Doombringer the 5th - ตอนที่ 113
Ch.113 – ก้าวแรกของดูมโทเปีย
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 109
ก้าวแรกของดูมโทเปีย
Part 1
แม้จะผ่านการสถาปนาโลกใหม่มากว่าสามร้อยปีแล้ว แต่พื้นที่กว่า 90% ของโลกนี้ก็ยังเป็นพื้นที่อันว่างเปล่าที่ยังไม่มีคนจับจอง
ความจริงแล้วการจับจองพื้นที่เพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ยื่นคำร้องแสดงเจตจำนงในการจับจองพื้นที่ต่อฝ่ายบุกเบิกดินแดนของกรมที่ดินในแต่ละอาณาจักร จากนั้นก็เข้าไปปรับปรุงพื้นที่เพื่อทำการอยู่อาศัยหรือใช้ประโยชน์เป็นเวลาสิบปี เท่านี้ก็จะได้กรรมสิทธิ์ของที่ดินมาครอบครอง
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ เพราะทุกอาณาจักรต่างก็สนับสนุนการตั้งถิ่นฐานใหม่เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของชุมชนไปยังพื้นที่ต่าง ๆ อันจะสร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักรมากขึ้น ทว่าแม้เวลาจะผ่านไปกว่าสามร้อยปีแล้ว ปริมาณการเพิ่มขึ้นของหัวเมืองหรือชุมชนใหม่ ๆ ก็ยังคงอยู่ในอัตราที่ต่ำอยู่ดี
สาเหตุหลักที่ทำให้เป็นเช่นนี้ก็คือการคุกคามของมอนสเตอร์
แม้พื้นที่ซึ่งอยู่ในความดูแลของเมืองหรือแคว้นต่าง ๆ จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยเพราะนักผจญภัยในปัจจุบันนี้มีเป็นจำนวนมากและแย่งกันล่ามอนสเตอร์-เคลียร์พื้นที่จนแทบเหี้ยนเตียน แต่พื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปจากเส้นทางจราจรหรือสิ่งอำนวยความสะดวกกลับถูกทิ้งร้างเอาไว้จนมีมอนสเตอร์ชุกชุม เพราะเหล่านักผจญภัยยุคใหม่ที่รักสบายไม่อยากเสียเวลาลำบากลำบนออกไปทำการล่ายังที่ห่างไกลนัก หลายแห่งจึงกลายเป็นที่อันตรายซึ่งแม้แต่นักผจญภัยกลุ่มเล็ก ๆ ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้
พื้นที่ว่างเปล่าซึ่งอยู่ห่างไกลนั้น ส่วนใหญ่จะแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งสิ่งที่มาพร้อมกับความอุดมสมบูรณ์นี้ก็คือมอนสเตอร์และดันเจี้ยนตามธรรมชาติ มอนสเตอร์ป่าเหล่านี้ไม่มีความหวาดกลัวผู้คน อีกทั้งยังเห็นมนุษย์เป็นศัตรูที่เข้ามารุกล้ำอาณาเขตของพวกมัน การตั้งรกรากหรือสร้างชุมชนในพื้นที่แบบนี้จึงเป็นเรื่องยาก เพราะต้องมีกำลังคนที่เข้มแข็งพอในการปกป้องชุมชนจากเหล่ามอนสเตอร์ด้วย
แม้ทางอาณาจักรจะมีการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตั้งถิ่นฐานใหม่มากขึ้น เช่นงดเว้นการเก็บภาษีตลอดช่วงระยะเวลาสิบปี หรือให้สิทธิพิเศษในการค้าขายกับทั้งผู้ตั้งรกรากในถิ่นฐานใหม่และผู้ที่เดินทางไปทำการค้ากับที่นั่น แต่ก็ไม่มีการสนับสนุนด้านความปลอดภัยนักเพราะมันเป็นเรื่องที่มีค่าใช้จ่ายสูง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกำแพงป้องกันขึ้นมาล้อมหมู่บ้านหรือการส่งหน่วยทหารไปคุ้มกันชุมชน หากจะต้องลงทุนขนาดนั้น ทางอาณาจักรสู้ส่งขุนนางเข้าไปบุกเบิกพื้นที่เองซะยังจะดีกว่า
ด้วยเหตุนี้ประชาชนธรรมดาจึงนิยมตั้งหลักปักฐานในเขตชานเมืองมากกว่า แม้จะต้องเสียภาษีที่ดินเป็นปริมาณสูงโดยไม่มีสิทธิพิเศษอะไรเลยก็ตาม เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและนานวันเข้าก็จะมีการขยับขยายของตัวเมืองออกมาจนที่นั่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองในที่สุด ชุมชนของโลกใหม่จึงมีลักษณะการขยายตัวแบบเกาะกลุ่ม คือเมืองใหญ่จะมีการขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ค่อยมีเมืองเล็ก ๆ หรือชุมชนใหม่เกิดขึ้นมากนัก
แม้จะมียุคหนึ่งสมัยหนึ่งที่เหล่าขุนนางหรือเหล่าเชื้อพระวงศ์ทำการเกณฑ์ผู้คนไปบุกเบิกดินแดนใหม่เพื่อเพาะสร้างฐานอำนาจของตนเองทำให้มีหัวเมืองใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ยุคสมัยแบบนั้นก็ได้ผ่านไปนานแล้ว ปัจจุบันนี้เหล่าผู้มีอำนาจต่างก็พึงพอใจกับชีวิตอันสุขสบายอันเมืองใหญ่ที่พร้อมสรรพ น้อยคนที่คิดจะไปลำบากลำบนกับการบุกเบิกดินแดน
เมื่อชาวบ้านทั่วไปไม่มีศักยภาพพอในการจับจองพื้นที่ด้วยตัวเองบวกกับเหล่าชนชั้นสูงมีความคิดที่จะออกไปบุกเบิกดินแดนน้อยลงเรื่อย ๆ การก่อตั้งชุมชนหรือบุกเบิกดินแดนใหม่จึงมักจะเกิดจากนโยบายภาครัฐมากกว่า ซึ่งแต่ละอาณาจักรจะมีการสนับสนุนโครงการบุกเบิกดินแดนเพียง 4-5 ปีต่อครั้งเท่านั้น เพราะมันเป็นโครงการที่ต้องใช้งบประมาณสูงและต้องมีการบริหารจัดการอย่างยาวนาน
ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายบุกเบิกดินแดนของกรมที่ดินจึงเป็นหนึ่งในหน่วยงานรัฐที่เงียบเหงาที่สุด เพราะแทบจะไม่มีใครเข้ามาติดต่อขอใช้บริการเลย
——————————————————————————–
Part 2
ภายในกำแพงชั้นที่สี่ของจูริสไพร์ม เมืองหลวงของอาณาจักรจูริส สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ที่อยู่ในกำแพงชั้นนี้จะเป็นสถานที่ราชการหรือไม่ก็คฤหาสน์อันหรูหราซึ่งเป็นที่พำนักของเหล่าชนชั้นสูง อาคารราชการที่อยู่ชั้นนอกสุดจะเป็นหน่วยงานราชการทั่วไปที่ประชาชนต้องเดินทางเข้ามาติดต่ออย่างสม่ำเสมอ ทำให้เป็นสถานที่ซึ่งคนค่อนข้างพลุกพล่าน เว้นแต่เพียงอาคารหลังหนึ่งเท่านั้น
อาคารหลังนี้เป็นอาคารสีขาวตัดขอบมุมด้วยสีน้ำตาลอ่อนตามสไตล์ของอาคารราชการในจูริสไพร์ม ตัวอาคารยังดูสมบูรณ์ราวกับเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ แต่กลับไร้วี่แววของผู้คนที่เข้ามาติดต่อกับหน่วยงานเลย
นี่คือที่ทำการของฝ่ายบุกเบิกดินแดน เป็นหน่วยงานย่อยของกรมที่ดินแห่งอาณาจักรจูริส
ที่ชั้นสามของอาคารเป็นที่ตั้งของห้องผู้อำนวยการ ภายในห้องมีชายหนุ่มร่างท้วมผมสีน้ำตาลอายุราวสามสิบปลาย ๆ กำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้แบบปรับเอนได้ของตนเองพลางแหงนมองท้องฟ้าสีครามอันปลอดโปร่งที่อยู่นอกหน้าต่างไปด้วยอย่างเหม่อลอย
เขาคือวิลเลี่ยม ไวท์แซนด์ ผู้อำนวยการคนปัจจุบันของฝ่ายบุกเบิกดินแดน วิลเลี่ยมเป็นทายาทของตระกูลไวท์แซนด์ซึ่งเคยครองตำแหน่งใหญ่ในวงราชการมาหลายชั่วอายุคน ทว่าในช่วงสิบปีมานี้ตระกูลของเขาได้เสื่อมอำนาจลงเรื่อย ๆ เนื่องจากการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น แม้บิดาของเขาจะยังเป็นสมาชิกของสภาสูงแห่งจูริสอยู่แต่ก็มีอิทธิพลเพียงไม่มาก ตำแหน่งในวงราชการที่ดีที่สุดที่พ่อของเขาพอจะจัดหาให้ได้จึงมีเพียงตำแหน่งผู้อำนวยการของฝ่ายบุกเบิกดินแดนเท่านั้น
เพราะฝ่ายบุกเบิกดินแดนเป็นหน่วยงานราชการที่ค่อนข้างเงียบ ปกติแทบไม่เคยมีผู้คนมาติดต่องานเลย นาน ๆ ทีถึงจะมีคนจากส่วนกลางมาส่งข่าวความคืบหน้าของดินแดนที่ทางอาณาจักรกำลังทำการบุกเบิกอยู่ ซึ่งแม้จูริสจะเป็นอาณาจักรใหญ่ ทว่าในปัจจุบันก็ยังมีการสนับสนุนการบุกเบิกดินแดนพร้อมกันเพียงสามแห่งเท่านั้นเพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณและบุคลากรมากจนเกินไป งานที่ฝ่ายบุกเบิกดินแดนต้องทำในแต่ละเดือนจึงมีน้อยไปด้วย
สำหรับวิลเลี่ยมที่เป็นคนรักสบาย ตำแหน่งนี้ก็นับว่าไม่เลว ถึงกระนั้นตัวเขาเองก็ยังคงคาดหวังความก้าวหน้าในวงราชการอยู่ ทว่าหน่วยงานที่แทบไม่มีงานให้ทำอย่างฝ่ายบุกเบิกดินแดนนี้จะไปหาผลงานจากไหนมาใช้ในการเลื่อนตำแหน่งกันล่ะ?
