั้นใช้วงเวทเคลื่อนย้ายข้ามแดนมาเลยจะเร็วกว่า…”
“โอ้~ แปลว่าตอนนี้เราอยู่ในเซนิธาลแล้วสินะ?”
“…อืม …แค่ตอนใต้ของเซนิธาลเท่านั้น …ยังอีกไกลกว่าจะไปถึงอคาทอช …ถ้าไม่มีปัญหาอะไร และใช้วงเวทเคลื่อนย้ายได้อย่างที่วางแผนไว้ …น่าจะถึงอคาทอชก่อนเที่ยงพรุ่งนี้…”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ รถม้าก็แล่นออกจากชายป่าและเคลื่อนที่ไปตามทางสายหลักซึ่งตัดผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวขจีอันกว้างไกล ห่างออกไปที่เส้นขอบฟ้าก็มีภูเขาสูงตั้งตระหง่านอยู่เป็นฉากหลัง มันเป็นทิวทัศน์ที่ทำให้ซาลนึกถึงเขตอีจิสอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งเป็นการเดินทางด้วยรถม้าผ่านทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เขานึกถึงการเดินทางเพื่อไปสอบภาคสนามในวันนั้น
ซาลมองดูทิวทัศน์รอบ ๆ แล้วก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน แม้แต่สีหน้าของเขาก็ดูซึมเซาลง
แซนโดรพอจะเดาออกว่าเขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่แต่เธอคิดว่าเรื่องแบบนี้ควรจะปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาจะดีกว่า อีกอย่างคือเธอไม่รู้วิธีปลอบใจคนอยู่แล้วด้วย จึงไม่คิดจะพูดอะไรออกไป แต่ในระหว่างนั้นเอง ซาลกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมา
“นี่… แซนโดร”
“…หืม?…”
“ถ้าแซนโดรไม่พาตัวผมออกมา… มันจะเป็นยังไงต่อไปเหรอ?”
“…หมายถึงอะไรรึ?…”
“ก็ถ้าเรียนที่นั่นไปเรื่อย ๆ สักวันก็ต้องโตขึ้นใช่มั้ย? พวกนั้นจะสร้างภาพลวงตาหลอกผมไปตลอดชีวิตเลยงั้นเหรอ? และอีกสองปีพออายุ 12 ก็ได้เป็นนักผจญภัยรุ่นสามัญแล้ว ปกติก็ต้องแยกย้ายกันไปเข้าสถาบันตามคลาสของตัวเอง การจัดฉากจะยิ่งไม่ยากขึ้นเหรอ?”
แซนโดรสังเกตสีหน้าของซาลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะสิ่งที่เธอสันนิษฐานเอาไว้อาจทำให้เขาโกรธแค้นพีชคีปเปอร์มากขึ้นอีก ความจริงเธอคิดว่าการเพาะบ่มความเป็นปฏิปักษ์กับพีชคีปเปอร์ให้กับซาลก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร มันทำให้เขามีเป้าหมายที่แน่วแน่และมีความมุ่งมั่นมากขึ้น แต่หากสร้างความเกลียดชังมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อความคิดและการตัดสินใจของเขาจนนำไปสู่การทำเรื่องที่ผิดพลาดได้ เธอจึงรู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะบอกกับเขา แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกออกไป
“…ตามความคิดของฉัน …ถ้าถึงอายุสิบสองแล้วเธอก็น่าจะได้เข้าสถาบันจริง ๆ ตามปกตินั่นแหละ …การจัดฉากน่ะทำแค่ช่วงวัยเด็ก เพื่อไม่ให้มีปมในใจติดตัวไปตอนโตเท่านั้นเอง…”
ซาลรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าขำที่ความพยายามนี้กลับทำให้เขาเกิดปมในใจรุนแรงยิ่งกว่าการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรซะอีก แต่มันก็เป็นเรื่องตลกที่เขาขำไม่ออก
“แล้วพวกเพื่อน ๆ คนสนิทล่ะ? ถึงจะแยกย้ายกันไป แต่ในอนาคตถ้าผมติดต่อพวกเขา หรือตามหาพวกเขาขึ้นมา ความจะไม่แตกเหรอ?”
“…ฉันเองก็ไม่รู้แผนการของพวกนั้นทั้งหมดหรอกนะ …แต่ถ้าให้เดาละก็ …เพื่อน ๆ ของเธอน่าจะถูกเขียนบทให้ตายในช่วงก่อนจบการศึกษาจากโรงเรียนอีจิสนั่นแหละ…”
“เขียนบทให้ตาย!?…”
ซาลถามย้ำด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงความตกใจออกมา ในขณะที่แซนโดรอธิบายต่อ
“…อย่างที่เธอว่านั่นแหละ …การจะจัดฉากตบตาเธอไปทั้งชีวิตน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก …โดยเฉพาะการจะให้มีเพื่อนสนิทสมัยเด็กที่คบกันไปจนโตก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก …ดังนั้นพวกมันคงจะจัดฉากให้เกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างในวันทดสอบภาคสนามครั้งสุดท้ายก่อนจบการศึกษา …ในเหตุการณ์นั้นเพื่อน ๆ ที่เธอรักทุกคนน่าจะตายหมด ด้วยน้ำมือของผู้ที่เกี่ยวข้องกับความมืด …แบบนี้ก็จะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว …ทั้งกำจัดตัวละครที่ไม่ใช้แล้ว ไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต และยังปลูกฝังความเกลียดชังต่อความมืดให้กับเธอด้วย เท่านี้เธอก็จะเป็นคนของพีชคีปเปอร์ที่เกลียดชังความชั่วร้ายโดยสมบูรณ์ และถูกพวกมันชี้นำไปในทางที่ต้องการได้ไม่ยาก…”
ซาลนิ่งเงียบไปหลังจากฟังการคาดเดาของแซนโดร
แค่คิดว่าเหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นจริงเขาก็รู้สึกเจ็บปวดมาก ๆ แล้ว
“ไม่ว่ายังไง… ผมกับพวกเขาก็ต้องจากกันอยู่ดีสินะ…”
“…อืม…”
“แต่พวกนั้นเป็นร่างอัญเชิญนี่นา? แปลว่าต้องมีตัวจริงอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่มั้ย?”
