Doombringer the 5th - ตอนที่ 111
Ch.111 – วิชาของตระกูลมิแทรนเดียร์
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 107
วิชาของตระกูลมิแทรนเดียร์
Part 1
โลรินก้าวลงบันไดด้านหน้าของหอคอยอย่างเชื่องช้า เมื่อลงมาถึงด้านล่างแล้วเธอก็หันกลับไปโบกมือเพื่อเปิดการทำงานของเวทป้องกันหอคอย ทำให้มีม่านเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มหอคอยทั้งหลังเอาไว้ ทำให้ซาลกับคุโระที่ยืนอยู่บริเวณระเบียงด้านหน้าของหอคอยได้รับการปกป้องด้วย
นี่เป็นระบบป้องกันของหอคอย เป็นม่านพลังสำหรับป้องกันการโจมตีทางเวทมนตร์โดยเฉพาะ เพราะโดยปกติแล้วเหล่าสมาคมนักเวทจะทำการประลองหรือฝึกฝนการใช้งานเวทต่าง ๆ ในที่โล่งแจ้ง ซึ่งมักจะเป็นพื้นที่บริเวณรอบ ๆ หอคอย และเวทโจมตีของเหล่านักเวทก็มักจะเป็นเวทที่มีรัศมีการทำลายค่อนข้างกว้าง ตัวหอคอยจึงจำเป็นต้องมีระบบป้องกันการโจมตีทางเวทมนตร์เอาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายจากการโดนลูกหลงของการฝึกซ้อมหรือการประลองเวท
เมื่อเปิดระบบป้องกันของหอคอยแล้ว โลรินก็หันไปพูดกับซาลและคุโระอีกครั้ง
“เพราะข้อจำกัดด้านงบประมาน ฉันเลยติดตั้งหินเวทมนตร์เอาไว้แค่พอให้ระบบต่าง ๆ ของหอคอยทำงานได้เท่านั้นเอง ม่านป้องกันนี่น่ะมีพลังแค่ไม่ถึง 10% หากโดนเวทโจมตีเข้าจัง ๆ ก็คงต้านทานเอาไว้ได้ไม่นานหรอก ดังนั้นพวกเธอถอยเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังประตูจะดีกว่านะ เพื่อความปลอดภัยน่ะ”
พอได้ยินเช่นนั้น ทั้งซาลและคุโระก็ถอยเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังของประตูหอคอยอย่างว่าง่าย ส่วนโลรินก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับเหล่านักเวททั้งสิบสองคนอีกครั้ง
ทันใดนั้น ชุดที่โลรินสวมใส่อยู่ก็เปลี่ยนไป ชุดคลุมนักเวทซึ่งถักทอขึ้นมาจากผ้าเนื้อหยาบหนาสีเทาได้ปรากฏขึ้นและสวมทับลงบนชุดนักเรียนของเธอพร้อมกับหมวกปลายแหลมสีเทาซึ่งทำจากวัสดุชนิดเดียวกัน ในมือของเธอมีไม้เท้าเวทด้ามยาวที่เคยใช้สาธิตเวทให้พวกซาลดูก่อนหน้านี้ถืออยู่ ทำให้รูปลักษณ์ของโลรินในตอนนี้แปรเปลี่ยนไปเป็นนักเวทเต็มรูปแบบ แม้ชุดของเธอจะเป็นชุดนักเวทในรูปแบบเก่าซึ่งดูโบราณคร่ำครึ แตกต่างจากนักเวททั้งสิบสองคนซึ่งสวมเสื้อคลุมแบบใหม่ที่ทั้งสวยงามกระฉับกระเฉงและมีดีไซน์ร่วมสมัย แต่ชุดแบบเก่าของโลรินก็ให้ความรู้สึกทรงอำนาจและมีมนต์ขลังมากกว่าเช่นกัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมตัวพร้อมแล้ว ชูล่าก็โบกไม้เท้าของเธอไปบนอากาศ ทำให้มีอักขระเวทชุดหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือพื้นดินบริเวณที่อยู่บริเวณกึ่งกลางของทั้งสองฝ่าย
มันเป็นชุดอักขระสำหรับให้สัญญาณเริ่มการต่อสู้ ส่วนต่าง ๆ ของชุดอักขระจะค่อย ๆ หายไป จนเมื่ออักขระตัวสุดท้ายดับวูบลง เวท ‘อินเทอรัปต์’ (Interrupt) ซึ่งเป็นเวทที่จะทำการสลายการร่ายเวททุกชนิดก็จะทำงาน นี่เป็นสัญญาณเริ่มการประลองซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันไม่ให้มีคนแอบร่ายเวทรอเอาไว้ก่อนจะเริ่มการประลองอย่างเป็นทางการด้วย
สีหน้าของโลรินยังคงมีรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แต่มันก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่อวดดีหรือดูถูกฝ่ายตรงข้าม ถึงกระนั้นมันก็ทำให้เหล่านักเวททั้งสิบสองคนรู้สึกเหมือนกำลังโดนดูหมิ่นอย่างช่วยไม่ได้
คุโระเองก็มีความรู้สึกกังวลเช่นกัน เพราะคู่ต่อสู้ของโลรินล้วนแล้วแต่เป็นนักเรียนปีห้าซึ่งเป็นระดับชั้นเดียวกัน แถมยังมีถึงสิบสองคน เขายังจินตนาการไม่ออกเลยว่าเธอจะต่อกรกับคู่ต่อสู้จำนวนมากขนาดนี้พร้อมกันได้อย่างไร
“คุณซาลครับ รุ่นพี่โลรินจะไม่เป็นไรจริง ๆ น่ะเหรอครับ? คู่ต่อสู้มีจำนวนมากกว่าตั้งขนาดนี้น่ะ…”
“นั่นสินะ… ปกติแล้วการประลองแบบเป็นทีมของนักเวทจะประลองกันแบบสามต่อสาม โดยแบ่งหน้าที่ของสมาชิกแต่ละคนเอาไว้อย่างชัดเจน คือคนหนึ่งคอยร่ายเวทป้องกัน อีกคนหนึ่งคอยร่ายเวทโจมตี ส่วนคนสุดท้ายทำหน้าที่สนับสนุนและพลิกแพลงตามสถานการณ์ สามตำแหน่งนี้อาจปรับลดหรือเพิ่มก็ได้ตามแต่แผนการที่จะใช้ในการต่อสู้ เพราะนักเวทน่ะไม่เหมือนกับนักรบ การใช้งานเวทมนตร์แต่ละบทจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมการเพื่อร่าย และโดยปกติแต่ละคนจะร่ายเวทได้ทีละบทเท่านั้น การดวลของนักเวทจึงเปรียบเสมือนกับการเล่นหมากรุก แต่ละฝ่ายผลัดกันเดิน นำตัวหมากที่ชนะทางอีกฝ่ายเข้ามาวางประจำตำแหน่งเพื่อสร้างความได้เปรียบ และไล่ต้อนอีกฝ่ายจนกว่าจะถึงจุดที่จนแต้มหรือถูกรุกฆาตได้ในที่สุด”
“แต่นี่มันไม่ใช่การดวลกันแบบสามต่อสามนี่ครับ เป็นหนึ่งต่อสิบสองต่างหาก!”
