Doombringer the 5th - ตอนที่ 110
Ch.110 – การประลองชิงหอคอย
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 106
การประลองชิงหอคอย
Part 1
เพราะคุโระเองก็เป็นผู้ฝึกฝนคลายสายต่อสู้และไม่เคยเห็นนักเวทที่มีความสามารถในการต่อสู้ประชิดตัวสูงขนาดนี้มาก่อน มันเป็นอะไรที่ขัดกับสามัญสำนึกของคนทั่วไปเป็นอย่างมาก เขาจึงอดแสดงความรู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจออกมาไม่ได้
สำหรับซาล แม้จะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับคุโระเพราะเขาเคยรู้เรื่องของนักเวทสีเทามาก่อนแล้วจากบันทึกของโลกเก่า และรู้ว่านี่เป็นการตีความวรรณกรรมที่ผิดของตระกูลมิแทรนเดียร์ แต่สีหน้าอันซับซ้อนของเขาก็ทำให้โลรินคิดว่าเด็กทั้งสองคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจไม่แพ้กัน เธอจึงเผยรอยยิ้มอันภาคภูมิออกมาก่อนจะกล่าวต่อ
“เป็นไง สนใจอยากจะเรียนวิชาของ ‘นักเวทสีเทา’ ขึ้นมาบ้างรึเปล่า?”
โลรินเอ่ยเชื้อเชิญพลางปรายตามองไปยังซาลซึ่งมีสีหน้าเหมือนกับกำลังลังเลอยู่ แต่เขาก็ตอบกลับมาในทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น
“อ่า… คงไม่ล่ะครับ… นั่นก็แค่ ‘แบทเทิลเมจ’ สายหนึ่งไม่ใช่เหรอ? เป็นสไตล์การต่อสู้ที่ผสมผสานทักษะของคลาสนักรบกับนักเวท ปกติแล้วไม่เรียกว่าเป็นคลาสด้วยซ้ำ เพราะถ้าเป็นคนที่ฝึกฝนทั้งคลาสนักเวทและนักรบมาก่อน ก็สามารถใช้สไตล์การต่อสู้แบบนี้ได้ทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องเรียนเป็นการเฉพาะเลย”
คำตอบของซาลทำให้คุโระฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริง ๆ นักเวทสีเทาที่เห็นก็เป็นแค่นักเวทสายบู๊หรือ ‘แบทเทิลเมจ’ ซึ่งเป็นไสตล์การต่อสู้ของผู้ที่ช่ำชองทั้งคลาสสายนักรบและนักเวท ทำให้มีทั้งความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดและความสามารถในการร่ายเวทมนตร์อยู่ในตัว
ในสายอาชีพนักดาบเองก็มีคลาสแบบนี้อยู่เช่นกัน คือ สเปลซอร์ด (Spellsword) หรือเมจิคไนท์ (Magic Knight) คลาสสายนักรบที่มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ด้วย แต่คลาสที่เป็นสายผสมแบบนี้มักไม่ค่อยมีคนนิยมเรียนเป็นคลาสหลักนัก คนทั่วไปมักจะเรียนคลาสสายใดสายหนึ่งให้ถึงระดับสามและเป็นมาสเตอร์ก่อน เพราะจะทำให้เข้าถึงทักษะระดับสูงได้เร็วกว่า ส่วนพวกคลาสผสมที่ต้องเรียนทักษะสองสายไปพร้อม ๆ กันนั้นทำให้ต้องแบ่งเวลาในการฝึกฝนออกเป็นสองส่วนจนทำให้สำเร็จทักษะระดับสูงของแต่ละด้านได้ช้าตามไปด้วย จึงถูกมองว่าเป็นคลาสจับฉ่ายที่มีพัฒนาการช้ากว่าคลาสเฉพาะทางจริง ๆ
แม้จะได้ยินคำพูดของซาล โลรินก็ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้ยินคำพูดแบบนี้จากคนอื่น ความจริงคือเกือบทุกครั้งที่เธอพยายามเชิญชวนผู้คนให้มาเข้าร่วมสมาคมหรือมาเป็นคลาสนักเวทสีเทา คำตอบของพวกเขาก็ไม่ต่างไปจากนี้สักเท่าไหร่นัก เธอจึงไม่ได้รู้สึกสะกิดใจอะไรกับคำพูดนั้น และกล่าวต่อ
“ความจริงแล้ว ‘นักเวทสีเทา’ น่ะไม่ใช่แค่คลาสผสมหรือแค่ไสตล์การต่อสู้อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจหรอกนะ เรามีเคล็ดวิชาของเราเอง ทำให้สามารถใช้พลังเวทมาเสริมความสามารถทางกายภาพ ทำให้มีความสามารถในการต่อสู้ไม่ด้อยไปว่าคลาสสายนักรบจริง ๆ เลย”
“ถ้าอยากได้ความสามารถในการต่อสู้ ก็ไปฝึกคลาสสายต่อสู้จริง ๆ เลยไม่ดีกว่าเหรอครับ? จะมาฝึกการเป็นนักเวทสีเทาให้อ้อมค้อมทำไมกันล่ะ?”
