Doombringer the 5th - ตอนที่ 119
Ch.119 – ระแคะระคาย
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 115
ระแคะระคาย
Part 1
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มอำนาจของโดมินาเรียในกระทรวงศึกษาฯ ได้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่ว ทั้งในแวดวงการเมือง, แวดวงราชการ, และแวดวงการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนอีจิสไพร์ม เพราะในเหตุการณ์ครั้งนี้มีอาจารย์ของโรงเรียนอยู่ในกลุ่มคนที่ถูกเปิดโปงความผิดด้วยถึงสามคน
คนที่ต้องข้อหารุนแรงที่สุดก็คือวารัล วารันเด้ ส่วนอีกสองคนเป็นอาจารย์ในโรงเรียนซึ่งสนิทสนมและให้ความช่วยเหลือหรือคอยปกปิดความผิดให้กับเขาในหลายเรื่องและถูกเปิดโปงในเรื่องการบกพร่องต่อหน้าที่การเป็นอาจารย์เพราะมักจะสอนแบบขอไปทีและเอาความสะดวกสบายเข้าว่า จริง ๆ แล้วความผิดของทั้งสองคนก็ไม่ถือเป็นเรื่องร้ายแรง แต่เพราะพวกเขาพัวพันกับผู้ที่มีคดีอุกฉกรรจ์ยาวเป็นหางว่างอย่างวารัลทำให้ถูกมองว่าอาจมีส่วนเกี่ยวพันกับธุรกิจผิดกฎหมายด้วยในทางใดทางหนึ่ง ทั้งสองคนจึงถูกสั่งพักราชการเอาไว้ก่อนเพื่อรอการตรวจสอบ
หนึ่งในข้อหาของวารัลคือการให้คนในสมาคมใต้ดินไปจับ ‘บาร์คสกินพูม่า’ มานั้นถูกสอบสวนขยายผลและพบความเชื่อมโยงมายังนักเรียนชั้นปี 1 ห้อง E หลายกลุ่ม ซึ่งต้องสงสัยว่าจะรับซื้อหน้ากากของบาร์คสกินพูม่ามาจากสมาคมใต้ดิน เรื่องนี้ถือเป็นการผิดจรรยาบรรณนักผจญภัยและอาจมีโทษสูงสุดถึงขั้นไล่ออกจากโรงเรียน แต่อาจารย์บารัม อาจารย์ผู้ดูแลวิชาพื้นฐานภารกิจล่าและเป็นผู้มอบหมายภารกิจก็ได้ออกหน้ารับความผิดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เพราะบารัมถือว่านี่เป็นความบกพร่องของเขาเองที่ไม่ดูแลเรื่องนี้ให้ดี เช่นเดียวกับ ผอ. ของโรงเรียนอีจิสไพร์มที่มองว่าต้นเหตุของปัญหามาจากวารัลซึ่งเป็นบุคลากรของโรงเรียน ทางโรงเรียนจึงควรมีส่วนรับผิดชอบ
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงถูกคาดโทษเพียงสถานเบาเท่านั้น โดยอาจารย์บารัมได้ถูกตักเตือนโดยทางโรงเรียน และนักเรียนที่พัวพันกับเรื่องนี้ก็ต้องเข้าคอร์สอบรมเรื่องจริยธรรมเป็นการพิเศษ ส่วนการทดสอบของภารกิจก่อนหน้านี้ให้ถือเป็นโมฆะและทุกคนต้องทำภารกิจใหม่ตั้งแต่ต้น
เพราะเหตุการณ์วุ่นวายนี้ทำให้เสียเวลาไปถึงสองวัน แต่กำหนดเส้นตายวันสุดท้ายของการทำภารกิจก็ยังคงต้องเป็นวันอาทิตย์อยู่ดี เพราะในวันจันทร์หน้าจะเป็นการเริ่มเรียนวิชาใหม่คือพื้นฐานการเคลียร์ดันเจี้ยน อาจารย์บารัมจึงเพิ่มจำนวนบาร์คสกินพูม่าในแต่ละวันให้เป็นสี่ตัว ทว่าจนถึงวันศุกร์ กลุ่มที่ผ่านภารกิจนี้ได้ก็ยังมีเพียงสองกลุ่ม คือกลุ่มของซาลที่ทำภารกิจเสร็จตั้งแต่วันแรก และกลุ่มของฟาลโก้ที่เพิ่งจะทำภารกิจสำเร็จในวันนี้
เมื่อเส้นตายกระชั้นเข้ามา เด็กคนอื่น ๆ ในห้องก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะกลัวว่าจะทำภารกิจนี้เสร็จไม่ทันเวลา คุโระที่เห็นว่าได้เวลาเหมาะสมแล้วจึงดำเนินการตามแผนที่ซาลวางเอาไว้ คือเสนอแนะให้ทุกคนไปขอความช่วยเหลือจากซาล โดยบอกเป็นนัย ๆ ว่าอาจต้องมีอะไรไปใช้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนบ้าง ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกลังเลเพราะการจะไปขอความช่วยเหลือจากคนที่พวกเขาไม่ชอบหน้าอย่างซาลนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างฝืนความรู้สึก แต่เนื่องจากหลายกลุ่มทำคะแนนได้ไม่ดีนักในวิชาอื่น ๆ และหากเกรดเฉลี่ยต่ำมาก ๆ ก็อาจต้องเรียนซ้ำได้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากซาลเท่านั้น
