Doombringer the 5th - ตอนที่ 118
Ch.118 – อีกด้านหนึ่งของเหรียญ
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 114
อีกด้านหนึ่งของเหรียญ
Part 1
ที่บริเวณชานเมืองของจูริสไพร์ม ห่างจากกำแพงเมืองชั้นนอกสุดมาราว ๆ หนึ่งกิโลเมตร เป็นที่ตั้งของเขตชุมชนอันเบาบางซึ่งมีบ้านขนาดกลางปลูกกระจายอยู่ทั่วไป
บ้านแต่ละหลังต่างก็มีบริเวณบ้านเป็นสนามหญ้าอันเขียวขจีที่ล้อมด้วยรั้วไม้เตี้ย ๆ สีขาวปลอด ตัวบ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวที่มีความสูงเพียงหนึ่งถึงสองชั้น ชุมชนอันเบาบางแห่งนี้จึงดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบ และให้ความรู้สึกสงบร่มรื่นแก่ผู้ที่ได้พบเห็น
นี่คือย่านพักอาศัยของเหล่าผู้มีฐานะแห่งจูริสไพร์ม เขตชุมชนแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ปลอดภัยซึ่งอยู่ระหว่างเมืองหลวงจูริสไพร์มและโรงเรียนอีจิสไพร์มทำให้มีอัตราภาษีที่ดินในระดับสูงลิ่ว และทางการก็ได้กันพื้นที่เอาไว้สำหรับเป็นย่านพักอาศัยเท่านั้น แต่เพราะเงื่อนไขที่ห้ามไม่ให้สร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ หรือบ้านที่มีความสูงเกินสองชั้นเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติเอาไว้ เหล่าชนชั้นสูงหรือผู้มีฐานะร่ำรวยที่ชอบอยู่ในคฤหาสน์ขนาดใหญ่มากกว่าจึงไม่ค่อยให้ความสนใจกับที่แบบนี้นัก
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เข้ามาซื้อหาและจับจองพื้นที่เพื่อตั้งรกรากที่นี่จึงเป็นพวกผู้มีฐานะระดับรองลงมา เช่นพวกพ่อค้าวานิช หรือทายาทของตระกูลเศรษฐีมากกว่า
ที่บริเวณสนามหญ้าของบ้านหลังหนึ่ง มีเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลอายุราว ๆ 5-6 ปี กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานอยู่กับสุนัขสีขาวตัวใหญ่ที่มีขนปุกปุยโดยไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย
ในเวลานั้นเองประตูด้านข้างของบ้านเปิดออกและมีหญิงสาวผมสีน้ำตาลผู้มีหน้าตางดงามเดินออกมา เธอมองดูการวิ่งเล่นของเด็กน้อยกับสุนัขของเธออยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล
“วาร่า เข้ามากินข้าวเช้าได้แล้วจ้ะ”
“ค่า~ คุณแม่”
เด็กน้อยหยุดการวิ่งเล่นของเธอในทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ ความจริงเธอรู้อยู่แล้วว่าแม่ของเธอกำลังมาตามให้ไปรับประทานอาหารเช้า จึงเตรียมตัวที่จะกลับเข้าบ้านตั้งแต่แรก แต่เพราะแม่ของเธอยังไม่เรียก เธอก็เลยถือโอกาสเล่นสนุกต่ออีกหน่อย เป็นความเจ้าเล่ห์แบบเด็ก ๆ ที่แฝงไว้ด้วยความน่ารัก
วาร่าเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับแม่ของเธอทางประตูด้านข้างของบ้านซึ่งเชื่อมต่อกับห้องรับประทานอาหารโดยตรง ที่นั่นมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์พลางจิบกาแฟไปด้วยรออยู่แล้ว
เขาเป็นชายหนุ่มอายุราว 30 กลาง ๆ มีใบหน้าเรียวรีและไว้หนวดเคราหรอมแหรม แถมยังมีผิวคล้ำเล็กน้อย เมื่อบวกกับเส้นผมสีดำที่ตัดจนสั้นเกรียนแล้วจึงทำให้รูปลักษณ์ของเขาดูเหมือนกับเป็นพวกนักเลงข้างถนนมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับการแต่งกายอันดูเรียบร้อยและภูมิฐานของเขาเป็นอย่างมาก
ชายคนนี้ก็คือวารัล วารันเด้ อาจารย์ผู้รับผิดชอบนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งของโรงเรียนอีจิสไพร์ม
ทันทีที่เข้ามาในห้องอาหาร เด็กหญิงก็วิ่งแจ้นขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ของตัวเองซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของวารัลและเริ่มลงมือรับประทานอาหารทันที มันเป็นอาหารเช้าไสตล์ยุโรปที่ประกอบไปด้วยไข่ดาว, แฮม, ฮอทด็อก, และถั่วลันเตาทอด
เพราะช่วงอกของเธอสูงพ้นขอบโต๊ะไปเพียงไม่มากทำให้เด็กน้อยต้องชูข้อศอกขึ้นจนเกือบจะตั้งฉากกับโต๊ะเพื่อตักอาหาร แต่นั่นก็ดูจะไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับเธอ เพราะเธอสามารถตักทุกอย่างเข้าปากจนแก้มป่องได้อย่างคล่องแคล่ว จนวารัลที่เหลือบไปมองก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ให้พ่อซื้อเก้าอี้ขาสูงให้ดีกว่ามั้ย? จะได้กินได้ถนัด ๆ ไงล่ะ”
วารัลเอ่ยถามลูกสาวของเขาด้วยสีหน้าและแววตาอันอ่อนโยน แต่เด็กสาวก็ตอบกลับมาทันควันทั้งที่ยังมีอาหารอยู่เกือบเต็มปาก ทำให้เธอพูดได้ไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่
“ไอ้เอาด้วยหรอก อั้นมันเก้าอี้เด็กนี่นา อีกเดี๋ยวนู๋ก็โตแล้ว!”
ท่าทางดื้อรั้นอันน่ารักน่าชังของลูกสาวทำให้วารัลและภรรยาได้แต่ยิ้มให้แก่กันด้วยความอ่อนใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาถาม แต่ทุกครั้งคำตอบของเด็กน้อยก็ยังเหมือนเดิม เพราะการใช้เก้าอี้ขาสูงนั้นทำให้วาร่าผู้อยากโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ รู้สึกพ่ายแพ้ เธอจึงยืนกรานที่จะไม่ยอมรับมันทุกครั้งไป
เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกทั้งความมุ่งมั่นนี้ยังเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม วารัลและภรรยาจึงไม่คิดจะดึงดันอะไรนัก ความจริงแต่ละครั้งที่ถาม พวกเขาก็รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังถามออกไปเพราะอยากดูปฏิกิริยาอันน่ารักของลูกสาวมากกว่า
“นี่ก็ใกล้จะสายแล้ว พ่อคงต้องไปก่อนล่ะ ตั้งใจเรียนด้วยนะ”
“ค่า~”
วารัลกล่าวลากับลูกสาวก่อนจะลุกจากโต๊ะอาหารและเดินตรงไปยังประตูหน้าบ้าน ซึ่งที่นั่นก็มีภรรยาแสนสวยของเขายืนรออยู่แล้ว
เธอสวมเสื้อนอกให้กับวารัล ก่อนจะหลับตาพริ้มเพื่อรอการจุมพิตเบา ๆ ที่แก้มจากอีกฝ่าย นี่เป็นการบอกลาก่อนออกไปทำงานที่คู่สามีภรรยาทำกันเป็นกิจวัตร
“ฉันไปก่อนนะ”
“ค่ะ ดูแลตัวเองดี ๆ นะคะ”
เมื่อร่ำลากันเสร็จแล้ว วารัลก็เปิดประตูออกจากบ้านไปและเริ่มเดินทาง
นี่คือครอบครัววารันเด้ ครอบครัวของวารัลซึ่งประกอบไปด้วยภรรยาผู้งดงามและลูกสาวแสนน่ารักของเขา
วารัลเป็นบุตรคนที่สามของตระกูลวารันเด้ซึ่งถือว่าเป็นตระกูลผู้มีฐานะตระกูลหนึ่งในอาณาจักรราวินคา ทวีปโดมินาเรีย แม้ในปัจจุบันความมั่งคั่งของตระกูลจะลดทอนลงไปมากก็ตาม
เพราะความที่เป็นลูกคนรวย วารัลจึงถูกเลี้ยงอย่างตามใจมาตั้งแต่เล็ก ในชีวิตของเขาแทบไม่เคยขาดอะไรเลย และการใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อก็แทบจะเป็นความเคยชินของเขาไปแล้ว
จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 25 ปี โลกของเขาก็แปรเปลี่ยนไป
เพราะกิจการของตระกูลอยู่ในภาวะถดถอย พ่อแม่ของเขาจึงตัดสินใจว่าเหล่าลูก ๆ จะต้องแยกตัวออกไปทำกิจการของตนเองเพื่อให้ตระกูลวารันเด้มีเครือข่ายการค้าที่กว้างขวางขึ้น ลูกทุกคนจะได้รับการจัดสรรเงินทุนก้อนหนึ่งให้ไปใช้ในการตั้งตัวและสร้างกิจการของตนเองขึ้นมาเมื่ออายุครบ 25 ปี พี่ ๆ ทั้งสองของเขาต่างก็ทำตามคำสั่งของพ่อแม่และแยกตัวออกไปตั้งกิจการของตนเองจนรุ่งเรืองแล้ว ทว่าวารัลที่เอาแต่เสพสุขโดยไม่เคยสนใจเรื่องการทำงานหรือธุรกิจเลยนั้นรู้ตัวดีว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะทำการค้าให้เงินทุนก้อนนี้งอกเงยขึ้นมาได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเบนเข็มไปที่เป้าหมายอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการรับใช้ทางการ
เพราะความที่เป็นคนเสเพลและออกเที่ยวเตร่มาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ทำให้วารัลรู้จักกับคนมากมาย โดยเฉพาะเหล่าทายาทของชนชั้นสูงหรือพวกขุนนางซึ่งเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวของเขา
วารัลใช้เส้นสายจากเพื่อนกลุ่มนี้ประกอบกับเงินทุนที่ได้รับการจัดสรรมาจากพ่อแม่ ทำการติดสินบนและหาช่องทางในการเข้าทำงานกับทางราชการ เพราะเขารู้ว่าการได้ทำงานในหน่วยงานราชการนั้นเป็นงานที่มั่นคง มีสวัสดิการดี แถมยังมีช่องทางอีกหลากหลายให้ทำการตักตวงผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ด้วย
แต่ด้วยการไม่ใช่คนที่มีความสามารถโดดเด่นอะไร บวกกับความเป็นคนรักสบายมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ตำแหน่งที่วารัลสามารถทำได้มีอยู่ไม่มาก เมื่อหักลบกับตำแหน่งที่เขาอยากทำแล้วมันก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนักผจญภัยของทางการ เพราะมันเป็นงานที่ง่ายในสายตาของเขา ทั้งมีคาบสอนเพียงสัปดาห์ละหนึ่งวัน และการเรียนการสอนก็ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก แต่ความจริงการเป็นอาจารย์นักผจญภัยมีอะไรต้องทำมากกว่านั้นอีกเยอะ เพียงแค่วารัลไม่สนใจจะทำและเลือกใช้วิธีที่ง่ายที่สุดเพื่อให้ตัวเองสบายที่สุดเท่านั้น
นอกจากเวลาว่างอันมากมาย (ที่ความจริงไม่ควรจะมี) แล้ว วารัลยังเล็งเห็นว่าอาจารย์ของโรงเรียนนักผจญภัยสามารถใช้สิทธิ์การเป็นอาจารย์ ทำการตักตวงผลประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนกับเหล่านักผจญภัยได้ เพราะอาจารย์ของโรงเรียนนักผจญภัยจะได้โควต้าและอภิสิทธิ์ในการใช้งานพื้นที่ดันเจี้ยนค่อนข้างสูง ซึ่งวารัลก็นำสิทธิ์เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้เพื่อหากำไรเข้าตัวเองได้มากมาย เป็นเรื่องที่เขารู้สึกชื่นชมตัวเองอยู่เหมือนกัน
นอกเหนือจากการจับจ่ายใช้สอยในเรื่องส่วนตัวแล้ว วารัลยังแบ่งเงินอีกส่วนหนึ่งไปใช้ในการคบหาผู้คน พินอบพิเทาผู้หลักผู้ใหญ่ และเพาะบ่มเส้นสายของตนเองขึ้นมา เขาใช้ตำแหน่งหน้าที่และเส้นสายในการหาเงิน และใช้เงินในการเพาะสร้างอิทธิพล จนในที่สุดเขาก็ได้เป็นคนในสังกัดของกลุ่มผู้มีอิทธิพลฝั่งโดมินาเรียที่มาขยายอำนาจในจูริสไพร์ม แถมยังเป็นสมาชิกระดับสูงสมาคมนักผจญภัยใต้ดินแห่งหนึ่งด้วย
ถึงจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่ร่ำรวยมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้เหมือนกับคนอื่น ๆ ในตระกูล แต่วารัลก็มีเงินมากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ดังที่ต้องการ เขาแต่งงานกับภรรยาแสนสวยและมีลูกสาวที่น่ารักด้วยกันหนึ่งคน ทั้งหมดอาศัยอยู่ในย่านชานเมืองอันร่มรื่นและสงบสุขของจูริสไพร์มซึ่งเป็นย่านพักอาศัยของผู้มีฐานะเท่านั้น มันเป็นชีวิตในฝันที่ใครเห็นก็คงอดที่จะอิจฉาไม่ได้
กลุ่มผู้มีอิทธิพลฝั่งโดมินาเรียที่วารัลทำงานให้นั้นเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรใหญ่ที่คิดจะเข้ามาครองอำนาจในจูริส พวกเขามีเส้นสายอยู่แม้แต่ในพีสคีปเปอร์ และพยายามผลักดันคนของโดมินาเรียขึ้นสู่ตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อปูทางให้กับการแผ่อิทธิพลในอนาคต การที่วารัลสามารถเข้ามาเป็นอาจารย์ในอีจิสไพร์มได้ก็เพราะมีผู้มีอิทธิพลขององค์กรซึ่งอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการให้ความช่วยเหลือ
แม้จะเป็นคนรักสบายและเลือกทางง่ายเข้าว่า แต่วารัลก็ยังเป็นคนทะเยอทะยานด้วยในเวลาเดียวกัน เขาหมายมั่นที่จะเข้าไปอยู่ในสาขาหลักขององค์กรให้ได้ในสักวันหนึ่ง เพื่อการนั้นวารัลจึงพยายามรวบรวมเงินมาใช้ในการวิ่งเต้นทุกวิถีทางเพื่อเลื่อนตำแหน่ง ทำให้หน้าที่การงานของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างดูจะไปด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ถูกร้องเรียน
การสอนแบบขอไปทีและการใช้สิทธิ์ความเป็นอาจารย์โดยมิชอบของเขาถูกร้องเรียนโดยนักเรียนกลุ่มหนึ่งในโรงเรียนไพรเวน โรงเรียนที่เขาสอนอยู่ก่อนหน้าที่จะย้ายมายังโรงเรียนอีจิสไพร์ม พฤติกรรมของเขาเป็นสิ่งที่เขาทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่นักเรียนกี่รุ่น ๆ ก็ไม่เคยมีใครคิดที่จะร้องเรียน อาจเพราะไม่อยากมีปัญหากับอาจารย์ หรือมองว่าทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ทุกคนจึงได้แต่ปิดปากเงียบ นั่นทำให้วารัลรู้สึกย่ามใจและทำมันต่อไปเรื่อย ๆ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นปัญหา
แต่ในที่สุดเขาก็ถูกร้องเรียนเข้าจริง ๆ ทั้งยังเป็นการแฉพฤติกรรมของเขาแบบหมดเปลือกอีกด้วย เรื่องนี้ทำให้วารัลรู้สึกโกรธมาก เพราะในความคิดของเขาความผิดเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะต้องถูกตอบโต้อย่างรุนแรงถึงขั้นยื่นเรื่องร้องเรียนเลย สอนแบบขอไปทีนักเรียนก็เรียนสบายดีไม่ใช่เหรอ? ให้นักผจญภัยมาช่วยเคลียร์ดันเจี้ยนแทนแล้วรอรับคะแนนก็สะดวกดีไม่ใช่รึไง? ในแง่หนึ่งวารัลมองว่าตนเองเป็นฝ่ายที่เอื้อเฟื้อประโยชน์ให้กับเหล่านักเรียนด้วยซ้ำ เขาจึงรู้สึกว่าเด็กพวกนี้ช่างเนรคุณซะจริง
