Doombringer the 5th - ตอนที่ 112
Ch.112 – การแลกเปลี่ยน
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 108
การแลกเปลี่ยน
Part 1
การประลองของโลรินกับนักเวททั้งสิบสองคนจบลงในเวลาเพียงไม่กี่นาที
คุโระได้แต่อ้าปากค้างเพราะความตะลึง เขาเคยได้ยินเรื่องของคนที่สามารถเอาชนะการประลองในแบบหนึ่งต่อสาม หรือหนึ่งต่อห้ามาก่อน แต่ยังไม่เคยได้ยินคนที่เอาชนะในการประลองแบบหนึ่งต่อสิบสองมาก่อนเลย เพราะต่อให้เป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นแค่ไหน แต่ความต่างชั้นของฝีมือก็ไม่น่าจะทิ้งห่างกับคนที่อยู่ระดับเดียวกันมากขนาดนี้
สำหรับซาล เขาทบทวนการต่อสู้ของโลรินอยู่เป็นเวลานานด้วยสีหน้าอันซับซ้อน ในที่สุดเขาก็เผยรอยยิ้มที่แสดงความพึงพอใจและแฝงไปด้วยความรู้สึกสนอกสนใจออกมา
การประลองในครั้งนี้หากดูเผิน ๆ อาจดูเหมือนกับโลรินมีฝีมือสูงกว่าอีกฝ่ายอย่างขาดลอยจึงสามารถเอาชนะนักเวททั้งสิบสองคนด้วยตัวคนเดียวได้ แต่เมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้ว ซาลพบว่ามันกลับตรงกันข้ามเลย
เพราะเป็นการสู้พร้อมกันทีเดียวสิบสองคนต่างหาก โลรินถึงสามารถเอาชนะได้
นี่เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการคำนวณอันแม่นยำและใช้ความสามารถเฉพาะตัวสูงอยู่เหมือนกัน ทั้งยังเป็นการเดิมพันแบบหมดหน้าตักที่ค่อนข้างเสี่ยงด้วย แต่กุญแจสำคัญที่ทำให้โลรินชนะก็คือการสู้กับฝ่ายตรงข้ามพร้อมกันทีเดียวสิบสองคนนี่แหละ
แม้จะเสียเปรียบในด้านจำนวนเพราะเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบสอง แต่โลรินก็มีความได้เปรียบในเรื่องวิชาอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ซึ่งสำหรับการต่อสู้ การรู้หรือไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถทำอะไรได้บ้างนั้นจะทำให้ผลของการต่อสู้ออกมาแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
ในการต่อสู้ครั้งนี้ โลรินสามารถคาดเดาได้หมดว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้เวทอะไรและตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไร เพราะพวกเขาต่างก็เป็นนักเวทตามแบบแผน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่รู้เลยสักนิดว่าโลรินทำอะไรได้บ้าง และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ความได้เปรียบด้านจำนวนคนถูกหักล้าง
เวทแสงสว่างของโลรินเป็นการเปิดฉากการโจมตีที่คาดไม่ถึง ไม่มีใครเตรียมตัวป้องกันการโจมตีต่อสายตาในลักษณะนี้มาก่อน บวกกับปกติแล้วเวทที่มีผลรุนแรงขนาดนี้จะต้องใช้เวลาในการร่ายสักระยะหนึ่ง แต่โลรินสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้ในเสี้ยววินาทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการคาดเดาของอีกฝ่ายไปมาก การโจมตีที่ทั้งรวดเร็วและอยู่เหนือการคาดหมายนี้จึงสามารถสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของนักเวททั้งสิบสองคนได้พร้อมกัน
ต่อมาคือการโจมตีของโลรินซึ่งเป็นเวทสายมิติ เพราะฝ่ายตรงข้ามเลือกใช้การป้องกันการโจมตีทางเวทมนตร์ แต่การโจมตีของโลรินนั้นสามารถแทรกผ่านม่านป้องกันเวทมนตร์ไปได้ การป้องกันเหล่านั้นจึงไร้ผลเพราะเป็นการป้องกันที่ไม่ถูกต้อง ทำให้การโจมตีของโลรินสามารถจัดการกับเหล่านักเวทไปทีละกลุ่มได้อย่างง่ายดาย
สุดท้ายคือเวทป้องกันที่โลรินใช้ ความจริงแล้วนกไฟของชูล่านั้นเป็นเวทขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาร่ายนานและมีพลังโจมตีมหาศาล ส่วนงูเพลิงที่อีกสองคนใช้ก็เป็นเวทขนาดกลางที่มีพลังรุนแรงเช่นกัน การประสานการโจมตีจากเวททั้งสามนี้ควรจะทำให้เกิดการโจมตีที่รุนแรงจนเวทป้องกันระยะสั้นที่ร่ายโดยคนเพียงคนเดียวไม่สามารถป้องกันได้ แต่โลรินก็สามารถรับการโจมตีนั้นไว้ได้ เพราะเวทที่เธอใช้คือ ‘ไฟร์วาร์ด’ (Fire Ward) เวทสำหรับป้องกันการโจมตีธาตุไฟโดยเฉพาะ เวทนี้เป็นเวทป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันการโจมตีธาตุไฟ แต่แทบจะไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากธาตุอื่น ๆ ได้เลย
