Doombringer the 5th - ตอนที่ 121
Ch.121 – ผู้สร้างหายนะของผู้สร้างหายนะ (2)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 117
ผู้สร้างหายนะของผู้สร้างหายนะ (2)
Part 1
ที่ห้องควบคุมของปราการซาลารัส (ชื่อชั่วคราว) ซึ่งอยู่ใต้คฤหาสน์ต่างมิติในเรล์มที่ซาลสร้างขึ้น เอ็มเมอริชกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้บัญชาการบริเวณกลางห้องพลางพิจารณาข้อมูลข่าวสารซึ่งถูกฉายขึ้นบนจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ซึ่งอยู่เบื้องหน้าไปด้วย
ห้องนี้เป็นห้องซึ่งมีพื้นที่เกือบ 81 ตารางเมตร โดยรอบห้องจะมีชุดควบคุมสำหรับเจ้าหน้าที่การณ์อยู่ห้าชุด แต่ละชุดประกอบไปด้วยโต๊ะขนาดใหญ่พร้อมกับแผงควบคุมและหน้าจอมอนิเตอร์ขนาด 24 นิ้วจำนวนสามหน้าจอ นี่เป็นโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นทหารในสังกัดของเอ็มเมอริชทั้งสิ้น
บนผนังของห้องยังมีจอมอนิเตอร์สำหรับสังเกตการณ์ติดตั้งอยู่โดยรอบและมีหน้าจอขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ตำแหน่งของมันตรงกับด้านหน้าของเก้าอี้บัญชาการซึ่งเอ็มเมอริชนั่งอยู่พอดี ในยามปกติมันจะเป็นหน้าจอที่ใช้รายงานสถานการณ์โดยรวมเท่านั้น
เอ็มเมอริชเฝ้าดูข้อมูลในหน้าจอใหญ่สลับกับหน้าจอเวทมนตร์อีกสามจอที่ถูกฉายขึ้นมาด้านหน้าของเขาพร้อมกับแผงควบคุมสามมิติ นี่เป็นการเฝ้าระวังเหตุผิดปกติซึ่งเขาทำเป็นประจำโดยไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะเอ็มเมอริชถือว่านี่เป็นหน้าที่อันสำคัญและการไม่เกิดเหตุผิดปกติขึ้นก็นับเป็นเรื่องดีแล้ว
วันนี้เป็นวันเสาร์ ซาลกับคุโระจึงนัดกันไปฝึกวิชาที่สมาคมนักเวทสีเทาเหมือนปกติ ส่วนการเตรียมพร้อมสำหรับวิชาต่อไปคือพื้นฐานการเคลียร์ดันเจี้ยนนั้นเขาได้มอบหมายให้ลูเซียนกับเทเรนซ์แอบไปวางดันเจี้ยนมิติตามพื้นที่ใกล้เคียงเอาไว้แล้ว เพื่อว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนออกไปสำรวจพื้นที่เพื่อค้นหาดันเจี้ยนมิติมาใช้เป็นดันเจี้ยนในการทดสอบจะได้บรรจุดันเจี้ยนที่อยู่ในการควบคุมของกองทัพซาลารัสเข้าไปด้วย เพียงเท่านี้การเคลียร์ภารกิจก็จะยิ่งง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ แถมซาลยังคิดว่าอาจใช้ดันเจี้ยนเหล่านี้ทำประโยชน์ในเรื่องอื่น ๆ ได้อีกด้วย
ในยามปกติซาลไม่ค่อยชอบให้มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดสักเท่าไหร่ เพราะเอ็มเมอริชผู้เคร่งครัดความปลอดภัยนั้นมักจะวางเครือข่ายสอดแนมและจับตาดูความเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรรอบตัวเขาแบบไม่เว้นช่องว่างแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ซึ่งซาลคิดว่าเป็นการดำเนินการที่เกินกว่าเหตุจึงมีคำสั่งว่าหากไม่ใช่การออกนอกเขตพื้นที่ซึ่งอยู่นอกเขตควบคุมของกองทัพซาลารัสจริง ๆ หรือไม่ใช่สถานการณ์พิเศษก็ไม่ต้องใช้การเฝ้าระวังในระดับนี้ เอ็มเมอริชจึงยอมผ่อนคลายการเฝ้าระวังลง แต่ก็มิวายที่จะให้มีการสอดส่องดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่โดยรอบหอคอยนักเวทสีเทาอยู่ดี