เมื่อคนในห้องมาขอความช่วยเหลือ ซาลก็แสดงท่าทีอิดออดเหมือนไม่ค่อยเต็มใจที่จะช่วยสักเท่าไหร่นัก (ตามแผน) แต่ในที่สุดเขาก็ยอมตกลงรับปากโดยมีข้อแลกเปลี่ยน คือขอเหรียญสมาคมเป็นค่าตอบแทนกลุ่มละ 10 เหรียญ ซึ่งสำหรับนักเรียนที่เข้าสังกัดสมาคมประจำคลาสก็จะได้รับเหรียญสมาคมในตอนแรกเข้ามาคนละอย่างน้อย 3 เหรียญอยู่แล้ว การลงขันกันคนละสองเหรียญจึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ อีกอย่างคือเหรียญที่พวกนักเรียนมีอยู่ก็เป็นเหรียญสมาคมของนักผจญภัยระดับต่ำสุดสำหรับผู้แรกเริ่ม มูลค่าของมันจึงอยู่ที่ 30-40 คอปเปอร์ (พอ ๆ กับอาหารตามสั่งหนึ่งจาน) การเรียกสิ่งตอบแทนเป็นเหรียญสมาคมเพียงสิบเหรียญจึงนับเป็นค่าบริการที่ถูกจนน่าตกใจ
การสร้างความประหลาดใจนี้ก็เป็นหนึ่งในความตั้งใจของซาล เขาทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยด้วยท่าทีที่เหมือนไม่อยากช่วยแต่ก็ช่วยโดยคิดค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากจุดชนวนความข้องใจนี้ได้แล้วก็จะให้คุโระเป็นคนปล่อยข่าวเสริมว่าความจริงแล้วซาลก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอย่างที่คนอื่นร่ำลือกัน เพียงแค่อาจเอาแต่ใจและมีอารมณ์แปรปรวนในบางครั้งเท่านั้น เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะทำให้คนในห้องมองเขาด้วยแง่มุมใหม่ ๆ เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการปรับทัศนะคติของทุกคนที่มีต่อเขา
สำหรับการดำเนินการขุดรากถอนโคนวารัลพร้อมกับเส้นสายทั้งหมด ซาลเพียงรับทราบรายงานและผลลัพธ์จากเซธกับอาซาเรล แต่ก็ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดมากนัก เพราะซาลรู้ดีว่าเรื่องครั้งนี้ได้ทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ไม่ได้มีความผิดร้ายแรงนักต้องพลอยติดร่างแหไปด้วยหลายคน มันเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเกิดความไม่สบายใจอยู่เช่นกัน เขาจึงมอบหมายให้อาซาเรลหาทางเยียวยาให้กับผู้เสียหายบางคนในทางลับเพื่อเป็นการชดเชย ทำให้อาซาเรลรู้สึกสบายใจขึ้นเช่นกัน
เมื่อจัดการกับเรื่องวุ่นวายทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซาลก็กลับมาใช้เวลากับกิจวัตรตามปกติของเขาและเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนวิชาต่อไปคือวิชาพื้นฐานการเคลียร์ดันเจี้ยน โดยทิ้งเรื่องของวารัลเอาไว้เบื้องหลัง แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้เป็นชนวนทำให้เขาต้องพบกับความยุ่งยากในอนาคต
——————————————————————————–
Part 2
ณ ห้องประชุมชั้นที่ยี่สิบบนตึกใหญ่ของสำนักงานหลักแห่งพีสคีปเปอร์ เมืองหลวงจูริสไพร์ม อาณาจักรจูริส
ในห้องประชุมทรงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่ายี่สิบเมตรนั้นมีโต๊ะยาวทรงวงแหวนซึ่งกินเนื้อที่เกือบครึ่งหนึ่งของห้องตั้งอยู่ตรงกลาง โต๊ะตัวนั้นดูจะสามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้ 20-30 คน แต่ในตอนนี้มีคนนั่งอยู่เพียงห้าคนเท่านั้น
เกือบทุกคนในห้องประชุมล้วนแล้วแต่เป็นชายสูงวัยที่ดูจะมีอายุราว ๆ 50-60 ปี แต่มีคนหนึ่งที่มีอายุน้อยกว่าใครเพื่อน เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่น่าจะมีอายุไม่เกินสามสิบปีเท่านั้น ทำให้ดูผิดแผกไปจากคนอื่น ๆ ในห้องประชุมพอสมควร
หนึ่งในชายสูงวัยก็คือเซดดริก เดรค ผู้อำนวยการสูงสุดของหน่วยข่าวกรองแห่งพีชคีปเปอร์ ซึ่งมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายตั้งแต่ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้นแล้ว
“ทำไมถึงต้องเรียกประชุมที่ห้องนี้ด้วยล่ะ?… ก็ประชุมกันแค่ห้าคนแท้ ๆ หาห้องที่เล็กกว่านี้ไม่ได้เรอะ?”
เพราะมันเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ที่จุคนได้หลายสิบคน แต่ตอนนี้มีผู้ประชุมเพียงแค่ห้าคน ทุกคนจึงนั่งกระจัดกระจายกันออกไปตามขอบมุมแต่ละด้านซึ่งอยู่ห่างกันพอสมควร แม้ในแง่ของการสื่อสารแล้วเรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาเพราะทุกคนต่างก็มีเข็มกลัดสื่อสารติดไว้ที่ปกเสื้อทำให้ถ้อยคำที่พูดถูกส่งผ่านออกมาทางเครื่องขยายเสียงอย่างชัดเจน แต่เซดดริกก็ยังไม่ชอบบรรยากาศโหรงเหรงแบบนี้อยู่ดี และการนั่งห่าง ๆ กันแบบนี้ยังทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยถนัดด้วย แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกเชิญมาประชุมที่ห้องนี้ก็ตาม
ความจริงแม้ห้องนี้จะเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ แต่ในการประชุมแต่ละครั้งก็จะมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่ถึงสิบคนอยู่แล้ว มันเป็นห้องประชุมสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์กรซึ่งเน้นความอลังการเข้าว่า และการให้คนจำนวนน้อยนั่งรักษาระยะห่างกันบนโต๊ะประชุมตัวใหญ่นี้ก็ยังมีนัยยะทางการเมืองแฝงอยู่อีกด้วย
ผู้เข้าร่วมประชุมหลายคนพอจะรู้นิสัยของเซดดริกดีจึงยิ้มแห้ง ๆ ให้กับการบ่นตามประสาของเขา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีท่าทีแบบนั้น โดยเฉพาะชายสูงวัยคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงภายในของอาณาจักรจูริส เนื่องจากในการประชุมครั้งนี้เขาตั้งเป้าหมายมาที่เซดดริกเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว
“ถ้าอึดอัดมากนักก็รีบมาประชุมให้เสร็จ ๆ กันไปเลยดีกว่า เซดดริก แกรู้รึเปล่าว่าเรื่องคราวนี้ส่งผลให้เกิดความยุ่งยากตามมามากแค่ไหนน่ะ?”
ผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงภายในของอาณาจักรจูริสคนนี้คือ ชาร์ล โรเซ่น ผู้ที่เข้ามาทำงานให้กับพีสคีปเปอร์ในเวลาไล่เลี่ยกับเซดดริกและเป็นคนรู้จักกันมานาน จนอาจเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นก็ได้
โดยส่วนตัวแล้วทั้งสองคนไม่ได้มีความสนิทสนมหรือบาดหมางกันเป็นการเฉพาะ แต่เพราะโดยหน้าที่แล้วการทำงานของทั้งสองมักจะมีความขัดแย้งกันอยู่เสมอเพราะฝ่ายข่าวกรองเป็นองค์กรที่มีอำนาจและสิทธิพิเศษเหนือกว่าฝ่ายความมั่นคงภายใน ทั้งยังมีปฏิบัติการในทางลับที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงภายในอาณาจักรอยู่เสมอ ซึ่งปฏิบัติการเหล่านี้มักกระทำโดยไม่มีการปรึกษาหรือแจ้งเตือนให้กับฝ่ายอื่น ๆ ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่สำหรับฝ่ายความมั่นคงภายในที่ต้องมาคอยเก็บกวาดผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอยู่เสมอแล้วย่อมต้องเกิดความไม่พอใจสะสมเป็นธรรมดา
สาเหตุที่มีการเรียกประชุมในวันนี้ก็เกิดจากการโจมตีกลุ่มอำนาจของฝ่ายโดมินาเรียในกระทรวงศึกษาธิการแบบขุดรากถอนโคนที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้เอง สิ่งนี้ทำกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ในอาณาจักรจูริสเกิดการไหวตัว และผู้ที่ถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้ย่อมหนีไม่พ้นฝ่ายข่าวกรองแห่งพีสคีปเปอร์ ซึ่งเป็นองค์กรที่มีศักยภาพมากพอที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้นั่นเอง
เซดดริกเองก็พอจะรู้จุดมุ่งหมายของการประชุมในครั้งนี้ดี จึงไม่คิดจะหลีกเลี่ยงการประชุมตั้งแต่แรก เมื่อถูกถามมาตรง ๆ เขาจึงตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้น
“ไอ้รู้น่ะรู้ แต่เรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกับทางฉันนี่นา… ฉันหมายถึงเราไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้น่ะ แกมาบ่นผิดคนแล้ว”
คำพูดของเซดดริกทำให้ชาร์ลขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวมากขึ้นด้วย
“นี่แกตกต่ำขนาดนี้แล้วงั้นรึ? สมัยก่อนยังเป็นคนที่กล้าทำก็กล้ารับแท้ ๆ เรื่องในระดับนี้ถ้าไม่ใช่ฝีมือของหน่วยข่าวกรองยังจะมีใครที่ทำได้อีก? หรือบางที… อาจมีคนในหน่วยข่าวกรองดำเนินการโดยไม่บอกแกก็ได้ แบบนี้ควรพิจารณาตัวเองได้แล้วนะ”