นี่เป็นจุดที่ทำให้ซาลคิดว่าโลรินได้วางแผนทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว จึงจงใจยั่วยุอีกฝ่ายให้สู้กับเธอพร้อมกันทีเดียวสิบสองคน เพราะนั่นเป็นวิธีที่จะทำให้ลูกเล่นทุกอย่างของเธอทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
หากเปลี่ยนใหม่เป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสามจำนวนสี่ครั้ง โดยสู้กับนักเวทจากแต่ละหอคอยไปทีละกลุ่ม โลรินคงไม่สามารถใช้ลูกเล่นเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะเมื่อสู้ไปจนถึงกลุ่มสุดท้าย เพราะวิชาของเธอคงถูกเปิดเผยหมดแล้ว
ประการแรก การใช้เวทแสงสว่างสกัดกั้นการเคลื่อนไหวเป็นอะไรที่ใช้ได้แค่ในทีเผลอเท่านั้น หากอีกฝ่ายรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามีการโจมตีแบบนี้อยู่ ก็สามารถหาทางป้องกันได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการเอามือปิดตา หรือใช้เวทสร้างที่กำบังขึ้นมาปิดกั้นแสงนั้น เมื่อไม่สามารถสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ ความได้เปรียบของโลรินก็จะลดลงมาก
ประการที่สอง เวทโจมตีของโลรินมีระยะโจมตีที่ค่อนข้างสั้น ถ้าฝ่ายตรงข้ามพยายามรักษาระยะห่าง และกันไม่ให้เธอเข้ามาใกล้ โลรินก็จะเป็นฝ่ายที่ลำบากเพราะไม่สามารถปลดปล่อยการโจมตีในระยะที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้
ประการที่สาม แม้จะเป็นรูปแบบการโจมตีที่พบเห็นได้ยาก แต่หากได้ลองสังเกตและพิจารณาดูสักพักแล้ว เหล่านักเรียนปีห้าก็น่าจะพอเดาออกว่าการโจมตีของโลรินเป็นเวทสายมิติ และสามารถเตรียมการป้องกันที่เหมาะสมได้ เช่นใช้เวทป้องกันที่มีคุณสมบัติดูดซับการสั่นคลอนของห้วงมิติ ซึ่งจะทำให้เวทของโลรินมีประสิทธิภาพลดลงมาก และไม่สามารถจัดการกับศัตรูทั้งกลุ่มในการโจมตีครั้งเดียวได้
การที่เหล่านักเวทไม่สามารถมองการโจมตีของโลรินออกเพราะกำลังอยู่ในการต่อสู้และทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แต่หากได้เฝ้าสังเกตการณ์และพิจารณาการต่อสู้ของคนอื่นอย่างละเอียด นักเวทที่ได้ประลองกับโลรินเป็นกลุ่มที่สามหรือกลุ่มที่สี่จะต้องดูออกและหาวิธีป้องกันได้แน่
ประการที่สี่ เวท ‘วาร์ด’ (Ward) ที่โลรินใช้สามารถป้องกันเวทโจมตีระดับสูงได้ก็จริง แต่มันเป็นการป้องกันที่จำกัดเฉพาะธาตุเท่านั้น หากฝ่ายตรงข้ามรู้เรื่องนี้แล้วก็คงไม่ใช้การโจมตีธาตุเดียวกันหมดทั้งสามคน แต่จะโจมตีโดยใช้เวทกันคนละธาตุแทน ซึ่งการโจมตีจากธาตุอื่น ๆ จะสามารถเจาะทะลุเวทป้องกันชนิดนี้ได้อย่างสบาย นั่นคงเป็นเหตุผลที่โลรินรีบจัดการกับนักเวททั้งสามหอคอยโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เหลือเพียงนักเวทของหอคอยสุดท้ายเอาไว้ เพราะเชื่อว่าพวกเขาทั้งสามคนจะต้องโจมตีด้วยเวทที่ถนัดที่สุดโดยพร้อมเพรียงกัน ก็คือเวทธาตุไฟ และมันก็เป็นไปตามแผนของเธอ
โดยสรุปก็คือ ทุกอย่างนี้สำเร็จลงได้ราวกับเล่นกลเพราะเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบสอง ฝ่ายตรงข้ามทั้งสิบสองคนไม่รู้ว่าโลรินทำอะไรได้บ้างและไม่รู้วิธีที่ถูกต้องในการรับมือกับการโจมตีของเธอจึงทำให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นการสู้แบบหนึ่งต่อสามไปทีละกลุ่ม ผลลัพธ์อาจแตกต่างไปจากนี้ก็ได้ เพราะกลุ่มที่ได้สู้ทีหลังจะสามารถวิเคราะห์วิชาของโลรินและหาทางรับมือได้แล้วนั่นเอง
ถึงกระนั้น นี่ก็ยังเป็นการเดิมพันที่ค่อนข้างเสี่ยงพอตัวทีเดียว เพราะถ้าไม่ใช่คนที่มีฝีมือจริง ๆ ก็คงไม่สามารถอาศัยความได้เปรียบนี้เอาชนะในการประลองแบบหนึ่งต่อสิบสองได้ มันเป็นแผนการที่ทั้งแยบยลและบ้าบิ่นในเวลาเดียวกัน ทำให้ซาลรู้สึกยอมรับและนับถือในฝีมือของโลรินอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกชื่นชมตระกูลมิแทรนเดียร์ที่สามารถนำสิ่งที่ได้เห็นจากบันทึกของโลกเก่ามาสังเคราะห์เป็นเคล็ดวิชาของโลกใหม่ที่มีประสิทธิภาพได้ถึงขนาดนี้ด้วย แม้มันจะเป็นการตีความวรรณกรรมที่ผิดก็ตาม
——————————————————————————–
Part 2
โลรินถอดชุดนักเวทของเธอออกและเดินกลับมายังด้านหน้าของหอคอย ซึ่งซาลกับคุโระก็ได้ลงมายืนรออยู่แล้ว
ทันทีที่เธอเดินมาถึง คุโระซึ่งเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ก็เอ่ยปากชมในทันที
“สุดยอดไปเลยครับคุณโลริน! ผมไม่เคยเห็นการต่อสู้แบบนี้มาก่อนเลย!”