ในระหว่างที่มองดูหน้าจอสอนแนมที่ยังคงสงบเรียบร้อยอยู่นั้น เอ็มเมอริชก็ครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น ๆ ไปด้วย
“ถ้าเอาแต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเฝ้าระวังมันก็เป็นการสิ้นเปลืองจริง ๆ นั่นแหละ แถมเรายังทำได้แค่เฝ้าระวังด้วย หากเจอเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือความสามารถของเราขึ้นมาก็ได้แต่ประสานงานขอความช่วยเหลือไปยังกองพลอื่น… ดังนั้นแทนที่จะคอยเฝ้าระวังแต่เพียงอย่างเดียวก็สู้เจียดเวลาไปพัฒนากองพลของตัวเองจะดีกว่า สำหรับกองพลที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นหน่วยองค์รักษ์อย่างกองพลเอ็มเมอริชน่ะจะต้องรับมือกับภัยคุกคามได้ทุกรูปแบบ และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดด้วย… ไม่สิ ต้องรับมือได้แม้แต่กับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด… แบบนี้… เพิ่มจำนวนนายกองขึ้นอีก เป็นสักสิบสองคนจะดีมั้ยนะ…”
โดยปกติแล้วขุนพลแต่ละคนจะมีนายกองในสังกัดกี่คนก็ได้ตามแต่จะเห็นสมควร ทว่าเนื่องจากทรัพยากรที่นายพลแต่ละคนสามารถหาได้นั้นมีจำกัด การสร้างนายกองคู่ใจขึ้นมาจึงมีข้อจำกัดไปด้วย เพราะนายกองแต่ละคนควรมีพลังระดับเก้าเป็นอย่างน้อย แต่การพัฒนาร่างอัญเชิญให้มีระดับเก้าในทันทีนั้นจำเป็นต้องนำสมุนมาสังเวยเป็นจำนวนมาก ซึ่งจำนวนสมุนที่ขุนพลแต่ละคนมีอยู่ก็มาจากดันเจี้ยนในสังกัดของตนเองที่ได้รับการแบ่งสรรไปจากซาลนั่นเอง
จากการลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง ในที่สุดซาลและเหล่าขุนพลก็พบว่าระดับของสมุนที่คุ้มค่าต่อการนำมาใช้เป็นเครื่องสังเวยมากที่สุดก็คือสมุนระดับห้า เพราะใช้เวลาในการเลี้ยงค่อนข้างน้อย และให้พลังวิญญาณจากการสังเวยในอัตราที่เหมาะสม มันจึงเป็นทรัพยากรหลักในการพัฒนากองทัพของขุนพลแต่ละคน และถูกใช้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเหล่าขุนพลที่เรียกว่า ‘ยูนิท’ ด้วย ซึ่งหนึ่งยูนิทก็คือสมุนระดับห้าจำนวนหนึ่งตัวนั่นเอง
อัตราการผลิตสมุนอัญเชิญระดับห้าของขุนพลแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับพื้นที่ปกครองและความเอาใจใส่ในการดูแลดันเจี้ยน เช่นขุนพลที่รับผิดชอบด้านการสำรวจและการวางดันเจี้ยนโดยตรงอย่างลูเซียนกับเทเรนซ์นั้นจะมีดันเจี้ยนส่วนตัวเพิ่มขึ้นมาอีก ทำให้มีอัตราการผลิตมอนสเตอร์ค่อนข้างสูง คือมีกำลังการผลิต 80-90 ยูนิทต่อเดือน ส่วนขุนพลคนอื่น ๆ ที่มีพื้นที่ดันเจี้ยนรองลงมาก็จะมีกำลังการผลิตเดือนละ 50-60 ยูนิท สำหรับเอ็มเมอริชที่ไม่ค่อยเน้นการบริหารจัดการดันเจี้ยนเท่าไหร่มีอัตราการผลิตต่ำสุดคือราว ๆ เดือนละ 30-40 ยูนิทเท่านั้น