“…นั่นก็ใช่ …แม้ว่าอาจไม่ได้ใช้ชื่อเดียวกันกับที่เธอรู้จัก …แต่เด็กพวกนั้นก็มีตัวตนอยู่จริง ๆ ที่ไหนสักแห่ง…”
แววตาของเขาดูมีความหวังขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนที่แซนโดรจะย้ำเรื่องซึ่งดับความหวังนั้นลงไป
“…แต่อย่าลืมว่าแม้จะมีตัวตนอยู่จริง ๆ พวกเขาก็ไม่รู้จักเธอหรอกนะ …มีแค่เธอที่รู้จักพวกเขา …ไม่สิ …เธอแค่รู้จักส่วนหนึ่งของพวกเขาเท่านั้น …ตัวตนจริง ๆ น่ะอาจมีนิสัยแตกต่างไปจากที่เธอรู้ก็ได้…”
เมื่อฟังเรื่องนี้แล้ว ซาลก็มีท่าทีเซื่องซึมลงไปอีกครั้ง
“ช่วยอัญเชิญร่างเสมือนหน่อยสิ… ผมอยากไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดน่ะ…”
“…ถึงจะแอบไปร้องไห้ที่โน่น ร่างจริงตรงนี้ก็มีน้ำตาไหลให้เห็นอยู่ดีแหละ…”
“มะ.. ไม่ได้จะแอบไปร้องไห้ซะหน่อย!”
แม้เขาจะไม่ได้คิดแบบนั้น แต่พอถูกแซนโดรจี้เข้าก็รู้สึกอายจนหน้าแดงขึ้นมา
“…แต่น้ำตาคลอแล้วนะ…”
“ใช่ที่ไหนเล่า! นี่มัน.. เพราะง่วงต่างหาก! ง่วงก็เลยหาว ก็เลยมีน้ำตาไหลน่ะ!”
“…ขี้แยจัง…”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงเล่า!”
แซนโดรแกล้งหยอกซาลเพื่อให้เขาร่างเริงขึ้น ซึ่งก็ดูจะได้ผล
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนบทสนทนากันอีกสักพัก ก่อนแซนโดรจะอัญเชิญร่างเสมือนให้เขาใช้ในการกลับไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด
ซาลใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายในการอ่านหนังสือ จึงค่อยกลับมาทานอาหารในตอนเย็น และฝึกการใช้เวทนิดหน่อยในช่วงค่ำ ก่อนที่จะเข้านอน
———————————————————————————————————-
Part 3
เช้าวันต่อมา ซาลตื่นขึ้นเพราะรู้สึกถึงอากาศเย็นที่แผ่มากระทบผิวหน้า
เมื่อลืมตาขึ้นเขาพบว่ามีผ้าห่มขนสัตว์คลุมตัวอยู่ ส่วนแซนโดรที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ฝั่งตรงข้ามเมื่อเห็นว่าเขาตื่นแล้วก็วางหนังสือลงและหันมาพูดกับเขา
“…เราใกล้จะถึงอคาทอชแล้วล่ะ …พื้นที่จากแถบนี้ขึ้นไปจะเริ่มหนาวแล้ว …สวมชุดนั้นไว้ให้ร่างกายอบอุ่นด้วย…”
เมื่อเขามองดูรอบตัวดี ๆ ก็พบว่านอกจากผ้าห่มขนสัตว์แล้วยังมีชุดสำหรับใส่ในเขตหนาวซึ่งแซนโดรเตรียมไว้ให้วางอยู่ใกล้ ๆ ด้วย ทั้งชุดผ้าเนื้อหนา, เสื้อกั๊กที่ทำจากหนัง, รองเท้าบูท และผ้าคลุมขนสัตว์
ซาลนำชุดที่แซนโดรเตรียมไว้ให้เก็บเข้าช่องมิติ และค่อย ๆ สวมใส่ทีละชิ้น เขารู้สึกว่าเสื้อกั๊กหนังทำให้ร้อนเกินไปหน่อยจึงถอดออก แต่ก็ยังเก็บผ้าคลุมขนสัตว์เอาไว้ข้างนอก
เมื่อมองดูทิวทัศน์รอบ ๆ เขาก็เห็นทุ่งหญ้ากว้างไกลไม่แพ้เส้นทางที่ผ่านมาเมื่อวาน แต่สีสันของมันกลับแตกต่างออกไป เพราะทุ่งหญ้าในแถบนี้มีสีเหลืองและสีน้ำตาลอ่อน ๆ แทนที่จะเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีเหมือนกับเมื่อวาน ไกลออกไปที่เส้นขอบฟ้าก็มีเทือกเขาสูงมากมายรายล้อม และอากาศก็ออกจะสลัว ๆ เล็กน้อย คล้ายกับมีหมอกเบากางกั้นท้องฟ้าอยู่
ห่างไปไม่ไกลนัก ในระยะที่สายตายังมองถึง เขาก็เห็นกลุ่มนักผจญภัยกำลังต่อสู้กับฝูงนักรบโครงกระดูกอยู่ลิบ ๆ ตรงพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพังและเศษกำแพงหิน ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจ
“เห? ตรงนั้นเป็นพื้นที่ดันเจียนงั้นเหรอ? ใกล้ทางหลักขนาดนี้เนี่ยนะ?”
“…เขตเซนิธาลก็แบบนี้แหละ …โดยเฉพาะตอนเหนือซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่ามังกรน่ะมีความเข้มข้นของละอองเวทมนตร์สูงอยู่แล้ว เลยทำให้เกิดดันเจียนตามธรรมชาติได้ง่าย …เพราะฉะนั้นที่นี่เลยเป็นอีกเขตที่เหล่านักผจญภัยนิยมมาล่ามอนสเตอร์กันรองจากเขตโครซิสเลย…”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแซนโดร ซาลก็พยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งเพื่อดูการต่อสู้ที่อยู่เบื้องนอก แต่รถม้าก็เคลื่อนผ่านเลยมาจนมองไม่เห็นการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ซะแล้ว
รถม้ายังแล่นไปตามทางเรื่อย ๆ ในขณะที่ซาลเฝ้าดูทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางแบบไม่รู้จักเบื่อ เขาได้เห็นการต่อสู้ตามรายทางบ่อยมาก บางจุดแทบจะเกิดขึ้นบนเส้นทางสัญจรเลยด้วย ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเซนิธาลตอนเหนือถึงถูกจัดให้เป็นเขตที่มีความอันตรายขนาดที่ห้ามนักผจญภัยที่มีระดับต่ำกว่า 6 เดินทางเพียงลำพัง
เมื่อเข้าเขตที่ราบสูงซาลก็เริ่มมองเห็นไร่นาและบ้านเรือนผู้คนตามสองข้างทางมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านที่สร้างจากก้อนหินและไม้ มุงหลังคาด้วยหญ้าแฝก มีลักษณะที่เรียบง่าย
ผู้คนในเขตนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวเหนือหรือชาวนอร์ด (Nord) ซึ่งมีร่างกายกำยำ มีดวงตาสีฟ้าและเส้นผมสีทอง พวกชาวบ้านจะสวมชุดผ้าเนื้อหนา ส่วนเหล่านักผจญภัยจะใส่ชุดเกราะหนังหรือชุดที่ทำจากขนสัตว์ซึ่งดูแตกต่างกันชัดเจน
ซาลมองดูชาวเหนือด้วยความสนใจ จนมาสะดุดตากับคนกลุ่มหนึ่งซึ่งสวมชุดผ้าบาง ๆ คล้ายกับชุดโร้บ (Robe) ของนักเวท ราวกับไม่สะทกสะท้านกับความหนาวเลย แถมที่ศีรษะก็ยังสวมเครื่องประดับแปลก ๆคล้ายกับมงกุฎอีกด้วย
พอมองดูดี ๆ เขาก็พบว่านั่นไม่ใช่มงกุฎหรือเครื่องประดับ แต่เป็นเขาที่งอกออกมาจากหัว และมีรูปทรงคดเคี้ยวจนดูเหมือนกับมงกุฎ เป็นลักษณะที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“เอ๋? แซนโดร? คนพวกนั้นมัน?”
