Doombringer the 5th - ตอนที่ 115
Ch.115 – รังแกเด็ก
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 111
รังแกเด็ก
Part 1
ในกลุ่มนักเรียนทั้งแปดคนที่มานั้น สี่คนเป็นนักดาบ สองคนเป็นนักเวท และอีกสองคนเป็นนักธนู
นักเวททั้งสองใช้เวท ‘อนาไลซ์’ (Analyze) เพื่อตรวจสอบหมาป่าอัญเชิญของซาลในทันที และพบว่ามันมีพลังเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับ 4 ซึ่งแม้จะเป็นระดับที่สูงพอตัว แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไรนัก
เพราะโดยปกติเด็กนักเรียนปีหนึ่งของอีจิสไพร์มจะมีความสามารถในการเคลียร์ดันเจี้ยนแรงค์ F ได้อยู่แล้ว ซึ่งมอนสเตอร์ส่วนใหญ่ของดันเจี้ยนแรงค์ F ก็จะเป็นมอนสเตอร์ระดับ 3-4 เว้นแต่พวกเจ้าถิ่นเท่านั้นที่จะเป็นมอนสเตอร์ระดับ 5
มอนสเตอร์ในดันเจี้ยนมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-6 ตัว แล้วแต่ขนาดของพื้นที่ ส่วนนักผจญภัยหนึ่งปาร์ตี้ปกติจะมี 4 คน ซึ่งสามารถเคลียร์พื้นที่ดันเจี้ยนที่มีมอนสเตอร์เหล่านี้ได้อย่างสบาย ดังนั้นสำหรับนักเรียนทั้งแปดซึ่งมีจำนวนเท่ากับสองปาร์ตี้แล้ว หมาป่าระดับ 4 เพียงแค่สามตัวจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่น่าวิตกอะไรเลย
นักดาบสองคนพุ่งตรงเข้าใส่กลุ่มหมาป่าในทันที โดยมีนักธนูและนักเวททางด้านหลังเตรียมโจมตีสนับสนุน ส่วนนักดาบอีกสองคนที่เหลือก็ยืนตรึงพื้นที่ตรงกลางเอาไว้เพื่อป้องกันการโจมตีให้กับทุกคนที่อยู่ในแนวหลัง
แม้จะไม่มีฮีลเลอร์หรือคลาสสายสนับสนุนมาด้วย แต่ทั้งแปดคนก็เชื่อมั่นว่าด้วยจำนวนและความสามารถที่เหนือกว่า พวกเขาจะสามารถจัดการกับซาลและสมุนอัญเชิญทั้งสามเพื่อจบการต่อสู้นี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ทางด้านซาลยังคงยืนนิ่งและเอาแต่จับจ้องอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น ผิดกับหมาป่าทั้งสามตัวของเขาคือเซอร์บี้, ทาร์ท่า, และเอเร่ ที่ตอบสนองการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามด้วยการพุ่งตัวออกไปในทันที
ความเร็วของพวกมันไม่นับว่าเหนือกว่าระดับของมอนสเตอร์ทั่ว ๆ ไป อีกทั้งขนาดร่างกายอันใหญ่โตนั้นยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวดูเชื่องช้าลงไปอีก นักดาบสองคนซึ่งเป็นแนวหน้าต่างก็แสยะยิ้มเพราะคิดว่าหมาป่าพวกนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีร่างกายใหญ่โตเพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้เท่านั้น เพราะความเร็วของพวกมันไม่ได้สัมพันธ์กับรูปร่างเลย แบบนี้เท่ากับเป็นเป้าซ้อมมือขนาดใหญ่มากกว่า
หมาป่าที่วิ่งนำหน้ามาก่อนสองตัวคือเซอร์บี้กับทาร์ท่า ซึ่งทันทีที่พวกมันเข้ามาในระยะโจมตี นักดาบทั้งสองก็ผนึกจิตต่อสู้อาบลงไปบนคมดาบจนมีแสงสีเหลืองอ่อน ๆ เรืองรองออกมา ก่อนพวกเขาจะตวัดมันเข้าใส่เป้าหมายอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงาแสงรูปจันทร์เสี้ยวค้างอยู่กลางอากาศ
ทว่าการโจมตีอันน่าครั่นคร้ามนั้นกลับพลาดเป้า
เพราะในเสี้ยวพริบตาก่อนที่คมดาบจะตวัดเข้าใส่ร่างอันใหญ่โตของพวกมัน หมาป่าแต่ละตัวก็เปลี่ยนท่วงท่าและเบี่ยงร่างกายด้วยความเร็วสูงจนสามารถหลบการโจมตีเหล่านั้นไปได้ ตำแหน่งของพวกมันคลาดเคลื่อนไปจากเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้การโจมตีของนักดาบทั้งสองพลาดเป้า
นี่เป็นเทคนิคการหลบหลีกระดับสูงที่ใช้การเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดแต่เกิดประโยชน์สูงสุดซึ่งมอนสเตอร์ระดับ 4 ไม่ควรจะมีได้ แต่หมาป่าของซาลกลับใช้ออกมา ทำให้นักดาบทั้งสองถึงกับชะงักไปเพราะคาดไม่ถึง