ซาลตอบกลับไปด้วยสายตาที่แสดงอาการเหนื่อยหน่ายออกมาเล็กน้อย นี่เป็นความรู้สึกของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่านบันทึกเกี่ยวกับนักเวทสีเทาในห้องสมุดของมาลาไคท์คีปแล้วว่านักเวทสีเทาในเรื่องนี้เป็นนักเวทเก๊ ตลอดทั้งเรื่องก็ใช้แต่ดาบฟาดฟันมันอย่างเดียวแทบไม่ได้ใช้เวทมนตร์อะไรเลย จนดูเหมือนกับนักดาบที่คอสเพลย์เป็นนักเวทด้วยซ้ำ
“ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่เหมือนกัน หากใช้ ‘ศาสตร์ของนักเวทสีเทา’ ละก็ จะทำให้มีความสามารถในการต่อสู้เทียบเท่าคลาสสายนักรบจริง ๆ โดยแทบไม่ต้องฝึกฝนร่างกายเลยนะ แล้วก็จะได้ใช้เวลาที่มีทุ่มเทให้กับการศึกษาเวทมนตร์ได้อย่างเต็มที่ไงล่ะ”
“ถ้าเป็นคนที่ชื่นชอบการต่อสู้ระยะประชิด ก็แปลว่าเป็นคนที่หลงใหลการเป็นนักรบมากกว่านักเวทไม่ใช่เหรอครับ… คนแบบนั้นก็ต้องยินดีกับการฝึกฝนร่างกายมากกว่าการมานั่งอ่านตำราฝึกวิชาเวทอยู่แล้วล่ะ”
“ไม่เสมอไปหรอกน่า ในฐานะนักเวท เธอไม่เคยรู้สึกอึดอัดบ้างเหรอที่ต้องคอยอยู่แต่แนวหลัง พอศัตรูใกล้เข้ามาก็ต้องรีบหนีออกให้ห่าง เพราะไม่สามารถรับมือด้วยตัวเองได้ แต่ถ้าเป็นนักเวทสีเทาละก็ เธอจะสามารถต่อกรกับศัตรูทุกชนิดได้ด้วยตัวเองเลยนะ!”
โลรินกล่าวออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย เธอมีสีหน้าที่ดูตื่นเต้นทุกครั้งที่กล่าวถึงคุณสมบัติของนักเวทสีเทา ราวกับกำลังอวดสมบัติอันน่าภาคภูมิใจให้ผู้อื่นได้ชม แต่สิ่งนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ถ้อยคำที่เธอพูดออกมาฟังดูน่าคล้อยตามสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับซาลที่ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามีเหตุผลอะไรที่คนที่ชอบการต่อสู้ระยะประชิดจะต้องไปฝึกการเป็นนักเวทสีเทาเพื่อให้เป็นนักเวทสายบู๊ แทนที่จะฝึกการเป็นนักรบโดยตรงไปเลย
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับ ถ้าอึดอัดกับสไตล์ของนักเวท ก็สู้เปลี่ยนไปเป็นนักรบแทนเลยไม่ดีกว่าเหรอ? อีกอย่างคือ นักเวทสีเทานี่น่ะไม่เห็นจะมีเวทอะไรให้ใช้เลยนี่นา ตอนสู้ก็ใช้แต่กำลังเข้าว่าอย่างเดียว ถ้าวางไม้เท้า ถอดผ้าคลุม แล้วหันมาถือขวานสวมเกราะแทน ต่อให้บอกว่าเป็นพวกบาบาเรี่ยน (Barbarian=คนเถื่อน) คนก็คงเชื่อโดยไม่นึกสงสัยอะไรเลยล่ะ”
“แหม~ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นซะหน่อย จริง ๆ แล้วเราก็มีเวทมนตร์เฉพาะคลาสให้ใช้งานได้อยู่หลายบทเลยนะ!”
