Doombringer the 5th - ตอนที่ 114
Ch.114 – ตัวร้ายไม่มีสิทธิ์อ่อนแอ
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 110
ตัวร้ายไม่มีสิทธิ์อ่อนแอ
Part 1
เช้าวันจันทร์ เป็นวันเริ่มวิชาใหม่ประจำสัปดาห์ ซึ่งในสัปดาห์นี้ก็คือวิชา ‘พื้นฐานภารกิจล่า’
วิชานี้เป็นวิชาเกี่ยวกับการล่ามอนสเตอร์แบบจำเพาะเจาะจง จึงมุ่งเน้นไปที่การศึกษาพฤติกรรมของมอนสเตอร์, ถิ่นที่อยู่, และวิธีแกะรอย เพื่อให้สามารถค้นหามอนสเตอร์ที่ต้องการและทำการกำจัดมันตามภารกิจได้ โดยนักเรียนแต่ละชั้นปีก็จะต้องศึกษาเกี่ยวกับมอนสเตอร์หายากของแต่ละระดับ สำหรับนักเรียนปีหนึ่ง ในเทอมแรกจะต้องศึกษารายละเอียดของมอนสเตอร์ระดับ 3-5 เป็นหลัก
อาจารย์ประจำรายวิชานี้คือบารัม อาลิสแตร์ เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ มีผมสีน้ำตาลออกแดง ไว้จอนหนาแต่หน้าตากลับเกลี้ยงเกลา แม้เขาจะเป็นคนที่มีเค้าหน้าดุดัน แต่สีหน้าและแววตาของเขากลับดูอ่อนโยนผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก
อาจารย์บารัมทำการบรรยายเกี่ยวกับพื้นฐานของวิชารวมทั้งอธิบายรายละเอียดของมอนสเตอร์หายากให้ฟังเป็นตัวอย่างอีกหลายตัว ก่อนจะแนะนำหนังสือที่ควรหามาอ่านเพื่อศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับมอนสเตอร์ ซึ่งหลายเล่มในนี้เป็นหนังสือที่เขียนโดยตัวเขาเอง ทำให้บารัมกล่าวแนะนำหนังสือเหล่านี้ด้วยท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ นี่ไม่เชิงจะเป็นโฆษณาแฝงเพื่อขายหนังสือแต่อย่างใด แค่บารัมรู้สึกดีที่ได้อวดงานเขียนของตนเองต่อพวกนักเรียนเท่านั้น
หลังจากแนะนำหนังสือเสร็จแล้ว อาจารย์บารัมก็ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาเพื่อรับแหวนสำหรับการทำภารกิจไป ซึ่งคุโระก็เป็นตัวแทนลงไปรับแหวนมาเช่นเคย
เมื่อนักเรียนทุกคนกลับเข้าประจำที่แล้ว อาจารย์บารัมก็เปิดอุปกรณ์ฉายภาพสามมิติที่วางอยู่บนโพเดียม ทำให้มีภาพของมอนสเตอร์ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา
มันเป็นมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างปราดเปรียวคล้ายกับเสือหรือแมวขนาดใหญ่ ตามตัวของมันมีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่ทั่ว และบางส่วนของร่างกายเช่นปลายเท้า, ต้นขา, และศีรษะ ก็มีของแข็งลักษณะคล้ายกับเปลือกไม้ห่อหุ้มอยู่ด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นเสือดาวหรือแมวป่าซึ่งสวมเกราะที่ทำจากไม้อยู่
มันคือ ‘บาร์คสกินพูม่า’ (Barkskin Puma) มอนสเตอร์สายพันธุ์แมวที่มีคุณสมบัติของธาตุไม้ ทำให้ร่างกายถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลือกไม้และเถาวัลย์ตลอดเวลา มันเป็นมอนสเตอร์ระดับ 4 ซึ่งทั้งหายากและเป็นตัวอันตราย ทำให้การปรากฏตัวของมันบนหน้าจอสามมิติก่อให้เกิดเสียงอื้ออึงไปทั่วทั้งห้องเรียน
เพราะทุกคนรู้ว่านี่คือโจทย์ของสัปดาห์นี้ และมันเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยากทีเดียว
เมื่อได้เห็นความโกลาหลเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นภายในห้อง บารัมก็ใช้ไม้เรียวสำหรับชี้กระดานเคาะที่โพเดียมเบา ๆ เพื่อให้ทุกคนกลับอยู่ในความสงบ ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำพูดอีกครั้ง
“อย่างที่เห็นนี่แหละ โจทย์ของสัปดาห์แรกคือบาร์คสกินพูม่า เป็นมอนสเตอร์หายากของป่าสนธยาชั้นที่หนึ่ง นอกจากจะเป็นมอนสเตอร์ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งแล้ว มันยังเป็นมอนสเตอร์ที่มีความสามารถในการลอบเร้นและซ่อนตัวสูง การล่ามันจึงไม่ใช่แค่เรื่องที่ต้องอาศัยฝีมือในการต่อสู้อย่างเดียว แต่ต้องอาศัยทักษะในการแกะรอยด้วย”
ทันทีที่บารัมพูดจบ เหล่านักเรียนแต่ละกลุ่มก็หันไปซุบซิบกันอีกครั้งด้วยความข้องใจ ในที่สุดนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดก็ยกมือขึ้นเพื่อเอ่ยคำถาม
“อาจารย์คะ ‘บาร์คสกินพูม่า’ มันเป็นมอนสเตอร์หายากของป่าสนธยาชั้นแรกซึ่งมีอยู่แค่ไม่กี่ตัวไม่ใช่เหรอคะ? แบบนี้จะมีจำนวนพอให้พวกเราล่าเหรอคะ?”
เมื่อได้ยินคำถามของนักเรียนสาว บารัมก็เผยยิ้มขึ้นอีกครั้งเพราะรู้สึกดีที่มีคนรู้เรื่องนี้ด้วย ก่อนจะกล่าวตอบ
“แน่นอนว่าในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ป่านสนธยาชั้นแรกจะมีบาร์คสกินพูม่าแค่ไม่เกินสามตัวเท่านั้น เพราะทุกตัวต่างก็มีเขตครอบครองของตนเอง หากมีตัวอื่นหลงเข้ามา มันก็จะต้องช่วงชิงพื้นที่กับเจ้าถิ่นเดิมและฆ่ากันตายจนเหลือแค่สามตัว แต่ทางโรงเรียนก็ได้จัดเตรียมบาร์คสกินพูม่าตัวสำรองเอาไว้สำหรับใช้ในการทำภารกิจแล้ว เพียงแต่เราจะปล่อยพวกมันลงไปในป่าสนธยาด้วยเงื่อนไขสองประการด้วยกัน หนึ่งคือต้องมีบาร์คสกินพูม่าชุดแรกถูกฆ่าไปแล้วเราจึงจะปล่อยตัวใหม่ลงไปเติมตามจำนวนที่ถูกฆ่า สองคือเราจะปล่อยตัวใหม่ลงไปเฉพาะในเวลาเที่ยงคืนเท่านั้น เข้าใจนะ?”