“ใช่ ก็เหมือนกับเมื่อโลรินเดินหนึ่งตา อีกฝ่ายจะเดินได้สิบสองตาไงล่ะ”
“หมากรุกที่ต่อให้อีกฝ่ายรอบละสิบสองตาเดินแบบนี้ จะมีทางชนะได้ยังไงกันล่ะครับ!?”
“ไม่มีทางชนะหรอก… แต่ถึงยังไงนี่มันก็ไม่ใช่หมากรุกน่ะนะ”
คำตอบของซาลทำให้คุโระนิ่งเงียบไปอีกครั้ง เพราะพอจะเข้าความหมายของคำพูดนั้นอยู่บ้าง
นี่ไม่ใช่การเล่นหมากรุก ผู้เล่นแต่ละคนไม่ได้ผลัดกันเดินจริง ๆ และหมากแต่ละตัวก็ไม่ได้มีพลังเท่าเทียมกัน หรือมีตาเดินที่ถูกจำกัดอยู่ในกฎอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ถึงกระนั้น คุโระก็ยังรู้สึกว่าโลรินเป็นฝ่ายที่ยังเสียเปรียบมาก ๆ อยู่ดี
สำหรับซาล เขายังคงคิดว่าโลรินไม่ใช่คนที่จะทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล ยิ่งเห็นสีหน้าและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของเธอแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าการประลองในครั้งนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์ของเธอทุกอย่าง เขาจึงได้แต่รอดูว่าหมากตาแรกที่โลรินจะวางลงไปบนกระดานเป็นตาเดินแบบไหนกันแน่
——————————————————————————–
Part 2
เหล่านักเวททั้งสิบสองต่างรวบรวมพลังเวทเต็มพิกัดเพื่อเตรียมร่ายเวท ในขณะที่สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่บนชุดอักขระที่ค่อย ๆ เลือนหายไปทีละน้อย
ทันทีที่อักขระตัวสุดท้ายหายไป และเวท ‘อินเทอรัปต์’ ทำงาน ทุกคนก็เริ่มการร่ายเวทของตัวเองในทันที
หากเป็นการร่ายเวทด้วยมือเปล่า เวทระดับกลางขึ้นไปอาจต้องใช้เวลาในการร่ายตั้งแต่ 3-5 วินาที แล้วแต่ความยาก แต่เพราะมีอุปกรณ์เสริมอย่างไม้เท้าเวทซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยาการเวทมนตร์ของยุคใหม่ที่สามารถบันทึกชุดอักขระหรือโครงสร้างเวทมนตร์ทั้งชุดเอาไว้ภายในได้ ทำให้สามารถประหยัดเวลาในการร่ายเวทมนตร์ลงไปได้มาก สำหรับเวทที่มีความยาวปานกลาง อาจลดเวลาในการร่ายลงเหลือเพียง 2-3 วินาที แต่ถ้าเป็นเวทสั้น ๆ ซึ่งมีการบันทึกวงเวททั้งชุดเอาไว้ภายในไม้เท้าอยู่แล้ว ก็สามารถใช้งานได้ทันทีเพียงแค่ถ่ายเทพลังเวทลงไป จึงสามารถปลดปล่อยเวทออกมาได้ภายในเวลาเพียงแค่ 1-2 วินาทีเท่านั้น
ในการประลองแบบเป็นทีม หนึ่งในสมาชิกจะรับหน้าที่เป็นผู้ร่ายเวทป้องกัน ส่วนอีกคนจะทำหน้าที่ร่ายเวทโจมตีแบบเร็ว เพื่อกดดันฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ร่ายเวทได้สะดวก และตกอยู่ในสภาวะตั้งรับ ส่วนคนสุดท้ายก็จะเสริมการโจมตีหรือป้องกันตามแต่สถานการณ์
แต่ในการประลองครั้งนี้ ศัตรูของทุกคนมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ก็คือโลริน ทางเดียวที่เธอจะต้านทานการโจมตีของนักเวททั้งสิบสองคนเอาไว้ได้ก็คือใช้งานเวทป้องกันระดับสูงก่อนเพื่อต้านทานการโจมตีระลอกแรก ก่อนจะหาจังหวะโจมตีสวนกลับมา
ทุกคนรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องทำการตั้งรับก่อนเท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องร่ายเวทป้องกัน นักเวทสองคนในแต่ละทีมต่างก็เร่งร่ายเวทระยะสั้นเพื่อทำการโจมตีกดดัน ส่วนนักเวทคนที่สามก็ทำการร่ายเวทสูงสุดของตัวเองอย่างเต็มที่ แม้มันจะเป็นเวทที่ต้องใช้เวลาในการร่ายค่อนข้างนานก็ตาม กลุ่มนักเวทจากทั้งสี่หอคอยต่างก็ทำเช่นนี้กันหมด
ตามปกติหากทำแบบนี้ในการต่อสู้แบบสามต่อสาม อีกฝ่ายอาจปรับมาใช้การโจมตีระยะสั้นหมดทั้งสามคนซึ่งสามารถทำลายรูปแบบที่ไร้การป้องกันนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ในกรณีที่มีศัตรูเพียงคนเดียวแบบนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าโลรินไม่มีทางที่จะทำการโจมตีสวนกลับมาได้ แค่ต้านทานเวทโจมตีระยะสั้นจากทั้งแปดคนให้ได้ก็เป็นเรื่องที่ยากแล้ว
นักเวททั้งแปดชี้ไม้เท้าในมือไปทางโลรินโดยพร้อมเพรียงกัน อีกเพียงชั่วอึดใจพวกเขาก็จะสามารถปลดปล่อยเวทโจมตีเข้าใส่โลรินได้ราวกับห่าฝน