ที่สำคัญคือเรื่องนี้ได้มาสั่นคลอนแผนการของเขา แม้ผู้ใหญ่ในแวดวงการศึกษาจะออกหน้าปกป้องและสั่งละเว้นการสอบสวนในเชิงลึกทำให้เขารอดพ้นวิกฤติมาได้ แต่วารัลก็ต้องเสียเครดิตกับทางผู้ใหญ่ทั้งยังถูกชะลอการเลื่อนขั้นเนื่องจากต้องรอให้เรื่องซาลงไปก่อนด้วย เขาจึงรู้สึกเจ็บใจและคิดแค้นนักเรียนกลุ่มนั้นมากเป็นพิเศษ
เขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำของเด็กนักเรียนเกือบทั้งห้อง การจะไล่เช็คบิลกับทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเด็กทั้งหมดก็จบจากโรงเรียนไปแล้วและตัวเขาเองก็ย้ายมาสอนที่จูริสไพร์มแล้วด้วย แต่เหมือนกับโชคเข้าข้างเพราะเขาพบว่าเด็กหัวขาวชื่อโระ ๆ อะไรสักอย่างที่เป็นหัวโจกในการร้องเรียนได้เข้ามาเรียนที่นี่ แถมยังอยู่ในห้องที่เขารับผิดชอบด้วย
ในใจของวารัลรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาก็มักจะเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมา เพราะในที่สุดเขาก็มีโอกาสแก้แค้นตัวการที่ทำให้เขาต้องพบกับความยุ่งยากและมาสั่นคลอนแผนการของเขาได้ วารัลคิดที่จะกดเด็กคนนี้ให้อยู่แต่ในห้อง E ให้นานที่สุด และบีบให้อีกฝ่ายต้องออกจากโรงเรียนไป หรือไม่เขาก็จะหาทางทำให้อีกฝ่ายต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียนเอง ซึ่งตอนนี้เขามีแผนการอยู่ในใจแล้ว
สิ่งที่ไม่คาดฝันอีกเรื่องก็คือ ทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ก็เข้ามาเรียนที่นี่และอยู่ในห้องเรียนของเขาด้วยเรื่องนี้สร้างความปลื้มปิติให้กับวารัลอย่างสุดจะบรรยายได้ สำหรับคนทั่วไปความเกลียดชังที่มีต่อทายาทของผู้สร้างหายนะอาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับวารัลมันมีเหตุผลที่ต่างออกไป
เพราะความถดถอยของตระกูลวารันเด้ มีสาเหตุมาจากผู้สร้างหายนะคนนี้
ที่ตระกูลวารันเด้มีรากฐานทางธุรกิจอันมั่นคงในราวินคาก็เพราะกิจการของตระกูลเป็นกิจการเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ทางทหารซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในช่วงหลายสิบปีก่อนการค้าขายยุทธภัณฑ์นับเป็นกิจการที่เฟื่องฟูมาก เนื่องจากทุกอาณาจักรต่างก็เน้นการสะสมกำลังทหารและขยายขนาดกองทัพ กลุ่มการค้าที่ทำกิจการด้านนี้จึงพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย ตระกูลวารันเด้ซึ่งเป็นผู้ค้ายุทธภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดของราวินคาจึงเป็นหนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย
แต่แล้วจู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ ‘จุติแห่งเทพสงคราม’ ขึ้นมา
เหตุการณ์นี้คือการที่กองทัพราวินคาเกือบสองแสนคนได้พ่ายแพ้ให้กับผู้สร้างสันติภาพของพีสคีปเปอร์เพียงคนเดียว เรื่องนี้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลกใหม่ เพราะทุกอาณาจักรต่างก็ตระหนักว่ากำลังทหารหรือกองทัพขนาดใหญ่ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป การเพาะเลี้ยงนักผจญภัยฝีมือสูงต่างหากถึงจะเป็นการสร้างแสนยานุภาพที่แท้จริง ทั้งยังเป็นทางเลือกที่ประหยัดงบประมาณมากกว่าด้วย ยุคสมัยแห่งการสะสมกำลังทหารจึงสิ้นสุดลง
แต่ละหัวเมืองต่างก็ปลดประจำการทหารเป็นจำนวนมากและเร่งนำยุทธภัณฑ์ในคลังแสงออกมาเทขาย ราคาของสินค้าประเภทนี้จึงดิ่งลงเหวภายในชั่วข้ามคืน กลุ่มการค้าที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการทหารจำนวนไม่น้อยจึงต้องประสบกับภาวะล้มละลาย แม้แต่ตระกูลวารันเด้เองก็เกือบจะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน โชคดีที่พวกเขายังมีกิจการด้านอื่น ๆ อยู่อีกบ้าง จึงพอจะประคับประคองธุรกิจต่อไปได้ แต่ทรัพย์สินที่เคยมีมากพอให้เสพสุขไปได้ชั่วลูกชั่วหลานก็มลายหายไปเกือบหมดสิ้นเช่นกัน
ด้วยความถดถอยของตระกูล นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง คนในตระกูลต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดมากขึ้น และเหล่าทายาทต้องแยกตัวออกไปทำกิจการของตนเองเมื่ออายุถึงเกณฑ์ ไม่มีใครที่สามารถเสพสุขจากความมั่งคั่งของตระกูลได้อีกต่อไป
นั่นคือสาเหตุให้วารัลรู้สึกเกลียดชังซารามอธ ผู้สร้างหายนะคนที่สี่เป็นพิเศษ เพราะเขาคือ ‘เทพสงคราม’ ที่มายุติยุคสมัยแห่งการสะสมกำลังทหาร และทำให้กิจการของตระกูลวารันเด้เกือบจะต้องล้มละลาย
วารัลโทษว่าการที่เขาไม่สามารถใช้ชีวิตอันสุขสบายได้อย่างที่ควรจะเป็นและต้องออกมาดิ้นรนแบบนี้เป็นเพราะซารามอธ เขาจึงมุ่งเป้าความเกลียดชังมาที่ซาลารัส บุตรชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ซึ่งเป็นนักเรียนในห้องของเขาด้วย
การได้พบกับลูกชายของผู้เป็นต้นตอแห่งความถดถอยของตระกูลพร้อมกับเด็กที่ทำการร้องเรียนเขาในเวลาเดียวกันแบบนี้ทำให้วารัลแอบแสยะยิ้มด้วยความพึงใจ เพราะเหมือนกับสวรรค์ช่วยส่งศัตรูคู่อาฆาตมาให้เขาได้แก้แค้นพร้อมกันถึงสองคนในเวลาเดียว ไม่มีอะไรจะทำให้เขารู้สึกพอใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว
เด็กทั้งสองคนจะต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียนไปอย่างอัปยศ และเขาจะทำทุกวิถีทางให้ไม่มีโรงเรียนไหนกล้ารับทั้งสองคนเข้าไปอีก นั่นคือความตั้งใจของวารัล
วารัลซึ่งนึกถึงเรื่องนี้ในขณะที่กำลังขี่ม้าเข้าไปยังตัวเมืองก็แสดงสีหน้าพึงใจออกมา ใช่ว่าเขาจะเอาแต่คิดถึงเรื่องของเด็กสองคนนี้ แต่เมื่อมีเรื่องนี้แวบเข้ามาในหัว เขาก็แทบจะอดใจรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหวแล้ว
ระหว่างนั้นเอง หนึ่งในแหวนสื่อสารของเขาก็เกิดการสั่นไหว ทำให้วารัลต้องนำมันออกมาจากช่องมิติเก็บของ และพบว่าผู้ที่ติดต่อมาก็คือแม่ของเขา
สิ่งนี้ทำให้วารัลรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติคนในตระกูลไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือพวกพี่ ๆ ของเขามักจะติดต่อมาในช่วงใกล้ ๆ กับวันหยุดเทศกาลเพื่อนัดแนะการพบปะรวมญาติเท่านั้น การติดต่อมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องปกติสักเท่าไหร่
เขาเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ก่อนจะสวมแหวนลงบนนิ้วและเปิดการสื่อสารเพื่อตอบรับอีกฝ่าย
“ครับ? มีอะไรเหรอครับแม่?”
“วารัลเหรอ? ยะ.. แย่แล้วล่ะ… คราวนี้บ้านเราต้องแย่แน่ ๆ ”
“หา?”