คำพูดของบารัมทำให้เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นในห้องอีกครั้ง
เนื่องจากเงื่อนไขที่อาจารย์บารัมพูดหมายความว่าภารกิจล่าในครั้งนี้จะเป็นการทำภารกิจที่ต้องแข่งขันกับกลุ่มอื่น ๆ ในห้องโดยตรง เพราะในแต่ละวันจะมีบาร์คสกินพูม่าให้ล่าเพียงวันละสามตัวเท่านั้น เมื่อพวกมันถูกล่าไปจนหมดแล้ว กลุ่มที่เหลือก็จะต้องเสียเวลาไปเปล่า ๆ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับมาล่าอีกครั้งในวันถัดไป
นั่นคือกรณีที่ทั้งสามตัวถูกล่าจนครบ แต่บาร์คสกินพูม่าจัดเป็นมอนสเตอร์ที่มีความสามารถในการซ่อนตัวดีเยี่ยม การจะหามันให้พบไม่ใช่เรื่องง่าย หรือต่อให้พบก็ใช่ว่าจะจัดการกับมันได้ง่าย ๆ เพราะมันเป็นมอนสเตอร์ที่ปราดเปรียวว่องไวและมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดสูง หากเห็นว่าท่าไม่ดีมันอาจเลือกที่จะหนี ทำให้การจัดการกับมันอย่างเด็ดขาดยิ่งยากขึ้นไปอีก
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด แต่ละวันอาจไม่มีใครสามารถล่าบาร์คสกินพูม่าได้สำเร็จเลย หรืออาจใช้เวลาหลายวันในการล่าแต่ละตัว ทว่าจำนวนของบาร์คสกินพูม่าที่อยู่ในป่าสนธยานั้นมีจำกัด หากถึงวันสุดท้ายแล้วพวกมันยังถูกล่าไปไม่ถึง 5 ตัว บาร์คสกินพูม่าในวันสุดท้ายที่เหลือแค่ 3 ตัวก็จะไม่พอต่อนักเรียนห้อง 1-E ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดแปดกลุ่มด้วยกัน และจะมีกลุ่มที่ล้มเหลวในภารกิจนี้อย่างน้อยหนึ่งกลุ่ม หรืออาจมากกว่านั้นก็ได้
นักเรียนเกือบทุกกลุ่มต่างก็มีสีหน้าร้อนรนและกังวลใจขึ้นมา เพราะนอกจากตัวเป้าหมายในการล่าจะเป็นโจทย์ที่ยากแล้ว ยังมีเงื่อนไขที่ทำให้การทำภารกิจในครั้งนี้ยุ่งยากมากขึ้นอีก ทว่าก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกตื่นตระหนกกับเรื่องนี้
โดยเฉพาะเด็กผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่บริเวณด้านหลังสุดของห้อง ก็คือซาลกับคุโระ
ซาลไม่รู้สึกว่าภารกิจในครั้งนี้เป็นอะไรที่ยากเย็นนัก เพราะเทเรนซ์กับลูเซียนสองขุนพลของเขาได้วางพื้นที่ดันเจี้ยนครอบคลุมป่าสนธยาเอาไว้หมดแล้ว เขาจึงสามารถเปิดดูแผนที่สามมิติของป่าสนธยาชั้นแรกได้อย่างละเอียดราวกับเป็นฝ่ามือของตัวเอง ทำให้การหาตำแหน่งของบาร์คสกินพูม่าไม่ใช่เรื่องยาก
ส่วนคุโระ หากเป็นเวลาปกติเขาก็คงรู้สึกกังวลใจจนอยู่ไม่สุกเหมือนกัน แต่หลังจากได้ทำภารกิจร่วมกับซาลมาสองครั้ง เขาพบว่าวิชาเวทอัญเชิญของซาลนั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายกว่าที่คิด และเขายังรู้สึกว่าซาลเป็นผู้ที่มีทั้งความรู้และฝีมือซุกซ่อนอยู่อีกมาก เมื่อเห็นท่าทีไม่ยี่หระกับอะไรของซาล คุโระจึงรู้สึกผ่อนคลายไร้กังวลไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในการทำภารกิจทั้งสองครั้ง ผู้ที่รับรู้ถึงความสามารถของซาลไม่ได้มีแค่คุโระเท่านั้น
เหล่านักเรียนภายในห้องต่างก็รับรู้ถึงความสามารถในการสำรวจของซาล เพราะเขาสามารถทำทั้งภารกิจสำรวจและภารกิจเก็บเกี่ยวสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นด้วยเหล่าสมุนอัญเชิญ แม้หลายคนจะมองว่ามันเป็นวิธีการนอกรีตหรือขี้โกง แต่ประสิทธิภาพของมันก็เป็นอะไรที่ไร้ข้อกังขา
ด้วยเหตุนี้ สายตาหลายคู่ในห้องเรียนจึงเหลือบมองมายังซาลด้วยเจตนาอันเร้นลับ เพราะในภารกิจนี้ทุกคนก็เปรียบเสมือนเป็นคู่แข่งกัน และคู่แข่งที่มีข้อได้เปรียบมากที่สุดก็คือซาล ผู้สามารถใช้สมุนอัญเชิญช่วยในการสำรวจได้นั่นเอง
——————————————————————————–
Part 2
เมื่อพูดคุยกันจนเป็นที่เข้าใจแล้ว อาจารย์บารัมก็ปล่อยนักเรียนทุกคนให้ไปทำภารกิจทันที
ทุกคนต่างก็รีบเร่งออกจากห้องเรียนเพราะต้องไปค้นคว้าข้อมูลของบาร์คสกินพูม่าจากแหล่งต่าง ๆ ด้วย เพราะแม้มันจะเป็นมอนสเตอร์ที่ทุกคนรู้จัก แต่การจะล่ามันได้จำเป็นต้องรู้ทั้งพฤติกรรม, อุปนิสัย, และองค์ประกอบอื่น ๆ ของมันด้วย ไม่ใช่รู้แค่รูปลักษณ์หรือความสามารถเพียงอย่างเดียว
ในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มุ่งตรงไปยังห้องสมุด ซาลกับคุโระกลับเดินทอดน่องไปทางประตูโรงเรียนเพื่อไปยังป่าสนธยาแทน ทำให้นักเรียนหลายคนได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บใจ
การที่บาร์คสกินพูม่าถูกกำหนดให้เป็นเป้าหมายของภารกิจนี้นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับซาลก็ว่าได้เพราะมันเป็นมอนสเตอร์ที่รักสันโดษ แม้จะเป็นมอนสเตอร์ระดับ 4 ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งแต่ก็จะอยู่เพียงตัวเดียวเสมอ ผิดกับมอนสเตอร์อีกหลายชนิดที่มักจะอยู่เป็นกลุ่มหรือมีบริวารคอยห้อมล้อมทำให้จัดการยาก
ใช่ว่าการจัดการกับมอนสเตอร์ที่อยู่เป็นกลุ่มจะเป็นปัญหาสำหรับซาล แต่เขาไม่อยากให้มีคนสงสัยมากกว่า
การจัดการกับมอนสเตอร์ระดับสูงที่มีบริวารห้อมล้อมอยู่ได้นั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเกินฝีมือของเด็กปีหนึ่งเพียงสองคนอยู่บ้าง แต่หากเป็นบาร์คสกินพูม่าที่ชอบอยู่อย่างโดดเดียวก็ไม่มีปัญหานี้ ที่สำคัญคือคลาสหลักของคุโระก็คือนักดาบสายเฟนเซอร์ซึ่งถนัดการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ในการต่อสู้แบบนี้คุโระจะสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีระดับเหนือกว่าตนเองได้ 1-2 ขั้นอยู่แล้ว เมื่อบวกกับการสนับสนุนด้วยสมุนของซาลการจัดการกับบาร์คสกินพูม่าจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดสังเกตอะไรนัก
ด้วยเหตุนี้ซาลจึงพาคุโระเดินตรงออกนอกโรงเรียนเพื่อไปทำภารกิจในทันที โดยมีสายตาขุ่นข้องใจของเพื่อนร่วมชั้นหลายคนจ้องมองตามมา