ถ้อยคำของชาร์ลทำให้เซดดริกหรี่ตาลงด้วยสีหน้าไม่พอใจและแผ่รังสีอำมหิตออกมา บรรยากาศในห้องจึงยิ่งตึงเครียด แต่ทันใดนั้นชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวในห้องก็กล่าวแทรกเพื่อยับยั้งการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย
“ใจเย็น ๆ กันก่อนเถอะครับ ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้สร้างความยุ่งยากให้กับฝ่ายความมั่นคงภายในอยู่ไม่น้อย ความจริงคือมันส่งผลกระทบกับเกือบทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการถ่วงดุลอำนาจในอาณาจักรจูริสนั่นแหละ และดูจากข้อมูลที่ถูกนำมาใช้ในการโจมตีกลุ่มอำนาจของฝ่ายโดมินาเรียในครั้งนี้ก็เป็นข้อมูลที่น่าจะมีแต่หน่วยข่าวกรองสามารถสืบเสาะมาได้จริง ๆ แต่ผมก็ยังไม่เห็นเหตุผลที่หน่วยข่าวกรองจะต้องทำเรื่องนี้เลย กลุ่มอำนาจของฝ่ายโดมินาเรียในกระทรวงศึกษาฯ ก็ไม่ใช่ภัยคุกคามใหญ่ของเรา คนอย่างคุดเซดดริกหรือหน่วยข่าวกรองน่ะ หากคิดจะทำจริง ๆ ละก็ คงเล่นงานที่ฐานอำนาจหลักในฝ่ายปกครองเลยมากกว่า”
ชายหนุ่มกล่าวอธิบายพลางส่งยิ้มมาทางเซดดริก มันเป็นคำอธิบายที่ทั้งช่วยแก้ต่างและแอบหยิกแกมหยอกอยู่ในที แต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่นัก ทุกคนรู้ว่าเซดดริกเป็นคนทำงานอย่างเด็ดขาดและให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเสมอ หากเขาคิดจะเล่นงานกลุ่มอำนาจฝั่งโดมินาเรียจริง ๆ คงไม่ลงมือที่สาขาย่อยในกระทรวงศึกษาฯ ก่อนเพื่อแหวกหญ้าให้งูตื่นแน่ แต่จะโค่นจากระดับบนสุดแล้วค่อย ๆ ไล่ลงมามากกว่า
ชาร์ลเองก็พอเข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ดี ที่เขากล่าวโจมตีเซดดริกเป็นเพราะความไม่พอใจที่สะสมมาจากเรื่องเก่าก่อนเท่านั้น เมื่อได้ฟังคำอธิบายของชายหนุ่มเขาจึงต้องหยุดชะงักไป
ชายหนุ่มผู้คลี่คลายความตึงเครียดนี้ลงไปได้ก็คือ เคนเนธ นอร์ดิส บุตรชายเพียงคนเดียวของ ไคเอ็น นอร์ดิส ผู้นำรุ่นที่สามของพีสคีปเปอร์ เขาเป็นชายหนุ่มผมดำหน้าตาคมคาย ดวงตาอันเฉียบคมนั้นสะท้อนถึงความมุ่งมั่น เยือกเย็น และทรงภูมิปัญญา ทำให้บรรยากาศที่ผู้คนสัมผัสได้จากตัวเขานั้นแตกต่างไปจากคนหนุ่มทั่วไป
แม้ปัจจุบันนี้ไคเอ็นผู้เป็นพ่อจะสละตำแหน่งและมอบอำนาจให้กับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งพีสคีปเปอร์ไปแล้วหลังการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อการกระจายอำนาจ แต่เขาก็ยังคงเป็นบุคคลที่มีบารมีที่สุดในโลกคนหนึ่ง เรื่องนี้ส่งผลให้เคนเนธ บุตรชายของเขาเป็นผู้มีอิทธิพลในองค์กรไปด้วย แม้เคนเนธจะมีตำแหน่งเป็นเพียงที่ปรึกษาของคณะมนตรีความมั่นคงก็ตาม
หลายคนมองว่าเคนเนธก้าวเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้เพราะบารมีของผู้เป็นพ่อ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด แม้จะอายุน้อยแต่ความรู้และความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ของเคนเนธนั้นไม่ด้อยไปกว่าเหล่าผู้อาวุโสในองค์กรที่ทำงานมานับสิบปีเลย ผู้ที่ได้ทำงานร่วมกับเขาจึงปราศจากข้อกังขาในคุณสมบัติของชายหนุ่มคนนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่เซดดริกได้พบกับเคนเนธ เพราะตำแหน่งของทั้งสองคนไม่ค่อยมีเหตุให้ต้องโคจรมาพบกันนัก คราวนี้เซดดริกจึงถือโอกาสที่จะประเมินความสามารถบุตรชายของเจ้านายเก่าไปด้วย ซึ่งการห้ามทัพเมื่อสักครู่นี้ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวทีเดียว
ในระหว่างที่ทุกคนยังพิจารณาคำพูดของเคนเนธอยู่ ชาร์ลก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา
“ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของหน่วยข่าวกรอง มันก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องยุ่งยากมากขึ้นอีก เพราะแปลว่าฝั่งเทอร่ามีหน่วยข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพไม่ด้อยไปกว่าเราเลย แบบนี้เราเองก็คงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”