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง แทนที่จะร่ายเวทเพื่อเตรียมป้องกัน โลรินกลับชี้ไม้เท้าในมือของเธอมายังเหล่านักเวท
ผลึกแก้วสีขาวขุ่นที่ปลายไม้เท้าของโลรินเริ่มมีแสงสว่างเปล่งออกมา ในขณะที่เธอหลับตาลงโดยรอยยิ้มอันมั่นใจนั้นยังไม่จางไปจากใบหน้า
ทันใดนั้น แสงสีขาวอันสว่างเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์ก็เปล่งออกมาจากปลายไม้เท้า จนทำให้ทัศนะวิสัยของนักเวททั้งสิบสองคนกลายเป็นสีขาวโพลนไปทั้งหมด
จากมุมมองของซาลและคุโระ แสงสีขาวจากปลายไม้เท้าของโลรินนั้นสาดส่องออกไปด้วยความสว่างที่เข้มข้นจนกลืนกินทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้หายไปกับแสงนั้น ร่างของนักเวททั้งสิบสองคนที่ต้องแสงอันเจิดจ้าเพียงพริบตาก็กลายเป็นเพียงเค้าร่างสีขาวโพลนที่ไร้สีสัน แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวเค้าร่างเหล่านั้นก็ถูกแสงสว่างกลืนหายไปจนทิวทัศน์เบื้องหน้าของโลรินแทบจะกลายเป็นผืนกระดาษสีขาวโพลนที่ไม่มีอะไรอยู่เลย
แม้แต่ซาลกับคุโระที่ยืนอยู่ด้านหลังซึ่งไม่ใช่ทิศทางที่แสงอันเจิดจ้านี้ส่องเข้าหาโดยตรง แต่แค่ปริมาณแสงที่สะท้อนกลับมาก็ทำให้พวกเขาต้องเบือนหน้าลบไปทางอื่นเพราะไม่อาจทนรับแสงปริมาณมหาศาลนั้นได้
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากเริ่มการประลองเท่านั้น
“อ๊ากกก ตาฉันนนน!”
“เวทอะไรกันเนี่ย!?”
“ทำไมถึงปลดปล่อยเวทระดับนี้ออกมาในเวลาไม่ถึงวินาทีได้ล่ะ!?”
“โลรินอยู่ทางไหนแล้ว!?”
“เฮ้ย! อย่ายิงมั่วนะ!”
เหล่านักเวททั้งสิบสองคนต่างก็ตกอยู่ในความโกลาหล
ดวงตาของพวกเขาพร่ามัวจนมองอะไรไม่เห็น แม้หลายคนจะรีบหลับตาลงในทันที แต่เพราะทั้งสองมือยังพะวงอยู่กับการร่ายเวท ทำให้ไม่มีใครยกมือขึ้นมาบังแสงสั้น และความเข้มข้นของมันก็ยังรุนแรงจนแทบจะแผ่ทะลุเปลือกตาเข้ามาได้ การหลับตาลงในเสี้ยววินาทีสุดท้ายของพวกเขาจึงไม่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่
ทุกคนต่างตกใจและสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบกับการพยายามเอี้ยวตัวหนีแสงสว่างนั้นไปทางอื่นก็ยิ่งทำให้พวกเขาหลงทิศทางจนไม่แน่ใจว่าโลรินอยู่ทางไหน จึงไม่มีใครกล้าปลดปล่อยเวทโจมตีออกมาเพราะกลัวว่าจะโดนพวกเดียวกันเองเข้า
ในจังหวะนั้นเอง โลรินก็ร่ายเวทอีกบทหนึ่ง ทำให้ร่างของเธอเปล่งแสงสีเทาจาง ๆ ออกมา แล้วเธอก็เริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ เป้าหมายของเธอก็คือกลุ่มนักเวทจากทั้งสี่หอคอยนั่นเอง
ซาลที่เพิ่งจะหายจากอาการตาพร่าหันกลับมามองดูการต่อสู้อีกครั้ง เมื่อเห็นแสงอ่อน ๆ ที่ห่อหุ้มร่างของโลรินอยู่และความเร็วของเธอก็ทำให้เขาต้องรู้สึกแปลกใจ
พลังงานที่ห่อหุ้มร่างของโลรินอยู่นั้นเป็นพลังงานที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนรูปได้โดยง่ายคล้ายกับพลังงานเวทมนตร์ แต่กลับคงสภาพได้หนาแน่นและเสริมสมรรถนะทางกายภาพให้กับผู้ใช้ได้เหมือนกับจิตต่อสู้ จากสายตาของซาล เขามั่นใจว่ามันเป็นพลังเวท แต่ไม่รู้ว่าด้วยกระบวนการอะไร ทำให้โลรินสามารถนำมันมาใช้งานในลักษณะเดียวกับจิตต่อสู้ได้
เหล่านักเวททั้งสิบสองคนยังคงอยู่ในสภาพที่มองอะไรไม่เห็น บางคนยังลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ส่วนบางคนแม้จะลืมตาขึ้นมาได้แล้วก็ยังเห็นเพียงภาพอันพร่ามัวที่ยากจะแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไรเพราะดวงตาของพวกเขายังไม่ฟื้นสภาพดี แต่เสียงฝีเท้าของโลรินที่ย่ำพื้นใกล้เข้ามาก็ทำให้ทุกคนพอจะจับทิศทางได้
ทุกคนชี้ไม้เท้าของตัวเองไปยังทิศซึ่งเป็นที่มาของเสียงฝีเท้าโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะปลดปล่อยเวทโจมตีระยะสั้นที่เตรียมเอาไว้เข้าใส่เป้าหมายที่มองไม่เห็น โดยหวังที่จะชะลอการรุกคืบของอีกฝ่ายให้ได้แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี
บอลไฟ, ผลึกน้ำแข็ง, ลิ่มหิน, และสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน ถูกปลดปล่อยออกจากปลายไม้เท้าของนักเวททั้งแปด และซัดสาดไปทางโลรินราวกับห่าฝน แต่เธอก็ถีบเท้าลงกับพื้นเพื่อกระโจนหลบขึ้นไปบนอากาศตั้งแต่เห็นฝ่ายตรงข้ามชี้ไม้เท้าเข้าหาแล้ว ทำให้การโจมตีสะเปะสะปะเหล่านั้นกลายเป็นการโจมตีที่สูญเปล่า
ระหว่างที่ลอยตัวอยู่ โลรินก็ถ่ายเทพลังไปยังไม้เท้าเวทอีกครั้ง ทำให้ส่วนหัวของไม้เท้าเริ่มมีแสงเรืองรองออกมา เธอพุ่งลงไปยังกลางกลุ่มของเหล่านักเวทที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าพร้อมกับปักไม้เท้าลงบนพื้น ทันใดนั้นก็เกิดแรงอัดกระแทกอันรุนแรงแผ่พุ่งไปทั่วบริเวณราวกับเกิดการระเบิดขนาดใหญ่ขึ้นตรงจุดที่โลรินลงเหยียบ มันเป็นการระเบิดที่ไร้ทั้งเสียงและแสง มีเพียงวงคลื่นที่เกิดจากการบิดเบี้ยวอย่างกะทันหันของชั้นบรรยากาศแผ่ออกไปอย่างเงียบงัน แต่นักเวทในเสื้อคลุมสีฟ้าทั้งสามคนกลับโดนแรงอัดของมันเหวี่ยงจนร่างของพวกเขาลอยกระเด็นกันออกไปคนละทิศคนละทาง ทั้งสามคนหมดสติไปในทันที
กลุ่มนักเวทที่อยู่ใกล้ที่สุดคือนักเวทในเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ทั้งสามคนอยู่ห่างจากจุดที่เกิดการโจมตีไปไม่ถึงยี่สิบเมตร แรงกระแทกจากการโจมตีนั้นแผ่วเบาลงมากจนแทบไม่มีผลอะไรกับพวกเขา เพียงแค่ทำให้เสื้อคลุมของนักเวททั้งสามโบกสะบัดไปตามแรงลมเท่านั้น ดูเหมือนมันจะเป็นการโจมตีที่มีรัศมีค่อนข้างแคบ แม้จะมีพลังทำลายรุนแรงก็ตาม
ตอนนี้ดวงตาของทุกคนเริ่มจะฟื้นสภาพแล้ว แต่ก็ยังมองเห็นทุกอย่างเป็นภาพมัวอยู่ นักเวทเสื้อคลุมสีน้ำเงินสองคนชี้ไม้เท้ามาทางโลรินในทันที คนหนึ่งร่ายเวทโจมตีรอไว้แต่ยังไม่กล้าปลดปล่อยเวทออกไปเพราะยังเห็นเป้าหมายไม่ชัดเจน ส่วนอีกคนก็เปลี่ยนมาร่ายเวทป้องกันแทนเพื่อเตรียมรับการโจมตี สำหรับคนสุดท้ายยังคงหลับตาเพื่อให้ดวงตาฟื้นสภาพกลับมาอย่างสมบูรณ์พร้อมกับร่ายเวทสูงสุดของเขาต่อไปอย่างใจเย็น สื่อถึงความเชื่อใจที่มีต่อเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคน
ในจังหวะนั้นเอง โลรินก็ควงไม้เท้าของเธอไปไพล่เก็บไว้ด้านหลังพร้อมกับตะปบมือซ้ายออกไปทางกลุ่มนักเวท ลักษณะของอุ้งมือนั้นเหมือนกับกำลังจะบีบหรือคว้าจับอะไรสักอย่าง ทันใดนั้นไม้เท้าของนักเวททั้งสามก็หลุดออกจากมือของพวกเขาและลอยไปยังอุ้งมือของโลรินในทันที
ทุกคนต่างตกใจและอยู่ในอาการสับสนเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก่อน แม้แต่ซาลและคุโระที่มองดูการต่อสู้อยู่ก็รู้สึกงุนงงไม่แพ้กันด้วย
“นั่นมัน… เทเลคิเนซิสเหรอ? ไม่สิ… นั่นเป็นเวทมนตร์ ไม่ใช่พลังจิต… แต่เวทในลักษณะนี้มัน…”
ซาลพึมพำกับตัวเองเพราะเขาไม่เคยเห็นการใช้เวทมนตร์ในรูปแบบนี้มาก่อน แถมการร่ายเวทของเธอก็รวดเร็วมาก เขารู้ว่ามันเป็นการใช้เวทโดยมีไม้เท้าเวทเป็นตัวช่วยทำให้สามารถร่ายเวทได้เร็วขึ้น แต่ความเร็วในการใช้เวทของโลรินก็ยังนับว่าเร็วมาก ๆ อยู่ดี
เพราะไม่สามารถวิเคราะห์รายละเอียดด้วยตาเปล่าได้ ซาลจึงนำแว่นของเขาขึ้นมาสวมอีกครั้ง
แว่นของโลกใหม่ไม่ใช่แว่นสายตา เพราะปัญหาทางสายตาสามารถแก้ไขได้ด้วยเวทมนตร์หรือการแพทย์อันก้าวหน้า ประโยชน์หลักของแว่นในยุคนี้จึงเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับช่วยในการทำงานด้านต่าง ๆ ตั้งแต่การทำกิจกรรมทั่ว ๆ ไป ไปจนถึงการต่อสู้