ตรงกันข้ามกับเหล่าเพื่อนร่วมชั้นและพวกนักเรียนปีหนึ่งที่ดูจะมีอคติต่อซาลมากขึ้นเรื่อย ๆ เหล่ารุ่นพี่ตั้งแต่ชั้นปีที่สี่ขึ้นไปกลับร่ำลือถึงเขาในแง่บวกมากกว่า นั่นเป็นสาเหตุจากการที่ซาลเคยช่วยเหลือกลุ่มรุ่นพี่ปีสี่จากฟอเรสต์เบฮีมอธอย่างกล้าหาญ คำบอกเล่าแบบปากต่อปากถึงวีรกรรมของเขาในครั้งนั้นความจริงก็เป็นการร่ำลือในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ แต่เมื่อมีข่าวว่าเขาได้เข้าร่วมกับสมาคมนักเวทสีเทาและเป็นรุ่นน้องคนสนิทของโลริน มิแทรนเดียร์ เรื่องราวอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขาจึงถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอีกครั้ง
หลังจากศึกประลองชิงหอคอย ซาลก็ให้เซธไปสืบประวัติของโลรินมาแล้ว เพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของเธอกับหอคอยเวททั้งสี่และเหล่าเพื่อนร่วมชั้นปี แล้วเขาก็พบว่าโลรินคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ ซึ่งก็เป็นไปดังที่เขาคาด
ความจริงแล้วโลรินเป็นคนที่มีฐานะในสังคมค่อนข้างดีพอสมควร ประการแรกเพราะเธอเป็นหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์อันงดงามจนชวนหลงใหล ซึ่งไม่แค่เฉพาะเหล่าชายหนุ่มที่ชื่นชมในความงามของเธอ แต่ผู้หญิงจำนวนมากก็รู้สึกนิยมชมชอบความงามของเธอด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ง่ายนัก
ทั้งนี้เป็นเพราะโลรินเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ไม่ถือตัว และคอยช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ กิริยามารยาทก็งดงาม การวางตัวก็สมกับการเป็นกุลสตรี สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดภาพลักษณ์อันสูงส่งแต่ไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกต่ำต้อยกว่าหรือแปลกแยก แม้จะมีคนที่อิจฉาในความงามและความเพียบพร้อมของเธออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นริษยาหรือเกิดเจตนาร้ายใด ๆ
ที่สำคัญคือเธอเป็นคนที่มีผลการเรียนดีมาก ทั้งยังแตกฉานในวิทยาการเวทแทบทุกแขนง ถึงขั้นถูกยกให้เป็นอัจฉริยะทางเวทมนตร์ที่ในรอบห้าสิบปีจะมีสักคนหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติแวดล้อมอันเพียบพร้อมเหล่านี้บวกกับความนิยมที่คนจำนวนมากมีต่อเธอ ทำให้โลรินถูกคาดหมายเอาไว้ว่าจะเป็นประธานนักเรียนรุ่นต่อไปของโรงเรียนอีจิสไพร์มเมื่อเธอขึ้นชั้นปีที่หก แต่นั่นก็คือจุดที่ทำให้เกิดปัญหาหลาย ๆ อย่างตามมาด้วย
ตำแหน่งประธานนักเรียนรวมไปถึงสมาชิกสภานักเรียนเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างมีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะต่อสมาคมต่าง ๆ ในโรงเรียน เพราะสามารถอนุมัติคำขอหรือเปลี่ยนแปลงกฎต่าง ๆ ภายในโรงเรียนได้ นอกจากนี้สภานักเรียนยังเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของขุมอำนาจต่าง ๆ ในโรงเรียนซึ่งเป็นหน้าเป็นตาของแต่ละสายอาชีพ แต่ละกลุ่มสมาคมด้วย
เพราะเหตุนี้กลุ่มสมาคมต่าง ๆ จึงรู้สึกวางใจกว่าถ้า ‘คนใน’ ของตนเองได้รับตำแหน่งในสภานักเรียน ซึ่ง ‘คนใน’ ในที่นี้ก็หมายถึงคนที่เป็นสมาชิกของกลุ่มสมาคมหลัก เช่นกลุ่มนักเวทก็จะมีสมาคมนักเวททั้งสี่หอคอย, กลุ่มนักดาบจะมีสมาคมนักดาบห้าสังเวียน, กลุ่มนักธนูจะมีสมาคมนักธนูสามค่าย สรุปคือเป็นกลุ่มสมาคมของคลาสหลักที่มีคนเรียนหรือเลือกเป็นมากที่สุด
ทว่าคลาสหลักของโลรินกลับเป็นนักเวทสีเทาซึ่งไม่จัดอยู่ในสังกัดของสมาคมหลักแห่งไหนเลย สิ่งนี้ทำให้แกนนำของกลุ่มสมาคมหลักหลายคนรู้สึกว่าเป็นการเสียหน้าหากจะปล่อยให้คนนอกที่อยู่ในกลุ่มสมาคมย่อยได้ขึ้นมาเป็นประธานนักเรียน ทั้งยังรู้สึกไม่สบายใจเพราะนี่อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านขั้วอำนาจระหว่างกลุ่มสมาคมหลักกับกลุ่มสมาคมย่อยได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตามคุณสมบัติของโลรินรวมไปถึงความสัมพันธ์ของเธอกับผู้คนก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทางแกนนำของกลุ่มสมาคมหลักจึงหาทางที่จะบีบให้เธอออกจากสมาคมนักเวทสีเทาแล้วมาเข้าร่วมกับหนึ่งในสมาคมหลักแทน โดยอาศัยความหวังดีของเหล่าเพื่อนร่วมชั้นปีและข้ออ้างเรื่องอนาคตของโลรินในการสร้างความเคลื่อนไหวเพื่อบีบให้เธอยุบสมาคมด้วยวิธีต่าง ๆ ซึ่งเรื่องนี้เหล่านักเรียนส่วนใหญ่ที่มีส่วนร่วมต่างก็ไม่รู้ความจริง
นั่นเป็นเหตุผลแอบแฝงที่ทำให้เกิดเหตุการณ์สืบเนื่องมาจนถึงการประลองชิงหอคอยเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่เพราะโลรินสามารถเอาชนะในการประลองได้อย่างราบคาบ ส่งผลให้ความนับถือชื่นชมของผู้คนที่มีต่อตัวเธอยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ทั้งยังไม่มีใครกล้าดูหมิ่นคลาสนักเวทสีเทาอีกต่อไปแล้ว จึงไม่น่าจะมีใครกล้าเคลื่อนไหวเพื่อบีบคั้นโลรินอีก อย่างน้อยก็สักระยะหนึ่ง
ด้วยการที่โลรินเป็นคนที่ได้รับความชื่นชมและนับถือในหมู่นักเรียนรุ่นปลาย (ปี 4-6) ซาลจึงได้รับอานิสงค์ในเรื่องนี้ด้วย เพราะปกตินอกจากคุรุโมะเพื่อนสนิทของเธอแล้ว โลรินก็ไม่ค่อยได้คบค้าสมาคมกับใครเป็นการส่วนตัวนัก ความจริงคือเหล่าเพื่อนนักเรียนมักให้การยกย่องเธอมากเกินไปจนไม่กล้าทำตัวสนิทสนมด้วย เมื่อได้เห็นเด็กปีหนึ่งไปมาหาสู่กับโลรินอยู่เป็นประจำ ทุกคนจึงมองว่านี่เป็นรุ่นน้องที่โลรินเอ็นดูและให้ความสนิทสนม
และคนที่โลรินให้การยอมรับหรือสนิทสนมด้วย ไม่มีทางที่จะเป็นคนไม่ดีแน่
นั่นคืออิทธิพลของโลรินที่มีต่อเหล่านักเรียนชั้นปีห้า คือนอกเหนือจากเรื่องของนักเวทสีเทาที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเพราะการปลูกฝังจากครอบครัวทำให้ความคิดของเธอในเรื่องนี้ผิดเพี้ยนไปแล้ว ทุกคนต่างก็เชื่อมั่นในความคิดและการตัดสินใจของเธอทั้งนั้น คนที่เธอคบหาด้วยจึงย่อมไม่ใช่คนเลวร้าย
หรือต่อให้เป็นคนไม่ดีมาก่อน ความดีงามของโลรินก็จะเปลี่ยนแปลงคนผู้นั้นให้กลับตัวกลับใจกลายเป็นคนดีเอง นั่นเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนคิด
ตอนที่ซาลได้รู้ทัศนะคติของเหล่านักเรียนปีห้าที่มีต่อโลรินเขาก็รู้สึกตกใจอยู่เล็กน้อย เพราะไม่นึกว่าเธอจะเป็นคนที่ได้รับความนิยมและยกย่องในระดับนี้ อีกทั้งเมื่อได้สนิทสนมกับโลรินจริง ๆ แล้วเขายิ่งรู้สึกว่าโลรินไม่ได้เป็นนางฟ้าผู้ใจดีอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ แม้กิริยาและการแสดงออกของเธอจะดูเรียบร้อยและสูงส่ง แต่ลึก ๆ แล้วโลรินก็เป็นคนใจร้อน ดื้อดึง และแอบเอาแต่ใจอยู่เล็ก ๆ ด้วย พูดง่าย ๆ ว่าก็เหมือนกับปุถุชนทั่วไปนั่นแหละ ทว่าเพราะทุกคนเอาแต่ชื่นชมเธออยู่ห่าง ๆ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นอุปนิสัยที่แฝงอยู่เหล่านี้
อย่างไรก็ตาม เพราะความชื่นชมที่มีต่อโลริน ทำให้เหล่านักเรียนรุ่นพี่ให้การยอมรับในตัวซาลด้วย ยิ่งเมื่อบวกกับข่าวลือที่เขาเคยช่วยเหลือกลุ่มรุ่นพี่ปีสี่เอาไว้ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเหล่ารุ่นพี่ที่มีต่อเขาเป็นไปในทางที่ดีขึ้นอีกและไม่รู้สึกอคติอะไรกับซาล แม้จะรู้ว่าเขาเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะก็ตาม
เรื่องนี้นอกจากจะเป็นผลดีโดยตรงกับซาลแล้ว มันยังเป็นผลดีต่อหนึ่งในแผนการของเขาด้วย เพราะจุดประสงค์อย่างหนึ่งในการเข้าเรียนที่โรงเรียนอีจิสไพร์มของเขาคือการเพาะสร้างเส้นสายของตนเองขึ้นมาในหมู่นักผจญภัยระดับสูงเพื่อใช้ประโยชน์ในอนาคต ซึ่งเพราะเหตุการณ์ของเขากับคุโระทำให้เกิดข่าวลือที่ไม่ดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนการสร้างสัมพันธ์กับคนในรุ่นเดียวกันไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
แต่ตอนนี้ในเมื่อมีผู้อุปถัมภ์ (ทางอ้อม) อย่างโลรินบวกกับเหล่ารุ่นพี่ที่ช่วยปล่อยข่าววีรกรรมของเขาและพูดถึงเขาในแง่ดี จึงนับเป็นโอกาสให้ซาลสามารถสานสัมพันธ์และเพาะสร้างเส้นสายกับเหล่ารุ่นพี่ขึ้นมาได้ นับเป็นเรื่องที่ไม่เลว ที่สำคัญคือด้วยการสนับสนุนจากเหล่ารุ่นพี่ การจะแก้ไขชื่อเสียงของเขาในหมู่นักเรียนชั้นปีเดียวกันก็ยิ่งทำได้หลากหลายวิธีขึ้นด้วย
ในระหว่างที่ครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ ซาลกับคุโระก็เดินทางมาถึงป่าสนธยาพอดี
——————————————————————————–
Part 3
หลังจากเข้ามาด้านในได้พักหนึ่ง ซาลก็ทำการอัญเชิญหมาจิ้งจอกออกมาหกตัว ก่อนจะส่งพวกมันกระจายกันออกไปเพื่อเป็นการตบตาว่านี่คือสมุนที่เขาใช้ในการสอดแนม ก่อนจะอัญเชิญแมลงเต่าทองอีกฝูงใหญ่ที่มีจำนวนราวยี่สิบตัวออกมาและปล่อยพวกมันตามออกไป
ความจริงแล้วแมลงเต่าทองเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นเลยเพราะเขาสามารถเปิดดูแผนที่สามมิติของป่าสนธยาชั้นแรกและหาตำแหน่งของบาร์คสกินพูม่าได้โดยตรง แต่เพราะยังไม่อยากเปิดเผยเรื่องนี้ต่อคุโระจึงต้องแสร้งทำเป็นใช้แมลงเต่าทองในการสอดแนมเพื่อตบตาคุโระไปก่อน
แน่นอนว่าในขณะที่มีคุโระอยู่ด้วย ซาลก็ไม่สามารถเปิดแผนที่สามมิติของป่าสนธยาขึ้นมาได้เช่นกัน เขาจึงต้องรอโอกาสพลางนึกหาข้ออ้างที่จะปลีกตัวจากคุโระเพื่อเปิดแผนที่ขึ้นมาดู แต่ทันใดนั้นเอง ซาลก็รู้สึกได้ว่าวงเวทอัญเชิญของหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งได้เกิดการรีเซ็ทและเข้าสู่ระยะพักตัว
นี่หมายถึงหมาจิ้งจอกที่เป็นสมุนอัญเชิญของเขาถูกโจมตีจนสลายร่างไปนั่นเอง
เรื่องนี้ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย เพราะเขาตั้งคำสั่งให้หมาจิ้งจอกพวกนี้หลีกเลี่ยงเหล่ามอนสเตอร์เท่าที่จะทำได้ อีกทั้งพวกมันยังมีความสามารถ ‘มอนสเตอร์ดีเท็ค’ ซึ่งทำให้รู้ตำแหน่งของมอนสเตอร์ที่อยู่ห่างออกไปได้เกือบสามสิบเมตร จิ้งจอกเหล่านี้จึงไม่น่าจะวิ่งไปเจอกับมอนสเตอร์ได้ง่าย ๆ ดังนั้นการที่พวกมันถูกกำจัดจึงมีความเป็นไปได้เพียงสองประการด้วยกัน
ประการแรกก็คือมันถูกโจมตีโดยมอนสเตอร์ระดับสูงที่หลบเร้นกายจากมอนสเตอร์ดีเท็คได้ หรืออีกประการหนึ่งก็คือมันถูกโจมตีโดยมนุษย์ เพราะซาลต้องการให้ทุกคนเห็นว่าเขาใช้หมาจิ้งจอกในการสอดแนม จึงไม่ได้ใส่คำสั่งให้มันหลบเลี่ยงผู้คนแม้แต่น้อย
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ วงเวทของหมาจิ้งจอกอีกตัวหนึ่งก็เกิดการรีเซ็ท แปลว่ามีหมาจิ้งจอกถูกจัดการไปอีกตัวหนึ่งแล้ว ทำให้สีหน้าของซาลเปลี่ยนไปเล็กน้อย จนคุโระก็เริ่มผิดสังเกต
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับคุณซาล?”
“อืม… นั่นน่ะสิ”
แทนที่จะตอบ ซาลกลับหันมาทำหน้าเป็นใส่คุโระ ทำให้อีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วเพราะความงุนงง
ใช่ว่าซาลจงใจจะแกล้งทำยียวน แต่เขาไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ
ขณะที่ซาลกำลังจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งของฝูงแมลงเต่าทองให้กลับมาสอดแนมบริเวณโดยรอบเพื่อค้นหาสาเหตุที่หมาจิ้งจอกของเขาถูกจัดการไปอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าเดินแหวกแมกไม้และใบหญ้าเข้ามาใกล้กับจุดที่เขากับคุโระกำลังยืนอยู่
คุโระเกิดความตื่นตัวขึ้นและตั้งท่าเตรียมพร้อมทันทีเพราะเขาไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเสียงของมอนสเตอร์รึเปล่า แต่สำหรับซาลที่แยกแยะความต่างระหว่างการเคลื่อนไหวของมนุษย์กับมอนสเตอร์ออกนั้นสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ากลุ่มคนที่กำลังตรงเข้ามาเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน
ไม่นานนักก็มีคนแปดคนปรากฏตัวออกมาจากแนวไม้โดยรอบ ทั้งแปดคนสวมชุดนักผจญภัยทับลงบนชุดยูนิฟอร์มของนักเรียนโรงเรียนอีจิสไพร์ม หกคนในนั้นเป็นผู้ชาย และอีกสองคนเป็นผู้หญิง พวกเขาล้อมซาลและคุโระเอาไว้เป็นรูปครึ่งวงกลม และปิดกั้นเส้นทางที่จะเข้าไปยังป่าสนธยาส่วนลึกเอาไว้
ทันทีที่เห็นกลุ่มคนเหล่านั้น ซาลก็รู้ทันทีว่าพวกเขาคือเพื่อนร่วมห้อง 1-E ซึ่งมาจากกลุ่มต่าง ๆ นั่นเอง เพราะเขาจดจำใบหน้าของทุกคนได้หมด แถมยังรู้ว่าใครอยู่กลุ่มไหนบ้างอีกด้วย
สำหรับคุโระซึ่งคลุกคลีกับกลุ่มเพื่อนในห้องอยู่เป็นประจำย่อมรู้จักหน้าของทุกคนเช่นกันแม้อาจจะจำชื่อของบางคนไม่ได้ก็ตาม เขาจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“พวกนาย… มาทำอะไรกันที่นี่เหรอ?”