“…อืม นั่นคือพวกเผ่ามังกร (Dragonkin) ไงล่ะ…”
“เห~ นั่นน่ะเหรอมังกรที่มีร่างเป็นมนุษย์ เพิ่งเคยเห็นตัวจริงเป็นครั้งแรกนี่แหละ”
“…อย่าไปจ้องมากนัก …พวกนั้นน่ะส่วนมากจะเป็นพวกเย่อหยิ่ง ดูถูกมนุษย์ว่าต่ำชั้นกว่า …ความจริงร่างแปลงมนุษย์น่ะจะทำให้เหมือนมนุษย์โดยสมบูรณ์เลยก็ได้ …แต่ก็ยังจงใจเหลือส่วนที่เป็นเขามังกรเอาไว้ เพื่อให้เห็นความต่างว่าไม่ใช่มนุษย์ไงล่ะ…”
ซาลยังคงมองดูคนกลุ่มนั้นอย่างไม่วางตา สักพักพวกเขาก็กางปีกขนาดใหญ่ออกมาจากหลัง แล้วบินขึ้นท้องฟ้าหายลับไป
“หวาว~ กางปีกมังกรในร่างมนุษย์ได้ด้วยล่ะ! เจ๋งไปเลย!”
ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ตั้งใจฟังที่แซนโดรพูดสักเท่าไหร่ เธอเลยได้แต่ถอนใจ
“นี่ ๆ แซนโดร เผ่ามังกรเนี่ยก็เป็นมังกรมาก่อนไม่ใช่เหรอ? แล้วการที่นักผจญภัยจำนวนมากไปล่ามังกรซึ่งเป็นเหมือนญาติของเขา ทำไมเชาถึงไม่ว่าเอาล่ะ?”
“…พูดให้ถูกคือยังเป็นมังกรอยู่ …แค่วิวัฒนาการสูงกว่าเท่านั้น …เธอรู้รึเปล่าว่าเผ่ามังกรเกิดขึ้นได้ยังไง?…”
“อืม… ถ้าจำไม่ผิด เผ่ามังกรคือพวกมังกรที่มีชีวิตอยู่มานานมาก ๆ จนกระทั่งเกิดการพัฒนาสติปัญญา ทำให้มีความคิดและจิตใจ เทียบเท่ากับมนุษย์ในที่สุด”
“…นั่นก็ไม่ผิดนัก …แค่ยังขาดรายละเอียดอยู่นิดหน่อย …พวกเผ่ามังกรคือมังกรที่ผ่านการจำศีลใน ‘อีเธอนัลดรีม’ (Eternal Dream) มานับพัน ๆ ปี จนเกิดการยกระดับจิต …จากสัตว์เดียรัจฉาน กลายเป็นตัวตนที่มีสติปัญญา มีความนึกคิด …บางตัวก็ยังคงใช้ร่างมังกรต่อไปโดยไม่ได้จำแลงร่างเป็นมนุษย์หรอกนะ …พวกที่ใช้ร่างมนุษย์ส่วนใหญ่จะจำแลงร่างมาเพื่อการติดต่อสื่อสารหรือหาความรู้เพิ่มเติมเป็นหลัก…”
“เห~ แบบนี้เองเหรอเนี่ย… เอ๋? แต่โลกเพิ่งมีอายุแค่สามร้อยกว่าปีไม่ใช่เหรอ? ทำไมเผ่ามังกรถึงจำศีลเป็นพัน ๆ ปีได้ล่ะ?”
“…’อีเธอนัลดรีม’ เป็นห้วงมิติเวลาที่แยกจากโลกแห่งความเป็นจริง …เวลาในนั้นจะผ่านไปเร็วกว่าโลกภายนอกนับร้อยเท่า …พูดง่าย ๆ ว่าเวลาแค่สิบปีของโลกภายนอกก็จะเท่ากับเวลาของ ‘อีเธอนัลดรีม’ นับพันปีไงล่ะ…”
“ว้าว~ ยอดไปเลยนะ เหมือนกับ ‘ห้องแห่งกาลเวลา’ ที่เคยอ่านเจอในบันทึกของโลกเก่าเลย แต่แบบนี้ก็แปลว่ามังกรทุกตัวสามารถกลายเป็นเผ่ามังกรได้สักวันนึงน่ะสิ?”
“…การผ่าน ‘อีเธอนัลดรีม’ เป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่าที่พูดเยอะ …ไม่ใช่มังกรทุกตัวที่จะมองเห็น ‘อีเธอนัลดรีม’ ได้ในระหว่างจำศีล …มีแค่บางตัวที่มองเห็นมัน และเลือกที่จะเข้าไป …และนั่นก็เป็นการทดสอบขั้นแรก…”
“ขั้นแรกเหรอ?”
“…ใช่ …การมองเห็นเส้นทางนี้เป็นแค่ขั้นแรกเท่านั้น แต่จะเลือกเส้นทางหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง …มังกรส่วนใหญ่จะเมินเฉยกับเสียงเรียกนั้นและใช้ชีวิตแบบสัตว์ต่อไป …มีเพียงส่วนน้อยที่สนใจและยอมเข้าไปยัง ‘อีเธอนัลดรีม’…”
แววตาของซาลทอประกายอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นกว่าเดิม เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องพวกนี้
“แล้วขั้นที่สองล่ะ?”
“…ฉันเองก็ไม่แน่ใจรายละเอียดหรอก รู้แต่ว่าภายใน ‘อีเธอนัลดรีม’ นั้นเต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย …คล้ายกับเป็นความฝันของพวกสัตว์ มนุษย์น่ะถึงจะเห็นภาพแต่ก็คงบรรยายไม่ถูกหรอก …ความฝันนี้จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปตามสภาพจิตใจและสติปัญญาของมังกรตนนั้น …มีทั้งดีและร้าย …มังกรบางตัวก็ตายในความฝันทำให้ตายในโลกจริงด้วย …บางตัวก็หลงอยู่ในความฝันชั่วนิรันดร์จนไม่ตื่นขึ้นมาอีก …มีเพียงน้อยตัวที่จะค่อย ๆ สั่งสมสติปัญญาจนหาทางกลับออกมาได้…”
ซาลแสดงสีหน้าประทับใจออกมา เพราะไม่คิดว่าการกำเนิดของเผ่ามังกรเป็นอะไรที่ซับซ้อนและน่าสนใจขนาดนี้ จึงเอ่ยคำถามไม่ขาดปาก
“เมื่อกลับออกมาได้ก็จะกลายเป็นเผ่ามังกรงั้นเหรอ?”