ทางเดียวที่จะทำให้ฝ่ายบุกเบิกดินแดนมีผลงานมากขึ้นก็คือต้องจูงใจให้ผู้คนเกิดความคิดที่จะออกไปตั้งรกรากยังพื้นที่ใหม่เยอะ ๆ ซึ่งวิลเลี่ยมก็เคยพยายามใช้งบประมาณประจำปีในการโฆษณาชักจูงผู้คนอยู่บ้าง แต่หากไม่มีการสนับสนุนด้านความปลอดภัยก็ไม่มีใครคิดที่จะไปเสี่ยงชีวิตกับพื้นที่อันตรายซึ่งยังไม่ได้รับการบุกเบิก ความพยายามชักจูงให้มีคนออกไปบุกเบิกดินแดนมากขึ้นจึงสูญเปล่า
หลายปีที่อยู่ในตำแหน่ง วิลเลี่ยมได้ลองพยายามอยู่หลายทาง แม้แต่การเดินสายพูดคุยเพื่อโน้มน้าวเหล่าชนชั้นสูงให้ออกบุกเบิกดินแดนอีกครั้งก็เคยทำมาแล้ว ทว่าเกือบทุกคนต่างก็ให้ความสำคัญกับการนั่งเสพสุขและค่อย ๆ สะสมอำนาจอยู่ในเมืองใหญ่มากกว่าจะออกไปลำบากลำบนในที่ห่างไกลเพื่อกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลท้องถิ่นในวันหน้า เพราะอย่างไรเสียการบุกเบิกดินแดนก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายอย่าง
หากดูแลพื้นที่ไม่ดีและไม่สามารถดึงดูดผู้คนให้มาตั้งรกรากได้ ชุมชนก็จะไม่มีการเติบโตหรือค่อย ๆ หดตัวลงเพราะประชาชนถอนตัวไป เมื่อไม่มีประชาชนก็ไม่มีแรงงาน ไม่มีแรงงานก็ไม่มีสวัสดิการในด้านต่าง ๆ อันจะทำให้ผู้อยู่อาศัยเกิดความพึงพอใจ ผู้คนก็จะถอนตัวออกไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเมืองร้างในที่สุด การบุกเบิกดินแดนหลายแห่งก็ประสบความล้มเหลวด้วยเหตุนี้ ยิ่งทำให้มีคนคิดอยากจะออกไปเสี่ยงดวงกับการบุกเบิกดินแดนน้อยลงไปด้วย
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้วิลเลี่ยมเองก็รู้สึกจนใจและเริ่มที่จะปลงกับการสร้างผลงานให้กับฝ่ายบุกเบิกดินแดนเช่นกัน หากอยากก้าวหน้าจริง ๆ เขาคงต้องหาทางย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่น แต่ด้วยบารมีของตระกูลไวท์แซนด์ในตอนนี้มันคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
เขาเหม่อมองก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าพลางคิดว่าวันนี้ก็คงเป็นวันธรรมดาอันน่าเบื่ออีกวันหนึ่ง จนกระทั่งเสียงเรียกจากลำโพงสื่อสารภายในหน่วยงานซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะของเขาดังขึ้น วิลเลี่ยมจึงเอื้อมมือไปกดปุ่มเพื่อตอบรับการสื่อสารด้วยท่าทีอันแสนเกียจคร้าน ก่อนจะเอ่ยถามผู้ที่ติดต่อมา
“มีเรื่องอะไรรึ?”
“คุณวิลเลี่ยมคะ มีคนมาติดต่อยื่นคำร้องสำหรับขอจับจองพื้นที่น่ะค่ะ”
เสียงใส ๆ ของเลขานุการสาวที่ตอบกลับมาทำให้วิลเลี่ยมต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เพราะตลอดเวลาเกือบหกปีที่เขาเข้ารับตำแหน่งนี้มา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมายื่นคำร้องขอจับจองพื้นที่ หรือก็คือมาขอทำการบุกเบิกดินแดนนั่นเอง ทำให้เขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
“มีคนมายื่นคำร้องงั้นเหรอ? เขาเป็นใคร? เป็นขุนนางหรือชนชั้นสูงจากที่ไหน?”
“เขาบอกว่าเป็นพ่อค้ามาจากอลาเรียน่ะค่ะ เขาอยากจะมาตั้งรกรากที่จูริสนี่โดยการสร้างชุมชนขึ้นใหม่ค่ะ”
คำตอบของเลขาฯ ทำให้วิลเลี่ยมเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เพราะเขาไม่คิดว่าจู่ ๆ ความพยายามในช่วงหลายปีจะมาสัมฤทธิ์ผลเอาตอนนี้ แต่พอลองคิดดูอีกทีวิลเลี่ยมก็ยังรู้สึกว่ามีหลายอย่างที่ไม่ถูกต้อง
เพราะทางการสนับสนุนให้มีการบุกเบิกดินแดนอย่างเต็มที่จึงไม่มีข้อจำกัดในเรื่องสัญชาติของผู้ยื่นคำร้อง การที่คนจากต่างอาณาจักรจะมาขอจับจองพื้นที่เพื่อบุกเบิกดินแดนจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ตามกฎหมายแล้วผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติของอาณาจักรโดยกำเนิดจะไม่สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ ทำให้แม้จะทำการบุกเบิกดินแดนจนสำเร็จ ผู้บุกเบิกจากต่างอาณาจักรก็จะยังไม่ได้สิทธิในการครอบครองอยู่ดี แต่จะเป็นเพียงผู้ดูแลพื้นที่ไปจนกว่าจะได้สัญชาติของอาณาจักรหรือมีทายาทที่เกิดกับคนของอาณาจักรเท่านั้น เพราะเงื่อนไขอันเสียเปรียบนี้ทำให้ไม่ค่อยมีคนเลือกที่จะมาทำการบุกเบิกดินแดนในอาณาจักรอื่นนัก
อีกเรื่องที่ทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกสงสัยก็คือการอนุมัติคำร้องในการขอจับจองพื้นที่เป็นเรื่องที่ฝ่ายดูแลประสานงานซึ่งอยู่ในส่วนบริการประชาชนของอาคารก็สามารถทำได้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรายงานเรื่องนี้ขึ้นมายังผู้อำนวยการฝ่ายอย่างเขาเลย
“ถึงจะไม่ค่อยมีคนมาติดต่อยื่นคำร้องก็เถอะ แต่ยังไงมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยนี่นา ไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องเอามารายงานเลย… รึว่าพวกเธอลืมวิธีทำงานกันไปหมดแล้ว?”