“งั้นเหรอ? หุหุหุ~ ความจริงแล้วก็เพราะอีกฝ่ายประมาทด้วยล่ะนะ”
โลรินตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย แม้คำพูดของเธอจะฟังดูเป็นการถ่อมตัวตามมารยาท แต่สิ่งที่เธอพูดก็ไม่ได้ผิดไปจากความจริงเท่าไหร่นัก
เธอเหลือบตามองมายังซาลอย่างมีเลศนัย คงเพราะเขาเคยพูดในทำนองดูหมิ่นนักเวทสีเทาไปไม่น้อย เธอจึงส่งสายตาที่เหมือนกับจะถามย้อนว่า ‘เป็นไงล่ะ?’ มาทางเขา ทำให้ซาลได้แต่ยิ้มแหย ๆ เพราะตอนนี้เขารู้สึกสนใจวิชาของนักเวทสีเทาขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
แม้จะไม่ถึงกับเป็นวิชาที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่มันก็เป็นวิชาที่มีเอกลักษณ์และต้องใช้วิธีการเฉพาะในการรับมือ เรียกได้ว่าหากสามารถใช้วิชาเหล่านี้ได้ก็จะมีไพ่ตายหรือกลยุทธ์ในการต่อสู้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเวทแสงสว่างที่ให้ผลเหมือนกับเวทพันธนาการได้ หรือเวทโจมตีด้วยการสั่นคลอนมิติซึ่งสามารถทะลุผ่านม่านป้องกันเวทมนตร์ได้ แต่ที่ซาลให้ความสำคัญมากที่สุดคือเวทที่ใช้เปลี่ยนพลังเวทมนตร์เป็นจิตต่อสู้ ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นวิทยาการที่มีค่ามากทีเดียว
แม้จะรู้สึกเสียฟอร์มไปบ้าง แต่ในเมื่อมันเป็นของที่มีค่าเกินกว่าจะละเลย ซาลจึงยอมเปลี่ยนท่าทีซะใหม่ แม้สีหน้าของเขาจะยังมีอาการขัดเขินอยู่บ้างก็ตาม
“กะ.. ก็ไม่เลวนี่นา… ไม่นึกว่าจะเอามาใช้ในการต่อสู้จริงได้แบบนี้ ถ้าแบบนี้ละก็ ผมจะลองเรียนวิชาของนักเวทสีเทาเป็นคลาสรองก็ได้…”
“อืม~ เรื่องนั้นคงต้องขอคิดดูก่อนนะ”
“อ้าว!? ไหนก่อนหน้านี้ยังเซ้าซี้ให้มาเรียนอยู่เลยไงล่ะ!?”
“ตอนนั้นมันเป็นช่วงโปรโมชั่น แต่ตอนนี้สินค้าของเราน่ะฮิตติดตลาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมาหวังให้ลด-แลก-แจก-แถม เหมือนเดิม คงจะไม่ได้หรอกนะคะคุณลูกค้า~”
แม้จะพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและท่าทางขี้เล่น แต่ซาลก็พอจะเดาออกว่าที่เธอมีท่าทีแบบนี้เป็นเพราะยังผูกใจเจ็บที่เขาดูหมิ่นคลาสนักเวทสีเทาอยู่แน่ ๆ ดูเหมือนความจริงแล้วโลรินจะไม่ใช่คนที่มีนิสัยเป็นผู้ใหญ่อย่างท่าทีที่เธอแสดงออกซะทีเดียว ถึงไม่ยอมปล่อยผ่านคำพูดของเขาแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เขาเป็นคนที่ประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไปและพูดจาผิดมารยาทก่อนจริง อีกทั้งวิชาของเธอยังเป็นวิชาที่เขาต้องการด้วย ซาลจึงต้องยอมอ่อนข้อให้แม้จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างก็ตาม
“เข้าใจแล้วล่ะคร้าบ~ ผมผิดเองแหละที่บอกว่านักเวทสีเทาเป็นแค่แบทเทิลเมจทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่คลาสที่แท้จริง การประลองครั้งนี้ก็ได้พิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่าผมคิดผิด คำพูดที่ผ่านมาน่ะเป็นเพราะผมตาไม่ถึงเอง คุณโลรินได้โปรดอย่าถือสาเลยนะครับ”
เมื่อได้ยินคำขอโทษอย่างเป็นทางการจากซาล โลรินก็เผยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นอีก และกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอันร่าเริง
“ถ้าเข้าใจก็ดีแล้วล่ะนะ พอลงทะเบียนเป็นนักเวทฝึกหัดของคลาสเรียบร้อยแล้ว ฉันจะสอนเวท ‘เดย์ไลท์’ ให้ก็แล้วกัน”