สำหรับแว่นของซาล เป็นแว่นที่ออร์เฟียซหนึ่งในขุนพลของเขาซึ่งชื่นชอบการประดิษฐ์พัฒนาขึ้น มันมีฟังก์ชั่นสำหรับการอ่านรูปแบบของพลังงานและแยกแยะความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโดยรอบเพื่อให้ผู้สวมใส่สามารถทำการวิเคราะห์การทำงานของเวทมนตร์หรือวิชาต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด ปกติซาลจะไม่อยากนำมันออกมาใช้สักเท่าไหร่เพราะการพึ่งพาอุปกรณ์จะทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์ด้วยสายตาตนเองทื่อลง แต่คราวนี้เขามองรูปแบบของเวทที่โลรินใช้ไม่ออกจริง ๆ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำแว่นอันนี้ออกมาใช้
ในระหว่างที่ซาลนำแว่นขึ้นมาสวม โลรินก็โยนไม้เท้าที่ยึดมาจากเหล่านักเวทไปทางอื่นก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปหาทั้งสามคนและสะบัดไม้เท้าของเธอเข้าใส่พวกเขา
เพราะถูกชิงไม้เท้าไปทำให้เวทมนตร์ที่เตรียมเอาไว้โดยใช้ชุดอักขระเสริมจากไม้เท้าไม่สามารถดำเนินการต่อได้ นักเวททั้งสามจึงต้องเริ่มร่ายเวทใหม่ทั้งหมด พวกเขาใช้การร่ายเวทประสานโดยแบ่งการร่ายเวทกันคนละส่วน ทำให้สามารถสร้างวงเวทที่สมบูรณ์ของเวทป้องกันระดับกลางได้ในเวลาอันรวดเร็วแม้จะไม่มีไม้เท้าเวทก็ตาม สื่อถึงทีมเวิร์คอันยอดเยี่ยมของพวกเขา ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการฝึกฝนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
ม่านพลังงานสีน้ำเงินคล้ายกับลูกแก้วคริสตัลปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างของพวกเขาทั้งสามคนเอาไว้ มันเป็นเวทป้องกันธาตุน้ำของหอคอยสีน้ำเงินที่สามารถต้านทานการโจมตีได้เกือบทุกชนิด ยิ่งนี่เป็นการประสานการร่ายของนักเวทถึงสามคนก็ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพของมันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ทว่าทันทีที่โลรินเหวี่ยงไม้เท้าของเธอเข้าสัมผัสกับพื้นผิวสีน้ำเงินใสของลูกแก้วนั้น ก็เกิดแรงกระเพื่อมแผ่กระจายออกไปทั่ว
ซาลที่เฝ้ามองการโจมตีครั้งนี้อยู่โดยมีแว่นตาเป็นอุปกรณ์ช่วยสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของการโจมตีที่โลรินใช้ได้อย่างชัดเจน
มันเป็นเวทสายมิติ
การโจมตีอันไร้รูปลักษณ์และซุ่มเสียงที่มีเพียงแรงกระแทกอันรุนแรงแผ่ไปทั่วนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเวทที่ทำการสั่นคลอนห้วงมิติจนเกิดการบิดเบี้ยว
แรงสะเทือนที่เกิดจากการสั่นคลอนห้วงมิตินั้นมีระยะทำการค่อนข้างสั้น เพราะห้วงมิติจะทำการปรับตัวกลับสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว แต่ในช่วงที่ห้วงมิติกำลังกลับคืนสภาพเป็นปกตินี่แหละที่ทำให้เกิดแรงอัดกระแทกอันมหาศาล คล้ายกับเวลาที่ผืนผ้าซึ่งยับย่นอยู่ถูกขึงให้ตึงอย่างกะทันหัน สิ่งที่อยู่บนพื้นผิวก็จะถูกแรงตึงผิวสะบัดให้กระเด็นออกไปอย่างรุนแรง
การชิงไม้เท้าของฝ่ายตรงข้ามมาก็ใช้วิธีการในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่กลับด้าน
โลรินทำการบิดห้วงมิติให้เกิดแรงกระชากเฉพาะจุด จนไม้เท้าในมือของฝ่ายตรงข้ามถูกดึงจนหลุดมือออกมา แม้จะฟังดูง่าย แต่มันก็เป็นอะไรที่ต้องอาศัยการคำนวณทั้งตำแหน่งและจังหวะเวลาอย่างแม่นยำทีเดียว
เพราะมันเป็นการโจมตีที่กระทำผ่านห้วงมิติ ไม่ใช่การโจมตีโดยตรง ทำให้การป้องกันทั่ว ๆ ไปไม่สามารถป้องกันได้
ปลายไม้เท้าของโลรินที่สัมผัสกับม่านพลังงานสีน้ำเงินใสของสามนักเวทนั้นไม่ได้สร้างความระคายเคืองให้แก่ม่านป้องกัน แต่การสั่นคลอนห้วงมิติได้เกิดขึ้นแล้วและแผ่จากจุดที่ไม้เท้าตกกระทบเข้าไปด้านในของม่านป้องกันได้อย่างง่ายดาย
ทันทีที่ห้วงมิติเกิดการคืนสภาพ แรงกระแทกอันมหาศาลก็ถูกปลดปล่อยออกมา ส่งผลให้นักเวททั้งสามที่อยู่ภายในม่านป้องกันถูกซัดจนหมดสติและกระเด็นออกจากม่านป้องกันสีน้ำเงินใสนั้นไปคนละทิศคนละทาง เป็นเวลาเดียวกับที่ม่านป้องกันสลายตัวลง
เบื้องหน้าของโลรินจึงเหลือนักเวทอีกเพียงสองกลุ่มเท่านั้น
——————————————————————————–
Part 3