แม้การโจมตีของเหล่านักดาบจะพลาดเป้า แต่นักธนูอีกสองคนที่ขึ้นสายและเล็งเป้ารอไว้แล้วก็ปลดปล่อยการโจมตีตามออกมา ทำให้ลูกธนูซึ่งห่อหุ้มด้วยพลังงานสีฟ้าพุ่งตรงเข้าหาเซอร์บี้และทาร์ท่าด้วยความเร็วสูงราวกับเป็นดาวหาง
แต่ก่อนที่ลูกธนูเหล่านั้นจะเข้าเป้า หมาป่าทั้งสองก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วอันเหลือเชื่ออีกครั้ง โดยทาร์ท่าตวัดขาหน้าปัดลูกธนูจนหักกลางและลอยกระเด็นออกไปอีกทางหนึ่งได้ ส่วนเซอร์บี้ก็เอียงหัวหลบปลายลูกธนูเพียงเล็กน้อยและอาศัยจังหวะที่ลูกธนูกำลังแล่นผ่านข้างขมับดันศีรษะเข้าใส่ส่วนก้านของลูกธนูเพื่อเบี่ยงวิถีของมัน ทำให้ลูกธนูดอกนั้นพุ่งแฉลบไปปักเข้าที่ไหล่ของนักดาบอีกคนหนึ่งแทน
“อ๊ากกก”
“เฮ้ย!? ทำอะไรน่ะเจ้าบ้า!?”
“มะ.. ไม่ใช่นะ!? นั่นมัน!?”
เพราะการเบี่ยงวิถีของลูกธนูเป็นการเคลื่อนไหวอันละเอียดอ่อนที่เกิดขึ้นในช่วงเสี้ยววินาทีจนแทบไม่มีใครมองออก เหล่านักผจญภัยจึงคิดว่านั่นเป็นการโจมตีพลาดเป้าของนักธนูเอง แต่นักธนูคนนั้นก็ยังคงตกอยู่ในความงุนงงเพราะการโจมตีด้วยลูกธนูที่นำร่องด้วยจิตต่อสู้แบบนี้ไม่น่าจะพลาดเป้าได้เลย
นักธนูอีกคนก็ตกอยู่ในอาการตะลึงเช่นกัน เพราะหากเขามองไม่ผิด หมาป่าตัวนั้นได้ใช้ขาหน้าในการปัดลูกธนูของเขาทิ้งไป นี่เป็นสิ่งที่เขาทั้งไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีมอนสเตอร์ที่ทำแบบนี้ได้ด้วย ทำให้เขารู้สึกช็อคมาก
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหมาป่าอัญเชิญของซาลไม่ใช่หมาป่าธรรมดา พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นสมุนอัญเชิญที่เกิดจากการสังเคราะห์จิตและมีวิญญาณเทียมของโฮมูนครูส ทำให้สามารถพัฒนาตัวเองผ่านการต่อสู้ได้ ซึ่งทุกตัวต่างก็เคยผ่านการต่อสู้กับนักผจญภัยหลากหลายระดับมาอย่างโชกโชนจนกลายเป็นมอนสเตอร์ระดับแปดในที่สุด ทำให้แม้จะถูกจำกัดอยู่ในร่างที่มีพลังเทียบเท่ามอนสเตอร์ระดับสี่แต่ชั้นเชิงในการต่อสู้รวมไปถึงทักษะต่าง ๆ ของพวกมันก็ยังคงเป็นมอนสเตอร์ระดับแปดอยู่ดี
ในระหว่างที่แนวหน้ากำลังปั่นป่วน หมาป่าทั้งสองก็ฉวยจังหวะนั้นพุ่งเข้าชนเหล่านักดาบอย่างแรงจนพวกเขากระเด็นหงายท้องลงไปกองกับพื้น ส่วนหมาป่าตัวที่สามคือเอเร่ก็กระโจนข้ามจุดปะทะแล้วมุ่งตรงมายังแนวป้องกันชั้นที่สองซึ่งมีนักดาบสองคนรออยู่ ทำให้พวกเขาต้องตั้งท่าเพื่อเตรียมรับมือ
เมื่อได้เห็นความสามารถของพวกหมาป่าที่เล่นงานจนแนวหน้าเสียกระบวนไปแล้ว สองนักดาบก็พอจะรู้ว่าหมาป่าพวกนี้สามารถเร่งความเร็วได้ในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ การโจมตีทั่วไปคงจัดการมันได้ยาก พวกเขาจำเป็นจะต้องจำกัดการเคลื่อนไหวของมันก่อนเพื่อให้แนวหลังสามารถโจมตีได้ ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรกันเพราะนั่นเป็นรูปแบบพื้นฐานในการรับมือศัตรูประเภทนี้ นักดาบทั้งสองจึงเริ่มดำเนินการเพื่อหาจังหวะให้เหล่านักเวทและนักธนูได้มีโอกาสโจมตี
นักดาบคนหนึ่งผนึกจิตต่อสู้ลงบนดาบก่อนจะตวัดดาบในมือเพื่อปลดปล่อยคลื่นพลังรูปจันทร์เสี้ยวเข้าใส่หมาป่าที่กำลังตรงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่เอเร่ก็สามารถโฉบตัวไปมาเพื่อหลบการโจมตีนั้นได้อย่างง่ายดาย
ทว่าการโจมตีนั้นมีเจตนาเพียงเพื่อบีบเส้นทางการวิ่งของเอเร่เท่านั้น เมื่อเห็นว่าสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของมันได้แล้วนักดาบอีกคนซึ่งตั้งท่ารออยู่ก็ฟาดดาบที่อัดแน่นไปด้วยจิตต่อสู้ของเขาลงกับพื้นดิน ทำให้เกิดคลื่นพลังแผ่พุ่งไปตามพื้นดินเป็นบริเวณกว้าง และมุ่งตรงไปยังเอเร่ที่กำลังวิ่งเข้ามา
เพราะถูกการโจมตีของนักดาบคนแรกดักเอาไว้ทั้งซ้ายและขวา ทำให้เอเร่จำเป็นต้องกระโจนขึ้นฟ้าเพื่อหลบการโจมตีบนพื้นดิน และนั่นก็เป็นสิ่งที่เหล่านักเวทและนักธนูได้เล็งเอาไว้แล้ว
“จังหวะนี้แหละ!”