เมื่อได้ยินคำถามของคุโระ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่งก็ก้าวออกมาพูดกับเขา
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายหรอกคุโระ เรามาเพราะซาลารัสต่างหาก”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งคุโระและซาลต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ซึ่งเด็กหนุ่มก็หันเหความสนใจไปยังซาลและเริ่มพูดกับเขาในทันที
“ที่ผ่านมาเรายอมให้นายเอาเปรียบโดยการใช้สมุนอัญเชิญในการทำภารกิจมาโดยตลอด แต่ภารกิจเหล่านั้นเป็นการแข่งขันกับตัวเองมากกว่าเราจึงพออนุโลมให้ได้ ทว่าครั้งนี้มันต่างกัน ภารกิจนี้เป็นการแข่งขันกันโดยตรงของทุกกลุ่มในห้อง เราจะยอมให้นายใช้สมุนอันเชิญเอาเปรียบพวกเรามากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ในภารกิจนี้ถ้ากลุ่มอื่น ๆ ยังล่าบาร์คสกินพูม่ากันได้ไม่ครบ พวกนายก็ห้ามเข้ามาล่าด้วย!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น คุโระก็ได้แต่ตะลึงงันไปเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา ส่วนซาลเองก็ตาเบิกโพลงขึ้นทั้งที่ยังเม้มริมฝีปากอยู่เพราะความรู้สึกอันซับซ้อน ทำให้ใบหน้าของเขาทั้งดูประหลาดและตลกไปในเวลาเดียวกัน
ที่มีอาการแบบนี้ก็เพราะซาลยังไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเช่นกัน แต่ตรงกันข้ามกับคุโระที่กำลังรู้สึกคับแค้นและขุ่นเคืองมากขึ้นเรื่อย ๆ เขากลับรู้สึกขบขันกับอีกฝ่ายมากกว่า
เพราะตอนนี้ซาลกำลังจินตนาการภาพไปว่า เบื้องหน้าของเขาคือกลุ่มเด็กตัวน้อย ๆ จำนวนแปดคนที่มากระจองอแงเพราะไม่สามารถเอาชนะเขาได้จึงรวมตัวกันมาโวยวายและตั้งกฎอันเอาแต่ใจขึ้นเพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสชนะบ้าง เป็นภาวะจนตรอกของเด็กอมมือที่ดูน่ารักน่าชังจนทำให้ซาลแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
หลังจากพยายามสูดลมหายใจเพื่อระงับตัวเองไม่ให้หลุดหัวเราะออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ซาลก็หันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่เป็นตัวแทนกลุ่มอีกครั้ง
“หมายความว่าจะไม่ให้ฉันทำภารกิจจนกว่ากลุ่มอื่น ๆ จะทำภารกิจเสร็จหมดแล้วงั้นเหรอ? ความจริงมันก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ แต่ภารกิจนี้มีเป้าหมายต่อวันเป็นจำนวนจำกัดแค่สามตัวต่อวันนี่นา… ถ้าถึงวันสุดท้ายแล้วยังมีกลุ่มที่ทำภารกิจไม่เสร็จเกินสามกลุ่มขึ้นมาล่ะ?”
“แบบนั้นนายเองก็จะไม่ได้ทำภารกิจไงล่ะ”
คำตอบอันเย็นชาของเด็กหนุ่มทำให้หางคิ้วของคุโระถึงกับเกิดอาการกระตุกขึ้นมาเพราะความโกรธ ส่วนซาลก็เลิกคิ้วสูงขึ้นพร้อมกับเม้มปากเพื่อพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้อีกครั้ง เพราะยิ่งอีกฝ่ายกล่าวคำพูดที่ไร้เหตุผลและเอาแต่ใจออกมามากเท่าไหร่ ในสายตาของซาลก็จะเห็นอีกฝ่ายมีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ จากเด็กเจ็ดขวบตัวกระเปี๊ยก ตอนนี้ได้หดเล็กลงจนกลายเป็นเด็กห้าขวบขี้มูกเยิ้มแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าอันบิดเบี้ยวของฝ่ายตรงข้าม เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่คิดว่าตนกำลังถือไพ่เหนือกว่าก็แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“ที่เราตั้งเงื่อนไขนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้การแข่งขันเป็นไปอย่างยุติธรรมเท่านั้น แต่ถ้านายกลัวว่ากลุ่มอื่น ๆ จะผ่านภารกิจไม่ทันเวลาจนนายทำภารกิจไม่ได้ เราก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งเป็นทางเลือกให้ นั่นก็คือนายต้องใช้สมุนของนายช่วยหาบาร์คสกินพูม่าให้พวกเราล่าก่อน พอถึงวันที่สาม ทั้งเจ็ดกลุ่มก็น่าจะทำภารกิจนี้เสร็จหมดแล้ว และนายก็จะสามารถทำภารกิจต่อได้ทันที เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องที่จะมีบาร์คสกินพูม่าไม่พอให้ล่าแล้วไงล่ะ”
คำพูดเหล่านั้นของเด็กหนุ่มทำให้คุโระที่เริ่มทนไม่ไหวต้องกล่าวแทรกขึ้นมา
“แบบนั้นก็เท่ากับกลุ่มผมต้องใช้เวลาในการล่าเท่ากับเวลาของทุกกลุ่มรวมกันเลยนี่ครับ!? เพราะต้องมาคอยค้นหาเป้าหมายให้กับทุกกลุ่มโดยที่ตัวเองทำการล่าไม่ได้ เวลาในการทำภารกิจก็จะบวกรวมไปเรื่อย ๆ แบบนี้ตอนประเมินเราจะได้คะแนนสักเท่าไหร่กันล่ะ? ถ้าจะทำแบบนี้จริง ๆ ควรให้พวกเราทำภารกิจให้เสร็จเป็นกลุ่มแรกมากกว่า!”
“ถ้าให้กลุ่มของนายล่าก่อนก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าพวกนายจะรักษาสัญญาและยอมช่วยเราน่ะสิ ใช่ว่าฉันมีปัญหากับนายหรอกนะคุโระ แต่ฉันไม่ไว้ใจเจ้าหมอนั่นต่างหาก”
เด็กหนุ่มกล่าวพลางช้อนสายตาอันไม่เป็นมิตรไปทางซาล ซึ่งตอนนี้ยังคงมีสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะฝืนไม่ให้ยิ้มออกมาอยู่
ทางคุโระก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อยเพราะซาลเคยกำชับไว้ไม่ให้เขาขัดแย้งกับคนในห้องเพื่อแผนการในวันข้างหน้า แต่ในครั้งนี้อีกฝ่ายได้บีบคั้นกันเกินไปจริง ๆ เขาอยากจะออกหน้าแทนซาลใจจะขาด แต่ก็ยังรู้สึกลังเลเพราะมันอาจทำให้แผนการของซาลที่เคยบอกว่าต้องการใช้เขาในการปรับความเข้าใจกับคนในห้องต้องล้มเหลวไป จึงได้แต่พยายามอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ
ในระหว่างนั้น ซาลที่เพิ่งจะสูดลมหายใจเพื่อสงบสติลงได้อีกครั้งก็เอ่ยปากพูดกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลบ้าง ด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มที่ดูจะฝืนอยู่พอสมควร
“เอ่อ… ขอถามอะไรหน่อยละกันนะ ทำไมฉันจะต้องทำตามที่พวกนายบอกด้วยล่ะ? นี่เป็นเงื่อนไขที่พวกนายตั้งขึ้นเพราะความเอาแต่ใจชัด ๆ พวกนายไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแบบนี้ซะหน่อย”
คำพูดของซาลทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ล่ะ!? ก็นายเป็นฝ่ายใช้วิชานอกรีตอย่างวิชาเวทอัญเชิญมาเอาเปรียบคนอื่น ๆ ก่อนนี่นา! เราก็แค่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็นเท่านั้นเอง!”