วิลเลี่ยมแสร้งพูดแหย่เลขาฯ ของเขาด้วยน้ำเสียงที่เฉื่อยชาเล็กน้อย หากเป็นคนทั่วไปคงคิดว่านี่เป็นการแสดงความไม่พอใจ แต่สำหรับเลขาฯ สาวที่ทำงานให้กับวิลเลี่ยมมาเป็นเวลานานนั้นรู้ดีว่าเขาเพียงแค่พูดหยอกเล่น ทั้งที่ความจริงในใจอาจรู้สึกตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้วที่มีคนมาติดต่อเรื่องการบุกเบิกพื้นที่ซะที
“ถ้าพื้นที่ที่เขาขอจับจองเป็นพื้นที่ปกติมันก็ไม่มีปัญหาหรอกนะคะ แต่พื้นที่ที่คน ๆ นี้เขาต้องการจะเข้าไปบุกเบิกน่ะ มันเป็นพื้นที่ ‘สีแดง’ น่ะสิคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของวิลเลี่ยมก็แสดงอาการประหลาดใจมากขึ้นอีก
พื้นที่ว่างเปล่าซึ่งทางอาณาจักรอนุญาตให้เข้าไปทำการบุกเบิกและจับจองได้นั้นจะแบ่งออกเป็นสามระดับด้วยกัน ตามระดับการคุกคามของมอนสเตอร์ในพื้นที่
พื้นที่สีเขียวคือพื้นที่ซึ่งมีภัยคุกคามระดับต่ำสุด บริเวณนั้นจะมีพื้นที่ดันเจี้ยนหรือรังของมอนสเตอร์อยู่ไม่มาก ทำให้มีอันตรายน้อยตามไปด้วย แต่ถึงจะบอกว่าน้อย มอนสเตอร์ในพื้นที่ก็ยังเป็นมอนสเตอร์ระดับ 3-5 และเป็นพื้นที่ซึ่งมีการคุกคามของมอนสเตอร์นับสิบครั้งต่อวัน แค่ระดับนี้คนทั่วไปก็ไม่ค่อยอยากจะเข้ามาตั้งรกรากเพื่อบุกเบิกดินแดนกันแล้ว
พื้นที่สีเหลืองคือพื้นที่อันตรายซึ่งมีดันเจี้ยนและรังของมอนสเตอร์ระดับ 5-7 อยู่เป็นจำนวนมากทำให้มีมอนสเตอร์ชุกชุมตามไปด้วย การคุกคามของมอนสเตอร์ในพื้นที่ระดับนี้จะเป็นไปอย่างหนักหน่วง พวกมอนสเตอร์จะรวมกลุ่มกันเข้ามาทำการโจมตีทำให้การตั้งถิ่นฐานเป็นไปอย่างยากลำบากและต้องใช้กำลังคนในการป้องกันมากขึ้น ในอดีตผู้ที่สามารถบุกเบิกพื้นที่ระดับนี้สำเร็จมีเพียงเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มีกองกำลังส่วนตัวและผู้ติดตามนับพันคนมาช่วยในการตั้งรกรากเท่านั้น ส่วนในปัจจุบันแม้จะเป็นคณะบุกเบิกดินแดนซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยทางอาณาจักร ก็ยังพยายามหลีกเลี่ยงพื้นที่เหล่านี้เช่นกัน เว้นแต่จะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจริง ๆ
พื้นที่สีแดงคือพื้นที่ซึ่งมีความอันตรายระดับสูงสุดและไม่แนะนำให้มีการเข้าไปบุกเบิกดินแดนในบริเวณนั้นเพราะเป็นพื้นที่ซึ่งมีดันเจียนแวดล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งหลายแห่งยังเป็นดันเจี้ยนระดับสูงซึ่งมีมอนสเตอร์ตั้งแต่ระดับ 7-9 ซึ่งนักผจญภัยหรือกองทหารทั่ว ๆ ไปไม่สามารถรับมือได้ แต่ความอันตรายของพื้นที่เป็นสิ่งที่สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่เช่นกัน พื้นที่ระดับนี้จึงมักจะมีสินแร่อันมีค่ารวมไปถึงสมุนไพรหรือมอนสเตอร์พันธุ์หายากอยู่มากซึ่งนับเป็นผลประโยชน์ที่ล่อตาล่อใจต่อการลงทุนอยู่ไม่น้อย เพราะหากสามารถตั้งรกรากในพื้นที่นี้ได้ก็เท่ากับได้เหมืองทองอันอุดมสมบูรณ์ที่ขุดเจาะทำกินได้ไม่มีที่สิ้นสุด ที่ผ่านมาทางอาณาจักรจึงมีการกะเกณฑ์ความร่วมมือจากเหล่าชนชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ในการเข้าบุกเบิกดินแดนอยู่หลายครั้งแต่ก็พบกับความสำเร็จเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง นอกนั้นจะล้มเหลวแทบทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ทางฝ่ายดูแลประสานงานจะเกิดความลังเลจนต้องติดต่อขึ้นมายังวิลเลี่ยมเพื่อขอความเห็น ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกสนใจอยู่ไม่น้อย และเริ่มอยากจะรู้ว่าผู้หาญกล้าที่มาขอบุกเบิกดินแดนในพื้นที่สีแดงนี้เป็นใครกันแน่
“…เชิญเขาขึ้นมาที่ห้องนี้ ฉันจะเป็นคนคุยกับเขาด้วยตัวเอง”
“รับทราบค่ะ”
เมื่อสั่งการเสร็จแล้ว วิลเลี่ยมก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อจัดแจงชุดเครื่องแบบและทรงผมของเขาให้เข้าที่ ก่อนจะนั่งลงอีกครั้งเพื่อรอการมาของบุคคลปริศนา
——————————————————————————–
Part 3
ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูดังนั้น วิลเลี่ยมจึงกล่าวอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา
หญิงสาวในชุดทำงานเปิดประตูห้องและก้าวเข้ามา เธอมีอายุราวยี่สิบกลาง ๆ มีดวงตาสีฟ้าและเส้นผมสีทองซึ่งเกล้าเป็นมวยไว้ทำให้ดูกระฉับกระเฉง
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง เธอก็หลบไปยืนด้านข้างก่อนจะเชิญให้ชายอีกคนเดินเข้ามา
เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง มีดวงตาสีน้ำตาลและเส้นผมสีแดงเพลิงดูโดดเด่น ทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหลาเอาการ ทำให้เลขานุการสาวผู้ยืนอยู่ข้าง ๆ อดที่จะเหลือบมองด้วยหางตาเป็นระยะ ๆ ไม่ได้
วิลเลี่ยมเพ่งพิจารณาชายหนุ่มผู้เดินตามเลขาฯ ของเขาเข้ามา ชายคนนี้ดูน่าจะมีอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี จัดว่ายังอายุน้อยอยู่ แต่การแต่งตัวดูภูมิฐานคล้ายกับผู้มีฐานะหรือเป็นชนชั้นสูง วิลเลี่ยมจึงคิดว่าเขาอาจจะเป็นแค่ผู้ประสานงานที่ถูกส่งมาโดยกลุ่มการค้าที่มีความประสงค์อยากจะทำการบุกเบิกดินแดนมากกว่า
แม้จะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ตัวแทน แต่วิลเลี่ยมก็ยังให้เกียรติโดยลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเชิญให้อีกฝ่ายนั่ง ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มการสนทนากัน
“ฉัน วิลเลี่ยม ไวท์แซนด์ ผู้อำนวยการของฝ่ายบุกเบิกดินแดนแห่งจูริส เลขาฯ ของฉันบอกว่าเธอต้องการจะขอจับจองและบุกเบิกพื้นที่งั้นรึ? ขอทราบได้มั้ยว่าเธอทำงานให้กับใคร?”
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำพูดนั้น ก่อนจะกล่าวตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้านะครับ ผมคือคาลิฟา ไฮเนล เป็นผู้นำกลุ่มการค้าของตระกูลไฮเนลแห่งอลาเรีย ความจริงตระกูลของเราที่นั่นเน้นทำสมาคมนักผจญภัยเป็นหลัก แต่ผมมีความสนใจแตกต่างไปจากคนอื่น ๆ จึงแยกตัวออกมาทำการค้าน่ะครับ”
คำกล่าวของชายหนุ่มทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการนั้นออกมาทางสีหน้า และกล่าวต่อ
“แปลว่าเธอเป็นผู้นำของกลุ่มการค้า เป็นผู้มีอำนาจการตัดสินใจสูงสุด และเดินทางมาที่นี่เพื่อติดต่อประสานงานด้วยตัวเองงั้นรึ?”