“อื้ม!”
ทุกคนที่อยู่แนวหลังปลดปล่อยการโจมตีออกมาพร้อมกัน และเพื่อความมั่นใจว่าการโจมตีจะไม่พลาดเป้า พวกเขาจึงเลือกใช้ท่าโจมตีที่มีรัศมีทำลายเป็นบริเวณกว้างมากกว่าจะใช้ท่าโจมตีอันรุนแรง โดยนักเวททั้งสองใช้เวท ‘ไฟร์บอล’ ทำให้มีลูกไฟลูกใหญ่สองลูกพุ่งออกมาจากปลายไม้เท้าของพวกเขา ส่วนนักธนูอีกสองคนก็ใช้ท่าโจมตี ‘มัลติช็อต’ ทำให้ลูกธนูที่หลุดออกจากคันศรแปรสภาพกลายเป็นลูกธนูขนาดเล็กจำนวนมากโปรยปรายออกไปในทันที
“พวกนาย! ระวัง!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเตือนดังมาจากสองนักดาบในแนวหน้าที่เพิ่งจะยันตัวขึ้นมาได้ เหล่านักดาบที่อยู่แถวสองซึ่งถูกร้องเตือนจึงละความสนใจจากเอเร่ที่กำลังกระโจนขึ้นไปบนฟ้าและหันกลับลงมามองด้านล่างอีกครั้ง แต่นั่นก็ยังเป็นการกระทำที่ช้าเกินไป
เพราะหมาป่าอีกสองตัวคือเซอร์บี้และทาร์ท่าได้เข้ามาถึงตัวของพวกเขาแล้ว
ด้วยความตื่นตระหนก พวกเขาจึงตวัดดาบฟันออกไปตามสัญชาตญาณ แต่หมาป่าทั้งสองก็หลุบตัวลงหลบการโจมตีนั้นได้ และใช้จังหวะเดียวกันนั้นอ้าปากงับเข้าที่ข้อเท้าของทั้งคู่
แม้จะอยู่ในอาการตื่นตระหนก แต่นักดาบทั้งสองคนก็ยังตอบสนองต่อสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี พวกเขาเกร็งจิตต่อสู้ห่อหุ้มขาข้างที่กำลังจะถูกงับเอาไว้เพื่อต้านทานการโจมตีนี้ ทว่าสิ่งที่หมาป่าทั้งสองเล็งเอาไว้นั้นไม่ใช่การสร้างอาการบาดเจ็บให้กับพวกเขา
เมื่องับลงที่ข้อเท้าของนักดาบแต่ละคนได้แล้ว เหล่าหมาป่าก็สะบัดหัวขึ้นโดยใช้ความเร็วในการวิ่งเป็นตัวหนุนเสริม ทำให้สามารถเหวี่ยงร่างของนักดาบทั้งสองคนขึ้นไปบนฟ้าได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นตุ๊กตา
แม้จะเป็นการโจมตีในรูปแบบที่คาดไม่ถึง แต่สองนักดาบก็ยังตั้งสติได้ พวกเขารีบพลิกตัวกลางอากาศเพื่อให้กลับมาอยู่ในท่วงท่าสมดุลอีกครั้ง ทั้งคู่ตั้งดาบขวางขึ้นมาป้องกันการโจมตีต่อเนื่องพร้อมกับย่อเข่าเพื่อเตรียมลงพื้น แต่ทันใดนั้น พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าที่เบื้องหน้ายังมีหมาป่าอีกตัวหนึ่งลอยอยู่บนอากาศ ทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในความตะลึง
เพราะพวกเขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในเส้นทางการโจมตีของเหล่านักเวทและนักธนูในแนวหลังที่กำลังโจมตีมายังหมาป่าตัวนี้ และนี่คือเจตนาที่แท้จริงของหมาป่าทั้งสองที่เหวี่ยงร่างของพวกเขาขึ้นมา แต่มารู้ตอนนี้ก็สายเกินไปซะแล้ว
ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ขยับตัวทำอะไรอีก แสงสว่างวาบจากลูกไฟลูกใหญ่ก็ลามเลียเข้ามากระทบกับแผ่นหลังของทั้งคู่ ก่อนจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงตามมา ส่งผลให้ทั้งสองคนถูกห่อหุ้มไปด้วยกองไฟกองใหญ่ราวกับเป็นเมฆเพลิงในทันที