ซาลจ้องมองดูการต่อสู้ของโลรินด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นและประหลาดใจ ยิ่งเมื่อรู้ตัวจริงของเวทที่โลรินใช้ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้นอีกเป็นสองเท่า ส่วนคุโระ แม้จะไม่เข้าใจว่าโลรินใช้วิชาอะไรในการต่อสู้ แต่ที่เขารู้แน่ชัดคือโลรินเป็นคนที่เก่งมาก ๆ สีหน้าของเขาจึงมีอาการตกตะลึงไม่แพ้กัน
โลรินพุ่งตรงไปยังนักเวทกลุ่มที่สามซึ่งสวมเสื้อคลุมสีเขียว พวกเขาคือนักเวทจากหอคอยสีเขียว ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้เวทธาตุดิน
ร่างของโลรินยังคงห่อหุ้มไปด้วยแสงอ่อน ๆ ของพลังงานที่ไม่รู้ว่าเป็นพลังเวทหรือจิตต่อสู้เช่นเคย แต่ตอนนี้ด้วยแว่นตาที่เขาสวมอยู่ ทำให้ซาลสามารถรู้ตัวจริงของพลังงานนี้ได้เช่นกัน
มันเป็นพลังเวทมนตร์ ที่ถูกปรับเปลี่ยนด้วยเวทอะไรสักอย่าง ให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับจิตต่อสู้ หรือก็คือเป็นเวทที่แปรเปลี่ยนพลังเวทมนตร์เป็นจิตต่อสู้ได้นั่นเอง
จากการอ่านค่าด้วยแว่น ซาลพอจะมองออกว่าอัตราการแลกเปลี่ยนพลังเวทไปเป็นจิตต่อสู้นั้นค่อนข้างสูงทีเดียว คือพลังเวทมนตร์ 3 ส่วน จะแปรสภาพออกมาเป็นจิตต่อสู้ได้เพียง 1 ส่วน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่สิ้นเปลืองพอสมควร ทว่าสำหรับนักเวทที่ปกติจะขาดแคลนจิตต่อสู้เพราะไม่ค่อยได้ฝึกฝนวิชาสายนักรบ การนำพลังเวทที่มีมากมายมาแลกเป็นจิตต่อสู้เพื่อเสริมความสามารถทางกายภาพและใช้งานทักษะของคลาสสายนักรบได้ตามใจชอบแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวทีเดียว
การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของโลรินนั้นเป็นผลมาจากการแปรเปลี่ยนพลังเวทเป็นจิตต่อสู้ และใช้จิตต่อสู้นั้นเสริมสมรรถภาพทางร่างกายจนสามารถทำงานได้ใกล้เคียงกับคนที่ฝึกฝนร่างกายมาเป็นการเฉพาะเลย
แน่นอนว่าหากเทียบกับพวกคลาสสายนักรบซึ่งฝึกฝนร่างกายมาจริง ๆ และเสริมพลังด้วยจิตต่อสู้แล้ว ประสิทธิภาพของการเสริมพลังนี้ยังต่างกันมาก แต่การที่นักเวทซึ่งแทบไม่เคยฝึกฝนทักษะทางร่างกายมาเลยอย่างโลรินสามารถเคลื่อนไหวได้ขนาดนี้ก็นับว่าเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมแล้ว
ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวอันเชื่องช้าและอืดอาดของเหล่านักเวทจากอีกสองหอคอยที่เหลือแล้ว ก็จะยิ่งเห็นความต่างได้อย่างชัดเจน
กลุ่มนักเวทจากหอคอยสีเขียวนั้นหายจากอาการตาพร่าแล้ว พวกเขาจึงเร่งทำการโจมตีใส่โลรินเพื่อสกัดการรุกคืบของเธอในทันที
นักเวทคนหนึ่งยิงลิ่มหินออกจากปลายไม้เท้าของเขาอย่างต่อเนื่อง ส่วนอีกคนก็กำไม้เท้าของเขาด้วยสองมือก่อนจะปักมันลงบนพื้นอย่างเต็มแรง ทำให้มีแท่งศิลารูปทรงคล้ายกับหนามพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินและทิ่มแทงเข้าใส่โลริน แต่เธอก็สามารถหลบหลีกการโจมตีทั้งจากสองด้านได้อย่างคล่องแคล่ว
นักเวทคนที่สามเปลี่ยนมาร่ายเวทบทใหม่ตั้งแต่ตอนที่ถูกเล่นงานด้วยเวทแสงสว่างของโลริน เขาละทิ้งการร่ายเวทโจมตีขนาดใหญ่มาเป็นการร่ายเวทที่ใช้งานได้ทั้งในการรุกและการรับแทน และตอนนี้เวทที่เขาร่ายก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว
นักเวทหนุ่มปักไม้เท้าของเขาลงกับพื้น ทันใดนั้นพื้นดินเบื้องหน้าของพวกเขาก็ยกตัวขึ้น และมีก้อนศิลาจำนวนมากปรากฏขึ้นมา
ก้อนศิลาเหล่านั้นมีลักษณะเป็นหินผาอันแข็งแกร่ง มันค่อย ๆ ซ้อนตัวกันจนกลายเป็นรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ที่มีความสูงเกือบสิบเมตร ร่างกายของมันทั้งหยาบและหนาคล้ายกับคนที่กำลังสวมชุดเกราะอยู่ เป็นเกราะที่ทำขึ้นจากหินผาซึ่งดูแข็งแรงจนไม่น่าจะมีอะไรมาทำลายได้
เมื่อเจ้าสิ่งนั้นก่อร่างขึ้นมาเต็มตัวแล้ว ช่องมืด ๆ สองช่องบริเวณศีรษะของมันที่ถูกเว้นเอาไว้เหมือนกับเป็นดวงตาก็เปล่งแสงออกมา เติมเติมความมีชีวิตให้กับร่างขนาดยักษ์นี้โดยสมบูรณ์
“โกเลม… ไม่สิ… ‘เอิร์ธเอเลเมนทัล’ (Earth Elemental) งั้นเหรอ?”