“หา? แค่เวทแสงอย่างเดียวเองเหรอ? ผมอยากได้เวทโจมตีมิติกับเวทที่ใช้เปลี่ยนพลังเวทมนตร์เป็นจิตต่อสู้มากกว่าน่ะ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของซาล โลรินก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เพราะเธอนึกไม่ถึงว่าเด็กปีหนึ่งอย่างเขาจะสามารถมองรูปแบบของเวทมนตร์เหล่านั้นออกด้วย
“เห? นี่มองออกด้วยเหรอเนี่ย? ปกติแล้วต่อให้เป็นนักเรียนปี 5 แต่ถ้าไม่ใช่นักเรียนห้อง A ก็อาจวิเคราะห์รูปแบบของมันไม่ออกด้วยซ้ำนะ เธอนี่น่าสนใจดีเหมือนกันนะเนี่ย”
คำพูดของโลรินทำให้ซาลนึกได้ว่าเขาเปิดเผยความสามารถของตัวเองมากเกินไปหน่อย จึงต้องรีบหาเรื่องมากลบเกลื่อน
“นั่นเพราะเวทอัญเชิญของซัมมอนเนอร์ก็เป็นเวทสายมิติแขนงหนึ่งไงล่ะครับ ทำให้ผมพอจะมองรูปแบบของมันออกอยู่บ้าง… ส่วนเรื่องจิตต่อสู้นั่น ผมเดา ๆ เอาน่ะ เพราะไม่น่าจะมีวิธีอื่นที่นักเวทจะสามารถดึงจิตต่อสู้ออกมาใช้ได้ขนาดนั้นแล้ว”
“อืม~ งั้นเหรอ… แต่ยังไงก็ตาม วิชาพวกนี้จัดเป็นวิชาประจำตระกูลของตระกูลมิแทรนเดียร์และเป็นวิชาเฉพาะของคลาส ปกติจะไม่สอนให้กับคนนอกหรือคนที่ไม่ได้เรียนเป็นคลาสหลักหรอกนะ เว้นแต่ว่าเธอจะยอมเปลี่ยนคลาสหลักมาเป็นนักเวทสีเทาหรือยอมเข้ามาเป็นสมาชิกของสมาคมนักเวทสีเทาแบบไม่มีเงื่อนไข แบบนั้นฉันก็อาจจะยอมถ่ายทอดวิชาเฉพาะให้ได้นะ”
ข้อเสนอของโลริน ทำให้ซาลถึงกับต้องขมวดคิ้ว
หากเปลี่ยนคลาสหลักในทะเบียนเป็นนักเวทสีเทา สมาคมแห่งนี้ก็จะไม่มีสมาชิกที่มีคลาสหลักเป็นซัมมอนเนอร์ จึงไม่สามารถรักษาสถานภาพของ ‘สมาคมพันธมิตรนักเวทสีเทาและซัมมอนเนอร์’ เอาไว้ได้ และจะกลายเป็นสมาคมนักเวทสีเทาไปโดยปริยาย หรือถ้ายอมเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมแบบไม่มีเงื่อนไขก็คือการยกเลิกข้อตกลงเรื่องการเป็นสมาคมพันธมิตรและทำให้สมาคมนี้กลายเป็นนักเวทสีเทาแต่เพียงลำพังเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นเงื่อนไขที่ทำให้โลรินได้ประโยชน์แบบทั้งขึ้นทั้งล่อง
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะโลรินรู้ว่าตนเองกำลังเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า เพราะซาลกำลังต้องการจะเรียนวิชาของนักเวทสีเทา ทำให้เขาเป็นฝ่ายที่ต้องยื่นข้อเสนอที่น่าพอใจให้เป็นการแลกเปลี่ยน
ความจริงโลรินเองก็อยากได้สมาชิกใหม่มาเพิ่ม จึงพยายามชักชวนและคะยั้นคะยอในทีแรก แต่เมื่อเห็นโอกาสดี ๆ ในการต่อรองแบบนี้เธอจึงรีบฉกฉวยเอาไว้ เพราะสำหรับเธอแล้วการคงชื่อ ‘สมาคมนักเวทสีเทา’ เอาไว้เป็นสิ่งที่สำคัญกับเธอมากกว่า เพราะมันเป็นคลาสประจำตระกูลของเธอด้วย โลรินมองออกว่าซาลคงไม่ยอมเปลี่ยนคลาสหลักเป็นคลาสอื่นนอกจากซัมมอนเนอร์เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเขาคงจะเลือกทางที่สองคือยอมเป็นสมาชิกโดยไม่มีเงื่อนไขและให้สมาคมนี้ใช้ชื่อว่าสมาคมนักเวทสีเทาเพียงลำพังต่อไป
แต่ในขณะเดียวกัน ซาลก็นึกออกว่าเขาเองน่าจะมีสิ่งที่โลรินต้องการอยู่เช่นกัน และเขาน่าจะใช้สิ่งนั้นในการแลกเปลี่ยนกับเธอได้
“ในเมื่อเราเป็นสมาคมพันธมิตรนักเวทสีเทาและซัมมอนเนอร์ ดังนั้นก็น่าจะทำการแลกเปลี่ยนวิทยาการกันมากกว่านะ ผมจะสอนวิชาของซัมมอนเนอร์ให้เป็นการแลกเปลี่ยนกับวิชาของนักเวทสีเทาก็แล้วกัน”
“หืม~ แต่ฉันไม่รู้สึกอยากเรียนวิชาของซัมมอนเนอร์เลยนี่นา คือมันไม่ค่อยมีอะไรที่นักเวทสีเทาจำเป็นต้องใช้หรือนำมาประยุกต์ใช้ได้น่ะ”
“ใครบอกล่ะ! เพราะเป็นนักเวทสีเทาต่างหากถึงต้องใช้เวทอัญเชิญได้ ไม่งั้นก็จะไม่ใช่นักเวทสีเทาที่แท้จริง! คอยดูนี่นะ!”