มีเพียงหมาป่าตัวที่สามที่พุ่งทะยานออกจากกองเพลิงนั้นมา และลงมาเหยียบพื้นโดยมีเปลวควันซึ่งเกิดจากการที่ปลายขนของมันถูกเปลวไฟโลมเลียไปเล็กน้อยคุกรุ่นอยู่ทั่วทั้งตัว แต่มันก็มุ่งหน้าเข้าหากลุ่มนักเวทและนักธนูในทันทีโดยไม่มีท่าทีว่าได้รับบาดเจ็บแต่อย่างไร ทั้งยังมีหมาป่าอีกสองตัววิ่งเข้ามาสมทบด้วย
สถานการณ์ที่พลิกผันอย่างต่อเนื่องและคาดไม่ถึงนั้นทำให้เหล่านักเรียนทุกคนล้วนตกอยู่ในความตื่นตระหนกและรับรู้ได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิดซะแล้ว
——————————————————————————-
Part 2
“อะไรกันเนี่ย!? เจ้าพวกนั้นมันเป็นสมุนอัญเชิญระดับสี่แน่เหรอ!?”
“พลังของพวกมันก็อยู่ระดับสี่นี่นา! แต่วิธีการต่อสู้แบบนั้นมัน… เพราะเป็นสมุนอัญเชิญงั้นเหรอ!?”
นักเวททั้งสองพยายามใช้เวท ‘อนาไลซ์’ เพื่ออ่านระดับพลังของเหล่าหมาป่าอัญเชิญอีกครั้ง แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม คือพวกมันมีพลังเทียบเท่ามอนสเตอร์ระดับสี่ แต่เห็นได้ชัดว่าทักษะในการต่อสู้ของพวกมันเหนือกว่ามอนสเตอร์ระดับสี่ไปมาก คำตอบที่สมเหตุผลที่สุดที่พวกเขาคิดได้คือมันเป็นสมุนอัญเชิญที่ได้รับการควบคุมโดยตรงจากผู้อัญเชิญ
ทว่าความจริงแล้วซาลไม่ได้ทำอะไรเลย เขาเพียงเฝ้าดูการต่อสู้อยู่เฉย ๆ และปล่อยให้สมุนทั้งสามดำเนินการต่อสู้ด้วยตัวเองเท่านั้น
นักธนูทั้งสองพยายามวางกับดักเพื่อสกัดกั้นการรุกคืบของฝูงหมาป่า ส่วนเหล่านักเวทก็คอยโจมตีก่อกวนไม่ให้พวกมันเข้ามาใกล้ในระหว่างที่พวกเขาพยายามถอยหนี แต่ก็ดูจะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก เพราะเหล่าหมาป่าสามารถหลบเลี่ยงกับดักและการโจมตีได้ทั้งหมด ระยะห่างของทั้งสองกลุ่มจึงแคบลงเรื่อย ๆ
นักดาบสองคนที่ถูกทิ้งอยู่ในแนวหน้ารู้ตัวว่าพวกเขาไม่สามารถไล่ตามหมาป่าพวกนั้นได้ทัน เพราะฝีเท้าของพวกมันย่อมเหนือกว่า แถมกลุ่มเพื่อนด้านหลังก็กำลังวิ่งหนีออกห่างจากพวกเขาไกลออกไปเรื่อย ๆ ด้วย แต่ทั้งสองคนก็รู้ได้ทันทีว่าควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้
นั่นก็คือการจัดการกับผู้อัญเชิญ
หากสามารถจัดการกับผู้อัญเชิญได้ เหล่าสมุนอัญเชิญก็จะหายไป ซึ่งตำแหน่งที่ซาลยืนอยู่นั้นใกล้กว่ากลุ่มแนวหลังที่กำลังถูกพวกหมาป่าวิ่งไล่ไปมาก นักดาบทั้งสองจึงตัดสินใจได้ทันทีและมุ่งตรงเข้าไปหาเขาโดยพร้อมเพรียงกัน
เมื่อเห็นสองนักดาบเปลี่ยนเป้าหมายไปยังซาล คุโระที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ จากหลังแนวไม้ก็จับจ้องการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างตาไม่กะพริบ
เคล็ดการฝึกที่ซาลถ่ายทอดให้กับเขานั้นทำให้คุโระสามารถพัฒนาตัวเองได้แบบก้าวกระโดด มันเปรียบเสมือนรากฐานอันมั่นคงซึ่งเกื้อหนุนให้พัฒนาการในด้านต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่สองสัปดาห์เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองมีความก้าวหน้าราวกับทำการฝึกอย่างหนักมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
หากคนที่ฝึกแค่ในระยะเวลาสั้น ๆ ยังมีความก้าวหน้าขนาดนี้ แล้วสำหรับซาลที่น่าจะฝึกฝนด้วยวิธีการนี้มาโดยตลอดล่ะ?