“…จริง ๆ ก็คือกลายเป็นมังกรระดับสูงที่มีสติปัญญานับพันปี …คำว่า ‘เผ่ามังกร’ น่ะเป็นแค่ชื่อเรียกขานที่มนุษย์ตั้งให้เท่านั้น …แต่พวกนั้นก็ไม่ได้รังเกียจอะไรน่ะนะ เพราะดูเหมือนจะไม่อยากถูกเรียกรวมกับมังกรชั้นต่ำด้วย นั่นคือสาเหตุที่พวกนั้นไม่ถือถ้าจะมีคนไปล่าพวกมังกรชั้นต่ำไงล่ะ…”
“เอ๋? มังกรชั้นต่ำงั้นเหรอ? ก็มีต้นกำเนิดเดียวกันหมดไม่ใช่รึไง?”
“…ในสายตาของเผ่ามังกรแล้ว …พวกมังกรที่ยังไม่ผ่าน ‘อีเธอนัลดรีม’ ก็มีสถานะไม่ต่างไปจากสัตว์ชั้นต่ำเลย …เหมือนเป็นเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์เดียรัจฉานน่ะแหละ …พวกนั้นไม่คิดว่ามังกรชั้นต่ำเป็นสัตว์ประเภทเดียวกับตัวเองด้วยซ้ำ …นิสัยของมังกรก็แบบนี้แหละ…”
“เพราะงั้นก็เลยไม่ว่าอะไรถ้ามีคนไปล่ามังกรชั้นต่ำสินะ”
“…ก็ประมาณนั้นแหละ …พวกมังกรชั้นต่ำหรือมังกรป่าเองก็โจมตีคนไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแม้แต่พวกเผ่ามังกร …เพราะฉะนั้นการที่มีคนไปจัดการกับความรำคาญนี้ให้ สำหรับพวกนั้นแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี…”
ซาลพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาเคยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมังกรตามธรรมชาติมามากมาย แต่ไม่เคยหาข้อมูลเกี่ยวกับเผ่ามังกรมาก่อนเลย จึงคิดว่าหากมีเวลาคงต้องลองไปค้นข้อมูลพวกนี้ดูบ้างแล้ว
ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นรถม้าก็แล่นมาจนใกล้จะถึงที่หมายพอดี
เบื้องหน้าของรถม้าคือเมืองซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาขนาดใหญ่ หุบเขานั้นเป็นทางลาดทอดยาวขึ้นไปยังยอดเขาสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยสองข้างทางมีบ้านเรือนที่สร้างขึ้นบนทางลาด และที่สร้างโดยฝังตัวเข้าไปในหน้าผา เรียงรายกันเป็นแนวยาวขึ้นไปจนมองแทบไม่เห็นจุดสิ้นสุด
มันคือเมืองสคูลดาฟน์ (Skuldafn) เมืองที่มนุษย์และเผ่ามังกรอาศัยอยู่ร่วมกัน ทั้งยังเป็นเมืองศูนย์กลางที่เหล่านักผจญภัยใช้เป็นฐานที่มั่นในการลุยดันเจียนของอคาทอชด้วย
เพราะทางเริ่มจะลาดชันมากขึ้นเรื่อย ๆ แซนโดรจึงให้ลงจากรถม้าและหันมาใช้การเดินเท้าแทน
สคูลดาฟน์จัดเป็นเมืองที่คึกคักไม่แพ้เมืองลินซ์เลยทีเดียว แต่บรรยากาศของที่นี่กลับแตกต่างออกไป
ที่เมืองลินซ์นั้นมีลักษณะเป็นเมืองป้อมปราการซึ่งมีทหารมากมายเป็นผู้รักษาความสงบ มีชาวบ้านธรรมดาเดินกันให้ขวักไขว่ และมีนักผจญภัยให้เห็นอย่างประปราย เว้นแต่แถว ๆ หน้าที่ทำการสมาคม แต่ในสคูลดาฟน์นั้นเกือบทุกคนที่นี่ดูจะเป็นนักผจญภัยกันหมด ชาวบ้านร้านตลาดมีให้เห็นเป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนคนที่เดินถนนอยู่มีลักษณะเป็นนักผจญภัยแทบทั้งสิ้น
ร้านรวงต่าง ๆ สองข้างทางส่วนใหญ่ก็จะเป็น โรงแรม, ร้านอาหาร, ร้านเหล้า, และร้านขายอุปกรณ์สำหรับนักผจญภัยทั้งอาวุธและชุดเกราะ แทบไม่มีร้านขายของทั่ว ๆ ไปปะปนอยู่เลย นับเป็นเมืองของนักผจญภัยโดยแท้
แซนโดรเดินดูโรงแรมต่าง ๆ เพื่อหาสถานที่เหมาะสมสำหรับใช้พักแรม ในที่สุดก็มาหยุดที่โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งดูหรูหรากว่าโรงแรมทั่ว ๆ ไป และมีคนใช้บริการไม่เยอะนัก
ในห้องโถงของโรงแรมมีแคมป์ไฟขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงกลาง นักผจญภัยหลายคนนั่งล้อมวงดื่มกินกันอยู่รอบแคมป์ไฟโดยมีนักดนตรีคอยขับขานเสียงเพลงให้คนในนั้นฟังด้วย ส่วนพื้นที่รอบ ๆ ก็เป็นโต๊ะไม้สำหรับนั่งรับประทานอาหารอีกนับสิบโต๊ะ จัดว่าเป็นโรงแรมที่มีห้องโถงขนาดใหญ่เลยทีเดียว
เมื่อจองห้องกับผู้ดูแลของโรงแรมเสร็จแล้ว แซนโดรก็สั่งอาหารมากินที่โต๊ะในห้องโถงของโรงแรมนั้นเอง เพราะว่าได้เวลาอาหารกลางวันพอดี
เธอสั่งอาหารประจำถิ่นเกือบทุกอย่างในเมนูมากิน ไม่ว่าจะเป็น มีทบอลกับมันบดราดน้ำเกรวี่, ปลาเฮอริ่งรมควันราดไข่ปลาคาเวียร์, เนื้อตุ๋นราดซอสหัวไชเท้า, ใส้กรอกเนื้อผัดชีสมะเขือเทศ, ซี่โครงแกะย่างราดครีมพริกไทย, ขาวัวเผาเกลือ และยังมีของหวานพื้นเมืองซึ่งทำด้วยเครื่องปรุงขึ้นชื่ออย่าง ‘แมมอธชีส’ อีกจำนวนหนึ่ง ทำให้บนโต๊ะสำหรับสี่ที่นั่งนี้มีที่วางอาหารไม่พอ จนต้องนำลงไปวางบนเก้าอี้ด้วยเลยทีเดียว