คำพูดของชาร์ลนั้นดูจะยังแฝงนัยยะที่ไม่เป็นผลดีต่อเซดดริกอยู่บ้าง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ปะทะคารมกันอีกครั้ง เคนเนธก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“ไม่เสมอไปหรอกนะครับ ถึงแม้การลงมือในครั้งนี้จะดูเหมือนเป็นงานระดับเดียวกับหน่วยข่าวกรองของเรา แต่มันเป็นปฏิบัติการที่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจง และน่าจะลอบดำเนินการมาพักหนึ่งแล้ว ช่วงเวลาที่อีกฝ่ายใช้ในการเตรียมการนั้นเรายังไม่รู้แน่ชัด มันอาจเป็นแผนที่เตรียมการมาเป็นปี ๆ ก็ได้ ดังนั้นการจะบอกว่าผู้ลงมือในครั้งนี้เป็นกลุ่มอำนาจที่มีทรัพยากรด้านข่าวกรองเทียบเท่ากับฝ่ายเราก็ดูจะเป็นการด่วนสรุปไปหน่อย แต่ที่ว่านี่ได้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากไปแล้วน่ะเป็นเรื่องที่ถูกต้องครับ”
ชาร์ลแสดงอาการไม่พอใจออกมาเล็กน้อยต่อการแทรกแซงของเคนเนธ แต่เขาก็ไม่คิดจะดึงดันอะไรอีกเพราะแม้จะอยากฉวยโอกาสโจมตีเซดดริก แต่เขาก็ไม่คิดที่จะแลกกับภาพลักษณ์ในความเป็นมืออาชีพของตนเอง แถมที่นี่ยังมีเคนเนธคอยดึงประเด็นให้กลับเข้าเรื่องอยู่ตลอด ชาร์ลจึงยอมรามือไว้แค่นี้
อีกด้านหนึ่งของโต๊ะประชุม ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นตัวแทนจากฝ่ายการเมืองก็เอ่ยคำพูดขึ้นมาบ้าง
“ถ้างั้นเราควรจับตาดูฝ่ายเทอร่ามากขึ้นเป็นพิเศษรึเปล่า? การที่พวกมันลงมือกับฝ่ายโดมินาเรียแบบนี้แปลว่ามันกำลังวางแผนที่จะทำอะไรสักอย่างอยู่แน่ ๆ เราจะปล่อยให้พวกมันทำตามอำเภอใจไม่ได้”
เมื่อได้ฟังถ้อยคำของตัวแทนจากฝ่ายการเมือง ชายแก่อีกคนที่เป็นตัวแทนจากฝ่ายการทูตก็เอ่ยคำพูดขึ้นบ้าง
“เรื่องนี้ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือเป็นการขัดขากันเองของกลุ่มอำนาจฝั่งโดมินาเรีย ช่วงหลัง ๆ มานี้ความสัมพันธ์ระหว่างอินิสตร้ากับราวินคาก็ไม่สู้จะดีนัก พวกมันอาจโจมตีกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจกันก็ได้”
เรื่องที่ตัวแทนจากฝ่ายการทูตพูดออกมานั้นเป็นข่าวลือที่ไม่ค่อยจะมีมูลความจริงสักเท่าไหร่ อันที่จริงคือมันเหมือนกับเป็นข่าวลวงที่ทางโดมินาเรียแกล้งปล่อยออกมาเพื่อสร้างความสับสนซะมากกว่า ซึ่งเซดดริกที่เป็นผู้อำนวยการของหน่วยข่าวกรองย่อมรู้เรื่องนี้ดี แต่เวลาที่บอกกล่าวแก้ไขความเข้าใจผิดให้กับผู้นำระดับสูงเหล่านี้ไป อีกฝ่ายมักจะรู้สึกเสียหน้าและดึงดันที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยินมา เซดดริกจึงไม่คิดที่จะแก้ไขความเข้าใจผิด ๆ ของคนเหล่านี้อีกเพราะรู้สึกว่าเป็นการเสียเวลา
ในที่ประชุมยังคงมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่อไปเป็นเวลานาน หลัก ๆ แล้วจะเป็นการโต้แย้งกันของผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงภายใน, ตัวแทนฝ่ายการเมือง,และตัวแทนฝ่ายการทูต ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีความเชื่อของตนเอง ฝ่ายความมั่นคงภายในและฝ่ายการเมืองเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจฝั่งเทอร่า ส่วนฝ่ายการทูตเชื่อว่าเป็นความขัดแย้งภายในของโดมินาเรียเอง แต่ทุกฝ่ายต่างก็ทำได้เพียงคาดเดา การสนทนาจึงเหมือนกับการพายเรือวนในอ่าง หาข้อสรุปไม่ได้
เซดดริกที่นิ่งเงียบฟังการสนทนาอันไร้แก่นสารนั้นมาเป็นเวลานานก็เริ่มจะมีสีหน้าเบื่อหน่ายขึ้นเรื่อย ๆ ผิดกับเคนเนธที่นั่งฟังอีกสามคนที่เหลืออย่างตั้งอกตั้งใจและมีสีหน้ายิ้มแย้มราวกับกำลังรับชมสิ่งบันเทิงอยู่ แต่ในที่สุดเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว เคนเนธก็เอ่ยคำพูดขึ้น
“ผมคิดว่าเรายังมองข้ามความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งไปนะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทุกคนในห้องก็หันมองมาทางเคนเนธโดยพร้อมเพรียงกัน ส่วนชายหนุ่มที่ดึงความสนใจของทุกคนมาได้แล้วก็เริ่มกล่าวต่อ
“การถ่วงดุลอำนาจกันของเทอร่ากับโดมินาเรียนับว่าเป็นผลดีกับเรา แถมการเล่นงานแค่สายอำนาจในกระทรวงศึกษาแบบนี้ก็เป็นการโจมตีที่ตื้นเกินไป อย่าว่าแต่เราเลย แม้แต่ฝ่ายเทอร่าก็คงไม่ทำอะไรหยุมหยิมแบบนี้ อีกทั้งการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสามฝ่ายก็เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายใหความสำคัญ ดังนั้นทั้งฝ่ายเทอร่าและฝ่ายโดมินาเรียย่อมไม่โจมตีกันซึ่ง ๆ หน้าเพื่อลดทอนกำลังของกันและกันให้เราฉกฉวยประโยชน์ได้หรอกครับ เรื่องในคราวนี้ผมจึงคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือของ ‘บุคคลที่สี่’ มากกว่า”