โลรินกล่าวแย้งด้วยสีหน้าที่ดูตื่นเต้นและท่าทีที่เหมือนกับกำลังสนุก ทำให้ซาลเริ่มจะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ท่าทีของโลรินไม่เหมือนกับการพยายามโน้มน้าวให้เขากับคุโระคล้อยตามซะทีเดียว แต่เหมือนกับเธอแค่มีความสุขที่ได้พูดคุยกับคนอื่นในประเด็นนี้มากกว่า
เพราะรู้สึกว่าการสนทนาไม่ค่อยคืบหน้าสักเท่าไหร่ ซาลจึงตัดบทและถามถึงเรื่องที่เขาคิดว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดในการเป็นคลาสหลักออกไป
“นักเวทแต่ละคลาสต่างก็มีเวทระดับสุดยอดของตัวเองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคลาสด้วยกันทั้งนั้น เช่นวิซาร์ดก็จะมีเวทระดับสูงสุดอย่าง ‘เมเทโอชาวเวอร์’ (Meteor Shower) หรือชาแมนก็จะมี ‘มีลสตอร์ม’ (Maelstorm) เป็นเวททำลายล้างระดับสูง แล้วนักเวทสีเทาล่ะมีเวทอะไรแบบนั้นบ้างรึเปล่า? เวทระดับสูงสุดที่ทำให้คลาสนี้เป็นคลาสที่น่าเกรงขามเหนือกว่าคลาสอื่น ๆ น่ะ”
“เวทระดับสูงสุดของคลาสเราน่ะเหรอ? อืม… อ้อ! นี่ไงล่ะ!”
เมื่อพูดจบ โลรินก็นำไม้เท้าเวท (Staff) อันหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของ มันมีความยาวประมาณ 150 เซนติเมตรและมีลักษณะคล้ายกับท่อนไม้ทรงเรียวสีเทาซึ่งส่วนบนสุดของมันมีผลึกแก้วสีขาวขุ่นประดับอยู่ ทันทีที่เธอตั้งมันลงบนพื้น ส่วนหัวของไม้เท้าที่เป็นผลึกแก้วก็เปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าออกมา
“นี่คือเวท ‘เดย์ไลท์’ (Day Light) เป็นเวทที่สามารถให้แสงสว่างได้ประดุจดวงอาทิตย์ขนาดย่อมเลยล่ะ หากมีเวทนี้ละก็ ไม่ว่าจะเป็นใต้หุบเหวลึกหรือโถงทางเดินใต้ดินอันมืดมิด ก็ไม่ต่างจากพื้นที่โล่งแจ้งกลางแสงตะวันเลย ที่สำคัญคือด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ทำให้นักเวทสีเทาสามารถใช้เวทเดย์ไลท์ระดับสูงสุดได้ภายในเวลาเพียง 0.3 วินาที เรียกว่าเป็นเวทที่ใช้งานได้รวดเร็วเท่าความคิดเลยล่ะ (แต่ต้องมีไม้เท้าด้วยนะ)”
“นั่นมันก็แค่เวทให้แสงสว่างไม่ใช่เหรอ!? นักเวทระดับอนุบาลก็ยังใช้งานได้เลย!”
เพราะเวทที่โลรินนำออกมาแสดงกลับเป็นแค่เวทแสงสว่างซึ่งถือเป็นเวทระดับพื้นฐานสุด ๆ ของนักเวท ทำให้ซาลเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดกับความดันทุรังของเธอขึ้นมา แต่ทางโลรินก็ยังคงอธิบายต่อไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“นี่ ก็บอกแล้วไงว่าไม่เหมือนกันน่ะ ที่แสดงให้ดูนี่เป็นแค่ตัวอย่างเฉย ๆ ความจริงเวทนี้สามารถเร่งระดับความสว่างได้มากกว่านี้เยอะ ที่สำคัญคือความรวดเร็วในการร่ายซึ่งแม้แต่นักเวทระดับสามอย่างวิซาร์ด (Wizard) ที่เป็นมาสเตอร์แล้วก็ยังไม่สามารถร่ายได้เร็วขนาดนี้เลย และความจริงแล้วคลาสของเราก็ยังมีเวทอันทรงพลังอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเวทเสริมพลังหรือเวทป้องกัน แต่ของแบบนั้นจะให้เอามาแสดงมันก็ยุ่งยากอยู่นะ”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เวทระดับสูงสุดของคลาสก็ยังเป็นเวทที่ทำได้แค่ฉายแสงสว่างอยู่ดี มันจึงไม่ใช่คำตอบที่ทำให้คลาสนักเวทสีเทาเป็นคลาสที่น่าสนใจขึ้นมาสักเท่าไหร่ แถมยังฟังดูน่าหดหู่ด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกหงุดหงิดที่ซาลเคยมี ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเห็นใจแทน เพราะตระกูลของโลรินตีความวรรณกรรมผิดจึงสร้างคลาสพิกลพิการอย่างนักเวทสีเทาขึ้นมา แถมยังพยายามสืบทอดและรักษาคลาสนี้เอาไว้เป็นเวลานาน นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้โลรินต้องโดดเดี่ยวจากกลุ่มเพื่อนด้วย ถึงได้มีท่าทีสนุกสนานและมีความสุขเวลาที่ได้พูดคุยกับคนอื่น ซาลจึงคิดว่าควรจะหาทางทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้