นั่นคือสิ่งที่ทำให้คุโระแทบจะไม่รู้สึกกังวลเลยแม้จะเห็นนักดาบสองคนพุ่งเข้าไปหาซาล เขาเพียงแต่จับจ้องการต่อสู้ด้วยความรู้สึกสนใจเท่านั้น
นักดาบที่ได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูไม่สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วนัก จึงคอยโจมตีเสริมในจังหวะสอง โดยมีนักดาบอีกคนที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์คอยเป็นแนวหน้าให้
เท่าที่พวกเขารู้ นักเวทอัญเชิญจะมีความสามารถในการต่อสู้ด้วยตัวเองไม่มากนัก หากต้องเผชิญการกดดันอย่างหนัก ทางเลือกของอีกฝ่ายก็มีแค่อัญเชิญสมุนตัวใหม่ออกมารับมือ หรือไม่ก็ต้องเรียกสมุนตัวเก่ากลับมาช่วย แต่การอัญเชิญสมุนระดับสี่ถึงสามตัวออกมาใช้ก็น่าจะเป็นขีดจำกัดที่เด็กอายุเท่านี้ควรจะทำได้แล้ว พวกเขาจึงคิดว่าการโจมตีครั้งนี้ควรจะบีบให้ซาลเรียกสมุนของเขากลับมาได้สัก 1-2 ตัว
แต่ทั้งสองคนก็คิดผิด เพราะแทนที่จะเรียกสมุนกลับมาช่วย ซาลกลับยืนนิ่งรอรับการโจมตีโดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับหนีไปไหนด้วยซ้ำ
ซาลจ้องมองคู่ต่อสู้ที่ตรงเข้ามาอย่างใจเย็น โดยยิ้มที่มุมปากเพียงเล็กน้อย นั่นทำให้นักดาบทั้งสองรู้สึกเหมือนกำลังถูกเหยียดหยามอยู่ จึงโถมเข้าไปโจมตีแบบสุดตัว
ความเร็วและกระบวนท่าของนักดาบทั้งสองนั้นจัดว่าไม่แย่ สมกับที่มีคนกล่าวว่าต่อให้เป็นนักเรียนห้อง E ซึ่งอยู่ระดับต่ำสุดของโรงเรียนอีจิสไพร์ม ระดับมีฝีมือก็อาจเหนือกว่านักผจญภัยทั่วไปที่อยู่รุ่นเดียวกันแล้ว
แต่สำหรับซาลที่ฝึกฝนการต่อสู้กับเหล่าขุนพลและสมุนอัญเชิญระดับสูงมาโดยตลอด ท่วงท่าและความเร็วเพียงเท่านี้ยังนับว่าห่างไกลกับการต่อสู้อย่างจริงจังนัก ทั้งรูปแบบการโจมตีและการเคลื่อนไหวของนักดาบทั้งสองต่างก็ถูกซาลอ่านการเคลื่อนไหวล่วงหน้าออกหมด เขาจึงสามารถรับมือได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคพิเศษหรือจิตต่อสู้ช่วยเสริมเลย
ซาลเบี่ยงตัวเพียงเล็กน้อยทำให้คมดาบของนักดาบคนแรกที่โจมตีเข้ามาตวัดเฉี่ยวใบหน้าของเขาไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร เขาไม่ได้ใช้การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วเพื่อหลบการโจมตีในชั่วพริบตาเหมือนกับเหล่าหมาป่าอัญเชิญ เพียงแค่อ่านการโจมตีล่วงหน้าแล้วทำการหลบออกจากวิถีของคมดาบเท่านั้น มันจึงดูเหมือนกับว่านักดาบคนแรกโจมตีพลาดไปเองหรือบังเอิญซาลขยับตัวไปทางอื่นพอดี ทั้งที่ความจริงมันเป็นสิ่งที่อยู่ในการคำนวณของเขาทุกอย่าง
ในจังหวะเดียวกับที่เบี่ยงตัวหลบการโจมตี ซาลก็สาวเท้าไปข้างหน้าทำให้เขาเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายได้ในชั่วอึดใจ ซึ่งไม่ทันที่ฝ่ายตรงข้ามจะผละตัวออก ซาลก็จิ้มนิ้วชี้กับนิ้วกลางลงที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาเพื่อปลดปล่อยเวทมนตร์ที่ร่ายรอไว้ออกมา
ทันใดนั้น ร่างของนักดาบคนแรกก็ถูกเหวี่ยงสะบัดไปทางด้านหลังอย่างแรงราวกับถูกท่อนซุงพุ่งเข้ากระแทก ทำให้ร่างกายของเขาลอยละลิ่วปลิวไปไกลนับสิบเมตร ก่อนจะตกลงมาครูดพื้นดินและนอนแน่นิ่งไป
นี่คือเวทสร้างแรงกระแทกด้วยการสั่นคลอนห้วงมิติของนักเวทสีเทาที่เขาเรียนมาจากโลริน
แม้ซาลจะยังไม่ค่อยชำนาญในการร่ายเวทนี้บวกกับเป็นการร่ายด้วยมือเปล่าทำให้ต้องใช้เวลาในการร่ายนานกว่าโลรินพอสมควร แต่เพราะนี่เป็นเวทที่เขาทำการร่ายเตรียมเอาไว้แล้วตั้งแต่ก่อนที่นักดาบทั้งสองจะเข้ามาประชิด ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้ทันที