เมื่อพูดจบ ซาลก็กางวงเวทขนาดใหญ่ขึ้นมาบนอากาศหนึ่งวง ก่อนจะทำการแยกส่วนประกอบของมันออก ทำให้โครงสร้างเวทมนตร์และอักขระเวทหลายส่วนหลุดออกมาจากวงเวทและลอยเคว้งอยู่รอบ ๆ เขาโบกมือไปมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังวาดภาพ ทำให้อักขระและโครงสร้างที่ถูกแยกออกมาเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ก่อนจะกลับไปประกอบเข้ากับโครงสร้างของวงเวทเดิมอีกครั้ง ไม่นานนักวงเวทอัญเชิญที่ถูกปรับแต่งใหม่ก็เสร็จสมบูรณ์ ซาลจึงเอามือแตะสัมผัสที่กลางวงเวทและถ่ายเทพลังเวทลงไปเพื่อทำการอัญเชิญสมุนที่ถูกสร้างขึ้นจากวงเวทนั้นออกมา
แสงสีขาวนวลส่องสว่างออกมาจากวงเวท ทันใดนั้น นกอินทรีตัวใหญ่ก็โผทะยานออกมาจากม่านแสงสีขาวที่ดูราวกับเป็นประตูมิติ มันโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยการกระพือปีกอันทรงพลัง จนทำให้เกิดกระแสลมกรรโชกพัดไปทั่วราวกับมีพายุลูกเล็ก ๆ เคลื่อนผ่าน
มันเป็นนกอินทรีสีน้ำตาลที่มีขนาดใหญ่โตราวกับเป็นนกยักษ์ ปีกแต่ละข้างมีความกว้างเกือบสี่เมตร กรงเล็บอันใหญ่โตนั้นน่าจะใช้หอบหิ้วม้าทั้งตัวได้เลยทีเดียว
ทันทีที่เห็นนกอินทรีขนาดมหึมานั้นโผทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า โลรินก็จ้องมองมันด้วยแววตาเป็นประกาย แม้แต่สีหน้าของเธอก็ยังแสดงอาการตื่นเต้นออกมาด้วย ทำให้ซาลรู้ได้ทันทีว่าข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอที่อีกฝ่ายไม่ยอมปฏิเสธแน่
นี่คือหนึ่งในสมุนอัญเชิญของเขา ความจริงมันคือ ‘ร็อค’ (Roc) เป็นมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายกับนกอินทรีขนาดยักษ์ แต่ตามตัวของมันจะมีเส้นขนที่เรืองแสงคล้ายกับมีพลังงานอัดแน่นประดับอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทั่วตัว ขนเหล่านี้คือประจุไฟฟ้าเพราะคุณสมบัติพิเศษของมอนสเตอร์ชนิดนี้คือการปล่อยสายฟ้า ยิ่งถ้าเป็นนกร็อคระดับสูงก็จะมีเส้นขนเหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็จะมีขนเรืองแสงปกคลุมทั่วทั้งตัว ทำให้สามารถใช้งานสายฟ้าได้เพียงแต่การสะบัดปีก ผู้คนจึงมักเรียกนกร็อคระดับสูงสุดนี้ว่า ‘ธันเดอร์เบิร์ด’ (Thunderbird)
สำหรับนกร็อคตัวนี้ ซาลปรับแต่งรูปลักษณ์และคุณสมบัติของมันให้ดูเป็นนกอินทรีธรรมดามากขึ้น และใกล้เคียงกับลักษณะของนกอินทรีที่ปรากฏในตำนานของนักเวทสีเทาแห่งโลกเก่า จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกต เพราะแม้แต่ระดับต่ำสุดของนกร็อคก็ยังเป็นมอนสเตอร์ระดับหก ซึ่งไม่ควรจะเป็นมอนสเตอร์ที่เขาอัญเชิญมาได้ อีกอย่างคือรูปลักษณ์นี้น่าจะเป็นที่ต้องตากับโลรินผู้หลงไหลนักเวทสีเทาแห่งโลกเก่ามากกว่าด้วย ซึ่งดูจากปฏิกิริยาของเธอแล้วซาลยิ่งมั่นใจว่าเขาคิดไม่ผิด
“ถ้ารุ่นพี่ยอมสอนวิชาของนักเวทสีเทาให้กับผม ผมก็จะสอนวิธีสร้างสมุนอัญเชิญแบบนี้ให้เป็นการแลกเปลี่ยน สนใจรึเปล่าครับ?”
ไม่ทันที่ซาลจะพูดจบดี โลรินก็คว้ามือทั้งสองข้างของเขาขึ้นมากุมไว้ พร้อมกับตอบรับด้วยแววตาเป็นประกาย
“ตกลง! เอาตามนี้เลย!”