ในเวลานั้นเอง จู่ ๆ ก็มีแรงสั่นสะเทือนทางเวทมนตร์แผ่เข้ามาภายในตัวหอคอย แม้จะเป็นการสั่นสะเทือนที่ไม่รุนแรงนัก แต่ทั้งสามคนก็รู้สึกได้ในทันที
——————————————————————————–
Part 2
ทั้งซาลและคุโระต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เพราะแรงสั่นแบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อระบบป้องกันของสถานที่ต่าง ๆ ถูกรุกล้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดกับหอคอยแห่งนี้ได้เลย เพราะที่นี่อยู่ในเขตของโรงเรียนอีจิสไพร์ม ทั้งยังอยู่ห่างจากเขตชุมชนไม่มากนัก แถมนี่ยังเป็นเวลากลางวันแสก ๆ อีกด้วย
มีเพียงโลรินเท่านั้นที่ไม่แสดงความรู้สึกประหลาดใจใด ๆ ออกมา เธอหันมองไปยังทิศที่เป็นต้นกำเนิดของแรงสั่นสะเทือน ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าของหอคอย และแสดงสีหน้าเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้
“โอ้ เกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลยนะเนี่ย”
เมื่อพูดจบ เธอก็หันไปทางแท่นบูชาของอาติแฟคประจำสมาคมอีกครั้งและวาดมือไปบนอากาศ ทำให้มีหน้าจอเวทมนตร์ขนาดใหญ่ถูกฉายออกมา มันคือหน้าจอที่แสดงรายละเอียดของสมาคมนั่นเอง
โลรินทำการแก้ไขชื่อของ ‘สมาคมนักเวทสีเทา’ ให้กลายเป็น ‘สมาคมพันธมิตรนักเวทสีเทาและซัมมอนเนอร์’ ก่อนจะหันมาถามความเห็นชอบจากซาล
“ให้ชื่อของนักเวทสีเทาขึ้นก่อนแบบนี้ เธอคงไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”
“ไม่ครับ ตามสบายเลย”
“โอเค ถ้างั้นพวกเธอก็ประทับบัตรประจำตัวนักเรียนลงตรงนี้นะ เท่านี้พวกเธอก็จะกลายเป็นสมาชิกของสมาคมพันธมิตรแห่งนี้โดยสมบูรณ์แล้วล่ะ”
ซาลกับคุโระนำบัตรประจำตัวนักเรียนของตนเองออกมาและประทับมันลงบนหน้าจอเวทมนตร์อย่างว่าง่าย เพราะพวกเขาพอจะรู้ขั้นตอนเหล่านี้อยู่แล้ว มันเป็นขั้นตอนสำหรับการลงทะเบียนเป็นสมาชิกของสมาคมนั่นเอง
ทันทีที่บัตรประจำตัวของทั้งสองคนประทับลงบนหน้าจอ ชื่อของทั้งสองคนก็ขึ้นไปปรากฏบนรายนามสมาชิกของสมาคมทันที ซึ่งในตอนนี้มีครบสี่คนแล้ว และหน้าต่างที่ระบุคุณสมบัติของสมาคมซึ่งเคยมีคำว่า [ขาดคุณสมบัติ] ปรากฏอยู่ก็เปลี่ยนเป็น [คุณสมบัติครบถ้วน] ในทันที
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ ไปต้อนรับแขกชุดแรกของสมาคมกันเถอะ”
เมื่อพูดจบ โลรินก็เดินออกจากห้องโถงเพื่อไปยังประตูด้านหน้าของหอคอย ทำให้ซาลและคุโระได้แต่มองหน้ากันด้วยความงุนงง ก่อนจะเดินตามไป
ที่ด้านหน้าของหอคอย มีคนสี่กลุ่มกำลังยืนรอการมาของโลรินอยู่
แต่ละกลุ่มประกอบด้วยคนสามคน ซึ่งมีทั้งชายและหญิงคละกันไป ทุกคนสวมชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนอีจิสไพร์ม ทับด้วยเสื้อคลุมนักเวทซึ่งมีดีไซน์อันทันสมัยคล้ายกับเสื้อโค้ทตัวใหญ่ และมีสีสันแตกต่างกันออกไป คือกลุ่มหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเขียว อีกกลุ่มสวมเสื้อคลุมสีฟ้า อีกกลุ่มสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน และอีกกลุ่มสวมเสื้อคลุมสีแดง ในมือของพวกเขายังถือไม้เท้าเวทมนตร์เอาไว้ข้างตัวด้วย