เดิมทีซาลคิดว่าจำนวนสมุนที่ใช้สังเวยเพื่อเลื่อนระดับนั้นจะเพิ่มขึ้นในอัตราประมาณสามเท่าต่อขั้นตามที่เขาเคยคำนวณเอาไว้คร่าว ๆ แต่ปรากฏว่าในความเป็นจริงแล้วตั้งแต่สมุนระดับแปดขึ้นไปจะใช้ปริมาณพลังวิญญาณมากขึ้นแบบก้าวกระโดดจึงจะเพิ่มระดับได้ คือจากที่เคยคิดว่าในการเลื่อนจากระดับเจ็ดไประดับแปดต้องใช้เครื่องสังเวยจำนวน 30 ยูนิท กลับต้องใช้มากถึง 60 ยูนิท และการเลื่อนจากระดับแปดไประดับเก้าก็ต้องใช้เครื่องสังเวยถึง 160-170 ยูนิททีเดียว ซึ่งเป็นเครื่องสังเวยจำนวนไม่น้อยเลย
นอกจากนี้ นายพลทุกคนยังต้องส่งมอบสมุนให้กับซาลเป็นจำนวน 20% ของสมุนที่เลี้ยงได้ในแต่ละเดือนด้วย เพื่อให้ซาลซึ่งมีตำแหน่งเป็นจอมพลมีทรัพยากรเป็นของตนเองและนำไปใช้ในการดำเนินการต่าง ๆ ได้ตามอัธยาศัย จำนวนสมุนที่เอ็มเมอริชสามารถนำมาใช้ได้จริง ๆ จึงน้อยลงไปอีก เขาจึงอาจต้องใช้เวลา 6-7 เดือนทีเดียวกว่าจะมียูนิทพอสร้างนายกองขึ้นมาได้สักหนึ่งคน
ปัญหาอีกอย่างคือการใช้ยูนิทจำนวนมากเพื่อสร้างนายกองก็จะทำให้ตัวขุนพลไม่มียูนิทสำหรับเพิ่มระดับให้ตนเอง ซึ่งในตอนนี้ขุนพลแต่ละคนต่างก็มีพลังอยู่ในระดับสิบด้วยกันทั้งสิ้น นี่เป็นพลังที่ได้จากการฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดสามปีและยังใช้เครื่องสังเวยอีกร่วม 500 ยูนิทจึงสามารถยกระดับพลังจากระดับเก้าขึ้นมาถึงระดับสิบได้ (จำนวนเครื่องสังเวยที่ต้องใช้จริง ๆ จึงน่าจะเยอะกว่านี้)
ยูนิตี้ นายพลระดับมันสมองของกองทัพซาลารัสเคยคำนวณเอาไว้ว่าการจะพัฒนาพลังจากระดับ 10 ไปยังระดับ S จะต้องใช้เครื่องสังเวยถึง 2,500-2,700 ยูนิทเลยทีเดียว ทำให้ขุนพลทุกคนต่างก็เร่งสร้างรากฐานให้กับกองพลของตนเองเพื่อเพิ่มกำลังผลิตในด้านต่าง ๆ และสั่งสมทรัพยากรเพื่อจะไปให้ถึงจุดนั้น หากเอ็มเมอริชนำทรัพยากรที่มีน้อยอยู่แล้วมาใช้ไปกับการสร้างขุนพล ก็จะทำให้การพัฒนาของเขาช้าลงไปอีก อาจถึงขั้นต้องยอมมีระดับพลังต่ำกว่านายพลคนอื่นก็ได้ ทำให้นี่เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก
“บางทีเราควรจะไปยื่นข้อเสนอกับลูเซียนหรือเทเรนซ์เพื่อขอเครื่องสังเวยจากเจ้าพวกนั้นมาดีกว่า… ไม่รู้ว่าสองคนนั่นจะต้องการอะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแบบบ้าง แต่นี่น่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดแล้ว…”
——————————————————————————–
Part 2
เมื่อตัดสินใจได้ เอ็มเมอริชจึงคิดจะเดินทางไปหาลูเซียนกับเทเรนซ์เพื่อทำการเจรจา แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะมีขุนพลสักคนอยู่เฝ้าห้องควบคุมเอาไว้ ความจริงนี่ไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไร แต่สำหรับคนที่มีนิสัยระแวดระวังอย่างเอ็มเมอริชแล้วย่อมไม่วางใจที่จะให้ห้องควบคุมขาดผู้บัญชาการระดับสูงไปได้
“ตอนนี้มีใครอยู่ในฐานบ้างนะ อืม… อ๊ะ นายพลเซธงั้นเหรอ…”