——————————————————————————–
Part 3
หลังจากซาลกับโลรินตกลงกันได้ไม่นาน เหล่านักเวททั้งสิบสองคนก็ทยอยกันฟื้นขึ้นมา
ทุกคนต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ส่วนหนึ่งอาจเพราะอาการบาดเจ็บ แต่อีกส่วนหนึ่งคงเพราะมันเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยาก ที่มาแพ้ในการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบสองแบบนี้
คนที่มีสีหน้าเจ็บใจที่สุดก็คงหนีไม่พ้นชูล่า ซึ่งขบเม้มริมฝีปากจนน่ากลัวว่าจะมีเลือดไหลออกมาเลยทีเดียว
เมื่อทั้งสิบสองคนฟื้นมาครบแล้ว โลรินก็เดินไปสรุปผลการต่อสู้กับพวกเขา
นี่เป็นการประลองชิงหอคอย ดังนั้นเมื่อโลรินชนะ ก็เท่ากับว่าหอคอยทั้งสี่หลังของสี่สมาคมนักเวทต้องตกเป็นของโลรินด้วย ทันทีที่เธอเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นก็ทำให้นักเวททั้งสิบสองคนถึงกับหน้าถอดสีไปเลยทีเดียว
แต่ทันที่ที่พูดจบ โลรินก็ขอสละสิทธิ์ในการครอบครองหอคอยทั้งสี่หลัง และขอแค่ไม่ให้สมาคมอื่น ๆ มาสร้างความวุ่นวายให้กับหอคอยสีเทาอีกก็พอแล้ว ทำให้ทุกคนมีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
ด้วยการกระทำนี้ ทำให้คุโระมองว่าโลรินเป็นคนที่ใจดีมาก แต่ซาลกลับมองว่ามันเป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลแล้ว และไม่ใช่การแสดงความใจกว้างแต่อย่างใด
ตามกฎที่ถูกตั้งขึ้นใหม่ อาคารแต่ละหลังจะถูกท้าประลองเพื่อแย่งสิทธิ์การครอบครองได้เพียงหนึ่งครั้งในหนึ่งปีเท่านั้น เท่ากับว่าในช่วงเวลานี้จะไม่มีใครสามารถมาขอท้าประลองเพื่อแย่งชิงหอคอยสีเทาได้อีก แต่สำหรับหอคอยอื่น ๆ นั้นเป็นคนละเรื่องกัน
หากโลรินยึดหอคอยอีกสี่หลังมาครองไว้ สมาคมนักเวทอื่น ๆ ก็จะสามารถยื่นสาสน์ท้าประลองเพื่อแย่งชิงหอคอยของตนเองกลับไปได้ และตัวแทนที่มาประลองก็คงจะเป็นพวกนักเรียนปีหกซึ่งเป็นชั้นปีสูงสุดของโรงเรียนอีจิสไพร์ม การจะเอาชนะรุ่นพี่เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้จะเป็นโลรินเองก็ตาม โดยเฉพาะตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามได้รู้ฝีมือและรูปแบบของวิชาที่เธอใช้ในระดับหนึ่งแล้ว การจะใช้ลูกเล่นแบบเดิม ๆ ในการเอาชนะคงจะเป็นไปได้ยาก
อีกอย่างคือโลรินเองไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้งานหอคอยทั้งสี่หลังนั้นด้วย สำหรับเธอ แค่หอคอยสีเทาเพียงหลังเดียวก็ถือว่าใหญ่โตเกินความจำเป็นแล้วด้วยซ้ำ จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องแย่งชิงหอคอยเหล่านั้นมาถือครองให้เกิดปัญหายุ่งยากซะเปล่า ๆ การปฏิเสธสิทธิ์การครอบครองของผู้ชนะการประลองจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด
เหล่านักเวทจากทั้งสี่หอคอยต่างก็แยกย้ายกันกลับไปด้วยความรู้สึกโล่งใจ แม้พวกเขาจะรู้ว่าต่อให้ถูกแย่งสิทธิ์การครอบครองหอคอยของสมาคมไปจริง พวกรุ่นพี่ก็สามารถท้าประลองเพื่อชิงสิทธิ์กลับคืนมาได้ แต่ความจริงนี่เป็นเรื่องที่เหล่านักเรียนปีห้าดำเนินการกันเอง หากต้องบากหน้าไปให้รุ่นพี่ช่วยชิงหอคอยกลับคืนมา ก็ต้องเล่าเรื่องที่พวกเขาพ่ายแพ้ต่อโลรินแบบหนึ่งต่อสิบสองออกไปด้วย ซึ่งเรื่องน่าอัปยศแบบนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากจะหลีกเลี่ยงมากที่สุด จึงรู้สึกพอใจกับผลลัพธ์แบบนี้แล้ว
โลรินทำการนัดแนะกับซาลเกี่ยวกับวันและเวลาที่จะมาทำการแลกเปลี่ยนความรู้กัน เธอได้ให้แหวนสื่อสารประจำสมาคมแก่ซาลและคุโระด้วยคนละหนึ่งวง เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้มันในการติดต่อกับเธอได้ เธอยังบอกอีกว่าแหวนนี้สามารถใช้ในการเดินทางไปกลับระหว่างโรงเรียนกับหอคอยสีเทาได้ด้วย เพียงแค่ไปยังลานเคลื่อนย้ายของโรงเรียนและสัมผัสแหวนเข้ากับศิลาบอกตำแหน่ง ก็จะสามารถเทเลพอร์ทมายังห้องโถงของหอคอยได้ในทันที และหากต้องการจะกลับไปยังโรงเรียนก็แค่สัมผัสแหวนกับแท่นศิลาบอกตำแหน่งในห้องโถง ก็จะเคลื่อนย้ายกลับไปยังโรงเรียนได้เช่นกัน
เมื่อนัดแนะและทำการตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ทำการร่ำลากัน ซาลกับคุโระเลือกที่จะเดินทางกลับไปยังโรงเรียนด้วยตัวเอง เพราะอยากจะแวะไปเที่ยวในย่านชุมชนก่อน พวกเขาจึงเดินทางออกจากหอคอยและตรงไปยังเขตชุมชน โดยมีโลรินยืนส่งอยู่บริเวณด้านหน้าของหอคอยนั่นเอง
หลังจากกลับมาถึงเขตชุมชนและเดินพ้นบริเวณหัวมุมถนนมาได้แยกเดียว ซาลและคุโระก็ได้พบกับนักเวทสองคนซึ่งมาดักรออยู่
แม้จะไม่ได้สวมเสื้อคลุมสีแดงประจำหอคอย แต่ทั้งสองคนก็ยังสวมชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนอยู่ คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มผมทองหน้าตาหล่อเหลาท่าทางเป็นมิตร ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงหน้าตางดงามแต่ดวงตาของเธอดูไม่ค่อยจะสบอารมสักเท่าไหร่
ทั้งสองก็คือแนชและชูล่า สองนักเวทจากหอคอยสีแดงนั่นเอง
ทันทีที่เห็นซาลกับคุโระ ชูล่าก็เดินเข้าไปหาทั้งสองคน และจ้องมองพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาแบบห้วน ๆ
“ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเธอยุ่งไม่เข้าเรื่องแท้ ๆ ! รีบไปลาออกจากสมาคมนักเวทสีเทาซะ! แล้วอย่ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก!”