คำกล่าวนั้นทำให้คุโระยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นอีกแต่ก็พยายามไม่แสดงออกมาทางสีหน้า ทว่าในขณะนั้นเอง ซาลก็หลุดหัวเราะออกมา
——————————————————————————–
Part 4
“อุ๊บ… พรืด… ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ~”
ท่าทีตอบสนองของซาลนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน ทำให้พวกเขาได้แต่นิ่งเงียบและจ้องมองซาลด้วยความขุ่นข้องใจ
ทางด้านซาลนั้นหัวเราะจนตัวงอและมีน้ำตาเล็ดออกมา ราวกับว่ากำลังขำจนแทบจะขาดใจจริง ๆ ไม่ใช่การเสแสร้งหรือแกล้งทำแต่อย่างใด ทำให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
“หัวเราะอะไรของนาย!? คิดว่าพวกเราล้อเล่นรึไง!?”
“ฮะ ฮะ ฮะ~ เปล่าหรอก เพราะรู้ว่านายจริงจังน่ะสิ ถึงได้คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าขำน่ะ”
“ว่าไงนะ!?”
เพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกเหยียดหยามอยู่ เด็กหนุ่มจึงตวาดออกมาด้วยเสียงอันแข็งกร้าว ส่วนซาลที่เริ่มจะสงบอาการลงแล้วจึงตอบกลับไปโดยที่ยังหุบยิ้มไม่ลง
“เฮ้อ~ จะว่ายังไงดีล่ะ คือนึกไม่ถึงว่าจะใช้เหตุผลเอาแต่ใจได้ขนาดนี้น่ะ ปกติซัมมอนเนอร์จะเป็นคลาสที่ทุกคนดูแคลนและเห็นเป็นตัวถ่วงจนไม่มีใครอยากเอาเข้ากลุ่มแท้ ๆ แต่ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นคลาส ‘ขี้โกง’ ที่เอาเปรียบคนอื่นไปซะได้ แบบนี้ยังจะไม่ให้ฉันขำอีกเหรอ?”
“ปะ.. ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นซะหน่อย! การใช้สมุนอัญเชิญของนายน่ะมันนอกรีต! ใช้ของที่คนอื่นไม่มีมาเป็นเครื่องมือแบบนี้มันเป็นการเอาเปรียบคนอื่นชัด ๆ !”
“อุ๊บ… ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ~”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ซาลระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง แถมคราวนี้ยังดังยิ่งขึ้นกว่าเดิมราวกับเป็นความรู้สึกอัดอั้นที่หลุดออกมาในคราวเดียว สร้างความขุ่นข้องใจให้กับทุกคนโดยรอบ แต่เพียงไม่นานนักเขาก็เริ่มสงบลงและเอ่ยคำพูดกับฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง
“เฮ้อ… ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ … นี่ฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนเอาแต่ใจแล้วนะเนี่ย แต่เจอแบบนี้เข้าไปเล่นเอาพูดไม่ออกเลย นี่สินะที่เขาเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าน่ะ”
“หา!?”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของซาล แต่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังดูถูกตนเองอยู่จึงเริ่มจะมีโทสะขึ้นมาอีกครั้ง แต่ซาลที่สำรวมอาการได้แล้วก็ยืดตัวยืนตรงขึ้นก่อนจะหันไปพูดกับอีกฝ่ายด้วยแววตาและรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“เอาเปรียบงั้นเหรอ? นักรบที่สวมชุดเกราะอันแน่นหนาและใช้จิตต่อสู้อันเข้มข้นปกคลุมร่างกายน่ะถือว่าเอาเปรียบคลาสอื่นรึเปล่า? นักเวทที่ใช้เวทโจมตีสารพัดธาตุโจมตีจุดอ่อนในการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามได้ถือว่าเป็นการเอาเปรียบคลาสอื่นรึเปล่า? นักธนูที่สามารถใช้ลูกธนูโจมตีจากระยะไกลได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วถือว่าเอาเปรียบคลาสอื่นรึเปล่า? แต่ละคลาสต่างก็มีความสามารถเฉพาะตัวที่แตกต่างไปจากคลาสอื่น ๆ ด้วยกันทั้งนั้น หากจะใช้เหตุผลนี้มาบอกว่าการทำในสิ่งที่คลาสอื่นทำไม่ได้คือการนอกรีตและเอาเปรียบ ทุกคลาสต่างก็มีส่วนที่นอกรีตและเอาเปรียบคลาสอื่นทั้งนั้นแหละ”
คำตอบกลับของซาลทำให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งเพราะถูกพูดจี้ใจดำ แม้แต่เพื่อนพ้องที่อยู่โดยรอบก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาด้วย แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
“พวกนั้นมันเป็นความแตกต่างของวิธีการต่อสู้ต่างหาก! นั่นไม่ใช่การเอาเปรียบผู้อื่น แต่เป็นจุดเด่นและจุดด้อยของคลาสเท่านั้น! ส่วนนายน่ะกลับใช้ประโยชน์จากความสามารถที่ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้และคลาสอื่นทำไม่ได้ แบบนี้ไม่เรียกเอาเปรียบจะให้เรียกว่าอะไร!?”
“อ้อ? จะบอกว่าคลาสอื่น ๆ ไม่มีความสามารถเบ็ดเตล็ดแบบนี้ในการช่วยทำภารกิจที่ไม่ใช่การต่อสู้ มันเลยเป็นการเอาเปรียบคนอื่นงั้นสิ? นี่นาย… ตั้งใจเรียนบ้างรึเปล่าเนี่ย? ทำไมถึงไม่รู้ความสามารถอื่น ๆ ของคลาสตัวเองเลยล่ะ? อืม… ดูจากชุดแล้วคงเป็นนักดาบสายรุก… แบบนี้นี่เอง! ที่เลือกคลาสนี้ก็เพราะมันไม่ต้องใช้ความคิดอะไร อาศัยแต่ฟัน ๆ ตี ๆ อย่างเดียวให้เป้าหมายตายไปก็พอใช่มั้ยล่ะ? คนที่เลือกคลาสสิ้นคิดแบบนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะเห็นว่ามันเป็นตำแหน่งที่ง่ายและเท่ดีทั้งนั้นแหละนะ แล้วก็คงจะศึกษาแต่วิชาสายต่อสู้อย่างเดียวโดยไม่สนใจวิชาด้านอื่น ๆ ดังนั้นถ้าจะไม่รู้ว่าคลาสตัวเองทำอะไรได้บ้างก็คงไม่แปลกหรอก”
“วะ.. ว่าไงนะ!? แก!!”