ทันทีที่โลรินเดินพ้นประตูหอคอยออกมา เธอก็กวาดสายตามองดูเหล่าผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน แต่ในดวงตาของเธอกลับมีประกายอันเร้นลับซุกซ่อนอยู่
ซาลกับคุโระที่เดินตามหลังโลรินออกมาก็มองดูเหล่าผู้มาเยือนที่ยืนเรียงกันอยู่บริเวณด้านหน้าของหอคอยในทันที ดูจากสีของปกเสื้อแล้ว คนเหล่านี้ก็เป็นนักเรียนชั้นปีที่ห้าของโรงเรียนอีจิสไพร์ม เช่นเดียวกับโลริน (โรงเรียนอีจิสไพร์มจะแบ่งแถบสีบริเวณปกเสื้อและข้อมือของชุดยูนิฟอร์มตามระดับชั้น ปีหนึ่งจะใช้สีดำ ปีสองจะใช้สีแดง ปีสามจะใช้สีน้ำเงิน ปีสี่จะใช้สีฟ้า ปีห้าจะใช้สีเขียว และปีหกจะใช้สีขาว)
แม้โลรินจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่ดูเหมือนท่าทีของเธอจะทำให้เหล่าผู้มาเยือนรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นซะมากกว่า
ความจริงคนที่หงุดหงิดมีเพียงเหล่านักเวทหญิงเท่านั้น ส่วนพวกนักเวทชายต่างก็เบือนหน้าไปทางอื่นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ราวกับว่าถ้าหากเลือกได้ พวกเขาก็ไม่อยากจะมาอยู่ตรงนี้เลย
เมื่อเห็นโลรินปรากฏตัวออกมา นักเวทหญิงที่อยู่ในกลุ่มของนักเวทเสื้อคลุมแดงก็ก้าวออกมา เธอมีผมสีน้ำตาลแดงสอดรับกับสีของเสื้อคลุมที่เธอสวมอยู่ แม้สีหน้าของเธอจะดูถมึงทึงเพราะโทสะ แต่มันก็ยังไม่อาจซ่อนความงามตามธรรมชาติของเธอเอาไว้ได้
เธอจ้องเขม็งมายังโลรินก่อนจะเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ตอนนี้ก็เลยเวลาเที่ยงแล้วนะ! ทำไมเธอถึงยังไม่คลายเวทป้องกันของหอคอยนี้แล้วย้ายออกไปอีก!? สมาคมของเธอน่ะมีสมาชิกไม่ครบและไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองหอคอยหลังนี้อีกต่อไปแล้ว! จะดันทุรังไปถึงไหน!?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวผมแดง ซาลก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นเรื่องที่โลรินเคยเล่าให้เขาฟังแล้ว ว่าหอคอยหลังนี้กำลังถูกหมายตาจากสมาคมนักเวทอีกสี่สมาคมอยู่ และพวกเขาก็ใช้วิธีการต่าง ๆ มากมายเพื่อทำให้สมาคมนักเวทสีเทาขาดคุณสมบัติและสิ้นสภาพการเป็นสมาคมจนต้องสละสิทธิ์การครอบครองหอคอยไป ดูจากสีหน้าหงุดหงิดของหญิงสาวที่พูดกับโลรินด้วยท่าทีแข็งกร้าว บวกกับการมากดดันถึงที่ทันทีที่ครบกำหนดเวลาแบบนี้ ทำให้ซาลคิดว่านี่คงเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานแล้ว ถึงขนาดที่อีกฝ่ายไม่อยากจะเสียเวลาทนรอต่อไปแม้อีกเสี้ยววินาที
ช่วยหนุ่มผมทองในชุดคลุมสีแดงที่ยืนอยู่ด้านหลังมีสีหน้าลำบากใจและแสดงอาการลังเลออกมาเล็กน้อย แต่ในที่สุดเขาก็เดินเข้าไปใกล้ ๆ และกล่าวปรามหญิงสาวให้ใจเย็นลง
“ใจเย็นก่อนสิชูล่า ยังไงโลรินก็ต้องย้ายออกไปภายในวันนี้อยู่แล้วล่ะ ให้เวลาเธอได้เก็บข้าวของหน่อยเถอะ”
ชายหนุ่มพยายามพูดด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวลและระมัดระวัง แต่ดูเหมือนมันจะให้ผลตรงกันข้าม เพราะชูล่า หญิงสาวผมแดงกลับแสดงสีหน้าหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
“เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าเส้นตายคือวันนี้น่ะ! ยังไงก็ทำตามเงื่อนไขไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องเก็บข้าวข้องให้เรียบร้อยแล้วสิ! เธอน่ะใช้เล่ห์กลต่าง ๆ นา ๆ เตะถ่วงมาตั้งสามปีแล้วนะ! เพื่อรักษาไอ้สมาคมนักเวทจอมปลอมแบบนี้เอาไว้! เลิกเพ้อฝันกับคลาสที่ไม่มีใครสนใจ และย้ายไปเรียนคลาสอื่นได้แล้ว!”