แม้จะมีนักผจญภัยบางคนมองมาด้วยสายตาประหลาดใจบ้างแต่แซนโดรก็ไม่ได้ใส่ใจและตั้งหน้าตั้งตากินไปเรื่อย ๆ ซาลพยายามแบ่งจานเปล่ามาวางฝั่งตัวเองบ้างเพื่อจะได้ไม่ดูผิดสังเกตจนเกินไป แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ เพราะจานที่กองสุมกันก็ยังดูเยอะเกินไปอยู่ดี
“นี่… แซนโดรเคยพูดไว้เองไม่ใช่เหรอว่าไม่ควรทำตัวเป็นจุดเด่นน่ะ แต่กินแหลกแบบนี้มันก็ยิ่งเด่นน่ะสิ”
แซนโดรที่เพิ่งจะกินซี่โครงแกะหมดก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากและมือ จากนั้นก็หยิบชามะนาวขึ้นมาจิบ และเช็ดปากอีกครั้ง ก่อนจะพูดกับเขา
“…อาหารพวกนี้มันหากินยากนะ …ฉันไม่ได้กินมานานแล้วน่ะ …แต่ไม่ต้องห่วง …พวกนักผจญภัยแถวนี้ไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมขนาดนั้นหรอก…”
ซาลยังรู้สึกขัดใจอยู่นิดหน่อย เพราะดูยังไงการเขมือบอาหารปริมาณมากขนาดนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เตะตาอยู่ดี เขาจึงพยายามสังเกตท่าทีของผู้คนโดยรอบไปด้วย ซึ่งซาลก็พบว่าแม้จะมีคนซุบซิบในเรื่องปริมาณอาหารที่แซนโดรกินบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะพูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับเห็นเป็นเรื่องสนุก บางคนมองดูด้วยสีหน้าชื่นชมเลยก็มี ทำให้เขารู้สึกเบาใจลง
“เฮ้อ… เอาเถอะ ตามสบายละกัน ว่าแต่เราจะไปไหนกันต่อล่ะ?”
แซนโดรที่เพิ่งจะเริ่มกินอาหารจานใหม่ก็เคี้ยวอาหารอย่างตั้งใจโดยไม่ได้ตอบคำถามในทันที ทำให้ซาลนึกขึ้นได้ว่าแซนโดรจะไม่พูดในขณะที่รับประทานอาหาร หากกำลังกินอาหารอยู่แล้วเขาถามคำถาม เธอจะเคี้ยวอาหารต่อและกลืนลงคอให้หมด ก่อนจะเช็ดปาก ดื่มน้ำ แล้วค่อยตอบคำถามของเขา นี่เป็นมารยาทบนโต๊ะอาหารของแซนโดร ทำให้ซาลรู้สึกผิดเล็กน้อยที่เผลอไปขัดจังหวะการกินของเธอเข้า
เมื่อแซนโดรทำกระบวนการทั้งหมดนั้นเสร็จแล้ว เธอจึงตอบคำถามออกมา
“…ก็คงจะไปที่เขตดันเจียนของอคาทอชเลยน่ะ …เราจะไปเคลียร์พื้นที่และสร้างดันเจียนตามแผนกัน …แต่ดูจากจำนวนนักผจญภัยที่เห็นในเมืองแล้ว อาจมีปัญหานิดหน่อยก็ได้…”
“ปัญหาเหรอ?”
แซนโดรไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมและตั้งหน้าตั้งตากินอาหารกับของหวานต่อไปจนหมด จากนั้นก็จ่ายเงินและพาซาลออกจากโรงแรมเพื่อมุ่งตรงไปยังทางเข้าเขตดันเจียนของอคาทอช
พื้นที่ดันเจียนเป็นส่วนที่อยู่นอกเขตเมืองออกมาเล็กน้อย โดยมีทางแยกออกจากเมืองไปยังเขตชายป่าบนเขาลูกนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางสำหรับอ้อมไปยังหุบเขาส่วนลึก อันเป็นที่ตั้งของเขตดันเจียน
เมื่อไปถึงที่นั่น ซาลกับแซนโดรก็พบกับนักผจญภัยจำนวนมากมาชุมนุมกันเป็นแนวยาว เหมือนกำลังรอคิวอะไรสักอย่าง จำนวนนักผจญภัยที่จับกลุ่มกันรออยู่ระหว่างสองข้างทางนี้ทำให้มีบรรยากาศราวกับเป็นค่ายทหารขนาดย่อม ๆ เลยทีเดียว
ซาลไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีนักผจญภัยมาออกันอยู่แบบนี้ ในขณะที่แซนโดรได้คาดคิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
“…อย่างที่คิดไว้เลย…”
“เอ๋? เรื่องอะไรเหรอ?”
แซนโดรยังไม่ตอบอะไรและเดินเข้าไปคุยกับนักผจญภัยคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ในบริเวณนั้น
“…นักผจญภัยเกินโควต้างั้นเหรอ?…”
“อื้อ ใช่แล้วล่ะ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว ฉันน่ะ… ผะ.. ผมน่ะ กำลังคิดจะเปลี่ยนไปหาดันเจียนด้านล่างแทนอยู่เลย…”
ในทีแรกนั้นนักผจญภัยหนุ่มตอบด้วยท่าทางและน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะกำลังอารมณ์เสียกับการรอ แต่พอหันมาเห็นหน้าของแซนโดรเข้า ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป ทั้งมีสีหน้าผ่อนคลายลงและใช้คำพูดที่สุภาพขึ้นด้วย
“…เข้าใจล่ะ …ขอบคุณมากนะ…”
แซนโดรกล่าวขอบคุณและเดินกลับมาหาซาลด้วยท่าทีเรียบเฉย ในขณะที่นักผจญภัยหนุ่มคนนั้นยังคงมองตามแบบไม่วางตา
เมื่อเดินกลับมาถึง เธอก็อธิบายสถานการณ์ให้ฟัง
“…นี่เป็นปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ เวลาที่มีนักผจญภัยจำนวนมากมารวมตัวกัน …ก็คือมีนักผจญภัยเกินจำนวนโควต้าที่อนุญาตให้เข้าไปล่าได้…”
“เห? เกินโควต้าเหรอ? หมายความว่าไงอะ?”