ท่าทีดุดันของเธอทำให้คุโระรู้สึกถูกกดดันจนต้องถอยไปหลายก้าว ผิดกับซาลที่ยังคงยืนจ้องมองหญิงสาวคนนั้นเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาที่หงุดหงิดมากขึ้นอีก
“ทำไมถึงจะต้องพยายามทำลายสมาคมนักเวทสีเทาขนาดนั้นด้วยล่ะครับ? รุ่นพี่โลรินเขาไปทำอะไรเอาไว้ให้งั้นเหรอ?”
ซาลเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา เพราะเขารู้สึกไม่เข้าใจเจตนาของหญิงสาวคนนี้จริง ๆ แม้จะดูเป็นปฏิปักษ์ต่อโลริน แต่เธอก็แสดงอาการเป็นห่วงออกมาตอนที่กำลังสู้กัน ถึงกระนั้นก็ยังไม่ละทิ้งความพยายามที่จะทำให้สมาคมนักเวทสีเทาถูกยุบอยู่ดี เขาไม่เข้าใจว่าเธอมีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องรู้หรอกน่า! แค่ทำตามที่ฉันบอกก็พอแล้ว!”
คำตอบอันดื้อดึงของหญิงสาวทำให้ซาลได้แต่ทำหน้าเจื่อน เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรกลับไปดี แต่ในระหว่างนั้นชายหนุ่มผมทอง แนช ก็เข้ามาแทรกได้อย่างตรงจังหวะ
“พอทีเถอะนะชูล่า ปล่อยวางบ้างเถอะ ถ้าโลรินเขามีความสุข เราก็ควรจะให้เขาทำตามที่เขาต้องการนะ”
“ใครไปสนใจเรื่องความสุขของยัยนั่นกัน!? ที่ฉันสนใจคือการประลองต่างหาก! มาแพ้แบบนี้ฉันยอมไม่ได้หรอก!”
“ขนาดหนึ่งต่อสิบสองยังสู้ไม่ได้เลย ถ้าหนึ่งต่อหนึ่งเธอจะชนะเขาได้เหรอ? …แอ๊ก!”
พูดยังไม่ทันจบ แนชก็โดนชูล่าต่อยเข้าไปที่ชายโครงขวาดังปึ้ก จนเขาถึงกับตัวงอด้วยความเจ็บปวด
“เพราะมันเป็นการประลองแบบมั่ว ๆ อย่างนั้นต่างหากล่ะถึงได้แพ้น่ะ! ถ้าตั้งใจสู้กันแบบตัวต่อตัวละก็ ผลต้องไม่เป็นอย่างนี้แน่!”
“เฮ้อ… ความจริงนอกจากการประลองแล้วก็ยังมีวิธีอื่นอีกตั้งเยอะตั้งแยะนะ ถ้าอยากจะเป็นเพื่อนกับเขาก็เข้าไปคุยกับเขาตรง ๆ ก็ได้นี่…. อ๊อก!”
คราวนี้แนชโดนชูล่าเตะเข้าไปที่ชายโครงซ้ายจนทำให้ตัวงอไปอีกทางหนึ่งแทน ส่วนชูล่าก็ตวาดกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ปกปิดความประหม่าเอาไว้ไม่มิด
“คะ.. ใครอยากเป็นเพื่อนกับยัยนั่นกัน!? คนเพี้ยนอย่างยัยนั่นน่ะ เน่าตายในหอคอยนั้นไปคนเดียวก็ดีแล้ว!”
เมื่อพูดจบ ชูล่าก็สะบัดหน้าและรีบเดินจากไป แต่ซาลสังเกตเห็นว่าในโทสะอันเกรี้ยวกราดของหญิงสาว ยังมีความเขินอายถูกซุกซ่อนเอาไว้ด้วย
หลังจากชูล่าเดินจากไปแล้ว แนชก็ยิ้มพลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมาพูดกับซาลและคุโระ
“ขอโทษทีนะ แม่นั่นก็เป็นคนแบบนี้แหละ ถึงจะเป็นคนที่เข้าใจยากหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอกนะ”
ท่าทางอันเป็นมิตรของแนชทำให้คุโระมีท่าทีผ่อนคลายขึ้น แต่ซาลก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอยู่ดี
“แล้วทำไมเขาต้องพยายามทำให้สมาคมนักเวทสีเทาถูกยุบด้วยล่ะครับ พวกเขาสองคนมีเรื่องผิดใจอะไรกันเหรอ?”