นักดาบอีกคนได้แต่มองร่างของเพื่อนที่กระเด็นออกไปด้วยความตะลึง แต่เขาก็รีบรวบรวมสติและหันกลับมาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อีกครั้ง ทว่าทันทีที่หันกลับมา ซาลก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
“วะ.. ว๊ากกกก”
เพราะความตกใจบวกกับความกลัว เด็กหนุ่มจึงคำรามออกมาพร้อมกับเหวี่ยงดาบอย่างบ้าคลั่งเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายถอยห่างออกไป แต่ซาลก็สามารถหลบเลี่ยงคมดาบทั้งหมดนั้นได้อย่างง่ายดายด้วยการโยกตัวไปมาเพียงเล็กน้อย ราวกับไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย
เมื่อพบช่องโหว่ ซาลก็เอื้อมนิ้วเข้าไปแตะสัมผัสที่หน้าท้องของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทำให้นักดาบคนที่สองถูกแรงกระแทกจากการสั่นคลอนห้วงมิติอัดร่างจนลอยกระเด็นออกไปอีกคน
อีกด้านหนึ่ง กลุ่มนักเวทและนักธนูที่พยายามสู้พลางหนีพลางก็ไม่สามารถรอดคมเขี้ยวของหมาป่าทั้งสามไปได้ พวกเขาถูกหมาป่าของซาลกระโจนเข้าขย้ำ, ถูกเหยียบ, หรือถูกพุ่งชนจนสิ้นสภาพต่อสู้ไปทีละคน
ในเวลาเพียงครู่เดียว นักเรียนทั้งแปดคนต่างก็นอนทรุดอยู่กับพื้นในสภาพสะบักสะบอมโดยไม่มีใครสามารถลุกขึ้นมาได้อีก เป็นสัญญาณว่าการต่อสู้ครั้งนี้ได้สิ้นสุดลง
——————————————————————————–
Part 3
ซาลให้เหล่าหมาป่าคาบร่างอันไร้สติของนักเรียนทั้งแปดคนมาพักไว้ที่ด้านนอกของป่าสนธยาเพื่อไม่ให้พวกเขาได้รับอันตรายจากมอนสเตอร์ อีกทั้งยังช่วยร่ายเวทรักษาให้กับทุกคนด้วย ก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปในป่าอีกครั้งพร้อมกับคุโระ โดยมีหมาป่าทั้งสามเดินตามมา
คุโระที่ทั้งรู้สึกตื่นเต้นและดีใจพยายามเก็บอาการเอาไว้ตลอดเวลา เมื่อจัดการกับเรื่องยุ่งยากเรียบร้อยแล้วเขาจึงอดที่จะกล่าวชื่นชมและซักถามซาลเกี่ยวกับการต่อสู้นั้นไม่ได้
“คุณซาลารัสเนี่ยสุดยอดไปเลยนะครับ! อย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิดเลย! แถมสมุนอัญเชิญที่มีก็ยังแกร่งสุด ๆ อีกด้วย! แบบนี้อย่าว่าแต่แปดคนเลย ให้สิบคน ยี่สิบคน ก็ต้องสู้ได้สบายแน่ ๆ !”
“งั้นเหรอ.. ฮะฮะฮะ…”
แม้คุโระจะรู้สึกตื่นเต้นกับชัยชนะอย่างหมดจดของซาล แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้รู้สึกยินดีอะไรเลย เพราะเขารู้อยู่แล้วว่านักเรียนเหล่านี้ไม่อยู่ในระดับที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ การต่อสู้ในครั้งนี้จึงเหมือนกับเป็นการรังแกเด็กด้วยซ้ำ จนทำให้เขารู้สึกละอายอยู่เล็กน้อย
แต่ในเมื่อเด็กมาปีนเกลียว ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถ้าไม่ลงมืออบรมสั่งสอนซะบ้างก็เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ดีเหมือนกัน
นี่ไม่ใช่ว่าซาลคิดว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่เพราะประสบการณ์และความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากแปดขุนพลทำให้เขามักจะมองเด็กรุ่นเดียวกันว่ามีอาวุโสน้อยกว่าตนเองโดยไม่รู้ตัว แม้แต่ความคิดความอ่านและวุฒิภาวะของเขาก็ยังคาบเกี่ยวกันอยู่ระหว่างความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ เป็นผลข้างเคียงจากการถ่ายทอดความทรงจำและประสบการณ์ในลักษณะนี้
“คุณซาลารัสน่ะมีฝีมือขนาดนี้ ไม่เห็นจะต้องปกปิดตัวตนเลยนี่นา ความจริงแล้วนี่น่ะเป็นฝีมือที่เทียบเคียงกับพวกรุ่นพี่ปี 4-5 ได้เลยนะครับ! ถ้าแสดงความสามารถระดับนี้ให้ทุกคนเห็นละก็ รับรองว่าต้องไม่มีใครกล้าดูถูกหรือมาหาเรื่องคุณซาลารัสอีกแน่ ๆ !”