“…เพราะว่าในยุคนี้มีคนเลือกเป็นนักผจญภัยจำนวนมาก …ทำให้มีจำนวนนักผจญภัยเยอะเกินกว่าปริมาณของมอนสเตอร์ในบางพื้นที่ …ภารกิจที่ทางสมาคมมอบให้ก็ไม่ค่อยจะพอให้นักผจญภัยทุกกลุ่มได้ทำ นักผจญภัยหลาย ๆ กลุ่มเลยเลือกจะไปเคลียร์ดันเจียนกันแบบอิสระ ไม่สนค่าตอบแทนหรือภารกิจ แค่ได้วัตถุดิบหรือมานาสโตนจากการล่าไปขายก็พอแล้ว …ยิ่งเป็นดันเจียนที่มีมอนสเตอร์ระดับสูงอย่างอคาทอช ก็ยิ่งมีนักผจญภัยอยากมาล่าวัตถุดิบเป็นจำนวนมาก…
…เพื่อป้องกันไม่ให้มอนสเตอร์ตามธรรมชาติบางชนิดต้องถูกล่าจนสูญพันธุ์ไป ทางสมาคมก็เลยออกกฎจำกัดการล่า …โดยในแต่ละช่วงเวลาจะให้นักผจญภัยเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเข้าไปล่าในพื้นที่ดันเจียนตามธรรมชาติได้ หากยังไม่ครบเวลาที่กำหนด กลุ่มอื่น ๆ จะเข้าไปล่าไม่ได้ คนเลยมารอคิวกันยาวเหยียดแบบนี้ไงล่ะ…”
ซาลหันไปจ้องมองกลุ่มนักผจญภัยที่มาแออัดกันเป็นขบวนยาวเหยียดอีกครั้งด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาเพิ่งรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย โดยเฉพาะการที่นักผจญภัยมีมากกว่ามอนสเตอร์ยิ่งเป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึง
“เพิ่งรู้ว่ามีกฎแบบนี้อยู่ด้วยนะเนี่ย… แบบนี้ก็แย่น่ะสิ?”
“…ไม่ต้องห่วง …เรื่องนี้จัดเป็นผลดีกับเราในอีกแง่หนึ่ง …ถ้าสร้างดันเจียนเสร็จแล้วก็จะมีนักผจญภัยมากมายแห่กันมาให้สู้ …และการที่มีการสับเปลี่ยนนักผจญภัยกลุ่มใหม่ไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เราต้องระวังเรื่องที่คนจะผิดสังเกตน้อยลงด้วย…”
“แต่เราเองก็เข้าไปในเขตดันเจียนไม่ได้อยู่ดีนี่นา?”
“…ไม่เป็นไร …ทางเข้าเขตดันเจียนน่ะไม่ได้มีแค่ทางนี้หรอกนะ…”
เมื่อพูดจบแซนโดรก็หันหลังกลับและพาเขาเดินย้อนเข้าไปในตัวเมือง
———————————————————————————————————-
Part 4
เมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว แซนโดรก็พาซาลเดินตามทางลาดของเมืองขึ้นไปเรื่อย ๆ
ซาลสังเกตว่ายิ่งขึ้นมาถึงส่วนที่สูงขึ้นผู้คนก็ยิ่งบางตาลง และเริ่มจะเห็นคนของเผ่ามังกรซึ่งไม่ค่อยจะได้เห็นนักในเมืองชั้นล่างปรากฏตัวออกมา
สถาปัตยกรรมของเมืองส่วนนี้ก็เริ่มดูแปลกตาไปด้วย ทั้งอาคารและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ล้วนเชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียวกันราวกับแท่งหิน ราวกับเป็นเมืองที่ถูกสลักขึ้นจากหน้าผา ให้ความรู้สึกมั่นคงน่าเกรงขามและเย็นยะเยือกไปในเวลาเดียวกัน
“…ส่วนเหนือจากนี้ขึ้นไปคือเมืองอคาทอชส่วนล่าง (Lower Akatosh) เป็นเมืองที่แยกจากเมืองสคูลดาฟน์ อีกที …ไม่สิ ต้องบอกว่าสคูลดาฟน์ถูกแยกออกมามากกว่า…”
แซนโดรอธิบายให้ฟังเพราะเห็นซาลสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ ตลอดเวลาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เห? หมายความว่าจริง ๆ แล้วนี่คือเมืองหลักงั้นเหรอ?”
“…นี่คือเมืองของเผ่ามังกรน่ะ …เมื่อก่อนสำนักงานใหญ่ของสมาคมนักผจญภัยแห่งอคาทอชก็ตั้งอยู่ที่นี่ …แต่ก็อย่างที่รู้ ค่านิยมของเผ่ามังกรส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับมนุษย์นัก ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับพวกนักผจญภัยบ่อย ๆ …ที่สุดแล้วทางสมาคมเลยแยกสำนักงานลงไปตั้งที่ด้านล่างแทน แล้วผู้คนก็เลยหันไปรวมตัวกันที่นั่น นาน ๆ เข้าพื้นที่ตรงนั้นก็เกิดการขยายตัวจนกลายเป็นเมืองในที่สุด…”
“อืม… เมื่อกี้นี้บอกว่านี่คือเมืองส่วนล่าง แปลว่ายังมีส่วนบนอีกสินะ?”
“…เมืองส่วนล่างเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่ามังกรที่ชอบใช้ชีวิตในร่างมนุษย์ …ส่วนพวกที่ชอบใช้ร่างมังกรก็มักจะอาศัยอยู่ในส่วนบนของเมืองซึ่งมีลักษณะเป็นถ้ำและภูผามากกว่าสิ่งก่อสร้าง …ตัวเมืองก็เลยถูกแบ่งเป็นสองส่วนแบบนี้แหละ…”
หลังจากอธิบายจบ แซนโดรก็คว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้ จากนั้นก็เริ่มมีหมอกบาง ๆ ออกมาปกคลุมรอบตัวของทั้งสองคน ซาลจึงรู้สึกแปลกใจ
“นี่คือ?”