คำพูดของซาลได้ปลุกโทสะของอีกฝ่ายให้ปะทุขึ้นมาจนทำหน้าเหยเก แม้แต่สมาชิกอีกหลายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาด้วยเพราะรู้สึกเหมือนถูกกว่ากระทบ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ทำอะไร ซาลก็ชิงอธิบายต่อ
“ถึงจะเน้นวิชาด้านการต่อสู้เป็นหลัก แต่ทุกคลาสต่างก็มีวิชาเสริมที่สามารถนำมาใช้สนับสนุนการทำภารกิจอื่น ๆ ได้ทั้งนั้น เช่นนักดาบก็มี ‘สปิริทเซนส์’ (Spirit Sense) ใช้สำหรับสัมผัสจิตต่อสู้ในบริเวณใกล้เคียงหรือจิตต่อสู้ที่ตกค้างอยู่ในอากาศเพื่อให้รู้ตำแหน่งของมอนสเตอร์ หรือใช้ค้นหาร่องรอยของมอนสเตอร์ได้ นักเวทจะมี ‘มอนสเตอร์ดีเท็ค’ (Monster Detect) ใช้สำหรับหาตำแหน่งของมอนสเตอร์ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ทั้งยังมีเวท ‘วิชั่น’ (Vision) ทำให้มองเห็นพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างออกไป ใช้ในการสำรวจพื้นที่ก็ได้
ส่วนคลาสอย่างนักธนูยิ่งแล้วใหญ่เพราะมีทั้งความสามารถ ‘แทรค’ (Track) ซึ่งช่วยให้มองเห็นความผิดปกติของสภาพแวดล้อมและอ่านร่องรอยการเคลื่อนที่ของมอนสเตอร์ได้ ทั้งยังมีกับดักอีกหลายชนิด เช่น ‘อลาร์มแทรป’ (Alarm Trap) สำหรับเตือนให้รู้เมื่อมีมอนสเตอร์เคลื่อนผ่าน แถมพอขึ้นเป็นฮันเตอร์ยังมีสัตว์เลี้ยงคู่ใจอย่างนกเหยี่ยวหรือหมาป่าซึ่งใช้ช่วยในการค้นหา,โจมตีศัตรู และสำรวจพื้นที่ได้ด้วย จะเห็นได้ว่าทุกคลาสต่างก็มีวิชาสนับสนุนสำหรับการทำภารกิจอื่น ๆ ด้วยกันทั้งนั้น นายแค่สนใจแต่การต่อสู้อย่างเดียวจนไม่รู้ว่ามีวิชาเหล่านี้อยู่เท่านั้นเอง”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียดของซาล ทั้งเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลและผองเพื่อนอีกเจ็ดคนที่เหลือก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะมีความรู้เกี่ยวกับคลาสอื่น ๆ มากขนาดนี้ ทั้งยังอาจจะมากกว่าพวกเขาเองที่เรียนเป็นคลาสหลักซะด้วย
ความจริงแต่ละคนก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าคลาสของพวกเขามีวิชาสายสนับสนุนอยู่ด้วย แต่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลซึ่งถูกไล่ต้อนจนใกล้จะจนตรอกเพราะคำพูดของซาลก่อนหน้านี้ก็พยายามลักไก่โดยคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่มีความรู้เกี่ยวกับคลาสอื่น ๆ มากนัก และไม่น่าจะมีอะไรมาโต้แย้งได้ ทว่านี่กลับยิ่งเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองเพราะไม่เพียงแต่ซาลจะรู้ถึงความสามารถเสริมของคลาสต่าง ๆ ทั้งยังรู้อย่างละเอียดอีกด้วย
สีหน้าบิดเบี้ยวของแต่ละคนที่ไม่รู้ว่าจะตอบโต้กลับไปอย่างไรดีนั้นทำให้คุโรเกือบจะหลุดยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ จนต้องรีบขมเม้มริมฝีปากเอาไว้ ตรงกันข้ามกับซาลที่มีสีหน้าเรียบเฉยและแทบไม่ได้แสดงอาการยินดีใด ๆ ออกมาเลย
เพราะในสายตาของซาล เหตุผลที่อีกฝ่ายยกขึ้นมาใช้ก็เป็นเพียงเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ตามประสาคนพาลเท่านั้น ไม่ใช่เหตุที่ตั้งอยู่บนตรรกะหรือข้อเท็จจริงใด ๆ การโต้คารมชนะคนประเภทนี้ในเรื่องแบบนี้ได้จึงไม่ถือเป็นเรื่องน่าภูมิใจเลยสักนิด
ในระหว่างที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะตอบโต้กลับมาอย่างไรดีนั้น ซาลก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ที่สำคัญคือยังมีเรื่องที่พวกนายเข้าใจผิดอยู่อีกอย่างหนึ่ง”
คำกล่าวของซาลได้เรียกสติของทุกคนกลับมา และทำให้สายตาของพวกเขาจับจ้องมายังซาลอีกครั้ง
“ฉันมีเหตุผลอะไรที่ต้องให้ความร่วมมือกับพวกนายด้วยงั้นรึ? ถ้าฉันยืนยันที่จะไปทำภารกิจต่อ พวกนายจะทำยังไงกันล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของนักเรียนทั้งแปดคนก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นแววตาอันดุดันที่มีความมุ่งมั่นอยู่ภายใน แม้แต่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่เป็นตัวแทนก็จ้องมองซาลด้วยแววตาแบบเดียวกันก่อนจะกล่าวคำตอบออกมา
“จากที่เห็นก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? พวกเราจะไม่ยอมให้นายเดินหน้าต่อไปแม้แต่เพียงก้าวเดียว สมุนอัญเชิญที่นายปล่อยออกมาเราก็จะทำลายมันทิ้งให้หมดด้วย ถ้าไม่รับข้อเสนอของเรา นายก็จะไม่มีทางได้เข้าไปทำภารกิจนี้เช่นกัน”
“โอ้? แปลว่าจะใช้กำลังบังคับ หรือสกัดกั้น ไม่ให้ฉันเข้าไปทำภารกิจงั้นเหรอ?”
“นี่แกแกล้งโง่รึไง? ตั้งใจจะยียวนกันใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แค่สงสัยเท่านั้นเอง ว่าอะไรทำให้พวกนายคิดว่าจะสกัดกั้นฉันได้น่ะ… ไม่สิ จริง ๆ แบบนี้มันก็ถูกต้องแล้วล่ะนะ อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กปีหนึ่งคนเดียวเองนี่นา ตัวเองมากันตั้งแปดคน ไม่มีเหตุผลอะไรที่การดำเนินการครั้งนี้จะล้มเหลวเลย ถ้ารู้สึกกังวลกับศัตรูที่มีแค่คนเดียวต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นเรื่องแปลก ดังนั้นที่พวกนายมั่นใจว่าจะทำแบบนี้ได้มันก็ถูกแล้วล่ะ”
“หา!?”