เจ้าของเสียงอันละล่ำละลักที่แฝงไปด้วยความร้อนรนนั้นคือแม่ของวารัล แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือสิ่งที่เธอพูดออกมา
เขาไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับบ้านของเขา ทำให้แม่ของเขาต้องอยู่ในอาการลนลานขนาดนี้ แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
——————————————————————————–
Part 2
หลังจากได้พังคำอธิบายโดยละเอียดจากแม่ของเขาแล้ว วารัลก็ได้แต่นิ่งอึ้งไปด้วยดวงตาเบิกค้าง
แม่ของเขาเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้พี่ชายทั้งสองของเขาต่างก็ถูกทางการจับกุมในข้อหาค้าขายสินค้าผิดกฎหมายและเลี่ยงภาษี เรื่องนี้ยังส่งผลต่อเนื่องมายังกิจการทางบ้านของเขาซึ่งเป็นสาขาหลักของกลุ่มการค้า เพราะต้องสงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในครั้งนี้ หรือถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินจากเครือข่ายทั้งสองแห่ง ด้วยเหตุนี้ทางการจึงทำการอายัตสินค้าและเงินในบัญชีทั้งหมดของกิจการเพื่อทำการตรวจสอบ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก
การค้าขายตามปกติจะต้องใช้เงินหมุนเวียนเป็นหลัก หากเงินในบัญชีถูกอายัต พวกเขาก็จะไม่สามารถจ่ายเงินค่าสินค้าที่สั่งซื้อมาล่วงหน้าได้และจะต้องถูกปรับเป็นเงินจำนวนมหาศาล หรือถูกยึดเงินมัดจำไป ซึ่งไม่ว่าทางไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นความเสียหายทั้งสิ้น
นอกจากนี้การไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้ในเวลาที่กำหนดก็ต้องมีการจ่ายค่าชดเชยด้วยเช่นกัน การขาดเงินทุนหมุนเวียนสำหรับใช้ในการขับเคลื่อนกิจการจึงถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก โดยเฉพาะกับกลุ่มการค้าขนาดใหญ่อย่างตระกูลวารันเด้ที่มักทำการซื้อขายล่วงหน้าเป็นเวลานับเดือน ทั้งสินค้าที่สั่งซื้อมาและสินค้าที่รอการส่งมอบมีเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ความเสียหายจากเรื่องนี้จึงยิ่งมากเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐนั้นอาจกินเวลาเป็นเดือน ๆ กว่าจะสามารถนำเงินมาใช้หมุนเวียนได้อีกครั้ง กิจการก็อาจล้มละลายไปแล้ว
วารัลรู้อยู่แล้วว่าพวกพี่ ๆ ของเขาไม่ได้ประกอบธุรกิจอย่างซื่อตรงอะไรนัก อันที่จริงเขามองว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ทำกันด้วยซ้ำ สำหรับการซิกแซกเพื่อขายสินค้าต้องห้ามหรือหลบเลี่ยงภาษี มันเป็นเทคนิกทางธุรกิจที่พบเห็นได้ทั่วไป และคนในแวดวงราชการก็มักมีส่วนรู้เห็นด้วย การตรวจสอบในเชิงลึกแบบนี้จึงเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เว้นแต่จะมีคนจงใจโจมตีกลุ่มการค้าเป็นการเฉพาะ ถึงกระนั้นการจะสืบสาวและหาหลักฐานในการกระทำความผิดก็ยังเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ อยู่ดี วารัลจึงคิดว่าเรื่องครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความสะเพร่าของเหล่าพี่ ๆ เองมากกว่า
แม้เงินในบัญชีหลักของกิจการถูกอายัตไป แต่แน่นอนว่าทั้งพ่อและแม่ของเขาก็ยังมีบัญชีส่วนตัวซุกซ่อนอยู่อีก ทว่าเงินในบัญชีเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถนำมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนให้กับกิจการขนาดใหญ่อย่างกลุ่มการค้าหลักของตระกูลได้นานนัก ด้วยเหตุนี้แม่ของวารัลจึงบากหน้าติดต่อมายังลูกชายคนเล็กเพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะในเวลานี้พวกเขาต้องการความช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่จะหาได้
“เข้าใจแล้วครับ… แม่ไม่ต้องห่วง ผมเองก็พอมีสมบัติเก็บอยู่บ้าง ถึงมันจะไม่มากนักแต่ก็น่าจะพอช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับทางนั้นได้สักระยะหนึ่ง เอาไว้ผมรวบรวมเงินได้แล้วจะรีบโอนไปให้นะครับ”
“จ้ะ… ขอบใจมากนะลูก…”
เสียงอันสั่นเครือของผู้เป็นแม่ที่แว่วมาจากแหวนสื่อสารก่อนจะตัดการติดต่อไปนั้นทำให้หัวใจของวารัลเกิดอาการกระตุกเล็กน้อยเพราะแม่คือหนึ่งในคนที่เขารักมากที่สุด ความจริงเขาก็ไม่ได้ใส่ใจความเป็นไปของกิจการทางบ้านมากนัก เพราะรู้สึกเหมือนกับตัวเองโดนตัดขาดมาตั้งแต่ตอนที่ให้ออกมาดิ้นรนด้วยตัวเองแล้ว แต่อย่างไรซะนั่นก็เป็นกิจการของพ่อและแม่ ที่สำคัญคือมันยังเป็นหลักประกันอีกอย่างหนึ่งของตัวเขาในกรณีที่เกิดประสบปัญหาหรือต้องพบกับความเดือดร้อนด้วย การให้ความช่วยเหลือเพื่อรักษามันไว้จึงเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องเสียเวลาลังเลเลย
วารัลรีบควบม้ามุ่งตรงไปยังตัวเมืองจูริสไพร์ม เพื่อเข้าไปยังที่ทำการสมาคมใต้ดินของเขาในทันที
ที่นั่นมีคลังสมบัติซึ่งใช้เก็บซ่อนทรัพย์สินของเขาอยู่ มันคือหินเวทมนตร์จำนวนมากที่ถูกเก็บเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ที่เลือกเก็บทรัพย์สินเอาไว้ในรูปของหินเวทมนตร์แบบนี้ก็เพราะมันเป็นวัตถุเวทมนตร์ที่มีมูลค่าสูง และราคาของมันก็ขยับตัวเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะเป็นแหล่งพลังงานบริสุทธิ์ที่มีความต้องการอยู่ตลอดเวลา สามารถนำออกมาขายเมื่อไหร่ก็ได้โดยมีกำไรแน่นอน ทั้งยังไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกตรวจสอบเหมือนกับเงินในบัญชีธนาคารด้วย วารัลจึงเก็บหินเวทมนตร์ที่เขาสะสมเอาไว้ในคลังของสมาคม
เพราะในเขตเมืองไม่อนุญาตให้ควบม้าด้วยความเร็วสูง วารัลจึงลงจากหลังม้าและวิ่งต่อไปด้วยฝีเท้าของตนเองแทน ซึ่งหลังจากผ่านสี่แยกหลายแห่งและลัดเลาะตามตรอกซอกซอยมาอีกพักหนึ่งแล้ว เขาก็มาถึงด้านหน้าของที่ทำการสมาคมใต้ดิน
ทว่าที่นั่นกลับกำลังมีผู้คนมากมายเข้ามามุงดูกันแน่นขนัด ราวกับกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น
วารัลพยายามแทรกตัวไปตามฝูงชนเพื่อเข้าไปดูว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกันแน่ และเมื่อเข้าไปจนถึงจุดที่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ถนัด เขาก็ต้องตกใจจนตาค้าง
เพราะที่ทำการสมาคมใต้ดินของเขากำลังถูกปิดล้อมโดยกลุ่มทหารและนักผจญภัยของทางการ ข้าวของในสมาคมถูกเคลื่อนย้ายออกมาขึ้นรถบรรทุก และคนในสมาคมยังถูกลำเลียงขึ้นรถในสภาพที่ถูกจับมัดมือไพล่หลังราวกับเป็นนักโทษด้วย
“เห็นว่านี่เป็น ‘สมาคมโจร’ (Thief Guild) ที่คอยรับทำภารกิจสกปรกและเรื่องผิดกฎหมายมานับไม่ถ้วนเลยล่ะ ทางการเพิ่งจะได้รับแจ้งและนำกำลังเข้ามากวาดล้างในวันนี้ ฉันก็ผ่านทางนี้บ่อย แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย นึกว่าเป็นสมาคมนักผจญภัยธรรมดา ๆ ซะอีก”
“ไม่ใช่ว่านี่เป็น ‘สมาคมใต้ดิน’ (Dark Guild) หรอกรึ? แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากนักหรอกนะ ไม่ว่าจะอันไหนมันก็เป็นสมาคมเถื่อนที่รับทำเรื่องเลว ๆ เหมือนกันนั่นแหละ เห็นว่าสมาคมนี้กักตุนของผิดกฎหมายเอาไว้เพียบเลยนี่นา… เฮ้ย! ดูนั่นสิ! มีกระทั่งมอนสเตอร์ด้วย!”