“ถูกต้องแล้วครับ”
วิลเลี่ยมนิ่งเงียบและพิจารณาดูชายหนุ่มอีกครั้ง การที่บางคนจะได้เป็นผู้นำกลุ่มการค้าตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันก็มักจะเป็นเพียงกลุ่มการค้าเล็ก ๆ ที่ไม่มีอิทธิพลอะไรนัก การที่ชายหนุ่มคนนี้มาขอบุกเบิกดินแดนในพื้นที่สีแดงจึงเป็นอะไรที่ดูเกินตัวไปสักหน่อย เพราะวิลเลี่ยมคิดว่าคนที่กล้าขอบุกเบิกดินแดนในพื้นที่แบบนั้นอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะเป็นกลุ่มการค้าระดับสมาพันธ์การค้าแห่งจูริสไพร์ม ไม่ก็เป็นกลุ่มการค้าในสังกัดของพวกขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์มากกว่า
“เธอเข้าใจดีแน่แล้วรึเปล่าว่าตัวเองกำลังขออะไรอยู่? พื้นที่สีแดงน่ะเป็นพื้นที่อันตรายซึ่งแม้แต่คณะบุกเบิกดินแดนที่จัดตั้งโดยทางอาณาจักรยังมีอัตราสำเร็จเพียง 30% เองนะ หากไม่ใช่คณะเดินทางที่มีกำลังคนเข้มแข็งพอละก็ รังแต่จะประสบความล้มเหลวหรือเอาชีวิตไปทิ้งเท่านั้น”
วิลเลี่ยมกล่าวด้วยสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เพราะรู้สึกเหมือนกับอีกฝ่ายไม่รู้ถึงความอันตรายของการบุกเบิกดินแดนเลยและกำลังทำให้เขาเสียเวลาไปซะเปล่า ๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“แน่นอนครับ ผมรู้ดีว่านี่เป็นพื้นที่อันตรายซึ่งในช่วงหลายสิบปีมานี้เคยมีการบุกเบิกสำเร็จเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่หากไม่มั่นใจว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ผมเองก็คงไม่กล้าลงทุนแน่ ถ้ายังไงผมขอคุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวได้รึเปล่าครับ?”
คำตอบของชายหนุ่มที่พูดออกมาด้วยสีหน้าซึ่งมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร จึงพยักหน้าให้กับเลขาฯ สาวที่ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูครั้งหนึ่ง เธอจึงพยักหน้ารับและเปิดประตูออกจากห้องไปในทันที
เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว ชายหนุ่มจึงเอ่ยคำพูดขึ้นอีกครั้ง
“คุณวิลเลี่ยมรู้รึเปล่าครับว่าทำไมการบุกเบิกดินแดนจึงมักจะล้มเหลว และในช่วงหลายสิบปีมานี้ก็มีคณะบุกเบิกดินแดนซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยคนของเอกชนน้อยมาก”
คำถามนี้ทำให้วิลเลี่ยมแสดงอาการหงุดหงิดออกมาทางสีหน้า เพราะมันเป็นคำถามที่เหมือนกับการลองภูมิ การถามคำถามนี้กับคนที่เป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายบุกเบิกดินแดนอย่างเขาถือว่าเป็นการดูหมิ่นกันเกินไปหน่อย ชายหนุ่มที่เห็นสีหน้าแบบนั้นก็พอจะเข้าใจดี จึงไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำตอบแต่ชิงเป็นฝ่ายอธิบายออกมาเองด้วยสีหน้าที่ยังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยน
“แน่นอนว่าเหตุผลหลัก ๆ เป็นเพราะพื้นที่รกร้างเหล่านั้นเป็นที่อันตราย การบุกเบิกดินแดนจึงเป็นกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการป้องกัน ภาคเอกชนมักไม่มีกำลังคนหรือเงินทุนมากพอในการทำเรื่องนี้ หรือต่อให้มีเงินทุนมากพอ กว่าจะตั้งชุมชนอย่างเป็นรูปเป็นร่างได้คนส่วนใหญ่มักทนความลำบากไม่ไหวและทยอยกันถอนตัวไปจนการบุกเบิกดินแดนต้องล้มเหลวเพราะขาดคนในที่สุด นี่เป็นประเด็นปัญหาที่ใคร ๆ ต่างก็รับรู้ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีใครมองเห็นปัญหาที่แท้จริง”
คำพูดในช่วงสุดท้ายของชายหนุ่มได้ดึงดูดความสนใจของวิลเลี่ยมจนทำให้เขาต้องเอ่ยถามขึ้นมา
“ปัญหาที่แท้จริง? หมายถึงอะไร?”
“ปัญหาแรกก็คือการจัดสรรผลประโยชน์อันไม่เป็นธรรม ทำให้ไม่สามารถดึงดูดสมาชิกใหม่และไม่สามารถเหนี่ยวรั้งสมาชิกเก่าได้ ส่งผลให้การบุกเบิกดินแดนต้องล้มเหลว ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะคณะบุกเบิกดินแดนที่จัดตั้งโดยชนชั้นสูงหรือขุนนางมักจะกะเกณฑ์ผู้คนในลักษณะของ ‘การว่าจ้าง’ ไม่ใช่เกณฑ์คนที่ต้องการย้ายถิ่นฐานจริง ๆ ไปตั้งรกราก หรือต่อให้มีก็มักจะยื่นเงื่อนไขให้ทำสัญญาครอบครองที่ดินแค่ห้าปีหรือสิบปีหลังได้รับกรรมสิทธิ์ ก่อนจะต้องขายที่ดินให้กับผู้นำคณะบุกเบิก ซึ่งก็ไม่ค่อยมีคนยินยอมกัน
ด้วยเหตุนี้คนส่วนใหญ่ที่ติดตามคณะบุกเบิกไปจึงมีเพียงค่าแรงเป็นสิ่งจูงใจเท่านั้น ไม่ได้มีแรงผลักดันอื่น ๆ ให้พวกเขาคิดอยากจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการบุกเบิกดินแดน หรือคิดจะกัดฟันอดทนเพื่อฝ่าฟันความยากลำบากให้การบุกเบิกดินแดนสำเร็จลุล่วง เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นเพียงแค่คนนอกที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาวกับดินแดนที่กำลังได้รับการบุกเบิกนี้อยู่ดี เมื่อรู้สึกว่าความลำบากที่ได้รับมันไม่คุ้มกับค่าตอบแทนจึงละทิ้งหน้าที่ไปอย่างไม่ลังเล”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของชายหนุ่ม วิลเลี่ยมก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวออกมา
“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ … แต่เหล่าชนชั้นสูงหรือกลุ่มการค้าซึ่งเป็นผู้นำการบุกเบิกเป็นผู้ที่ลงทุนสูงสุดในการดำเนินการอยู่แล้ว โดยเฉพาะการป้องกันพื้นที่ซึ่งต้องใช้ทั้งกำลังคนและเงินทุนเป็นปริมาณมหาศาล แถมยังเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เมื่อลงทุนไปมากขนาดนี้ ก็ย่อมต้องการผลกำไรที่สมน้ำสมเนื้อกลับมาเป็นธรรมดา ไม่อย่างนั้นใครจะยอมมาลงทุนกันล่ะ?”
“นั่นก็ถูกครับ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดอ่อนที่ทำให้ไม่สามารถดึงดูดหรือเหนี่ยวรั้งผู้คนเอาไว้ได้ ถ้าหากทำการจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม ให้ผู้ที่เข้าร่วมในการบุกเบิกดินแดนสามารถรับกรรมสิทธิ์ครอบครองที่ดินหลังจากครบกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว เท่านี้พวกเขาก็จะมีแรงจูงใจในการฝ่าฟันความยากลำบากต่าง ๆ เพราะมีค่าตอบแทนชิ้นใหญ่รออยู่ และยินดีที่จะร่วมหัวจมท้ายไปกับคณะบุกเบิกจนถึงที่สุด”
คำกล่าวของชายหนุ่มทำให้วิลเลี่ยมแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอีกครั้ง เพราะนี่เป็นเงื่อนไขที่ทำให้ผู้นำการบุกเบิกดินแดนต้องสูญเสียผลประโยชน์ไปมาก แม้แต่คณะบุกเบิกของทางการก็ยังให้ผู้ที่เข้าร่วมคณะบุกเบิกถือครองกรรมสิทธิ์ได้โดยต้องจ่ายภาษีเพิ่มเป็นค่าบำรุงหน่วยรักษาความปลอดภัยด้วยซ้ำ
“หมายความว่ากลุ่มการค้าของเธอจะยอมลงทุนฟรี ๆ เป็นเวลาร่วมสิบปีโดยไม่คิดค่าตอบแทนงั้นเหรอ? ฟังดูดีเกินไปรึเปล่า?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ทางเราย่อมต้องมีวิธีตักตวงผลกำไรคืนอยู่แล้ว เพียงแค่เราไม่ได้คิดจะถือครองที่ดินทั้งหมดเอาไว้แต่ผู้เดียวเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการบุกเบิกดินแดนและสร้างชุมชนขึ้นมาให้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นต่อให้เรียกร้องผลประโยชน์มากแค่ไหน ถ้าการบุกเบิกดินแดนล้มเหลว ทุกอย่างก็สูญเปล่าอยู่ดี”
“อืม… ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ สิ่งสำคัญคือต้องสร้างชุมชนขึ้นมาให้ได้ก่อน แต่กลุ่มการค้าของเธอน่ะ มีทุนรอนเพียงพอที่จะปกป้องผู้คนจากมอนสเตอร์ในพื้นที่สีแดงเป็นแรมปีได้จริง ๆ น่ะเหรอ?”