คำพูดของซาลซึ่งเหมือนจะเป็นการพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับฝ่ายตรงข้ามอีกทั้งยังเป็นคำพูดที่จับใจความไม่ค่อยได้ทำให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีก ในขณะที่ซาลก็ยังคงมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา
“อืม… โจทย์นี้ยากจริง ๆ เลยแฮะ… จะปกปิดฝีมือ… หรือจะยอมถูกรังแก… แต่ถ้ายอมสักครั้งก็ต้องยอมตลอดไป… เราลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปได้ยังไงกันนะ… หากเป็นคนดี ถึงทำตัวอ่อนแอและถูกรังแกก็ยังมีคนช่วย… แต่ถ้าเป็นตัวร้ายที่อ่อนแอถูกรังแก ก็มีแต่คนอยากจะกระหน่ำซ้ำเติมเท่านั้น… การเป็นตัวร้ายเนี่ย นอกจากจะทำตัวอ่อนแอไม่ได้แล้ว จะไม่แสดงอำนาจบ้างก็คงไม่ได้สินะ…”
ซาลครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานเพราะพยายามชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของทางเลือกต่าง ๆ
เป็นเพราะการกระทำที่ผ่านมาของซาล ทำให้แผนการของเขาเริ่มเกิดความขัดแย้งกันเอง จนในตอนนี้ได้มาถึงจุดที่เขาจำเป็นต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
เดิมทีซาลอยากเป็นคนประเภท ‘โลวโปรไฟล์’ (Low Profile) คือไม่ค่อยมีความโดดเด่น ไม่เป็นจุดสนใจ เพื่อไม่ให้พีชคีปเปอร์มุ่งเป้ามาที่เขามากนัก จึงคิดจะแสดงตนเป็นคนอ่อนแอและไม่เป็นที่จดจำของผู้อื่น
แต่เพราะคิดจะช่วยคุโระ ซาลจึงแกล้งแสดงบทเป็นตัวร้ายเพื่อผลักดันให้คุโระเข้าไปอยู่ในกลุ่มของเพื่อนร่วมห้องได้ การกระทำนี้จริง ๆ ก็ขัดแย้งกับเจตนาของการเป็นคนประเภท ‘โลวโปรไฟล์’ ตั้งแต่แรก อีกทั้งเมื่อรับบทตัวร้ายแล้วอคติที่คนอื่น ๆ มีต่อเขาก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น ในภาวะนี้หากเขาแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นก็จะยิ่งถูกกดขี่และเหยียบย่ำอย่างไม่ปราณี เพราะทุกคนถือว่าเขาเป็นคนไม่ดีและสมควรที่จะได้รับการลงโทษแล้ว
การถูกรังแกแบบนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์นัก และซาลก็ไม่คิดที่จะทนกับมันด้วย
เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งของเขาคือการสร้างชื่อเสียงให้กับคลาสซัมมอนเนอร์และทำให้ทุกคนยอมรับในคลาสนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับเป้าหมายในการเป็นคน ‘โลว์โปรไฟล์’ อีกเช่นกัน หากแสร้งทำตัวอ่อนแอแล้วจะแสดงความสามารถของคลาสซัมมอนเนอร์ออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ได้ยังไงกันล่ะ
เพราะนิสัยของเขาตั้งแต่ไหนแต่ไรคือพยายามไขว่คว้าทุกสิ่งโดยไม่ยอมเสียอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน เป็นจุดยืนที่เขามีมาตั้งแต่สมัยที่ยังเดินทางกับพวกแซนโดรแล้วและยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เขาถึงพยายามทำมันหมดทุกอย่าง ทำให้แผนการหลาย ๆ อย่างของเข้าได้เข้ามาพัวพันกันจนยุ่งเหยิงแบบนี้
แม้นิสัยที่ต้องการจะทำทุกอย่างของเขาจะยังไม่เปลี่ยน แต่ตอนนี้ซาลก็เข้าใจแล้วว่าบางครั้งเขาก็จำเป็นต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือต้องสละส่วนน้อยออกไปเพื่อรักษาส่วนมากเอาไว้
“หากเลือกที่จะไม่โดดเด่นก็ต้องทำตัวอ่อนแอ… เมื่ออ่อนแอก็ต้องถูกรังแกแถมยังกอบกู้คลาสซัมมอนเนอร์ได้ยาก การใช้ชีวิตก็ลำบากด้วย… แต่ถ้าไม่สนเรื่องที่จะถูกจับตามองละก็ จะสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องทนอึดอัด”
แม้ในห้วงความคิดจะเหมือนกับเป็นเวลาอันเนิ่นนาน แต่ในความเป็นจริงเวลากลับผ่านไปเพียงแค่ชั่ววินาทีเท่านั้น ซึ่งซาลที่ตัดสินใจได้แล้วก็เหลือบตากลับขึ้นมามองเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลและเผยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ของเขาออกมาอีกครั้ง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามถูกกลิ่นอายอันเย็นเยียบจนรู้สึกเสียวสันหลังกดดันให้ถอยออกไปอีกหลายก้าว
“มาคิดดูดี ๆ แล้ว การใช้ชีวิตแบบที่ต้องก้มหน้าก้มตาหรือพยายามหลบเลี่ยงจากแสงตะวัน มันก็ไม่เหมาะกับฉันจริง ๆ ด้วยล่ะนะ”
“หา!?”
คำพูดที่ไม่ได้มีเจตนาจะสื่อความหมายใด ๆ กับคู่สนทนานั้นทำให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ ในขณะที่ซาลก็ละสายตาจากฝ่ายตรงข้ามแล้วหันไปพูดกับคุโระที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกครั้ง
“คุโระ นายช่วยถอยออกไปห่าง ๆ ก่อนนะ อย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ล่ะ”
“อะ.. เอ๋? เอ่อ… ครับ…”
หลังจากบอกให้คุโระถอยออกไปแล้ว ซาลก็กางมือของเขาออกไปเบื้องหน้า ทำให้มีวงเวทสามวงปรากฏออกมาในทันที เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงรีบถอยกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ อีกเจ็ดคนของเขา ซึ่งทุกคนต่างก็ตั้งท่าเตรียมต่อสู้โดยพร้อมเพรียงกัน
ถึงกระนั้นสีหน้าของทุกคนก็ยังอยู่ในอาการประหลาดใจ เพราะพวกเขาไม่คิดว่าซาลจะกล้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีจำนวนมากกว่าขนาดนี้
“จงออกมา! เซอร์บี้! ทาร์ท่า! เอเร่!”
สิ้นคำประกาศของซาล ก็มีหมาป่าตัวสามตัวกระโจนออกมาจากวงเวททั้งสามวง มันเป็นหมาป่าขนาดใหญ่ที่มีความยาวตลอดลำตัวเกือบ 2 เมตร เวลายืนสี่ขาก็มีความสูงเกือบ 1.5 เมตร ทุกตัวมีขนสีเทาที่สะท้อนแสงแล้วส่องประกายเป็นสีเงินปกคลุมทั่วทั้งตัว มีดวงตาอันดุดันของสัตว์ร้ายแต่ก็แฝงความเยือกเย็นอันล้ำลึกเอาไว้ในเวลาเดียวกัน
พวกมันก็คือเซอร์บีรัส, ทาร์ทารัส, และเอเรบัส สมุนอัญเชิญคู่ใจชุดแรกของซาลที่ถูกปรับปรุงพัฒนาจนมีความสามารถเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับ 8 ไปแล้วนั่นเอง แต่นี่ยังเป็นเพียงร่างที่จำกัดพลังเอาไว้ให้มีพลังเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับ 4 เท่านั้น
เมื่อเห็นหมาป่าอัญเชิญขนาดยักษ์ของซาลทั้งสามตัวปรากฏออกมา นักเรียนหลายคนในกลุ่มก็แสดงท่าทีหวาดหวั่นออกมาเล็กน้อย เพราะขนาดอันใหญ่โตและรูปลักษณ์อันน่าพรั่นพรึงของพวกมัน แต่เพียงชั่วครู่พวกเขาก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง เพราะโดยปกติแล้วซัมมอนเนอร์จะไม่สามารถอัญเชิญสมุนที่มีระดับสูงกว่าตัวเองออกมาได้ หมาป่าพวกนี้จึงควรจะมีพลังเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับ 2 หรือ 3 เท่านั้น ซึ่งต่อให้ทำการสู้กันแบบตัวต่อตัวก็ยังไม่ใช่คู่มือของนักเรียนแต่ละคนอยู่ดี
หลังจากอัญเชิญหมาป่าทั้งสามตัวออกมาแล้ว ซาลก็จ้องมองไปยังเพื่อนนักเรียนทั้งแปดคน ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาอีกครั้ง
“ทางเลือกของตัวร้ายน่ะมีอยู่ไม่มากหรอกนะ ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว คงต้องปล่อยเลยตามเลยละกัน… พวกนายน่ะ ถ้าคิดว่าจะขัดขวางฉันได้ละก็ เรียงหน้ากันเข้ามาได้เลย”
ซาลกล่าวท้าทายนักเรียนทั้งแปดคนด้วยแววตาที่มุ่งมั่นและรอยยิ้มอันเย็นเยียบ ส่วนอีกฝ่ายที่รู้สึกเหมือนกับกำลังโดนดูถูกอยู่นั้นก็ส่งสายตาอันดุดันตอบกลับมาเช่นกัน
ในช่วงเวลานั้นทุกอย่างล้วนตกอยู่ในความเงียบงัน จนมีเพียงเสียงซ่าของกิ่งไม้ใบหญ้าที่ถูกพัดลู่ไปตามลมดังแว่วมาเท่านั้น
ทันทีที่เสียงพลิ้วไหลของแมกไม้หยุดลง การต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น