ชาวเมืองที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์อยู่ต่างก็ตกตะลึงและแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ของทางการลำเลียงกรงที่มีมอนสเตอร์ถูกขังอยู่ภายในออกมาจากตัวอาคาร
มันก็คือบาร์คสกินพูม่านั่นเอง
เพราะเป็นชาวราวินคา วารัลจึงเป็นคนที่มีผิวคล้ำมาแต่กำเนิด ทว่าตอนนี้ใบหน้าของเขากลับขาวซีดจนดูเหมือนกับชาวจูริสจริง ๆ ไปแล้ว
วารัลรีบแทรกตัวออกจากฝูงชนและมุ่งออกห่างจากสมาคมที่กำลังถูกกวาดล้างในทันที สีหน้าอันตื่นตระหนกของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผุดขึ้นมา ทั้งที่อากาศในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ออกจะเย็นสบาย ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ สมาคมใต้ดินของเขาถึงถูกทางการเข้ามากวาดล้างได้
สมาคมแห่งนี้มีสายสัมพันธ์อันดีกับเหล่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ความจริงคือมันเป็นสมาคมที่มีหัวหน้าหน่วยสันติบาลประจำท้องที่ให้การสนับสนุนอยู่ด้วยซ้ำ คนผู้นั้นยังอยู่ในกลุ่มเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวของวารัลอีกด้วย การที่จู่ ๆ สมาคมจะถูกตรวจค้นและกวาดล้างโดยไม่มีการแจ้งเตือนแบบนี้จึงไม่น่าเกิดขึ้นได้เลย
เมื่อออกห่างมาจากฝูงชนและอยู่ในที่ลับตาคนแล้ว วารัลก็นำแหวนสื่อสารออกมาเพื่อทำการติดต่อไปยังเพื่อนคนนั้นทันที แต่พยายามติดต่อเท่าไหร่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ เขาจึงลองติดต่อไปยังเพื่อนคนอื่น ๆ ที่อยู่ในแวดวงราชการดู ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อกับใครได้เลย ทำให้วารัลยิ่งรู้สึกร้อนใจมากขึ้นอีก
การที่สมาคมของเขาถูกกวาดล้างและเพื่อนพ้องของเขาทั้งหมดจะมาขาดการติดต่อไปแบบนี้ดูไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญเลย แวบหนึ่งเขาแอบคิดว่าตนเองกำลังถูกทรยศจากกลุ่มเพื่อนแต่ทบทวนดูยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี เพราะฐานะของเขาในตอนนี้อยู่ในระดับที่เป็นฝ่ายช่วยเหลือจุนเจือคนอื่น ๆ มากกว่า การทรยศหรือตัดหางเขาจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนเสียประโยชน์มากกว่าได้ และการที่ทุกคนจะมาหักหลังเขาพร้อม ๆ กันก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมสำคัญกว่า วารัลไม่แน่ใจว่าคนในสมาคมจะคายความลับออกไปมากแค่ไหนและจะมีคำให้การหรือหลักฐานที่เชื่อมโยงมายังเขาหรือไม่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของบาร์คสกินพูม่าที่ถูกค้นพบจากในสมาคม วารัลจึงรีบมุ่งหน้าตรงไปยังตัวเมืองชั้นในซึ่งเป็นเขตพื้นที่ของอาคารราชการ เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ที่สุดของเขา ก็คือปลัดกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบันของจูริสไพร์ม ซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายโดมินาเรีย
แม้จะต้องลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของผู้คน แต่วารัลก็สามารถเข้าไปถึงย่านอาคารราชการได้ภายในเวลาไม่นานนัก ทว่าทันทีที่เขาไปถึงหน้ากระทรวงศึกษาธิการ เขาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
เพราะที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการก็มีกองทหารและนักผจญภัยของทางการมายืนล้อมกันเต็มไปหมด และที่บันไดด้านหน้าของอาคารก็มีคนกำลังถูกทหารคุมตัวออกมา
เขาก็คือปลัดกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบันของจูริสไพร์มนั่นเอง
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้วารัลตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบทำให้ได้แต่ยืนนิ่งไป จนกระทั่งมีคนมาเขย่าที่ไหล่ของเขาเบา ๆ พร้อมเอ่ยทักเขาด้วยเสียงอันแผ่วเบาที่เหมือนกับการกระซิบ
“วารัล! นายมาทำอะไรที่นี่!?”
เมื่อหันไปยังต้นเสียง วารัลก็พบว่าคนที่มาทักเขาก็คือคนรู้จักซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที คนผู้นี้เป็นพนักงานราชการเหมือนกัน แต่เพราะไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตอะไรวารัลจึงไม่เคยสนใจที่จะสนิทชิดเชื้อด้วย ทว่าทั้งสองก็เคยเห็นหน้ากันมาบ้างผ่านการสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อนซึ่งวารัลคบหาด้วย
เพราะจำชื่อของอีกฝ่ายไม่ได้ (ความจริงคือไม่เคยสนใจที่จะจำ) วารัลจึงได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ และถามคำถามโดยเลี่ยงการเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายออกไป
“นะ.. นาย…. คือว่า… นี่มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“นายยังไม่รู้เรื่องงั้นเหรอ? มิน่าล่ะ… คือตอนนี้น่ะดูเหมือนว่าขั้วอำนาจต่าง ๆ ในจูริสไพร์มกำลังงัดข้อกันอย่างหนัก ลือกันว่ากลุ่มอิทธิพลฝ่ายจูริสหรือฝ่ายเทอร่า หรือบางทีอาจเป็นการร่วมมือกันของทั้งสองฝ่าย กำลังพยายามลิดรอนอำนาจของกลุ่มอิทธิพลฝ่ายโดมินาเรียอยู่ แค่วันนี้วันเดียวน่ะคนในสังกัดของท่านปลัดกระทรวงก็โดนทหารบุกคุมตัวไปเกือบหมดแล้ว กลุ่มเพื่อน ๆ ของเราน่ะโดนกันเกือบหมดทุกคนเลย ถึงงั้นก็เถอะ ฉันไม่นึกเลยว่าแม้แต่ท่านปลัดกระทรวงก็ยังโดนกับเขาด้วย”
“ทะ.. ทุกคนเลยเหรอ!? แม้แต่ท่านปลัดกระทรวงก็ด้วย!? แต่ว่าข้อหาอะไรกันล่ะ?”
“นับไม่ถ้วนเลยล่ะ! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยอย่างการบกพร่องต่อหน้าที่ ไปจนถึงการรับสินบนและใช้อำนาจโดยมิชอบ ทั้งหมดต่างก็ถูกระบุเอาไว้ในหมายจับที่พวกทหารนำมาทั้งสิ้น ราวกับว่าพวกเขาถูกสายลับของขั้วอำนาจอื่น ๆ จับตาดูและรวบรวมความผิดเอาไว้เป็นเวลานานแล้ว และความผิดเหล่านั้นก็ถูกนำมาใช้ในคราวเดียว เรียกว่านี่อาจเป็นจุดสิ้นสุดของกลุ่มอิทธิพลฝั่งโดมินาเรียในแวดวงการศึกษาแล้วก็ได้ นายเองก็เป็นคนในสังกัดของท่านปลัดกระทรวงด้วยนี่นา! ถึงจะเป็นแค่อาจารย์ของโรงเรียนอีจิสไพร์มก็เถอะ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะรอดหรอก ทางที่ดีก็เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้เถอะ!”