“…ทางฝั่งตะวันตกของเมืองจะมีทางเชื่อมที่ใช้ไปยังเขตดันเจียนได้ …แต่ปกติเผ่ามังกรจะไม่ให้มนุษย์ใช้ในการผ่านทางหรอก …พวกนักผจญภัยเองก็ไม่ค่อยอยากมาทางนี้อยู่แล้วล่ะนะเพราะถ้าโดนสกัดเข้าอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก …ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่เส้นทางที่มีการเฝ้ายามเข้มงวดอะไร ถ้าพรางตัวสักหน่อยก็น่าจะผ่านไปได้…”
แซนโดรจูงมือซาลเดินผ่านประตูเมืองที่ไร้การเฝ้ายามของเมืองอคาทอชส่วนล่างไป
ภายในตัวเมืองก็มีผู้คนค่อนข้างบางตา ซาลเห็นคนเผ่ามังกรเพียงไม่กี่คนที่เดินอยู่นอกตัวอาคารเท่านั้น แม้จะมีอาคารบางหลังที่มีมังกรในร่างสมบูรณ์นอนอยู่บนหลังคาบ้างก็ตาม แต่จำนวนมังกรที่มีให้เห็นก็ถือว่าน้อยมาก
ดูเหมือนหมอกนี้จะทำให้คนภายนอกมองไม่เห็นพวกเขาเลย เพราะไม่มีใครสนใจหรือหันมามองทางพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่แซนโดรก็เลือกใช้เส้นทางที่ปลอดคนที่สุดด้วย เพื่อไม่ให้เดินสวนกับใครเข้า
ทั้งสองคนเดินผ่านตัวเมืองจนมาถึงประตูเมืองฝั่งตะวันตกได้โดยไม่ถูกใครพบ ประตูเมืองฝั่งนี้ก็ไม่มียามเฝ้าเช่นกัน เมื่อเดินพ้นประตูเมืองออกมา ซาลารัสก็พบว่าพื้นที่ด้านนอกนั้นเป็นที่ราบซึ่งแวดล้อมไปด้วยป่าเขาเต็มสองข้างทาง หากไม่เพราะบรรยากาศอันสลัวและเย็นเยียบนี้เขาคงหลงคิดว่านี่เป็นพื้นที่ด้านล่างของภูเขาเป็นแน่
“พวกนั้นไม่มีทหารหรือยามเลยเหรอ?”
“…จริงๆก็มีนะ …แค่พวกนั้นไม่เห็นความสำคัญของการเฝ้าประตูเมืองเท่านั้นเอง …เป็นความมั่นใจว่ายังไงก็ไม่มีปัญหา …หรือถึงมีปัญหาก็จัดการเอาทีหลังได้…”
กร่างสมกับเป็นมังกรจริง ๆ ซาลรู้สึกหมั่นใส้พวกเผ่ามังกรขึ้นมาตะหงิด ๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกมา
ทั้งสองคนเดินตามชายป่ามาเรื่อย ๆ จนได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วมากระทบหู ดูเหมือนว่าข้างหน้าไม่ไกลออกไปจะมีลำธารไหลผ่านอยู่
เมื่อเดินมาถึงตรงนั้นแซนโดรก็หยุดการก้าวเท้าในทันที ซาลที่เห็นท่าทางอันผิดปกติของอีกฝ่ายจึงกระซิบถามด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“มีอะไรเหรอ?”
แซนโดรหยุดนิ่งเหมือนกำลังใช้สมาธิจับสัมผัสพื้นที่เบื้องหน้าอยู่ ก่อนจะตอบคำถามของซาลโดยยังคงจับจ้องแนวไม้อย่างไม่วางตา
“…ข้างหน้านี้เหมือนจะมีคนอยู่ …น่าจะเป็นพวกเผ่ามังกรที่ออกมาข้างนอก …ไม่เป็นไร พรางตัวแล้วค่อย ๆ ย่องผ่านไปเลยก็แล้วกัน…”
แซนโดรสร้างหมอกขึ้นมาพรางตัวอีกครั้งก่อนจะจูงมือซาลแล้วเดินต่อไป
เพื่อพ้นแมกไม้ออกมาจนถึงลานกว้างข้างลำธารแล้ว ทั้งสองคนก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่ง
หญิงสาวคนนั้นสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวสะอาดตาผูกด้วยสายคาดสีน้ำเงิน เธอมีใบหน้าเรียวงามได้สัดส่วน มีผมยาวสีฟ้าอ่อนซึ่งปลิวไสวดุจแพรไหมเมื่อต้องสายลม บนศีรษะของเธอยังมีเขาสีน้ำเงินอีกคู่หนึ่งประดับอยู่ด้วย บ่งบอกว่าเธอเป็นคนของเผ่ามังกร
หญิงสาวฮัมเพลงและหมุนตัวไปรอบ ๆ ราวกับกำลังเต้นรำโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างนัก ดูเหมือนเธอกำลังอยู่ในโลกส่วนตัวที่ไม่มีใครมารบกวนได้
แซนโดรเห็นเช่นนั้นก็วางใจว่าหญิงสาวคงยิ่งไม่ทันสังเกตอะไร จึงพาซาลเดินย่องออกจากแนวไม้ไปยังสะพานข้ามลำธารที่อยู่ห่างออกไปอีกหน่อย
แต่ทันใดนั้นเอง หญิงสาวก็หยุดนิ่ง ราวกับรับรู้ถึงการมาของพวกเขา
“นั่นใครน่ะ!?”
หญิงสาวหันมาทางทั้งสองคนพร้อมกับตวาดก้อง ทันใดนั้นก็มีกระแสลมกรรโชกพัดจนหมอกของแซนโดรสลายหายไปจนหมด ความแรงของลมนั้นทำให้ซาลถูกพัดจนตัวลอยขึ้นจากพื้น หากไม่ได้แซนโดรรั้งมือเอาไว้เขาอาจปลิวไปตกยังพื้นซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกนับสิบเมตรก็ได้
แซนโดรยืนบังซาลเอาไว้ในท่าเตรียมพร้อม ในขณะที่หญิงสาวค่อย ๆ เดินเข้ามาหาทั้งสองอย่างช้า ๆ ซาลสัมผัสได้ว่าแซนโดรกำลังรวบรวมพลังเวทอยู่ด้วยเหมือนจะพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ
“เอ๋? นั่นมัน.. เด็กเหรอคะ? ขะ.. ขอโทษด้วยนะคะ! คือฉันตกใจไปหน่อย ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาเงียบ ๆ ก็เลย…”
จู่ ๆ ท่าทีของหญิงสาวก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นซาล ดูเหมือนเธอจะรู้สึกผิดที่เกือบทำร้ายเด็กเข้า จึงรีบก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แซนโดรเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เริ่มมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง
“…ไม่เป็นไร …พวกเราผิดเองที่มาเงียบ ๆ น่ะ …คือเราอยากจะขอใช้เส้นทางนี้ในการผ่านไปยังเขตดันเจียนซะหน่อย…”
“เอ๋? แต่การเข้าดันเจียนจากฝั่งบนแบบนี้มันอันตรายนะคะ ทั้งมอนสเตอร์และมังกรที่อยู่ในเขตเหนือนี้แข็งแกร่งกว่าเขตใต้มาก แถมยังพาเด็กมาด้วยแบบนี้มันไม่ปลอดภัยนะคะ”
“…ไม่ต้องห่วงหรอก …ถึงจะเป็นเด็กแต่เจ้านี่ก็เป็นนักผจญภัยมีฝีมือนะ …อย่าดูถูกไปล่ะ…”
“เอ๋~ จริงเหรอคะ ยังเด็กอยู่เลยแท้ ๆ เก่งจังเลยนะคะ”
หญิงสาวเผ่ามังกรก้มตัวลงมาหาซาลและลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู ดูเหมือนเธอจะเชื่อเรื่องที่แซนโดรพูดอย่างง่ายดายโดยไม่นึกสงสัยอะไรเลย
ทั้งซาลและแซนโดรสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของหญิงสาวอย่างหนึ่ง คือตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เธอไม่ได้ลืมตาขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยความสงสัยซาลจึงลองเอามือโบกไปมาตรงหน้าของหญิงสาวดู แต่เหมือนกับเธอจะรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ลืมตามองเลยแม้แต่น้อย
“เอ๋? มีอะไรเหรอคะ?”