ซาลพึมพำขึ้นเมื่อได้เห็นยักษ์หินที่นักเวทในชุดสีเขียวอัญเชิญออกมา
แม้จะดูเหมือนกับเป็นเวทอัญเชิญชนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้วการอัญเชิญธาตุ (Elemental Summon) ของพวกนักเวทก็ไม่เหมือนกับการอัญเชิญสมุน (Minion Summon) ของซัมมอนเนอร์ซะทีเดียว
การอัญเชิญธาตุของพวกนักเวทความจริงแล้วเป็นเวทโจมตีชนิดหนึ่งซึ่งทำการควบแน่นพลังงานธาตุนั้น ๆ จนก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ร่างพวกนี้มีคุณสมบัติทางธาตุค่อนข้างสูงและเกิดจากการกลั่นตัวของพลังงานโดยตรงจึงค่อนข้างทรงพลัง แลกกับอายุการใช้งานที่ค่อนข้างสั้น แต่สำหรับ ‘เอิร์ธเอเลเมนทัล’ ที่เป็นธาตุดินนั้นจัดเป็นเวทที่มีจุดประสงค์ในทางป้องกันด้วย จึงมีอายุการใช้งานนานกว่าธาตุอื่น ๆ
ยักษ์หินที่มีความสูงเกือบสิบเมตรนั้นจ้องมองลงมายังโลรินที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้ มันเงื้อแขนข้างหนึ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นความเร็วที่ดูขัดกับร่างกายอันใหญ่โตและน่าจะอุ้ยอ้ายของมันมาก ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น โลรินก็ได้กระโจนขึ้นไปบนฟ้า จนไปลอยอยู่เบื้องหน้าเหนือศีรษะของมันแล้ว
“ก้อนหินน่ะ เป็นของโปรดของนักเวทสีเทาเลยล่ะ”
ทันทีที่พูดจบ โลรินก็ปักไม้เท้าของเธอลงกลางหน้าผากของยักษ์หินตัวนั้น
แม้จะดูเป็นการแตะสัมผัสธรรมดา ๆ แต่ซาลก็เห็นอย่างชัดเจนว่ามีการส่งพลังงานจากปลายไม้เท้าให้วิ่งผ่านหน้าผากของเจ้ายักษ์หินลงไปยังร่างกายของมัน
ทันทีที่พลังงานนั้นวิ่งลงไปจนถึงช่วงหน้าอกของยักษ์หิน ห้วงมิติในบริเวณนั้นก็เกิดการสั่นคลอนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ร่างของมันถูกแรงสั่นจากภายในบดร่างกายจนแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ร่างของมันที่เหลืออยู่ล้มเอนไปทางด้านหลัง พร้อม ๆ กับที่แต่ละส่วนของร่างกายค่อย ๆ แตกสลายและหลุดร่วงลงมา ทำให้นักเวทจากหอคอยสีเขียวทั้งสามคนต้องรีบวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น
ในจังหวะนั้น โลรินก็ทำการปิดบัญชีด้วยการทิ้งตัวลงมาปักไม้เท้าลงบนเศษซากของยักษ์หินอีกครั้ง ทำให้เกิดคลื่นกระแทกผลักเศษหินให้พุ่งกระจายออกไปทั่วบริเวณ แม้เหล่านักเวทจะพยายามกางเวทป้องกันขึ้นมารับการโจมตี แต่มันก็ยังไม่สามารถป้องกันเศษหินจำนวนมากเอาไว้ได้หมด ทั้งสามคนจึงถูกก้อนหินพุ่งเข้ากระแทกจนกระเด็นกันไปคนละทิศละทางและนอนแน่นิ่งไป
ทันทีที่จัดการกับนักเวทกลุ่มที่สามเสร็จแล้ว โลรินก็มุ่งหน้าต่อไปยังนักเวทกลุ่มสุดท้าย แต่เมื่อเธอมองตรงไปก็พบว่า นักเวทในเสื้อคลุมสีแดงทั้งสามคนได้ตั้งท่ารอไว้อยู่แล้ว ทันทีที่เห็นโลรินตรงเข้ามา ทั้งสามคนก็ปลดปล่อยเวทโจมตีที่เตรียมเอาไว้เข้าใส่เธอในทันที
เปลวเพลิงซึ่งมีลักษณะคล้ายกับงูยักษ์ที่มีความยาวนับสิบเมตรพวยพุ่งออกมาจากปลายไม้เท้าของนักเวทหนุ่มทั้งสอง ส่วนนักเวทหญิงที่อยู่ด้านหลังก็ชูไม้เท้าของเธอขึ้นไปบนอากาศและปลดปล่อยเปลวไฟขนาดยักษ์ที่มีรูปร่างคล้ายกับนกฟีนิกซ์ขึ้นไปบนท้องฟ้า เธอก็คือชูล่านั่นเอง