คำอธิบายของเคนเนธทำให้เกือบทุกคนในที่ประชุมต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย มีเพียงเซดดริกที่หรี่ตาลงเพราะเมื่อพิจารณาดูแล้วเขาก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เข้าเค้าอยู่เหมือนกัน
“บุคคลที่สี่เหรอ? หมายความว่ากำลังมีกลุ่มอำนาจใหม่คิดจะเข้ามาช่วงชิงอำนาจเลยก่อการเพื่อยุแหย่ให้กลุ่มอำนาจเก่าต่อสู้กันจนเพลี่ยงพล้ำแล้วฉกฉวยประโยชน์งั้นรึ?”
ชาร์ลเอ่ยถามกลับไปยังเคนเนธด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่อีกฝ่ายก็ยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากก่อนจะตอบกลับมา
“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผมคิดว่าทุกท่านเอาแต่มองเรื่องนี้ในมุมกว้างจนเผลอละเลยความเป็นได้อื่น ๆ รึเปล่าครับ? ความจริงมันอาจไม่ได้เบื้องหลังซับซ้อนอย่างที่คาดเดากันก็ได้”
ชาร์ลและเหลาตัวแทนจากฝ่ายต่าง ๆ ได้แต่สบตากันไปมาเพราะไม่เข้าใจความหมายที่เคนเนธพยายามจะสื่อ ชายหนุ่มจึงกล่าวอธิบายต่อ
“ทุกท่านเอาแต่มองว่านี่เป็นการโจมตีที่มีเป้าหมายไปยังกลุ่มอำนาจฝั่งโดมินาเรีย จึงจำกัดผู้ต้องสงสัยเอาไว้แค่เพียงสามฝ่ายเท่านั้น แต่ไม่ว่าฝ่ายไหนต่างก็มีปัจจัยที่ขัดแย้งกับการเป็นผู้ลงมืออยู่ พูดง่าย ๆ ว่าในภาพรวมของระดับองค์กรแล้วไม่มีใครที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงเลย เราจึงไม่สามารถระบุผู้ต้องสงสัยให้แน่ชัดได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็มีเหตุที่ไม่ควรลงมือทั้งนั้น
แต่หากตัดเรื่องของการช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มออกไป เงื่อนไขเหล่านั้นก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ถ้าผู้ลงมือเป็นคนที่ไม่สนในเรื่องเกมการเมืองที่ทั้งสามฝ่ายกำลังถ่วงดุลกันอยู่ ก็สามารถเล่นงานใครก็ได้ เพราะผลกระทบที่ตามมาภายหลังย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเขาอยู่แล้ว
ที่สำคัญคือการเลือกโจมตีสายอำนาจย่อยที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวและมีอิทธิพลไม่มากนักอย่างกระทรวงศึกษาฯ น่ะบ่งชี้ว่าผู้ลงมือไม่ได้หวังผลทางการเมืองสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นเหตุผลของเรื่องคราวนี้อาจเป็นความบาดหมางส่วนตัวก็ได้ เช่นว่ากลุ่มอำนาจของโดมินาเรียในกระทรวงศึกษาฯ อาจเคยไปหักหลังหรือล่วงเกินผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นสักคนเข้า ทำให้ถูกคิดบัญชีน่ะครับ”
เหล่าผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าเหมือนกับเพิ่งได้รับการรู้แจ้ง แม้แต่เซดดริกเองก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเช่นกัน เพราะทุกคนต่างก็มองเรื่องนี้ในแง่การเมืองมากเกินไปจนละเลยในเรื่องที่มันอาจเป็นเรื่องส่วนตัว แต่หากพิจารณาจากรอบด้านแล้ว การที่พวกเขาจะคิดแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
“คนที่ทำเรื่องนี้ได้น่ะต้องเป็นคนที่มีขุมกำลังไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะสามารถขุดรากถอนโคนคนของโดมินาเรียในกระทรวงศึกษาฯ ได้อย่างหมดจด แล้วคนธรรมดาจะกล้าแหยมกับกลุ่มอำนาจที่มีโดมินาเรียหนุนหลังรึ? ถ้ากล้าลงมือแบบนี้แปลว่าพวกมันมีเจตนาจะทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างสามฝ่ายมากกว่า”
ชาร์ลยังคงยึดมั่นในความคิดนี้อยู่ เพราะตามเหตุผลแล้วคนทั่วไปไม่น่าจะกล้าเป็นศัตรูกับผู้มีอิทธิพลที่มีกลุ่มพันธมิตรระดับทวีปให้การหนุนหลังอยู่ได้ แต่เคนเนธก็ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“หากมุ่งเป้าหมายมาที่คนกลุ่มเดียวเป็นการเฉพาะ และเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นซึ่งมีทรัพยากรในพื้นที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การจะทำเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งน่ะ บางทีคนที่อยู่เบื้องหลังอาจจะไม่รู้ก็ได้”
“ไม่รู้งั้นเหรอ?”