“พี่สาวไม่ได้ลืมตาเลยนี่นา ทำไมมองเห็นได้ล่ะ?”
“เอ่อ.. คือว่าฉันไม่มีดวงตาหรอกค่ะ แต่ก็พอจะสัมผัสกระแสวิญญาณและเห็นภาพเป็นเค้าร่างลาง ๆ ได้นะคะ”
แม้จะสงสัยว่าที่บอกว่าไม่มีดวงตาคืออะไร แต่เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรถาม ซาลจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ แซนโดรเองก็ไม่อยากเสียเวลามากนักจึงรีบตัดบท
“…ถ้าไม่ว่าอะไรละก็ …เราขอผ่านทางนี้ไปได้มั้ย?…”
“เอ่อ… ปกติแล้วเขาไม่ให้ใช้เส้นทางนี้ในการผ่านทางหรอกนะคะ ว่าแต่นี่เดินผ่านเมืองมาด้วยเวทพรางตัวเมื้อตะกี้น่ะเหรอคะ? ไม่มีคนเห็นเลยเหรอ? เฮ้อ… พวกเด็กสมัยนี้นี้น้อ… อ๊ะ ไม่สิ พูดแบบนั้นก็เป็นการเสียมารยาทกับคุณสินะคะ ต้องบอกว่าเป็นเวทพรางตัวที่ยอดเยี่ยมเลยผ่านมาได้ต่างหากค่ะ”
หญิงสาวยังคงพูดไม่หยุดราวกับไม่ได้คุยกับใครมานานแล้ว เธอยังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ จนแซนโดรต้องชักกลับมาเข้าเรื่อง
“…เอ่อ …แล้วเรื่องการผ่านทางน่ะ?…”
“อ๋อ! เรื่องนั้นเหรอคะ อืม… ถ้าคุณมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหากับพวกมอนสเตอร์ระดับสูง ฉันก็ไม่ขัดข้องอะไรค่ะ เดิมทีการผ่านทางก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้วด้วย”
“…งั้น …พวกเราขอตัวก่อนนะ…”
“ค่ะ.. อ้อ! จริงสิ ลืมบอกไปอีกอย่างนึง คือเส้นทางนี้น่ะมักถูกพวกมังกรป่าระดับสูงใช้เป็นทางผ่านในการเข้าไปโจมตีเมืองนะคะ ดังนั้นถ้าได้ยินเสียงฟ้าคำรามก็ให้รีบหาที่หลบก่อนและพยายามหลีกให้ไกลจากเส้นทางนี้นะคะ เพื่อความปลอดภัยค่ะ อ๊ะ! ว่าแต่พวกคุณชื่ออะไรกันบ้างเหรอคะ?”
“ผม ซาลารัส แฮลเซียน ครับ”
ทันทีที่พูดจบ ซาลก็โดนแซนโดรเขกหัวจนลงไปทรุดกับพื้น พอจะหันกลับมาโวยเขาก็เพิ่งนึกได้ว่าไม่ควรบอกชื่อจริงนามสกุลจริงกับใครออกไป
“…ฉัน …แซนดร้า เดธวิสเปอร์ …ยินดีที่ได้รู้จัก…”
แซนโดรตอบด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ พร้อมด้วยสีหน้าที่แสดงความเซ็งออกมา ซาลพอจะรู้ความผิดของตัวเองดีจึงพยายามหาเรื่องกลบเกลื่อนโดยคุยกับหญิงสาว
“อ่า… แล้ว พี่สาวชื่ออะไรเหรอครับ?”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามชื่อ หญิงสาวก็มีอาการชะงักเล็กน้อย
“ฉัน… เรียกฉันว่า ‘เออเธมีล’ เถอะค่ะ”
หญิงสาวดูมีท่าทีลังเลก่อนที่จะพูดชื่อนั้นออกมาได้ ทั้งสีหน้าที่ดูสดใสร่างเริงจนถึงเมื่อสักครู่นี้ก็เซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด
แซนโดรเองเมื่อได้ยินชื่อนั้นก็มีแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมและรีบตัดบทอีกครั้ง
“…ถ้างั้น …พวกเราขอตัวก่อนนะ…”
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ!”
หญิงสาวอวยพรส่งแซนโดรกับซาลด้วยใบหน้าที่กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง ส่วนทั้งสองคนก็เดินข้ามสะพานและจากมา
หลังจากเดินห่างออกมาได้สักพัก ซาลที่รู้สึกสนใจในตัวหญิงสาวคนนั้นเป็นพิเศษก็อดพูดถึงเธอขึ้นมาไม่ได้
“นี่ พี่สาวเผ่ามังกรคนนั้นเขาก็นิสัยดีนี่นา ไม่เห็นเหมือนเผ่ามังกรที่แซนโดรเล่าให้ฟังเลย”
“…อืม…”
แซนโดรกลับฟังเงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร สีหน้าของเธอดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ทำให้ซาลรู้สึกสงสัย
“หืม? มีอะไรเหรอ?”
แซนโดรยังคงครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามของเขากลับไป
“…’เออเธมีล’ น่ะ ไม่ใช่ชื่อหรอกนะ…”
คำตอบนั้นทำให้ซาลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“เอ๋? แล้วมันคืออะไรล่ะ?”
“…มันคือถ้อยคำเหยียดหยามของเผ่ามังกร …หมายถึงศูนย์รวมแห่งความชั่วร้าย หรือต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้าย …เป็นคำเหยียดหยามที่หยาบคายที่สุดที่เผ่ามังกรจะมีได้…”
คำพูดของแซนโดรทำให้ซาลยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม เพราะมันฟังดูไม่สมเหตุผลเลย
“อ้าว แล้วทำไมพี่สาวคนนั้นเขาถึงให้เราเรียกเขาว่า ‘เออเธมีล’ ล่ะ?”
“…ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ …ผู้หญิงเผ่ามังกรคนนั้น น่าจะเป็นคนบาปของเผ่ามังกรน้ำแข็ง …เป็นผู้หญิงที่ทำให้เกิดผู้สร้างหายนะคนที่สามไงล่ะ…”