ชูล่ากล่าวด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดพลางจ้องเขม็งไปยังโลรินอย่างไม่วางตา แต่โลรินยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง เธอเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเฮือกเล็ก ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยสายตาที่แสดงความรู้สึกลำบากใจอยู่เล็กน้อย
“ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังอีกครั้งนะ แต่หอคอยหลังนี้จะไม่ตกเป็นของสมาคมนักเวททั้งสี่หรอก ตอนนี้เราได้เปลี่ยนเป็นสมาคมพันธมิตรนักเวทสีเทาและซัมมอนเนอร์ ทำให้มีสมาชิกครบตามเงื่อนไขแล้ว สิทธิ์ในการครอบครองก็ยังคงเป็นของเราเหมือนเดิมล่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของโลริน ชูล่าก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ส่วนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอก็เปิดหน้าจอเวทมนตร์ขึ้นมาตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้กับฐานข้อมูลของโรงเรียนในทันทีและพบว่าตอนนี้หอคอยสีเทาได้กลายเป็นกรรมสิทธิ์ของ ‘สมาคมพันธมิตรนักเวทสีเทาและซัมมอนเนอร์’ ซึ่งเป็นสมาคมที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มหันไปพยักหน้ากับชูล่าเพื่อยืนยันเรื่องนี้ สีหน้าของเขาแสดงความกังวลออกมาไม่น้อย เพราะคิดว่าเรื่องนี้คงทำให้อีกฝ่ายโมโหจนฟิวส์ขาดแน่ ๆ แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าชูล่าไม่ได้แสดงอาการโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างที่คิด เธอเพียงแค่หรี่ตาลงและจ้องมองโลรินด้วยสายตาไม่พอใจเท่านั้น
“นึกอยู่แล้วเชียวว่าครั้งนี้เธอก็ต้องใช้ลูกเล่นเอาตัวรอดไปได้อีกแน่ ๆ คงเป็นฝีมือของอาจารย์เอนจิลสินะ? แต่ฉันก็คิดเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว… แนช! บอกกฎใหม่ของโรงเรียนให้เธอฟังซิ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แนช ชายหนุ่มผมทองที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็กล่าวอธิบายให้โลรินฟังด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ
“เพราะพื้นที่ที่ได้รับการสนับสนุนจากทางโรงเรียนมีจำกัด และเราก็มีปัญหาในเรื่องของสิทธิ์การครอบครองมาเป็นเวลานานแล้ว ปีนี้สมาคมนักเวททั้งสี่หอคอยจึงได้ยื่นคำร้องกับทางโรงเรียนเพื่อให้หาวิธีที่เหมาะสมมาจัดการกับเรื่องนี้ ทางโรงเรียนจึงอนุญาตให้ใช้ ‘การประลอง’ ในการแย่งชิงสิทธิ์ครอบครองอาคารสมาคมได้ เพื่อให้ผู้ที่ได้ใช้งานอาคารของทางโรงเรียนเป็นสมาคมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจริง ๆ เรื่องนี้สมาคมนักเวททั้งสี่หอคอยได้ทำการยอมรับแล้ว ดังนั้นหอคอยที่ห้าอย่างหอคอยสีเทาจึงต้องเข้าร่วมเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ต้องสละสิทธิ์การครอบครองหอคอยครับ”
เมื่อแนชพูดจบ ชูล่าก็กระแทกไม้เท้าในมือของเธอลงกับพื้น ทำให้มีอักขระเวทชุดหนึ่งปรากฏขึ้นบนอากาศ ในเวลาเดียวกันก็ปรากฏม่านเขตแดนยกตัวขึ้นจากพื้นและลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าจนถึงระดับเดียวกับยอดหอคอย ทำให้พื้นที่โดยรอบหอคอยสีเทาถูกปิดล้อมเอาไว้ด้วยอาณาเขตเวทมนตร์ขนาดใหญ่ในทันที
——————————————————————————–
Part 3
คุโระที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ตลอดก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันที เขารู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำอยู่นั้นไม่ยุติธรรมต่อโลรินเลย
“บะ.. แบบนี้มันไม่ถูกต้องนี่ครับ ทั้งเปลี่ยนกฎตามใจชอบ แล้วยังใช้กำลังมาบีบบังคับแบบนี้ ไม่ต่างจากการปล้นชิงเลย!”
แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงที่คับแค้น แต่คุโระก็ไม่กล้าพูดดังนักเพราะกลัวว่าเหล่ารุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าจะได้ยิน
ทางด้านซาล เมื่อได้ยินคำพูดของคุโระก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะพูดกับอีกฝ่ายโดยไม่ได้หันไปมอง
“จะว่ายังไงดี… มันตรงกันข้ามเลยล่ะ ความจริงแล้วแบบนี้ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
“วะ.. ว่าไงนะครับ!?”