วิลเลี่ยมเอ่ยถามพลางมองดูชายหนุ่มด้วยแววตาที่ยังมีความข้องใจอยู่ เพราะพื้นที่นั่นจัดเป็นพื้นที่ที่อันตรายมาก แม้แต่คณะบุกเบิกของทางการที่มีกำลังคนนับพันก็ยังต้องประสบกับความยากลำบากในการป้องกันพื้นที่เอาไว้ หลายครั้งถึงกับต้องล้มเลิกโครงการไป แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มออกมาโดยไม่มีท่าทียี่หระอะไรก่อนจะกล่าวตอบ
“ปัญหาในการป้องกันพื้นที่เกิดจากปัจจัยสองอย่างด้วยกัน หนึ่งคือพื้นที่ที่เข้าไปบุกเบิกนั้นเป็นพื้นที่ใหม่ซึ่งยังไม่เคยมีการเคลียร์พื้นที่โดยนักผจญภัยมาก่อนเพราะมันเป็นพื้นที่ห่างไกลทำให้อัตราการคุกคามของมอนสเตอร์อยู่ในระดับสูง สองคือการนำคนจำนวนมากไปสร้างชุมชนเพื่อตั้งรกรากก็ต้องมีการตั้งค่ายขนาดใหญ่ เมื่อมีการตั้งค่ายขนาดใหญ่ พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังก็มีมากตามไปด้วย ทำให้ไม่สามารถทำการป้องกันได้ทั่วถึงหรือต้องใช้กำลังคนในการป้องกันมากขึ้น ถ้าจัดการกับปัญหาสองอย่างนี้ได้ การตั้งชุมชนในพื้นที่สีแดงก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากนัก”
“จัดการกับปัญหา? มันจะเป็นไปได้เหรอ? พื้นที่ห่างไกลแบบนั้นต่อให้ออกภารกิจที่มีรางวัลสูงแค่ไหนก็ยังไม่มีคนยอมไปทำอยู่ดี สู้จ้างคนไปเคลียร์พื้นที่โดยตรงยังจะเร็วและประหยัดกว่าอีก แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ทำให้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นทั้งนั้น ส่วนการก่อตั้งชุมชนใหม่ยังไงก็ต้องใช้แรงงานคนและช่างฝีมือเป็นจำนวนมาก ไหนจะมีกองกำลังคุ้มกันที่ต้องใช้ในการควบคุมพื้นที่อีก การจะก่อตั้งค่ายขนาดใหญ่และยึดตรึงพื้นที่เป็นบริเวณกว้างน่ะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้หรอกนะ”
“นั่นเป็นเพราะวิธีคิดของการบุกเบิกดินแดนยังผิดอยู่น่ะสิครับ โดยปกติแล้วเหล่าผู้บุกเบิกจะพยายามสร้างชุมชนขึ้นมาก่อนเพื่อดึงดูดผู้คน แต่ความจริงแล้วหากเราดึงดูดผู้คนเข้าไปยังพื้นที่นั้นได้ ชุมชนก็จะถือกำเนิดตามมาเอง”
คำพูดของชายหนุ่มมีทั้งส่วนที่วิลเลี่ยมรู้สึกเข้าใจและไม่เข้าใจอยู่ เขาจึงได้แต่ถามกลับไป
“ดึงดูดผู้คนเข้าไปก่อน? หมายความว่ายังไง?”
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาหยิบเอาอุปกรณ์ฉายภาพทรงสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะรับแขกที่อยู่ระหว่างเขากับวิลเลี่ยมและเปิดการทำงานของมัน จากนั้นก็มีภาพแผนที่สามมิติของพื้นที่แห่งหนึ่งถูกฉายขึ้นมา
“นี่คือพื้นที่ที่ผมคิดจะเข้าไปบุกเบิกในครั้งนี้ เห็นเนินผาแห่งนี้มั้ยครับ? เราจะเริ่มการบุกเบิกดินแดนโดยใช้จุดนี้เป็นศูนย์กลาง แล้วค่อยแผ่ขยายพื้นที่ออกไป”
วิลเลี่ยมเพ่งพิจารณาแผนที่สามมิตินั้นอยู่เป็นนาน เขามองดูสเกลของแผนที่ซึ่งแสดงอยู่ด้านล่างของภาพสามมิตินั้นแล้วพบว่าเนินผาแห่งนั้นมีพื้นที่ค่อนข้างแคบ ใช้ปลูกสิ่งก่อสร้างได้อย่างมากก็แค่กระท่อมหลังเล็ก ๆ ไม่สามารถใช้ตั้งค่ายสำหรับคณะบุกเบิกทั้งหมดได้แน่ จึงต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงนสงสัย
“ที่แค่นี้จะตั้งค่ายสำหรับคณะบุกเบิกได้ยังไง?”
“ค่ายน่ะเราจะตั้งที่ด้านล่างบริเวณทางขึ้นเนินผาเพื่อป้องกันพื้นที่ส่วนบนเอาไว้ ส่วนบนยอดเนินผานี่มีไว้สำหรับตั้ง ‘วงเวทเคลื่อนย้าย’ น่ะครับ ของสิ่งนี้จะช่วยแปรเปลี่ยนพวกมอนสเตอร์ในพื้นที่ จาก ‘อุปสรรค’ ให้กลายเป็น ‘โอกาส’ ของเราแทน”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้วิลเลี่ยมมีสีหน้าที่งุนงงมากขึ้นอีก ชายหนุ่มจึงต้องกล่าวอธิบายต่อ
“อย่างที่ว่านั่นแหละครับ พื้นที่ห่างไกลแบบนี้ น้อยคนที่อยากจะเดินทางมา ไม่ว่าจะเป็นการบุกเบิกดินแดนหรือการทำภารกิจ ไม่ใช่ว่าพวกนักผจญภัยไม่อยากจะมาล่ามอนสเตอร์ในพื้นที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์ แต่เป็นปัญหาที่เกิดจากความลำบากในการเดินทาง เพราะการเดินทางระยะไกลทำให้เหนื่อยล้าและเสียเวลา อีกทั้งพื้นที่ซึ่งยังไม่ได้รับการบุกเบิกแบบนี้มีเส้นทางสัญจรที่ไม่ปลอดภัยทำให้ต้องต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ทั้งขาไปและขากลับ ยิ่งเป็นเรื่องที่เพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปอีก
ถ้าเราจัดสรรวิธีเดินทางที่รวดเร็วและสะดวกสบายให้เกิดขึ้นในพื้นที่ได้ ต่อให้ไม่มีการออกภารกิจเพื่อชักจูง เหล่านักผจญภัยก็จะต้องแห่กันมายังพื้นที่นี้แน่ และพวกเขาก็จะช่วยเคลียร์พื้นที่ให้กับเราเองโดยที่เราไม่จำเป็นต้องออกเงินจ้างเลย กลับกัน ผมคิดจะเก็บค่าบริการสำหรับการใช้วงเวทเคลื่อนย้ายจากคนที่คิดจะเดินทางมาล่ามอนสเตอร์ที่นี่ด้วย”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของชายหนุ่ม ดวงตาของวิลเลี่ยมก็ลุกวาวขึ้นเพราะเขาเองก็เป็นผู้ที่ศึกษาปัญหาของการบุกเบิกดินแดนมาอย่างยาวนาน เขารู้ทั้งปมปัญหาและปัจจัยซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จในการบุกเบิกดินแดน เมื่อนำสิ่งที่ชายหนุ่มพูดมาเชื่อมโยงกันจึงทำให้เขาเริ่มจะเข้าใจในแผนการของอีกฝ่าย และรู้สึกตื่นเต้นจนขนลุกโดยไม่รู้ตัว
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มที่เห็นว่าวิลเลี่ยมเริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อแล้วก็กล่าวอธิบายต่ออย่างละเอียด