“ครับ พวกคนของกลุ่มอำนาจอื่นที่มาแฝงตัวในแวดวงต่าง ๆ น่ะ แม้จะมีความสัมพันธ์กันเป็นเครือข่ายเหมือนกับเป็นกลุ่มอิทธิพล แต่ส่วนใหญ่ก็จะปกปิดความสัมพันธ์กับทางต้นสังกัดเอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกพวกเราจับตา ขนาดหน่วยข่าวกรองเองยังมีรายชื่อของสายลับพวกนี้อยู่ไม่ครบเลย คนที่ลงมือในครั้งนี้อาจโจมตีโดยเห็นว่าเป็นเครือข่ายอำนาจกลุ่มเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มอำนาจที่มีเส้นสายเชื่อมโยงกับฝั่งโดมินาเรียก็ได้ พวกเขาถึงได้กล้าลงมือ
อีกอย่างคือการโจมตีในครั้งนี้มันฉาบฉวยเกินกว่าที่จะเป็นการยุแหย่ให้ทั้งสามฝ่ายเปิดศึกกัน ทั้งยังเอิกเกริกเกินกว่าที่กลุ่มอำนาจใหม่ซึ่งควรปกปิดตัวตนเป็นการลับจะทำด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่านี่เป็นกลุ่มอิทธิพลอิสระที่มีเหตุผลเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าน่ะครับ”
แม้จะยังรู้สึกไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง แต่คำอธิบายของเคนเนธก็ฟังดูมีเหตุผลชาร์ลจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีก ส่วนตัวแทนจากฝ่ายการทูตและฝ่ายการเมืองต่างก็พยักหน้ารับในเชิงเห็นด้วยเช่นกัน
“แต่ไม่ว่าผู้ที่ลงมือในครั้งนี้จะมีเจตนาอย่างไรและเป็นพิษภัยกับเราหรือไม่ ศักยภาพของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่เราจะละเลยไม่ได้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหาตัวพวกเขาให้พบ แน่นอนว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก แต่ก็ต้องขอรบกวนหน่วยข่าวกรองของคุณเซดดริกด้วยนะครับ”
เคนเนธกล่าวพลางมองไปยังเซดดริกด้วยรอยยิ้มอันเป็นมิตร ทำให้ทุกคนหันมองตามไปด้วย ซึ่งเซดดริกที่รู้สึกสนใจชายหนุ่มคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เอ่ยคำพูดออกมาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้ม แต่ดวงตาของเขายังคงความดุดันอยู่
“เรื่องนี้ความจริงทางเราก็กำลังดำเนินการอยู่แล้ว แต่โจทย์ที่เราใช้ในการค้นหายังคงเป็นกลุ่มอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอยู่ ถ้าดำเนินการค้นหาโดยลดเป้ามาที่กลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ด้วยก็น่าจะทำให้ตรวจพบร่องรอยได้ง่ายขึ้นนะ หรือถ้าเธอมีอะไรจะเสนอแนะก็ลองบอกมาได้เลย”
คำกล่าวของเซดดริกทำให้เคนเนธยิ้มออกมาราวกับเขากำลังรอคำนี้อยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงรีบบอกความคิดของเขาให้กับอีกฝ่ายในทันที
“ผมคิดว่าเราควรสืบสวนโดยใช้ ‘ผู้เสียหาย’ อย่างกลุ่มอิทธิพลของโดมินาเรียในกระทรวงศึกษาฯ เป็นตัวตั้งครับ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเรื่องส่วนตัว ดังนั้นควรดูว่าใครที่มีความบาดหมางกับคนกลุ่มนี้บ้าง หรือคนกลุ่มนี้เคยไปสร้างความบาดหมางให้กับใครเอาไว้ โดยไล่ดูตั้งแต่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของกลุ่มเช่นพวกขุนนางฝ่ายโดมินาเรียในราชสำนักที่เป็นผู้บัญชาการกลุ่มอิทธิพลสายนี้ แล้วไล่ลงมายังปลัดกระทรวง ก่อนจะขยายผลไปยังคนอื่น ๆ ในสายอำนาจครับ”
“หืม? คนอื่น ๆ ด้วยเหรอ? ถึงขั้นขุดรากถอนโคนยกสายแบบนี้ เป้าหมายหลัก ๆ ของผู้ก่อการก็น่าจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดที่อยู่ในราชสำนัก หรือไม่ก็ตัวปลัดกระทรวงนี่นา?”