เมื่อทำการเปิดหน้าจอเวทมนตร์ขึ้นมาสำรวจรายชื่อของขุนพลที่ยังอยู่ในปราการซาลารัส เอ็มเมอรริชก็พบว่ามีแค่เซธเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นี่ แม้เขาจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อยเพราะแนวทางในการทำงานของทั้งสองไม่ค่อยเข้ากันในหลาย ๆ เรื่อง แต่เซธก็เป็นคนที่ทำงานอย่างจริงจัง และสำหรับเรื่องง่าย ๆ อย่างการเฝ้าห้องควบคุมนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เอ็มเมอริชจึงสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะใช้ระบบสื่อสารของเอ้าอี้บัญชาการติดต่อไปยังอีกฝ่าย
“เอ่อ… นายพลเซธครับ พอจะมีเวลาว่างรึเปล่าครับ?”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่มีเสียงตอบรับจากการติดต่อของเอ็มเมอริช จนทำให้เขาไม่แน่ใจว่าเซธกำลังหลับอยู่หรือไม่อยากจะรับสายกันแน่ แต่ในที่สุดก็มีเสียงตอบรับกลับมา
“โอ้ ก็ว่างอยู่พอดีนะ มีอะไรเหรอ?”
คำตอบของเซธทำให้เอ็มเมอริชรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ก็ยังเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความระมัดระวังเช่นเคย
“คือผมมีเรื่องจะต้องไปติดต่อกับนายพลลูเซียนและนายพลเทเรนซ์น่ะครับ แต่ก็ไม่อยากทิ้งห้องควบคุมไปเฉย ๆ ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปละก็ ช่วยมาเฝ้าห้องควบคุมแทนผมหน่อยได้รึเปล่าครับ?”
หลังได้ยินคำถามเซธก็นิ่งเงียบไปอีกครั้ง จนเอ็มเมอริชคิดว่าเขากำลังทำให้อีกฝ่ายลำบากใจจึง แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรเซธก็เทเลพอร์ทมายืนตรงด้านหน้าของเก้าอี้บัญชาการในห้องควบคุมทันทีพร้อมกับกล่าวคำตอบออกมา
“ได้สิ ไม่มีปัญหา นายมีอะไรต้องทำก็ไปเถอะ”
เพราะฝ่ายตรงข้ามยอมรับปากอย่างง่ายดายเหลือเชื่อทำให้เอ็มเมอริชรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยอมรับปากก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว จึงรีบลุกจากที่นั่งและกล่าวอำลาในทันที
“ทะ.. ถ้างั้นละก็ รบกวนด้วยนะครับ”
เมื่อพูดจบ เอ็มเมอริชก็เทเลพอร์ทออกจากห้องควบคุมไป ส่วนเซธก็เดินไปนั่งไขว่ห้างลงบนเก้าอี้บัญชาการก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากออกมา
ใช่ว่าเซธจะมีแผนการร้ายอะไรอยู่ในใจ เขาเพียงรู้สึกขบขันกับความจริงจังต่อหน้าที่ของเอ็มเมอริช ซึ่งยอมรบกวนคนอื่นเพื่อให้งานไม่มีจุดบกพร่อง ทั้งที่ความจริงห้องควบคุมแห่งนี้ไม่จำเป็นต้องมีผู้บังคับการระดับสูงคอยอยู่เฝ้าตลอดเวลาก็ได้
การที่เซธยอมตอบรับคำไหว้วานของเอ็มเมอริชเพราะเขาคิดว่าการให้เอ็มเมอริชติดหนี้เขาสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรแม้มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม และเขาก็กำลังว่างอยู่พอดีด้วย อย่างไรซะนี่ก็เป็นงานง่าย ๆ ที่แทบไม่ต้องทำอะไรอยู่แล้ว จะนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่ห้องขอตนเองหรือนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