วารัลยังรู้สึกตกตะลึงกับคำพูดของอีกฝ่ายไม่หาย เขาหันมองไปยังด้านหน้าของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งปลัดกระทรวงกำลังถูกคุมตัวขึ้นรถม้าไป สีหน้าของเขาเหมือนกับยังไม่เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นเรื่องจริง และเขาก็ไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นความจริงด้วย
ไม่ว่าจะเป็นคราวเคราะห์ที่ครอบครัวของเขาในราวินคากำลังเผชิญอยู่, เหล่าผองเพื่อนในวงการที่ถูกจับกุมตัวไปจนหมด, แม้แต่ผู้หนุนหลังรายใหญ่ที่สุดที่เขารู้จักอย่างท่านปลัดกระทรวงก็ยังติดอยู่ในร่างแหแห่งความหายนะนี้ด้วย
สำหรับวารัลแล้ว นี่มันเหมือนกับท้องฟ้ากำลังถล่มลงมาทับร่างของเขาชัด ๆ
ในตอนแรกเขาคิดว่าเรื่องร้าย ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ตัวเขา แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของเพื่อนที่เขาจำชื่อไม่ได้คนนี้ วารัลก็ตระหนักว่าจริง ๆ แล้วเป้าหมายของอีกฝ่ายคือกลุ่มอิทธิพลที่เขาสังกัดอยู่ และตัวเขาเองกำลังจะติดร่างแหไปด้วย
สำหรับวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นกับทางครอบครัวนั้นเป็นอะไรที่ดูประจวบเหมาะเกินไปหน่อย แต่ความซวยมันก็เกิดขึ้นได้ และเขาก็ไม่มีเวลาจะมัวมาคิดอะไรให้ยุ่งยาก เพราะการเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์นี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด วารัลจึงรีบหันหลังกลับและมุ่งหน้าออกจากเมืองไปในทันทีโดยไม่ได้หันมากล่าวคำอำลากับสหายผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย
แม้ในเมืองจะยังไม่มีการกักบริเวณหรือตรวจตราผู้คนเป็นการพิเศษ แต่เพื่อความไม่ประมาท วารัลจึงใช้เส้นทางลับใต้ดินเพื่อออกมาจากเมือง และขี่ม้ามุ่งตรงกลับไปยังบ้านของเขาในทันที
ระหว่างที่ควบม้าอยู่นั้น เขาก็พยายามติดต่อกับภรรยาด้วยแหวนสื่อสาร แต่ก็ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่ายเลย ทำให้วารัลยิ่งรู้สึกร้อนรนมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ที่บ้านจะมีคนของทางการมารออยู่แล้วรึไม่ แต่ยังไงก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหากมีทหารบุกมาที่บ้านจริง ๆ เขาก็ยิ่งต้องไปแสดงตัวและเข้ารับการจับกุมเพื่อไม่ให้ลาเนีย ภรรยาสุดที่รักของเขาต้องมาติดร่างแหไปด้วย
เมื่อควบม้ามาจนถึงเขตชานเมืองและเห็นบ้านของเขาปรากฏเข้ามาในระยะสายตา วารัลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะบริเวณโดยรอบยังคงดูเงียบสงบ ไม่มีกลุ่มคนหรือกองทหารเข้ามาทำการปิดล้อมอย่างที่เขากังวล แต่บริเวณหน้าบ้านก็มีรถม้าคันหนึ่งถูกจอดทิ้งไว้ ทำให้เขารู้สึกสงสัยว่าใครกันนะที่เดินทางมาหาเขาในเวลาแบบนี้
ทว่าเมื่อควบมาเข้ามาจนใกล้จะถึงบริเวณบ้าน วารัลก็พบว่านั่นไม่ใช่รถม้าของคนนอก แต่เป็นรถม้ารับจ้างที่เขาและภรรยามักจะเรียกใช้งานอยู่เป็นประจำในกรณีที่ต้องเดินทางไกลนั่นเอง ซึ่งลาเนีย ภรรยาของเขา ก็กำลังหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางมากมายและนำมันขึ้นไปไว้บนรถ เหมือนกับกำลังจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง
รึว่าภรรยาของเขาจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว จึงเร่งเตรียมการเดินทางเพื่อลี้ภัยไปอยู่ที่อื่น? นี่เป็นความคิดที่แวบเข้ามาในหัวของวารัล แต่เขาก็สลัดมันทิ้งไปในทันที เพราะขนาดคนที่เข้าไปในเมืองอย่างเขายังเพิ่งจะรู้เรื่องนี้ แล้วภรรยาที่อยู่แต่ในบ้านของเขาจะรู้ข่าวสารมากกว่าตัวเขาได้อย่างไรกัน
อย่างไรก็ตาม การที่ลาเนียเตรียมการเดินทางล่วงหน้าก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะแบบนี้เขาจะได้พาทุกคนลี้ภัยไปที่อื่นเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อน
ทันทีที่ไปถึงหน้าบ้าน วารัลก็กระโดดลงจากหลังม้า แล้วรีบเดินตรงเข้าไปพูดกับลาเนียในทันที
“เตรียมรถม้าเอาไว้ก็ดีแล้ว! พวกเราต้องรีบไปจากที่นี่! เอาของที่จำเป็นมาหมดแล้วใช่มั้ย!?”
ลาเนียไม่ได้ตอบคำถามของวารัล เธอเพียงแต่มองดูเขาด้วยสายตาอันเย็นชาที่เหมือนจะแฝงความเหยียดหยามอยู่ภายในนั้น ส่วนวาร่า ลูกสาวของทั้งสองก็เอาแต่กอดขาของผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้าที่ดูเศร้าหมองและเต็มไปด้วยความกังวล ข้าง ๆ เธอยังมีสุนัขตัวใหญ่ที่มีขนสีขาวปุกปุยอีกตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ใกล้ ๆ ด้วยท่าทีหงอยเหงาเช่นกัน
วารัลไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทุกคนถึงได้มีท่าทีแปลก ๆ ไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยถาม ลาเนียก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำพูดขึ้นมา แต่เธอไม่ได้หันมาพูดกับเขา เธอเพียงแค่ออกคำสั่งกับลูกสาวของเธอเท่านั้น
“พาแชพเพิร์ดขึ้นไปรอบนรถก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะตามไป…”
วาร่าทำตามที่แม่ของเธอบอกอย่างว่าง่าย เธอเดินไปขึ้นรถม้าโดยมีสุนัขสีขาวตัวนั้นเดินตามขึ้นไปด้วย ส่วนลาเนียก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่เดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างเงียบงัน ทำให้วารัลที่ทั้งรู้สึกร้อนรนและประหลาดใจได้แต่เดินตามไปอย่างเร่งรีบ
ทันทีที่เข้ามาในบ้าน วารัลก็เอ่ยปากเร่งฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง
“เราจะมัวมาเสียเวลาอยู่ไม่ได้แล้วนะ พวกเราต้องรีบ…”
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ก็มีเสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังก้องไปทั่วห้อง พร้อม ๆ กับใบหน้าของวารัลที่สะบัดไปทางอื่น
เพราะเขาถูกภรรยาหันมาตบอย่างเต็มแรงนั่นเอง
วารัลที่ยังตกอยู่ในความงุนงงยกมือขึ้นมาลูบคลำใบหน้าที่รู้สึกชาไปครึ่งซีกของตนเอง พลางค่อย ๆ หันกลับมามองภรรยาของเขาอย่างช้า ๆ ตอนนี้เธอกำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่มีทั้งความโกรธและความเกลียดชังคุกรุ่นอยู่ภายใน แต่ที่บริเวณหางตาก็เริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นออกมาด้วย ทำให้วารัลยิ่งรู้สึกสับสนขึ้นไปอีก
“นี่มัน… ทำไม?”
“ยังจะถามอีกเหรอ? ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว!”