“ที่ผ่านมา ความชุกชุมของมอนสเตอร์ถือเป็นอุปสรรคในการบุกเบิกดินแดน การจะเคลียร์พื้นที่เหล่านี้ให้มีความอันตรายน้อยลงต้องใช้กำลังคนและเงินทุนเป็นจำนวนมาก คณะบุกเบิกส่วนใหญ่จะพยายามสร้างชุมชนขึ้นก่อนเพื่อดึงดูดให้เหล่านักผจญภัยเดินทางมาล่ามอนสเตอร์ในพื้นที่ ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นพื้นที่กันดารซึ่งมีเพียงที่พักและอาหารไว้รองรับเท่านั้น ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในด้านอื่น ๆ ของเหล่านักผจญภัยได้ ไม่ว่าจะการขายวัตถุดิบที่ล่ามาได้, การซ่อมแซมและซื้อหาอุปกรณ์เพิ่มเติม, หรือการพักผ่อนหย่อนใจในสถานบันเทิง ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องเดินทางกลับไปทำในเมืองใหญ่ทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากสร้างวงเวทเคลื่อนย้ายขึ้นมาก่อน ต่อให้ไม่มีทั้งที่พักและอาหารก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเหล่านักผจญภัยสามารถเดินทางกลับไปยังเมืองใหญ่ได้ทันทีเมื่อทำการล่าเสร็จสิ้น ที่นี่จะกลายเป็นแหล่งล่ามอนสเตอร์แหล่งใหม่ที่นักผจญภัยให้ความสนใจและยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อให้ได้เข้ามายังพื้นที่ล่าแห่งนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นอกจากจะไม่ต้องจ้างคนเข้ามาเคลียร์พื้นที่แล้ว ยังสามารถเก็บค่าบริการจากผู้ที่ต้องการเข้ามาล่ามอนสเตอร์ได้อีกด้วย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
เมื่อพื้นที่โดยรอบถูกลดความอันตรายลงโดยการเคลียร์พื้นที่ของเหล่านักผจญภัยแล้ว การก่อสร้างชุมชนก็จะสามารถทำได้อย่างสะดวกขึ้น ไม่จำเป็นต้องทุ่มกำลังคนหรือเงินทุนเป็นจำนวนมากให้กับการป้องกันพื้นที่อีกต่อไป และสามารถให้ความสำคัญกับการพัฒนาชุมชนได้อย่างเต็มที่ นั่นเป็นประโยชน์ข้อที่สาม
พอผู้คนเดินทางมายังที่แห่งนี้มากเข้า ก็จะเกิดความต้องการในด้านต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, ที่พัก, อาวุธและชุดป้องกัน, อุปกรณ์ต่าง ๆ , รวมไปถึงสถานบันเทิง เมื่อมีความต้องการเกิดขึ้น ก็เท่ากับมีฐานลูกค้ารองรับ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าจากในเมืองที่ต้องการจะขยับขยายกิจการหรือเข้ามาช่วงชิงพื้นที่ในตลาดแห่งใหม่ย่อมต้องเร่งพากันเข้ามาเปิดร้านในที่แห่งนี้โดยไม่จำเป็นต้องชักชวนหรือไปกะเกณฑ์มาเลย ผิดกับการบุกเบิกดินแดนตามปกติซึ่งคณะบุกเบิกต้องเสนอผลประโยชน์มากมายให้จึงจะดึงดูดเหล่าพ่อค้าแม่ค้าให้มาเปิดกิจการได้ เพราะทุกคนต่างก็ไม่มั่นใจว่าจะมีลูกค้าหรือไม่ นี่เป็นประโยชน์ข้อที่สี่
เมื่อถึงจุดนี้ ชุมชนที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ก็จะค่อย ๆ พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นเมืองที่สมบูรณ์ไปในที่สุด เพราะปัจจัยที่จำเป็นต่อการทำให้เกิดชุมชนได้มารวมกันจนครบองค์ประกอบแล้ว”
คำอธิบายของชายหนุ่ม ทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกตะลึงงันจนได้แต่นิ่งเงียบไป
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครคิดเรื่องนี้มาก่อน เพราะทุกคนต่างมองว่าชุมชนอันทุรกันดารที่อยู่ห่างไกลซึ่งเพิ่งจะก่อตั้งไม่น่าจะมีใครอยากเดินทางมา โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายในระยะไกลมาก ๆ นั้น หากไม่ใช่นักเวทที่ใช้พลังเวทของตนเองในการเคลื่อนย้าย ก็ต้องใช้หินเวทมนตร์เป็นพลังงาน ซึ่งถ้าไม่เป็นการเดินทางที่คุ้มค่าจริงก็คงไม่มีใครทำกัน การตั้งวงเวทเคลื่อนย้ายขึ้นมาจะเป็นการยุ่งยากและสิ้นเปลืองเปล่า ๆ ปกติจึงมีการสร้างวงเวทเคลื่อนย้ายขึ้นหลังจากชุมชนมีการขยับขยายเป็นเมืองโดยสมบูรณ์แล้วเท่านั้น
แต่ชายหนุ่มคนนี้สามารถมองทุกอย่างในมุมกลับ เขาเลือกที่จะสร้างช่องทางคมนาคมขึ้นก่อนด้วยวงเวทเคลื่อนย้ายเพื่อดึงดูดผู้คนเข้ามาในพื้นที่ เมื่อมีผู้คนมาชุมนุมกันจนเกิดความต้องการและกำลังซื้อ จากนั้นกิจการต่าง ๆ ก็จะผุดตามขึ้นมารองรับเอง นั่นคือความหมายของคำพูดที่ว่า ‘หากดึงดูดผู้คนเข้ามาได้ ชุมชนก็จะถือกำเนิดตามมา’ เมื่อคิดถึงถ้อยคำนี้ วิลเลี่ยมก็ได้แต่จ้องมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกทึ่ง เพราะนึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มอายุน้อยที่อยู่ตรงหน้าจะสามารถคิดอ่านได้ลึกซึ้งขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม การใช้งานวงเวทเคลื่อนย้ายนั้นเป็นกิจกรรมที่ถูกเฝ้าคุมอย่างเข้มงวดเพราะเป็นช่องทางการขนส่งที่เมื่อถูกนำไปใช้อย่างผิดกฎหมายแล้วจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจได้มาก โดยปกติแม้แต่ในหน่วยงานราชการเองหากต้องการจะสร้างวงเวทเคลื่อนย้ายขึ้นก็ยังต้องขออนุญาตไปยังกระทรวงคมนาคมซึ่งจะทำการประสานงานให้ผู้ดูแลจากพีชคีปเปอร์เข้ามาตรวจสอบและควบคุมอีกที การที่ภาคเอกชนหรือบุคคลทั่วไปจะขอสร้างวงเวทเคลื่อนย้ายขึ้นมาใช้งานจึงเป็นเรื่องยาก
“ตะ.. แต่ว่า… การจะขอตั้งวงเวทเคลื่อนย้ายน่ะมัน…”
“ใช่แล้วครับ การตั้งวงเวทเคลื่อนย้ายไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำกันได้ง่าย ๆ เพราะเป็นเรื่องที่ถูกดูแลควบคุมอย่างเข้มงวดทั้งโดยทางอาณาจักรและทางพีชคีปเปอร์ เพราะงั้นเรื่องนี้คงต้องรบกวนให้คุณวิลเลี่ยมช่วยไปพูดคุยเจรจากับกระทรวงคมนาคมดูสักครั้ง หากหยิบยกเหตุผลในการบุกเบิกดินแดนขึ้นมาเพื่อขอสร้างวงเวทเคลื่อนย้ายในพื้นห่างไกล โดยจำกัดแค่เป็นวงเวทเคลื่อนย้ายเฉพาะจุด ใช้เคลื่อนย้ายระหว่างต้นทางกับพื้นที่ซึ่งกำลังบุกเบิกได้เท่านั้น พวกเขาก็น่าจะพออนุโลมได้”
วิลเลี่ยมนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่โดยมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา การเจรจากับเบื้องบนและหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อขอสร้างวงเวทเคลื่อนย้ายถือเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอยู่ เพราะกฎระเบียบอันเคร่งครัดของพีชคีปเปอร์ทำให้แม้เขาจะเป็นผู้อำนวยการของฝ่ายบุกเบิกดินแดนก็อาจต้องถูกสอบประวัติเพราะยื่นข้อเสนอในเรื่องนี้ขึ้นไปด้วย แต่หากวิธีการของชายหนุ่มทำให้สามารถบุกเบิกดินแดนสำเร็จได้จริง ผลตอบแทนที่เขาและหน่วยงานจะได้รับกลับมาก็เป็นอะไรที่ประเมินค่ามิได้เช่นกัน