คำพูดที่คาดไม่ถึงของซาลทำให้คุโระรู้สึกประหลาดใจและมีอาการสับสนขึ้นมาในทันที ซาลจึงต้องอธิบายต่อ
“การปล่อยให้สมาคมลอย ๆ ที่มีสมาชิกที่แท้จริงแค่คนเดียวอย่างสมาคมนักเวทสีเทาครอบครองอาคารทั้งหลังมาเป็นเวลาแรมปีน่ะมันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมนักหรอก แบบนี้ถ้ามีสมาคมใหม่ต้องการจะใช้งานอาคารของโรงเรียนก็ไม่สามารถทำได้และต้องไปหาทางเช่าอาคารในเขตชุมชนแทน เท่ากับเป็นการตัดโอกาสของคนอื่น ฉันยังรู้สึกแปลกใจด้วยซ้ำที่ทางโรงเรียนไม่ดำเนินการอะไรสักอย่างและปล่อยให้โลรินครอบครองหอคอยหลังนี้ไว้ใช้ส่วนตัวมาได้นานขนาดนี้น่ะ”
แม้จะรู้สึกเห็นใจโลรินอยู่บ้าง แต่ซาลคิดว่าถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว การที่โลรินพยายามยึดครองหอคอยทั้งหลังไว้ใช้ส่วนตัวต่างหากที่เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมกับคนอื่น ๆ เพราะทรัพยากรส่วนกลางของโรงเรียนควรจะนำไปใช้ทำประโยชน์ให้กับคนหมู่มากซะมากกว่า โดยเฉพาะหอคอยแบบนี้น่าจะใช้เป็นที่ทำการสมาคมซึ่งรองรับสมาชิกได้นับร้อยคนเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เขาคิดจะทำในทีแรกคือการตั้งสมาคมซัมมอนเนอร์ขึ้นมาด้วยตัวคนเดียวก็เป็นการกระทำที่ไม่ต่างไปจากโลรินสักเท่าไหร่ มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะพูดอะไรออกไปมากนัก บวกกับทางด้านสมาคมนักเวททั้งสี่หอคอยก็คิดจะครอบครองหอคอยหลังนี้ไปใช้เป็นหอคอยส่วนกลาง ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นอะไร และเป็นการกระทำที่ตัดสิทธิ์คนอื่นเช่นกัน เขาจึงคิดว่าในเรื่องนี้ไม่ได้มีใครผิดหรือถูกอย่างแท้จริง
แต่สิ่งนี้ก็ทำให้ซาลคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา คือหากเป็นคนที่ไร้ซึ่งมิตรสหายและไม่มีใครให้การสนับสนุนเลยจริง ๆ คงไม่สามารถต้านทานการกดดันของคนหมู่มากมาจนถึงจุดนี้ได้ ทำให้เขาคิดว่าความจริงแล้วโลรินก็น่าจะเป็นคนที่มีอิทธิพลในด้านต่าง ๆ พอตัวอยู่เหมือนกัน ที่น่าแปลกใจคือเหล่านักเวทส่วนใหญ่ที่มาในวันนี้กลับมีสีหน้าเกรงใจมากกว่าจะรังเกียจ แม้แต่ชูล่า หญิงสาวผมแดงที่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์มากที่สุดก็ยังไม่ได้แสดงความรู้สึกเกลียดชังออกมาในแววตาอันดุดันนั้น นับว่าโลรินเป็นคนที่มีสถานะค่อนข้างแปลกทีเดียว
ทางด้านคุโระ เมื่อได้ฟังคำพูดของซาลก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน แม้สิ่งที่ซาลพูดจะถูกต้องจริง ๆ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าควรจะทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้อยู่ดี ซาลที่เห็นสีหน้ากระวนกระวายนั้นจึงยิ้มและพูดปลอบให้เขาใจเย็นลง
“ไม่ต้องห่วงน่า หอคอยนี้เป็นที่ทำการของสมาคมซัมมอนเนอร์ด้วยเหมือนกัน ฉันไม่ปล่อยให้มันถูกเปลี่ยนมือง่าย ๆ หรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุโระก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง ส่วนซาลก็ก้าวออกไปเพื่อที่จะเสนอความช่วยเหลือให้กับโลริน ความจริงเขาเองก็ไม่อยากจะเปิดเผยฝีมือมากนัก แต่การรักษาที่ทำการสมาคมเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน
นอกเหนือจากนี้ วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้ผู้คนหันมาสนใจและรับรู้ความสามารถของซัมมอนเนอร์ก็คือการแสดงความสามารถในการประลองกับคนจริง ๆ นี่แหละ เขาคิดว่าถ้าออมมือสักหน่อย ใช้เหล่าสมุนอัญเชิญเป็นตัวเสริมและถ่วงเวลา ก่อนจะให้โลรินเป็นผู้ลงดาบปิดท้าย เท่านี้ก็น่าจะแสดงความสามารถของซัมมอนเนอร์ได้ในระดับที่ไม่น่าสงสัยหรือดึงดูดความสนใจจนเกินไปนัก
ทว่ายังไม่ทันที่ซาลจะได้พูดอะไร โลรินก็ก้าวออกไปเอ่ยคำพูดกับเหล่านักเวทเบื้องหน้าซะก่อน สีหน้าของเธอยังคงยิ้มแย้มและดูเป็นมิตรเช่นเคย
“สรุปว่านี่เป็นการประลองชิงหอคอยสินะ? แล้วเงื่อนไขการประลองมีอะไรบ้างล่ะ?”