ลาเนียตวาดด้วยน้ำเสียงอันโกรธเกรี้ยวพลางคว้าซองเอกสารซองหนึ่งจากบนโต๊ะมาขว้างลงไปบนพื้นอย่างเต็มแรง ทำให้เอกสารที่อยู่ภายในแผ่กระจายออกมาเต็มพื้นไปหมด
ทว่าสิ่งที่อยู่แผ่กระจายออกมาจากซองกลับไม่ใช่เอกสาร แต่เป็นภาพถ่าย
มันเป็นภาพถ่ายของวารัลกับผู้หญิงมากหน้าหลายตาในอิริยาบถต่าง ๆ ตั้งแต่การกุมมือ, หอมแก้ม, จูบปาก, ไปจนถึงกิจกรรมบนเตียง ซึ่งประเภทหลังสุดนี้ดูจะมีเยอะเป็นพิเศษ
เมื่อได้เห็นภาพเหล่านั้น วารัลก็ถึงกับหน้าถอดสี เพราะเขารู้ตัวดีว่าทั้งหมดนี้คือผู้หญิงที่เขาเคยแอบไปข้องแวะด้วย ความจริงแล้วภาพเหล่านี้กว่าครึ่งต่างก็เป็นภาพที่เขาถ่ายเก็บไว้เองเพื่อเป็น ‘เหรียญรางวัล’ เอาไว้ชื่นชมว่าเคยพิชิตหญิงสาวเหล่านี้ได้
ผู้หญิงที่อยู่ในรูป ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกสาวนั่งดริ๊งค์หรือสาวนักเที่ยวตามแหล่งบันเทิงที่เขาไปสังสรรค์กับเพื่อน บางคนก็เป็นเมียเก็บที่เขาเลี้ยงเอาไว้ และบางคนก็เป็นผู้หญิงทั่ว ๆ ไป ซึ่งในจำนวนนี้มีคนที่เป็นภรรยาของเพื่อนรวมอยู่ด้วย
ความจริงลาเนียก็ไม่ใช่ผู้หญิงหัวโบราณอะไร เธอพอรับได้หากสามีจะไปหาเศษหาเลยบ้าง ถึงกระนั้นเธอก็ไม่คิดว่าวารัลจะแอบไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากมายขนาดนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ลาเนียรู้สึกเจ็บปวดและรับไม่ได้ที่สุดก็คือหนึ่งในนั้นเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเธอเอง
น้องสาวของเธอ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของวารัล กลับแอบลักลอบมีสัมพันธ์กับพี่เขยของตัวเอง
เธอไม่สนใจว่ารายละเอียดของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เธอรู้แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะทั้งสองคนต่างก็เป็นคนที่เธอรักที่สุด แต่วันนี้ทั้งคู่กลับทรยศต่อความรักและความเชื่อใจของเธอ มันเป็นสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้
วารัลยังคงได้แต่จ้องมองภาพถ่ายจำนวนมากที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าราวกับซากศพที่ตาเบิกโพลง เขาไม่รู้ว่าจะควรจะแก้ตัวอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้ ประกอบกับยังมีปัญหาอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ให้ต้องขบคิดอีก ทำให้ภายในหัวของเขานั้นเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
ลาเนียเองก็ไม่ได้คิดจะฟังคำแก้ตัวใด ๆ ของวารัลอยู่แล้ว เธอปาดเช็ดน้ำตาที่เปรอะอยู่บนใบหน้าออก ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ โดยไม่ได้เหลียวมองอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“เอกสารการหย่าวางอยู่บนโต๊ะ ฉันเซ็นชื่อเรียบร้อยแล้ว คุณเองก็จัดการเซ็นชื่อให้เรียบร้อยซะ นับแต่วันนี้ถือว่าเราสองคนจบสิ้นกัน และคุณไม่ต้องมาให้ฉันกับลูกเห็นหน้าอีก”
ทันทีที่พูดจบ ลาเนียก็เดินออกจากประตูไป โดยทิ้งวารัลที่ยังคงตะลึงงันเอาไว้เพียงลำพัง
เป็นเวลาครู่หนึ่งกว่าวารัลจะเรียกสติกลับคืนมาได้ เขาจึงรีบเปิดประตูเพื่อไล่ตามอีกฝ่ายไป แต่รถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัวออกไปแล้ว โดยมีวาร่า ลูกสาวของเขากำลังเกาะกระจกด้านหลังและจ้องมองมาด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย
“ดะ.. เดี๋ยวก่อนสิลาเนีย! กลับมาก่อน!”
ไม่ว่าจะตะโกนเรียกเท่าไหร่รถม้าก็ไม่ชะลอความเร็วลง วารัลจึงตรงไปที่ม้าของเขาเพื่อจะใช้มันไล่ตามอีกฝ่ายไป ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะวิ่งไปถึง ก็มีขบวนม้ากลุ่มใหญ่ควบมาถึงหน้าบ้านของเขา และกระจายตัวออกเพื่อทำการปิดล้อมพื้นที่ทันที
ผู้ที่นำขบวนม้ากลุ่มนี้มาเป็นนายทหารที่สวมชุดเกราะสีเงินแวววับทับลงบนชุดทางการซึ่งมีตรารูปคันชั่งของกระทรวงยุติธรรมประดับอยู่ ด้านข้างของเขายังมีนักผจญภัยอีกสองคนขี่ม้าประกบราวกับเป็นผู้คุ้มกันหรือเป็นทหารคนสนิทที่พร้อมจะรับคำสั่งได้ทุกเมื่อ แต่นายทหารคนนั้นก็เคลื่อนม้าขึ้นหน้ามาด้วยตนเองก่อนจะนำเอกสารฉบับหนึ่งออกมาอ่านให้วารัลฟังด้วยเสียงอันดังกังวาน
“วารัล วารันเด้ เราขอจับกุมคุณด้วยข้อหาซ่องโจร, ทำธุรกิจผิดกฎหมาย, เปิดสมาคมเถื่อน, ทำผิดกฎข้อบังคับของสมาคมนักผจญภัย, และใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ จงยอมรับการจับกุมแล้วตามเราไปแต่โดยดี”
เมื่อได้ยินคำแจ้งข้อกล่าวหา วารัลก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงในร่างกายได้เหือดหายไปจนหมดสิ้น ทำให้เขาทรุดลงกับพื้นเพราะแข้งขาที่ไร้เรี่ยวแรงนั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะพยุงร่างกายได้อีก ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและความรู้สึกเจ็บปวด เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและถาโถมกันเข้ามาอย่างไม่มีหยุดพักราวกับเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้น แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาจริง ๆ
“อะ… อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
วารัลแผดเสียงร้องออกมาราวกับคนที่เสียสติ เหล่าทหารที่มาจับกุมตัวเขาต่างก็จ้องมองปฏิกิริยานี้ด้วยสีหน้าอันเรียบเฉยเพราะนี่เป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปสำหรับคนร้ายที่จนมุมและรู้สึกสิ้นหวังจนเกิดอาการคลุ้มคลั่ง
แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าความเจ็บปวดของวารัลนั้นล้ำลึกและซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคิดหลายเท่าตัวนัก
เพราะในวันนี้ทั้งรากฐานของตระกูล, ทรัพย์สิน, เส้นสายในวงราชการที่สั่งสมมา, หน้าที่การงาน, และแม้แต่ครอบครัวของเขา ต่างก็สลายกลายเป็นอากาศธาตุไป ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
——————————————————————————–
Part 3
ที่บริเวณเนินเขาริมชายป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเขตชุมชนของผู้มีฐานะไปไม่ไกลนัก
หญิงสาวสองคนกำลังมองดูสภาพอันน่าอเนจอนาถของวารัลผ่านทางหน้าจอสอดแนม
หญิงสาวคนหนึ่งมีเส้นผมสีดำแต่สวมชุดสูทสีขาว ส่วนอีกคนมีเส้นผมสีขาวแต่กลับสวมชุดสูทสีดำ ทั้งคู่มีใบหน้าอันงดงามเปล่งปลั่งและเหมือนกันแทบจะทุกระเบียดนิ้ว แต่สีหน้าที่ทั้งคู่แสดงออกกลับแตกต่างกันมาก หญิงสาวผมขาวมีสีหน้าเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความรู้สึกลำบากใจ ส่วนหญิงสาวผมดำกลับมีรอยยิ้มที่ดูเย้ยหยันปรากฏอยู่บนสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความพึงใจของเธอ
ทั้งสองคนนี้ก็คือร่างจำแลงที่อาซาเรลและเซธมักจะใช้ในการทำงานบนโลกภายนอกนั่นเอง