คุโระยังคงพูดชมเชยไม่หยุดปาก พลางคะยั้นคะยอให้ซาลแสดงความสามารถให้คนอื่นได้ประจักษ์ เพราะเขาไม่ชอบที่ทุกคนพูดจาไม่ดีกับซาล หรือชอบมองซาลอย่างดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งซาลก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี แต่นอกเหนือจากเรื่องที่ไม่อยากดึงดูดความสนใจของพีชคีปเปอร์แล้ว เขาก็ยังมีเหตุผลอื่นที่ทำให้ไม่อยากเปิดเผยฝีมืออยู่อีก
“การแสดงฝีมือหรือทำตัวโดดเด่นน่ะใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรอกนะ เมื่อเราขึ้นสู่ที่สูงย่อมต้องมีทั้งคนที่ชื่นชมยินดีและคนที่อิจฉาริษยา จริงอยู่ว่ามันอาจปรามคนที่ด้อยกว่าเราให้อยู่อย่างสงบเสงี่ยมได้ แต่มันก็แค่เปลี่ยนจากการคุกคามซึ่งหน้ามาเป็นการลอบทำร้ายเท่านั้นเอง ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีเลย โดยเฉพาะกับคนอย่างฉันด้วยแล้ว การแสดงฝีมือหรือดึงดูดความสนใจจะทำให้เกิดผลร้ายมากกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุโระก็มีสีหน้าที่เศร้าหมองลง เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ซาลต้องพบกับความยุ่งยากนี้
“นั่นเป็นเพราะผมสินะครับ… ถ้าไม่เพราะคุณซาลพยายามช่วยผมจนต้องถูกรังเกียจละก็…”
“เฮ้ ไม่ใช่เพราะนายหรอก ต่อให้ไม่มีเรื่องของนาย ฉันก็ยังคงเป็นลูกชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ซึ่งถูกรังเกียจอยู่ดี อีกอย่างคือเรื่องแบบนี้ไม่สำคัญหรอกว่าผู้คนจะมีอคติต่อนายมาก่อนรึไม่ เพราะโดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนแต่ต้องการความสำเร็จในชีวิต และธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมย่อมหลีกเลี่ยงการแข่งขันไปไม่พ้น การได้เห็นความสำเร็จของผู้อื่นหรือเห็นคนอื่นก้าวล้ำไปข้างหน้าน่ะจะทำให้เกิดความรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาในส่วนลึกของจิตใจ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะรับมือกับความรู้สึกนี้ได้อย่างเหมาะสม
บางคนอาจแปรเปลี่ยนมันเป็นแรงผลักดันให้ตนเองก้าวสูงขึ้นไปกว่าเดิมได้ แต่บางคนอาจมองว่ามันเป็นความอยุติธรรมที่ผู้อื่นพบกับความสำเร็จหรือความก้าวหน้า แทนที่จะผลักดันตนเองให้สูงขึ้นจึงพยายามฉุดรั้งผู้อื่นให้ต่ำลงมาแทนเพราะการทำแบบนั้นมันง่ายกว่าการปรับปรุงพัฒนาตนเอง แถมยังไม่ต้องยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ด้วย
นอกจากนี้การแสดงความสามารถที่เหนือกว่าออกมายังเป็นการแสดงอำนาจประเภทหนึ่งและทำให้ผู้อื่นรู้สึกเหมือนถูกคุกคามในทางอ้อมอีกด้วย แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดแบบนี้ แต่สำหรับหลายคนโดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบอยู่ใต้อำนาจของใครย่อมเกิดจิตปฏิปักษ์และเป็นอริกับเราได้ เท่ากับว่านี่เป็นการเพาะสร้างศัตรูขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นหากต้องการอยู่อย่างสงบก็ควรเก็บงำฝีมือเอาไว้ ไม่เปิดเผยความสามารถโดยไม่จำเป็น แบบนี้ถึงจะเป็นการดีที่สุด”
ระหว่างที่ฟังคำอธิบายของซาล คุโระก็พยักหน้าตามเป็นระยะ ๆ เพราะเขาก็พอจะเข้าใจแนวคิดนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เชิงจะเห็นด้วยไปซะทั้งหมด