ท่าทีสบาย ๆ ของโลรินทำให้ชูล่ามีสีหน้าที่หงุดหงิดยิ่งขึ้น เธอจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา
“ความจริงการวัดคุณสมบัติการครอบครองจะดูจากความสามารถของสมาชิกระดับสูงสุดของสมาคมซึ่งจะทำการประลองกันแบบสามต่อสาม แต่ฉันรู้ว่าสมาคมนักเวทสีเทาน่ะมีเธอเป็นสมาชิกที่แท้จริงแค่คนเดียวอยู่แล้ว จึงพาเฉพาะสมาชิกที่เป็นนักเรียนปีห้ามาด้วย หอคอยอื่น ๆ ก็เช่นกัน พวกรุ่นพี่ปีหกจะไม่เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ เพื่อที่จะได้ไม่หาว่าเป็นการรังแกกันไงล่ะ”
“แหม~ ใจดีจังเลย ขอบคุณมากนะ”
โลรินตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่ด้วยคำพูดและสีหน้าแบบนั้นทำให้มันดูเหมือนเป็นการประชดประชันซะมากกว่า ชูล่าจึงมีสีหน้าถมึงทึงขึ้นไปอีก
“สมาชิกใหม่ของเธอคือเด็กปีหนึ่งสองคนนั้นน่ะเหรอ? แบบนี้พวกเราก็โดนครหาแย่น่ะสิ เธอไปตามคุรุโมะมาดีกว่านะ ยัยนั่นน่ะเป็นสมาชิกลอย ๆ คนสุดท้ายของสมาคมไม่ใช่เหรอ? แล้วเราจะลดจำนวนคนที่ต้องใช้ในการประลองลงให้เหลือแค่สองต่อสองก็ได้”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก การประลองน่ะแค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว ส่วนพวกเธอน่ะ เข้ามาพร้อมกันหมดทั้งสิบสองคนเลยก็ได้ จะได้เสร็จเรื่องเร็ว ๆ ไงล่ะ”
คำพูดของโลรินทำให้สีหน้าของทุกคนในที่นั้นแปรเปลี่ยนไปในทันที เหล่านักเวทต่างก็จ้องมองเธอด้วยสีหน้าตื่นตะลึง แม้แต่ซาลที่ยืนอยู่ด้านหลังก็มองดูโลรินด้วยสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน ส่วนชูล่าก็ขมวดคิ้วและตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีโทสะพลุ่งพล่านยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“จะอวดดีเกินไปแล้วนะ! คิดว่าพวกเราไม่กล้าลงมือกับเธอรึไง!?”
“มันไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคลหรอกนะ แต่เป็นเรื่องของคลาสน่ะ ไม่มีนักเวทคลาสไหนสามารถเอาชนะคลาสนักเวทที่แท้จริงอย่างนักเวทสีเทาได้หรอก”
โลรินตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มและสีหน้าสบาย ๆ เช่นเคย แต่นั่นกลับทำให้ดวงตาของเหล่านักเวททั้งหมดเริ่มมีประกายไฟลุกโชนขึ้นมา เพราะการพูดแบบนี้ถือเป็นการเหยียดหยามคลาสของพวกเขา ซึ่งสำหรับหลายคนแล้วมันเป็นเรื่องที่รุนแรงกว่าการดูถูกตัวบุคคลซะอีก
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงปลดปล่อยพลังเวทออกมาโดยพร้อมเพรียงกันเพื่อเตรียมที่จะเริ่มการต่อสู้ กระแสเวทมนตร์ที่เชี่ยวกรากซึ่งแผ่พุ่งไปทั่วบริเวณทำให้บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ซาลจ้องมองโลรินด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง พลางครุ่นคิดถึงการกระทำและคำพูดของเธอ
‘จงใจยั่วโมโหฝ่ายตรงข้ามงั้นเหรอ? แต่ทำไมกันล่ะ?‘
แม้เขาจะไม่เข้าใจเจตนาของโลริน แต่จากที่ได้พูดคุยกัน ซาลก็มั่นใจว่าเธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพูดหรือทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแน่ ๆ ทุกอย่างที่เธอทำนั้นมีจุดประสงค์ และมาจากความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม ทำให้เขาเกิดความสนใจขึ้นมาว่าสิ่งที่ทำให้โลรินมีความมั่นใจขนาดนี้คืออะไร และนั่นจะเป็นสิ่งที่ตัดสินผลของการต่อสู้