หลังจากดูเหตุการณ์จนจบ อาซาเรลก็เอ่ยคำพูดออกมา
“ทำแบบนี้ออกจะเกินเรื่องไปรึเปล่า? เราดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาพัวพันมากเกินไปแล้วนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เซธก็กลอกตาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย แต่เพราะกำลังอารมณ์ดีเขาจึงไม่คิดจะถือสาและอธิบายให้อีกฝ่ายฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่เกี่ยวข้องงั้นเหรอ? พวกมันต่างก็เป็นเส้นสายของวารัลทั้งนั้น เป็น ถ้าไม่จัดการกับพวกมันก่อน พวกมันก็ต้องให้ความช่วยเหลือกับวารัล แล้วมันก็จะมีโอกาสหลุดพ้นข้อกล่าวหากลับมาได้อีกครั้ง เหมือนกับการตัดต้นไม้แล้วไม่ถอนโคน สุดท้ายแล้วก็จะมีกิ่งก้านใหม่แตกยอดออกมากอยู่ดีนั่นแหละ”
อาซาเรลพอจะเข้าใจในจุดนี้ดี แต่เขาก็คิดว่าการเล่นงานเครือข่ายเส้นสายของวารัลทั้งหมดพร้อมกันก็ยังดูเป็นเรื่องที่ใหญ่โตเกินไปหน่อย เพราะอาจนำมาซึ่งความยุ่งยากได้ในอนาคต
“แต่เล่นงานถึงคนระดับปลัดกระทรวงแบบนี้มันก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่น่ะสิ”
“จะซ่อนต้นไม้ก็ต้องซ่อนในป่า ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าเราโค่นต้นไม้ทั้งต้นเพื่อจัดการกับหนอนแค่ตัวเดียว ถึงขั้นถอนรากถอนโคนกลุ่มอิทธิพลของโดมินาเรียในกระทรวงศึกษาธิการทั้งหมด มันก็ต้องเป็นการกระทำที่มีเป้าหมายยิ่งใหญ่กว่านั้นสิ ฉันให้คนปล่อยข่าวลือออกไปแล้วว่ามันเป็นการวัดพลังกันของกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ในจูริสไพร์ม แน่นอนว่าแต่ละกลุ่มย่อมทำการปฏิเสธ แต่ใครจะยอมเชื่อคำปฏิเสธนั้นล่ะ? พวกเขาจะคุมเชิงกันด้วยความหวาดระแวงต่อไป หรือดีกว่านั้นอาจเปิดศึกชิงอำนาจกันเร็วกว่าที่เราคิด ซึ่งก็เป็นผลดีต่อแผนการในอนาคตของเราทั้งสิ้น”
เซธกล่าวอธิบายด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องเพราะเชื่อมั่นว่าแผนการของตนเองนั้นสมบูรณ์ไร้ที่ติ แต่มันก็ยังไม่ทำให้อาซาเรลคลายความกังวลลงอยู่ดี อีกทั้งเขายังมีเหตุผลอื่นที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจด้วย
“ยังไงก็เถอะ การเล่นงานคนเหล่านั้นน่ะมันรุนแรงเกินไปรึเปล่า… นายทำลายชีวิตของพวกเขาเลยนะ…”
เมื่อได้ฟังคำพูดนั้น เซธเองก็เริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง จึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ใส่อารมณ์อยู่เล็กน้อย
“ฉันน่ะเหรอทำลายชีวิตของพวกมัน? พวกมันทำลายชีวิตของตัวเองต่างหาก หลักฐานความผิดทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่พวกมันทำขึ้นจริง ไม่ใช่เรื่องที่ฉันใส่ร้ายป้ายสีหรือปรุงแต่งขึ้นมาเลย ทำไมคนที่แจ้งตำรวจให้มาจับโจรถึงถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทำลายชีวิตโจรล่ะ? หรือต้องปล่อยให้พวกมันเสพสุขจากทรัพย์สินที่ปล้นชิงมาไปตลอดชีวิตโดยไม่ถูกจับกุม แบบนั้นถึงจะเรียกว่าเป็นความยุติธรรม? ตระกูลของมันประกอบการค้าทุจริตจริง เพื่อนพ้องของมันก็ประพฤติมิชอบจริง ส่วนเรื่องครอบครัว มันก็เป็นคนที่มักมากในกามเอง รูปพวกนั้นมันก็เป็นคนถ่ายไว้เอง แถมยังยุ่งกับน้องสะใภ้ของตัวเองด้วย มันเป็นคนทำลายครอบครัวของตัวเองแต่แรกแล้ว”
อาซาเรลไม่ได้คิดถึงขั้นว่าวิธีการของเซธนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม เขาเพียงแต่คิดว่าควรจะมีวิธีที่นุ่มนวลกว่านี้ในการเล่นงานเส้นสายของวารัลให้เหมาะสมกับความผิดของแต่ละคน ทว่าเพราะเซธเป็นคนที่ไม่สนใจหนักเบาและเหมาทุกคนว่าเป็นศัตรูจึงใช้มาตรฐานเดียวกันจัดการกับคนทั้งหมด ทำให้คนที่มีความผิดเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ติดร่างแหไปด้วย อาซาเรลจึงอดรู้สึกลำบากใจไม่ได้
แต่เขาก็รู้ดีว่าที่ซาลให้เซธเป็นคนดำเนินการก็เพราะต้องการจัดการกับเรื่องนี้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาด ชนิดที่ต้องจบเรื่องให้ได้ภายในวันเดียว ซึ่งด้วยวิธีการของอาซาเรลนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาจะเลือกวิธีการจัดการกับแต่ละคนอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งเขายังมีข้อมูลเกี่ยวกับเครือข่ายของวารัลน้อยกว่าเซธด้วย
นั่นก็เพราะเซธไม่เคยหยุดการสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวารัลเลย นับตั้งแต่วันที่ได้รับรู้ว่าซาลถูกวารัลเหยียดหยาม
เขารอวันที่จะได้รับคำสั่งและนำข้อมูลเหล่านี้ออกมาใช้โดยตลอด เพื่อบดขยี้วารัลให้ไม่เหลือแม้แต่ซาก ซึ่งในที่สุด การรอคอยของเขาก็ไม่สูญเปล่า
“หึหึหึ~ ความจริงฉันก็เกือบจะตัดใจไปแล้วนะเนี่ย ก็เจ้านั่นน่ะมันเป็นคนใจอ่อนนี่นา เคยคิดว่าคงจะปล่อยอีกฝ่ายไปแล้วซะอีก แต่ไม่ว่าใครก็ต้องมีขีดจำกัดแหละนะ บางทีฉันอาจจะมองเจ้านั่นผิดไปก็ได้”
คำว่า ‘เจ้านั่น’ ที่เซธพูดถึงก็คือซาลนั่นเอง ทำให้อาซาเรลขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ความจริงเหล่าขุนพลก็รู้อยู่บ้างว่าเซธเป็นคนที่ไม่ได้ให้ความเคารพกับซาลมากนักแม้เวลาอยู่ต่อหน้าทุกคนเขาจะแสดงออกว่าเป็นขุนพลผู้จงรักภักดีก็ตาม นั่นเพราะซาลเป็นคนมองโลกในแง่ดีและมักจะจัดการกับเรื่องต่าง ๆ อย่างประนีประนอม ซึ่งเซธมองว่าเป็นความอ่อนหัดและรู้สึกดูถูกอยู่ในที แต่คำสั่งอันเฉียบขาดของซาลในครั้งนี้ทำให้เซธรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นที่คิดว่าจะต้องมองอีกฝ่ายซะใหม่
“โดยสรุปเรื่องครั้งนี้ก็จบลงโดยที่ไม่มีคนตายแม้แต่คนเดียวอย่างที่หมอนั่นต้องการแล้วนะ หน้าที่ผู้เฝ้าดูของนายก็จบลงแล้ว กลับไปรายงานได้แล้วล่ะ”
เซธเอ่ยคำพูดกับอาซาเรลด้วยสีหน้าที่เหมือนจะแสดงความเย้ยหยันอยู่เล็กน้อย เพราะหน้าที่ของอาซาเรลในครั้งนี้มีเพียงคอยจับตาดูไม่ให้เซธทำเรื่องรุนแรงอย่างการฆ่าคน ซึ่งเขาก็ทำได้จริง ๆ แต่ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แวบหนึ่งอาซาเรลก็แอบคิดว่า สำหรับวารัล การฆ่าอาจจะเป็นการปราณีมากกว่าก็ได้
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเตรียมการเทเลพอร์ทกลับไปนั้น เซธก็เหลือบตากลับมามองอาซาเรล ก่อนจะเอ่ยคำพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยันออกมา
“อ้อ ฝากบอกหมอนั่นด้วยว่าไม่ต้องห่วงเรื่องที่ฉันจะฆ่าคนหรอก เพราะสำหรับฉันแล้ว การให้อยู่อย่างตายทั้งเป็นต่างหากถึงจะเป็นการลงโทษที่แท้จริง”
เมื่อพูดจบ เซธก็เทเลพอร์ทออกจากพื้นที่ ทำให้ร่างหญิงสาวผมดำของเขาหายวับไป ส่วนอาซาเรลก็ได้แต่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะทำการเทเลพอร์ทตามไปอีกคน พื้นที่ชายป่าตรงนั้นจึงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า