“อา… เรื่องนั้นน่ะเหรอ…”
แนชมีสีหน้าลำบากใจอยู่เล็กน้อยเหมือนลังเลที่จะพูด แต่ในที่สุดเขาก็พูดออกมา
“ความจริงคือเราทำเรื่องนี้ก็เพื่อตัวโลรินเองน่ะ พวกเธอคงจะเห็นแล้วสินะว่าโลรินเป็นคนที่มีพรสวรรค์แค่ไหน และเธอยึดติดกับคลาสนักเวทสีเทามากแค่ไหน”
ซาลและคุโระต่างก็พยักหน้ารับ แนชจึงอธิบายต่อ
“โลรินน่ะเป็นคนอัธยาศัยดี เธอคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำผู้อื่นทุกเมื่อ คนที่รู้จักกับเธอต่างก็รู้สึกชื่นชอบเธอทั้งนั้น แม้ในกลุ่มผู้หญิงจะมีคนที่ไม่พอใจกับท่าทีเป็นมิตรที่เหมือนกับการโปรยเสน่ห์ไปทั่วนั้นอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ให้การยอมรับและยกให้เธอเป็นบุคคลสำคัญของรุ่นคนหนึ่งเลย
ความสามารถทางเวทมนตร์ของเธอก็จัดเป็นอันดับต้น ๆ ของรุ่นเช่นกัน เหล่ารุ่นพี่ของทั้งสี่หอคอยถึงกับเคยเปิดศึกเพื่อแย่งชิงตัวโลรินมาเข้าสังกัดสมาคมของตัวเองเลยทีเดียวนะ แต่พอขึ้นปีสองเธอกลับปฏิเสธคำเชิญทั้งหมด และเลือกที่จะตั้งสมาคมนักเวทสีเทาขึ้นมาแทน เพื่อสืบสานคลาสที่ตระกูลของเธอคิดค้นขึ้น มันเป็นคลาสที่ไม่ได้รับความนิยมนัก แถมยังเข้าร่วมกิจกรรมกับสมาคมนักเวทคลาสอื่น ๆ ไม่ค่อยได้ด้วย ทำให้ไม่มีสมาชิกเลยอย่างที่เห็น แต่โลรินก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษามันต่อไป
เรื่องนี้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว พวกเรานักเรียนปีห้าต่างก็รู้สึกว่าโลรินกำลังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์และกำลังปล่อยให้พรสวรรค์ที่มีอยู่กลายเป็นสิ่งสูญเปล่า บางคนก็คิดว่าเธอทำเพื่อรักษามรดกของตระกูลเอาไว้เท่านั้น ไม่ใช่ความตั้งใจของตนเองจริง ๆ พวกเราจึงคิดหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะยุบสมาคมนักเวทสีเทาลง และให้เธอมาเข้าสมาคมนักเวททั่วไปแทนไงล่ะ”
“แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นนี่ครับ?”
“ใช่ หลังจากได้เห็นท่าทีของโลรินแล้วพวกเราก็เริ่มที่จะเข้าใจ ว่านี่คือความชอบของเธอจริง ๆ แต่เราก็ยังรู้สึกว่าเธอหลงทางอยู่ดี เราคิดว่าโลรินควรจะเอาพรสวรรค์ไปใช้กับอะไรที่ดีกว่านี้ เรียกว่ามันเป็นทิฐิของพวกเราเองแหละ เราคิดว่าโลรินกำลังจมปลักกับค่านิยมที่ผิด ๆ ซึ่งสืบทอดมาจากตระกูล ถึงพยายามรักษาคลาสเพ้อฝันอย่างนักเวทสีเทาเอาไว้ แต่ความจริงคนที่ไม่รู้อะไรเลยกลับเป็นพวกเราเองนี่แหละ…”
ก่อนหน้านี้แนชก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ซะทีเดียว เขาคิดว่าโลรินใช้พรสวรรค์อย่างเปล่าประโยชน์มาโดยตลอด แต่ผลของการประลองในครั้งนี้ทำให้เขาเปิดใจต่อคลาสนักเวทสีเทามากขึ้น และเริ่มคิดว่าบางทีเขาและเพื่อน ๆ อาจเป็นฝ่ายที่คิดผิดมาตลอดก็ได้
“แล้วพี่สาวผมแดงคนเมื่อกี้ล่ะครับ?”
“ชูล่าน่ะเห็นโลรินเป็นคู่แข่งคนหนึ่ง ความจริงคือเธอเป็นคนที่ชูล่าให้การยอมรับและเป็นเป้าหมายสูงสุดเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อโลรินเลือกที่จะไปอยู่สมาคมนักเวทร้างแบบนั้นและไม่เข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ กับสมาคมนักเวทอื่น ๆ ก็ทำให้ความรู้สึกของชูล่าได้แต่สะสมเอาไว้เรื่อย ๆ จนกลายเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ ความจริงแล้วเจ้าตัวก็แค่อยากจะยุบสมาคมนักเวทสีเทาให้ได้ เพื่อให้โลรินไปเข้าสมาคมเดียวกับเธอ แล้วทั้งสองคนจะได้เป็นเพื่อนและคู่แข่งกันอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง”
เพื่อพูดถึงเรื่องนี้ แนชก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ส่วนซาลก็พอจะเข้าใจในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพราะลองนึก ๆ ดูแล้ว นิสัยของชูล่าก็มีส่วนที่คล้ายกับลาซ น้องสาวของเขาอยู่ไม่น้อยเลย
“ยังไงก็เถอะ ตอนนี้พวกเราเข้าใจแล้วล่ะว่าคลาสนักเวทสีเทาน่ะก็ไม่ใช่คลาสที่มีแต่ชื่อซะทีเดียว ชูล่าเอง ถ้าปล่อยไปสักพักเธอก็คงทำใจได้เหมือนกัน คงไม่มีใครคิดจะไปก่อกวนสมาคมนักเวทสีเทาอีกแล้วล่ะ พวกเธอวางใจได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุโระก็มีสีหน้าเบาใจลง แต่ซาลก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะยังมีเบื้องหลังอื่น ๆ อยู่อีก
เขาไม่คิดว่าแนชจะโกหก เพียงแค่คิดว่าเหตุผลที่แนชพูดมายังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอะไรอย่างอื่นอีกที่เป็นปัจจัยผลักดันให้เหล่านักเรียนปีห้าพยายามจะนำโลรินออกจากสมาคมนักเวทสีเทาและให้ไปเข้าสมาคมอื่นแทน
แต่เพราะรู้สึกว่าถึงถามไปตรง ๆ ก็อาจไม่ได้ความจริง ซาลจึงคิดว่าจะสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเองแทน
หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ร่ำลากัน โดยแนชตรงกลับไปยังโรงเรียนในทันที ส่วนซาลกับคุโระก็เดินเที่ยวในย่านชุมชนของอีจิสไพร์มตามที่ตั้งใจเอาไว้ ก่อนจะกลับไปยังโรงเรียนในช่วงเย็น