“ผมแค่อยากจะเผื่อไว้น่ะครับ เพราะอีกฝ่ายอาจไม่คิดว่าเราจะมุ่งเป้าการสืบค้นไปยังคนตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ปลายสายและเผลอทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ก็ได้ รบกวนคุณเซดดริกด้วยนะครับ”
เซดดริกไม่ได้กล่าวตอบกลับไป เพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้เท่านั้น
ความจริงเคนเนธยังมีความคิดอีกอย่างคือเป้าหมายของการโจมตีในครั้งนี้อาจเป็นคนที่อยู่ในช่วงกลางหรือช่วงปลายของสายอำนาจก็ได้ แต่การจะขุดราดถอนโคนกลุ่มอำนาจทั้งสายเพื่อเล่นงานคนระดับกลางคนเดียวก็ดูจะเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลและเกินความจำเป็นไปเยอะ ราวกับเป็นการกระทำของหมาบ้า ซึ่งเคนเนธคิดว่าคนที่สามารถสร้างแผนการอันรัดกุมและเฉียบขาดเช่นนี้ขึ้นมาได้ไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น แต่เขาก็ยังไม่อยากตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปจึงวานให้เซดดริกช่วยดำเนินการตรวจสอบมาด้วย
การประชุมยังดำเนินต่อไปอีกพักหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วก็ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเป็นชิ้น ทุกคนจึงเห็นตรงกันว่าควรยุติการประชุมไว้แค่นี้และดำเนินการสอบสวนตามแนวทางที่เคนเนธได้กล่าวเอาไว้
เมื่อการประชุมจบลง ผู้ร่วมประชุมทุกคนต่างก็ลุกจากโต๊ะประชุมและเริ่มแยกย้ายกันกลับ มีเพียงเคนเนธเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ข้าง ๆ เก้าอี้ของตนเองเพื่อรอให้ผู้อาวุโสทุกคนออกไปจากที่ประชุมก่อน เป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง
เซดดริกหันกลับไปมองเคนเนธแวบหนึ่งพลางพิจารณาถึงความเห็นที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา และเริ่มเข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงเป็นที่กล่าวขานและได้รับการยอมรับจากบุคคลระดับสูงขององค์กรภายในเวลาอันสั้น เพราะความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเขานั้นไม่ด้อยไปกว่าเหล่าผู้อาวุโสขององค์กรเลย ทั้งยังมีมุมมองใหม่ที่คนอื่น ๆ อาจนึกไม่ถึงอีกด้วย
“เหมือนกับคุณไคเอ็นสมัยหนุ่ม ๆ ไม่มีผิด… ไม่สิ… ถ้าเทียบกับตอนที่อายุเท่ากันแล้ว บางทีอาจเหนือกว่าก็ได้…”
เพราะไม่ได้มีโอกาสได้พบปะหรือทำงานร่วมกันมากนัก เซดดริกจึงเคยได้ยินแต่คำร่ำลือหรือข้อมูลที่คนในหน่วยข่าวกรองรวบรวมมาให้เท่านั้น แต่ในวันนี้เมื่อได้มาพบกับตัวเองเขาจึงรู้สึกยอมรับในความสามารถของเคนเนธอย่างแท้จริง
เมื่อทุกคนออกจากห้องประชุมไปหมดแล้ว เคนเนธก็กลับไปยังห้องทำงานของตนเองและเปิดหน้าจอเวทมนตร์ขึ้นมาเพื่อดูข้อมูลของเหตุการณ์ในคราวนี้อีกครั้ง เขาทบทวนข้อมูลทั้งหมดอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรที่น่าจะใช้สืบสาวไปยังผู้ลงมือได้เลย เพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่นำไปสู่ทางตัน ราวกับว่าตัวหมากที่ใช้ดำเนินการในครั้งนี้ล้วนถูกเสกขึ้นมาจากอากาศธาตุ และมลายหายไปกับอากาศธาตุเมื่อเสร็จงาน
แม้การสืบสวนจะมาถึงทางตันเพราะไม่มีเบาะแสอะไรให้สาวต่อได้อีก แต่เคนเนธกลับเผยรอยยิ้มออกมา
มันเป็นรอยยิ้มที่สื่อถึงความพึงพอใจ เพราะสำหรับเขาแล้วเหตุการณ์ครั้งนี้ทั้งเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถและน่าสนุกไปในเวลาเดียวกัน
และความท้าทายคือสิ่งที่เคนเนธ นอร์ดิส คนนี้ชื่นชอบอยู่แล้ว