ทางด้านชายหนุ่มก็พอเข้าใจความลำบากของวิลเลี่ยมอยู่บ้าง จึงพยายามพูดชักจูงเพิ่ม
“ผมเข้าใจว่าในช่วงหลายปีมานี้แทบไม่มีภาคเอกชนออกทำการบุกเบิกดินแดนเลย ทำให้หน่วยงานอย่างฝ่ายบุกเบิกดินแดนพลอยเงียบเหงาไปด้วย บางคนถึงกับลือกันว่าจะมีการยุบที่ทำการกลับไปรวมกับกรมที่ดินซะด้วยซ้ำ แต่ถ้าสามารถทำให้การบุกเบิกดินแดนกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้งเหมือนกับช่วงยุคทองละก็ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผมไม่คิดจะปิดบังวิธีการทั้งหมดอยู่แล้ว ถึงได้นำมันมาบอกกับคุณวิลเลี่ยมตามตรง ถ้าหากการบุกเบิกดินแดนของผมสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี คุณวิลเลี่ยมก็สามารถนำวิธีนี้ไปเผยแพร่ได้อย่างเต็มที่ โดยจะบอกว่าเป็นวิธีการที่คุณคิดค้นขึ้นเองก็ได้ เมื่อมีตัวอย่างที่สำเร็จให้เห็น ทั้งยังมีวิธีการที่มีความเสี่ยงน้อยและใช้ต้นทุนต่ำกว่าเมื่อก่อน การที่ยุคสมัยแห่งการบุกเบิกดินแดนจะกลับมาอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
ในเวลานั้นหากคุณวิลเลี่ยมสามารถถือครองอำนาจในการมอบสิทธิ์การสร้างวงเวทเคลื่อนย้ายให้กับคณะบุกเบิกได้ละก็ จะเท่ากับเป็นผู้ที่กุมกุญแจแห่งความสำเร็จของการบุกเบิกดินแดนเอาไว้ได้เลยทีเดียว เพราะการบุกเบิกดินแดนด้วยรูปแบบเดิม ๆ กับการบุกเบิกดินแดนด้วยวิธีนี้ ผลสำเร็จมันต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูง, ขุนนาง, หรือเชื้อพระวงศ์ ต่างก็ต้องให้ความสำคัญกับผู้ที่มีอำนาจนี้อยู่ทั้งนั้น และฝ่ายบุกเบิกดินแดนก็จะไม่ใช่หน่วยงานซอกหลืบที่ไร้ซึ่งอำนาจในวงราชการอีกต่อไป”
คำกล่าวของชายหนุ่มทำให้ดวงตาของวิลเลี่ยมลุกวาวขึ้นอีกครั้ง
หากสามารถครอบครองสิทธิ์นั้นเอาไว้ได้ในขณะที่การบุกเบิกดินแดนกลับมาได้รับความนิยม เขาจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดในวงราชการทันที และการจะฟื้นฟูฐานอำนาจของตระกูลไวท์แซนด์ขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แค่นึกถึงสีหน้าของเหล่าขุนนางที่เย่อหยิ่งซึ่งได้ช่วงชิงอำนาจจากตระกูลเขาไปว่าจะทำหน้าอย่างไรเมื่อพบกับสถานการณ์อันพลิกผันนี้ก็ทำให้วิลเลี่ยมหัวใจเต้นแรงแล้ว และสิ่งนั้นก็ได้ทำให้คำตอบในใจเขากระจ่างชัดขึ้น
“ตกลง! ฉันจะพยายามหาทางให้เบื้องบนและหน่วยงานอื่น ๆ ยอมอนุมัติให้ได้! …แต่เรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาดำเนินการนานสักหน่อย เธอมีที่พักอยู่ที่นี่แล้วรึยัง?”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ การค้าขายยังเป็นกิจการหลักของผมอยู่ ในระหว่างนี้ผมจะออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ พร้อมกับกองคาราวานเพื่อทำการค้าขาย แต่ผมมีตัวแทนการค้าที่ทิ้งไว้ในจูริสเพื่อประสานงานด้านการค้าอยู่แล้ว ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรคุณวิลเลี่ยมก็สามารถติดต่อกับเขาได้ทันทีครับ”
ชายหนุ่มนำแหวนวงหนึ่งออกมาและมอบมันให้กับวิลเลี่ยม มันเป็นแหวนสื่อสารสำหรับใช้ติดต่อกับคนของชายหนุ่มนั่นเอง
เมื่อเจรจาตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ขอตัวกลับ วิลเลี่ยมที่ยังเก็บอาการตื่นเต้นดีใจเอาไว้ไม่มิดจึงรีบพาเขาลงมาส่งถึงหน้าประตูของที่ทำการในทันที ซึ่งที่นั่นก็มีรถม้าคันหนึ่งมาจอดรออยู่แล้ว
หลังจากส่งชายหนุ่มขึ้นรถและรถม้าได้เคลื่อนออกไปแล้ว วิลเลี่ยมก็เดินกลับขึ้นไปยังห้องทำงานของเขาอีกครั้งด้วยแววตาอันมุ่งมั่น ราวกับตัวตนอันเฉื่อยชาเมื่อช่วงเช้านี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
——————————————————————————–
Part 4
บนรถม้าที่เพิ่งเคลื่อนออกไปจากหน้าที่ทำการของฝ่ายบุกเบิกดินแดนได้ไม่นาน ภายในรถมีคนสามคนนั่งอยู่
คนหนึ่งคือชายหนุ่มผมแดงผู้เพิ่งกลับมาจากการเจรจากับวิลเลี่ยม เขาคือคาลิฟา ไฮเนล ผู้นำวัยเยาว์ของกลุ่มการค้าไฮเนลนั่นเอง
อีกสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาเป็นหญิงสาวสองคนซึ่งสวมชุดสูทและกระโปรงแคบอันรัดรูป ช่วยขับเน้นทรวดทรงอันได้สัดส่วนของหญิงสาววัยสะพรั่งให้โดดเด่นยิ่งขึ้นอีก
หญิงสาวคนหนึ่งมีเส้นผมสีดำแต่สวมชุดสูทสีขาว ส่วนอีกคนมีเส้นผมสีขาวแต่กลับสวมชุดสูทสีดำ ทั้งคู่มีใบหน้าอันงดงามเปล่งปลั่งและเหมือนกันแทบจะทุกระเบียดนิ้ว แต่สีหน้าที่ทั้งคู่แสดงออกกลับแตกต่างกันมาก หญิงสาวผมขาวมีรอยยิ้มอันอบอุ่น ส่วนหญิงสาวผมกลับมีแววตาอันเย็นชา ทั้งอากัปกิริยาและเสื้อผ้าที่ขัดแย้งเป็นคู่ตรงข้ามนั้นให้ความรู้สึกราวกับเป็นสัญลักษณ์หยิน-หยางของลัทธิเต๋าแห่งโลกเก่าก็มิปาน
“ฮ่ะ ๆ ดูกี่ทีก็รู้สึกจั๊กจี้ทุกทีเลยแฮะ รีบกลับร่างเดิมกันเถอะ”
คาลิฟาเอ่ยออกมาก่อนจะผายมือไปยังที่นั่งเบื้องหน้าซึ่งเป็นที่ว่างระหว่างหญิงสาวทั้งสอง ส่วนฝ่ายหญิงสาวก็ผายมือออกมายังที่นั่งอันว่างเปล่าที่อยู่ด้านข้างของคาลิฟาเช่นกัน
ทันใดนั้นก็มีวงเวทหนึ่งวงปรากฏขึ้นมาบริเวณที่นั่งที่แต่ละคนผายมือออกไป ก่อนจะปรากฏร่างของเด็กผู้ชายหนึ่งคนออกมาจากวงเวทแต่ละวง
วงเวทที่หญิงสาวทั้งสองสร้างขึ้นมีร่างของเด็กผู้ชายผมสีขาวและผมสีดำปรากฏขึ้นมา ทั้งสองร่างนั้นก็คือร่างของอาซาเรลและเซธ สองในแปดขุนพลแห่งกองทัพซาลารัสนั่นเอง
วงเวทที่คาลิฟาสร้างขึ้นนั้นมีร่างของเด็กผู้ชายผมแดงปรากฏขึ้นมา แน่นอนว่านี่ก็คือร่างของซาล
คาลิฟาหลับตาลงพร้อม ๆ กับหญิงสาวทั้งสอง ก่อนที่ศีรษะของทั้งสามคนจะผงกลงเหมือนกับสิ้นสติไป เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างของซาล, อาซาเรล, และเซธ เริ่มลืมตาตื่นขึ้น