“นั่นก็จริงอยู่นะครับ… แต่การเปิดเผยฝีมือก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีนี่นา คนที่ชื่นชมผู้มีฝีมืออย่างจริงใจและอยากคบค้าสมาคมด้วยก็มีอยู่มากมาย การสานสัมพันธ์หรือเข้ากลุ่มก็สามารถทำได้ง่าย หากมีผองเพื่อนรายล้อมก็เท่ากับเป็นขุมกำลังอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับที่คุณซาลช่วยให้ผมสามารถเข้ากลุ่มของฟาลโก้ได้ไงล่ะครับ ซึ่งเท่าที่ผมเห็น สถานะของคนที่มีความสามารถและเป็นแกนนำกลุ่มอย่างฟาลโก้ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียวนะครับ เพราะเขาคอยช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ทุกคนจึงพร้อมที่จะรวมพลังกันเพื่อช่วยเขาทั้งนั้น”
“ขีดเส้นใต้คำว่า ‘ช่วยเหลือคนอื่นเสมอ’ เอาไว้ เพราะนั่นคือเงื่อนไขสำคัญ หากแค่ทำตัวเด่นโดยไม่ช่วยเหลือหรือหยิบยื่นผลประโยชน์ให้กับคนอื่นละก็ คนอื่นก็จะไม่ช่วยเหลือหรือหยิบยื่นผลประโยชน์ให้กับเราเช่นกัน นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของโลก และการช่วยเหลือคนอื่นก็ไม่ใช่นิสัยของฉันซะด้วยสิ”
คำพูดนั้นของซาลทำให้คุโระต้องยิ้มออกมา ก่อนจะกล่าวคำพูดต่อ
“หุหุหุ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่คุณซาลก็ช่วยผมไว้นี่ครับ”
“นั่นมันไม่เหมือนกันหรอกน่า สำหรับนายน่ะถือว่าเป็นการช่วยเหลือตามโอกาส แต่เงื่อนไขของการเป็นที่ยอมรับน่ะคือการ ‘ช่วยเหลือคนอื่นเสมอ’ หรือก็คือต้องพยายามช่วยเหลือผู้อื่นตลอดเวลา เรื่องยุ่งยากแบบนั้นฉันไม่คิดจะทำหรอก”
นั่นเป็นเรื่องที่ต้องดูว่ามีผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่ด้วย แต่โดยพื้นฐานแล้วซาลก็เป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรจุกจิกอย่างการช่วยเหลือผู้อื่นทุกที่ทุกเวลาจริง ๆ เขาเลือกช่วยคุโระเพียงเพราะรู้สึกถูกชะตาและเห็นสมควรเท่านั้น คำพูดของเขาจึงไม่ใช่การถ่อมตัวอะไร แต่สำหรับคุโระแล้วยังไงก็มองว่าซาลแค่ไม่อยากจะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนดีมากกว่า
เพราะการสนทนาในประเด็นเดิมจบลง คุโระจึงหันความสนใจมายังเรื่องที่เขาอยากรู้มากที่สุดเป็นอันดับสองแทน ก็คือหมาป่าอัญเชิญสุดแกร่งของซาลนั่นเอง
“ว่าไปแล้วสมุนอัญเชิญของคุณซาลเนี่ยยอดเยี่ยมทุกตัวเลยนะครับ ดูภายนอกก็เหมือนกับ ‘ไดร์วูลฟ์’ (Dire Wolf, หมาป่าขนาดยักษ์) ธรรมดาแท้ ๆ แต่ความสามารถในการต่อสู้น่ะผิดกับมอนสเตอร์ทั่ว ๆ ไปเป็นคนละชั้นเลย ตัวไหนชื่ออะไรบ้างครับเนี่ย?”
เพราะหมาป่าทั้งสามเดินห้อมล้อมคุโระและซาลมาอย่างสนิทสนม คุโระจึงรู้สึกว่าพวกมันเชื่องมาก ๆ อันที่จริงพวกมันก็เป็นสมุนอัญเชิญอยู่แล้วด้วย เขาจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรต้องกังวลและเอื้อมมือออกไปเพื่อที่จะลูบหัวของหมาป่าตัวที่อยู่ใกล้ ๆ แต่ทันใดนั้นมันกลับหันมาจ้องเขาด้วยแววตาอันคมกริบพร้อมกับขยับปาก
“อย่ามาแตะ”
คุโระที่กำลังเอื้อมมือไปลูบหัวของหมาป่ากลับต้องชะงักอยู่อย่างนั้น เพราะมันหันมาจ้องมองเขาพร้อมทั้งพูดปรามด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว
สิ่งนี้ทำให้คุโระรู้สึกตกใจจนตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เขาค่อย ๆ หันไปหาซาลเพื่อฟังคำอธิบายในเรื่องนี้ ทว่าซาลก็ได้แต่เม้มปากแล้วหลบสายตาไปทางอื่นราวกับไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดีเหมือนกัน
ทุกอย่างกลับตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง จนมีแต่เพียงเสียงลมพัดผ่านแมกไม้ดังแว่วมา