พื้นดินที่งูเพลิงทั้งสองตัวเลื้อยผ่านจะเกิดเปลวไฟอันลุกโชนพวยพุ่งขึ้นมา พวกมันเลื้อยตัวเป็นวงกลมล้อมรอบโลรินเอาไว้และค่อย ๆ บีบวงแคบเข้ามาเรื่อย ๆ ส่วนบนท้องฟ้าก็มีนกฟีนิกซ์ที่ทิ้งเมฆเพลิงเอาไว้ตลอดเส้นทางที่มันบินผ่าน มันบินวนไปโดยรอบทำให้ทั้งท้องฟ้าเบื้องบนและพื้นดินเบื้องล่างค่อย ๆ กลายเป็นทะเลเพลิงไปทีละน้อย ทางหนีของโลรินจึงถูกปิดลงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นว่าเหยื่อไร้ซึ่งทางหนีแล้ว งูเพลิงทั้งสองก็บีบวงแคบเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับที่นกไฟบนท้องฟ้าโฉบตัวลงมายังจุดที่โลรินยืนอยู่ ซึ่งเธอได้แต่เพียงชูไม้เท้าขึ้นในท่าป้องกันเท่านั้น ก่อนที่เปลวไฟจากการประสานตัวของร่างอัญเชิญธาตุทั้งสามจะลุกโชนขึ้น และเกิดเป็นเสาเพลิงขนาดใหญ่ซึ่งมีความสูงหลายสิบเมตรพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
คุโระที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองนั้นก็อยู่ในอาการตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนซาลก็มีอาการใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโลรินจะต้านทานการโจมตีนั้นได้หรือไม่ ความน่ากลัวของเวทธาตุไฟก็คือการที่ความร้อนจากการเผาไหม้นั้นจะสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน แรงโจมตีจากการระเบิดนั้นอาจไม่มาก แต่ถ้าถูกสุมอยู่กลางกองเพลิงนั่นเป็นเวลานานละก็ ไม่ว่าเป็นเวทป้องกันชนิดไหนก็จะถูกกัดกร่อนและเสื่อมสภาพได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ในระหว่างนั้น ซาลก็สังเกตเห็นสีหน้าของชูล่าซึ่งมีความกังวลเจือปนอยู่ด้วย มันแทบจะเป็นสีหน้าที่แสดงความรู้สึกเป็นห่วงออกมาด้วยซ้ำ แต่เพียงแค่แวบเดียวอาการนั้นก็ถูกกลบไปด้วยใบหน้าที่แสดงอารมณ์หงุดหงิดเหมือนอย่างเคยของเธอ
เป็นเวลาเกือบหนึ่งนาทีที่เสาเพลิงแท่งยักษ์นั้นยังลุกโชนขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่มีทีท่าว่าจะมอดดับ แต่ในที่สุด เปลวไฟของมันก็เริ่มอ่อนลง
เมื่อเปลวไฟนั้นลดระดับลงมาจนเหลือเพียงไม่กี่เมตร ทุกคนก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง
เพราะท่ามกลางเปลวไฟกองนั้นมีม่านพลังงานทรงกลมคล้ายกับลูกแก้วสีขาวขุ่นอยู่ภายใน
และด้านในของม่านพลังงานนั้นก็คือโลรินที่ยังคงไร้รอยขีดข่วนและโปรยยิ้มหวานมาให้กับชูล่าทันทีที่ทั้งสองได้สบตากัน
พริบตานั้น โลรินก็สลายม่านป้องกันลงและเหวี่ยงไม้เท้าของเธอไปในแนวราบ เหมือนกับกำลังเหวี่ยงอะไรสักอย่างเข้าใส่กลุ่มนักเวทที่อยู่เบื้องหน้า
ชูล่าสัมผัสได้ถึงอันตรายในทันที เธอจึงรีบดีดตัวออกมาจากจุดที่ยืนอยู่ ผิดกับชายหนุ่มอีกสองคนซึ่งพยายามร่ายเวทป้องกันตามสัญชาตญาณ
ชูล่าไม่แน่ใจว่าเธอควรจะร้องเตือนเพื่อนทั้งสองดีรึไม่ เพราะเธอเองก็ไม่แน่ใจว่ากำลังหลบหนีจากอะไร และไม่รู้ว่ามันเป็นการตอบสนองที่ถูกต้องรึเปล่า แต่ในระหว่างที่กำลังลังเลอยู่นั้น ความกังวลของเธอก็เป็นจริง นักเวทชายทั้งสองคนถูกแรงอะไรบางอย่างเข้ากระแทกจนร่างของพวกเขาลอยกระเด็นกันออกไปคนละทิศคนละทาง ทำให้ชูล่าได้แต่กัดฟันเพราะรู้สึกเจ็บใจที่ไม่น่าลังเลเกินไป
พริบตานั้นก็มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งมาทาบทับลงที่ด้านหลังของเธอ ทำให้ชูล่าถึงกับหลั่งเหงื่อออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ขอโทษทีนะจ๊ะ”
เสียงอันอ่อนโยนนั้นทำให้ชูล่ารีบหันมองตามไป และสิ่งที่เธอพบก็คือใบหน้าที่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ไม่จางของโลริน ก่อนที่เธอจะรู้สึกเหมือนกับถูกเหวี่ยงกระชากอย่างรุนแรง จนสติของเธอเริ่มเลือนรางไป