ทั้งสามคนผายมือไปยังร่างที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของตนเอง ทำให้ปรากฏวงเวทขึ้นมาอีกหนึ่งวง ก่อนที่วงเวทเหล่านั้นจะดูดกลืนร่างอันไร้สติของคาลิฟาและหญิงสาวทั้งสองหายวับเข้าห้วงมิติไป
ร่างทั้งสามร่างนั้นเป็นร่างอัญเชิญที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องอาศัยร่างกายของผู้ใหญ่ ซึ่งทั้งซาลและขุนพลแต่ละคนต่างก็มีร่างจำแลงแบบนี้อยู่หลายร่าง และนี่คือร่างที่พวกเขาเลือกใช้ในวันนี้
ซาลชอบใช้ร่างที่มีลักษณะใกล้เคียงกับตัวเองเป็นหลัก ส่วนอาซาเรลกับเซธเหมือนจะชอบร่างที่เป็นผู้หญิงมากกว่า
ปกติการเข้าควบคุมร่างอัญเชิญจะทำโดยการใช้เวท ‘โพสเซสชั่น’ ซึ่งเหมือนกับเป็นการถอดจิตเข้าไปควบคุมอีกร่างหนึ่งแทน วิธีการนี้จะทำให้ร่างจริงอยู่ในภาวะที่ไร้การป้องกันโดยสิ้นเชิงซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยง ซาลจึงนำเวทพันธสัญญานิรันดร์มาประยุกต์ใช้เพื่อกักเก็บร่างจริงไม่ให้ต้องเสี่ยงกับอันตรายภายนอก โดยหลังจากเข้าควบคุมร่างอัญเชิญแล้ว ก็ทำการส่งร่างจริงเข้าไปเก็บไว้ในมิติปิดกั้นแบบเดียวกับที่ใช้ในเวทพันธสัญญานิรันดร์ ก่อนจะผนึกวงเวทนั้นเข้ากับร่างอัญเชิญอีกที แบบนี้ร่างจริงก็จะได้รับการปกป้องโดยสมบูรณ์ โดยร่างจริงนั้นจะถูกนำออกมาได้ด้วยความประสงค์ของเจ้าตัว หรือในกรณีที่ร่างอัญเชิญถูกทำลายเท่านั้น
สำหรับชื่อคาลิฟา ไฮเนล นั้นเป็นชื่อปลอมที่ซาลเคยใช้ในตอนที่อยู่ในอลาเรียกับพี่ชายและพี่สาวของเขา เพราะที่นั่นทั้งสองคนใช้ชื่อและสกุลปลอม ซาลจึงต้องใช้ชื่อปลอมด้วย ซึ่งชื่อคาลิฟานี้เป็นชื่อที่เซย์ พี่สาวของเขาเป็นคนตั้งให้
นี่เป็นวันที่ห้าหลังจากการทำภารกิจเก็บเกี่ยวของห้อง 1-E จบสิ้นลง วิชานี้อาจารย์เอนจิลก็เป็นคนสอนอีกเช่นกัน และซาลกับคุโระก็สามารถผ่านภารกิจได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ด้วยการใช้สมุนจำนวนมากออกไปค้นหาสมุนไพรตามใบสั่งของภารกิจ ทำให้ลดเวลาที่ต้องใช้ในการทำภารกิจลงได้มาก
เพราะสำเร็จภารกิจในเวลาอันรวดเร็วทำให้มีเวลาว่างเกือบทั้งอาทิตย์อีกครั้ง ในช่วงนี้ซาลได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาแลกเปลี่ยนวิชากับโลริน ในระหว่างนี้เหล่าขุนพลก็สามารถแทรกแซงระบบป้องกันของโรงเรียนได้โดยสมบูรณ์ ทั้งยังยึดครองพื้นที่ดันเจียนที่นักเรียนปี 1-3 ต้องใช้ในการเรียนและทำภารกิจไปได้หมดแล้วด้วย เขาจึงเห็นว่าควรจะดำเนินแผนการขั้นต่อไปได้ซะที
นั่นก็คือแผนการ ‘ดูมโทเปีย’ (Doomtopia) โครงการที่จะสร้างชุมชนนักผจญภัยขึ้นมา เพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นทางเศรษฐกิจและการเงินของกองทัพซาลารัสในภายภาคหน้า
เมื่อทุกคนกลับสู่ร่างเดิมกันหมดแล้ว เซธก็เอ่ยคำถามกับซาลในทันที
“เราจะไว้ใจหมอนั่นได้แน่เหรอครับ เกิดมันละโมบต้องการจะฮุบผลประโยชน์ไว้คนเดียวแล้วนำวิธีการนี้ไปร่วมมือกับนายทุนคนอื่นแทนล่ะ?”
“จากประวัติที่อาซาเรลสืบมา เส้นสายของตระกูลเขาน่ะเหลืออยู่ไม่มาก การจะร่วมมือกับผู้มีอำนาจคนอื่นก็เสี่ยงเกินไป เขาคงไม่แบ่งผลประโยชน์นี้กับคนอื่นหรอก และแผนการที่เราบอกกับเขาไปยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้นำวิธีการนี้ไปเปิดเผยกับนายทุนคนอื่นก็ใช่ว่าจะทำได้สำเร็จ อีกอย่างคือตอนนี้เทเรนซ์กับลูเซียนกำลังเร่งเข้าไปวางดันเจี้ยนเพื่อควบคุมพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ ถ้ามีคณะบุกเบิกอื่นที่ไม่ใช่พวกเราเข้าไปดำเนินการ เราก็สามารถส่งมอนสเตอร์เข้าไปกดดันขับไล่พวกเขาไม่ให้ตั้งหลักปักฐานได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากให้เรื่องไปถึงจุดนั้นหรอกนะ เพราะฉะนั้น… เซธ ให้คนของนายจับตาดูวิลเลี่ยมเอาไว้ ถ้าเขามีท่าทีว่าจะไปร่วมมือกับคนอื่นแทนเราละก็ ให้ทำการ ‘สับเปลี่ยน’ ตัวเขาได้ทันที”
เมื่อได้ยินคำพูดของซาล เซธก็พยักหน้าอย่างนอบน้อมเพื่อรับคำสั่ง
“ยังไงก็ตามการขอสิทธิ์ในการสร้างวงเวทเคลื่อนย้ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อาซาเรล นายไปสืบข้อมูลของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมา เราจะได้หาทางโน้มน้าวพวกเขาให้ยอมอนุมัติโครงการนี้ เป็นการช่วยวิลเลี่ยมในอีกทางหนึ่ง”
อาซาเรลยิ้มและพยักหน้ารับ ส่วนซาลก็กล่าวคำพูดกับทั้งสองคนต่อ
“เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาดำเนินการอีกนาน ถึงจะน่ารำคาญไปหน่อยแต่ก็นับเป็นเรื่องดีกับเราในอีกแง่หนึ่ง เพราะขั้นตอนที่เชื่องช้านี้จะเปิดโอกาสให้เราเตรียมการและแทรกแซงได้ง่าย คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของทุกฝ่ายเอาไว้แล้วจัดการไปตามสมควร ฉันจะให้บริแกนดีนกับออร์เฟียซเข้ามาร่วมประสานงานด้วย จากนี้ก็ขอฝากพวกนายด้วยนะ”
ขุนพลทั้งสองพยักหน้ารับพร้อมกันส่วนซาลก็ยิ้มรับ ก่อนจะหันมองออกไปนอกหน้าต่างของรถม้า
เพราะการดำเนินการในด้านนี้น่าจะต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือน และเขาก็สั่งการทุกอย่างไปหมดแล้ว เหลือแค่รอฟังความคืบหน้าหรือความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ซาลจึงหันความสนใจไปที่เรื่องราวในโรงเรียนอีกครั้ง
เนื่องจากอีกไม่กี่วันก็จะเป็นวิชาที่สามของภาคเรียนนี้ คือพื้นฐานภารกิจล่า เป็นภารกิจที่หลีกเลี่ยงการแสดงฝีมือได้ยาก โดยเฉพาะกับกลุ่มที่มีเพียงสองคนอย่างเขาและคุโระ ซาลจึงได้แต่หวังว่าคุโระจะพัฒนาฝีมือได้เพียงพอต่อการทำภารกิจนี้ โดยที่เขาไม่ต้องเปิดเผยฝีมือมากนัก
เขาครุ่นคิดถึงการรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นไปตลอดทาง ในขณะที่รถม้าก็ค่อย ๆ แล่นออกจากเมืองไป