หลังจากกวาดสายตามองดูรอบ ๆ พอเป็นพิธีแล้ว เซธก็นำหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของและเตรียมจะเปิดอ่าน แต่ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของห้องควบคุมก็ทักเขาซะก่อน
“เอ่อ… ท่านนายพลเซธครับ ช่วยดูทางนี้หน่อยสิครับ”
เพราะถูกขัดจังหวะในระหว่างที่กำลังจะอ่านหนังสือทำให้เซธขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไรมากมายจึงคืนสีหน้าปกติและเงยหน้าขึ้นมองหน้าจอใหญ่ตรงกลางห้องในทันที ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นบนหน้าจอก็มีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่คนเมื่อสักครู่ส่งขึ้นมา
มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นคำร้องของนักเรียนคนหนึ่งซึ่งขอเข้ารับการ ‘ทดสอบด้วยการประลอง‘ เพื่อเลื่อนห้องจากห้อง E ไปห้อง A ที่ทางห้องควบคุมรับรู้เรื่องนี้ได้ก็เพราะห้องควบคุมแห่งนี้ได้ทำการเจาะและเชื่อมระบบกับฐานข้อมูลของโรงเรียนเอาไว้ จึงรู้ความเคลื่อนไหวในระบบข้อมูลของโรงเรียนแทบทุกอย่าง แต่การจะจับตาดูข้อมูลทั้งหมดตลอดเวลาก็เป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองเวลามาก จึงมีการจับตาดูข้อมูลของนักเรียนเป็นการพิเศษแค่ไม่กี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือซาล ทำให้การยื่นคำร้องในครั้งนี้ส่งการแจ้งเตือนมายังห้องควบคุมของปราการซาลารัสด้วย
เพราะผู้ที่ระบบบันทึกเอาไว้ว่าเป็นผู้ยื่นคำร้องขอเข้ารับ ‘การทดสอบด้วยการประลอง’ ก็คือซาลารัส แฮลเซียน นั่นเอง
สิ่งนี้ทำให้เซธขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้งและมีสีหน้าประหลาดใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะการกระทำนี้เป็นอะไรที่ผิดไปจากแผนเก็บตัวที่ซาลเคยบอกกับเหล่าขุนพลเอาไว้มาก เหล่านายกองและเจ้าหน้าที่ในกองทัพส่วนใหญ่ก็รับรู้ถึงนโยบายนี้เช่นกัน เมื่อเห็นคำร้องแบบนี้เข้ามาในระบบโดยมีชื่อของซาลกำกับอยู่พวกเขาจึงรู้สึกสับสนอย่างช่วยไม่ได้
“มีการเปลี่ยนแปลงในแผนการอะไรรึเปล่าครับ? หรือว่า?”
เจ้าหน้าที่ของห้องควบคุมเอ่ยถามขึ้น ส่วนเซธที่เริ่มเผยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ออกมาก็ตอบอีกฝ่ายด้วยท่าทีสบาย ๆ
“เฮ้อ ท่านจอมพลก็แบบนี้แหละนะ คาดเดาอะไรไม่ได้เลย นี่คงจะคิดเล่นอะไรแผลง ๆ อีกมากกว่า แต่ยังไงเพื่อความแน่ใจฉันจะนำเรื่องนี้ไปสอบถามท่านดูก่อน พวกนายก็ทำหน้าที่กันต่อไปล่ะ เดี๋ยวฉันกลับมา”
เมื่อพูดจบ เซธก็เทเลพอร์ทออกจากห้องควบคุมไป โดยปล่อยให้เหล่าเจ้าหน้าที่ซึ่งยังคงมีสีหน้าสับสนทำงานกันต่อไปตามลำพัง
ทันทีที่เซธกลับมายังห้องของตัวเอง สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการเปิดหน้าจอสื่อสารขึ้นมาติดต่อกับนายกองคนสนิทสองคนของเขาซึ่งรับหน้าที่สืบข่าวภายในบริเวณและพื้นที่ใกล้เคียง และคนหนึ่งก็รับหน้าที่ติดตามดูความเคลื่อนไหวของซาลด้วย
หลังจากได้ฟังรายละเอียดจากเซธ นายกองที่อยู่ในหน้าจอด้านขวาก็ตอบกลับมาทันที
“เรื่องนี้… ไม่น่าจะเป็นการกระทำของท่านจอมพลนะครับ ผมน่ะ ‘เฝ้าดูแลความปลอดภัย’ ให้กับท่านมาตลอดวัน และวันนี้ท่านจอมพลไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้ฝ่ายธุรการของโรงเรียนเลย แม้แต่ตอนนี้ท่านก็ยังอยู่ที่หอคอยของสมาคมนักเวทสีเทาครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซธก็ลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวพึมพำกับตัวเอง
“น่าสนใจดีนี่… แต่การจะลงทะเบียนคำร้องนี้ในระบบก็ต้องใช้บัตรนักเรียนของจริงในการลงทะเบียน นอกจากนี้ยังต้องแปลงโฉมให้เหมือนกับท่านจอมพลเพื่อไปยื่นคำร้องด้วย… แล้วเจตนาในการทำแบบนี้คืออะไรกันล่ะ? กลั่นแกล้งให้ต้องไปพ่ายแพ้ต่อหน้าสาธารณะชนและเสียสิทธิ์ในการเลื่อนห้องเป็นเวลาหนึ่งปีงั้นเหรอ? รึว่า…”
เพราะยังมีหลายอย่างที่ไม่เข้าเค้า เซธจึงพยายามวิเคราะห์เรื่องราวในแง่ต่าง ๆ และในที่สุดเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา เหมือนกับว่านึกอะไรบางอย่างออก
“ถ้านี่ไม่ใช่การทำบัตรปลอมที่สามารถหลอกระบบของโรงเรียนได้ ก็แปลว่าเป็นบัตรจริงที่ถูกขโมยมา… คนที่ใกล้ชิดกับท่านจอมพลพอที่จะทำแบบนั้นได้ก็คือคุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ หรือไม่ก็ท่านลาซารัส… ควอตาร์ วันนี้ท่านจอมพลได้เจอกับท่านลาซารัสบ้างรึเปล่า?”
เซธเอ่ยถามไปยังคนสนิทซึ่งอยู่ในหน้าจอด้านขวาอีกครั้ง ซึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น ควอตาร์ก็แสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ก่อนจะกล่าวตอบ
“ใช่แล้วครับ วันนี้ท่านลาซารัสมาพบกับท่านจอมพลจริง ๆ แถมทั้งสองคนยังประมือกันด้วย… ไม่สิ ก่อนหน้าที่จะปะทะกันตรง ๆ เหมือนกับว่าท่านลาซารัสจะพยายามย่องเข้าไปล้วงกระเป๋าของท่านจอมพลด้วยครับ แต่เพราะเห็นเธอยังคงพยายามแย่งของต่อไป ผมเลยนึกว่าท่านลาซารัสยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการซะอีก…”
“นั่นเป็นกลลวงต่างหาก แสร้งทำเป็นแย่งชิงต่อเพื่อให้คิดว่ายังไม่ได้ของ จะได้ปลีกตัวกลับออกมาโดยไม่ถูกสงสัยไงล่ะ สมกับเป็นน้องสาวของท่านจอมพลจริง ๆ หึหึหึหึ… ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ก็ขนาดท่านจอมพลยังหลงกลเลยนี่ แต่แบบนี้ทุกอย่างก็ชัดเจนแล้ว นี่น่าจะเป็นฝีมือของท่านลาซารัสไม่ผิดแน่”
“ทะ.. ถ้างั้นเราควรจะทำยังไงดีครับ?”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ แค่จับตาดูความเคลื่อนไหวของท่านลาซารัสเอาไว้ก็พอแล้ว”
“เอ๋?”
ทั้งควอตาร์และนายกองซึ่งอยู่ในอีกหน้าจอหนึ่งต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เซธจึงกล่าวอธิบายด้วยสีหน้าที่เหมือนกับกำลังรู้สึกสนุกอยู่
“ท่านลาซารัสคงไม่มีเจตนาที่จะให้ท่านจอมพลต้องถูกปรับโทษจนเลื่อนห้องไม่ได้เป็นปี ๆ อยู่แล้ว ที่ทำแบบนี้คงเพราะอยากให้ท่านจอมพลเลื่อนห้องขึ้นไปไว ๆ มากกว่า ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนี่ ปล่อยให้เป็นไปตามนี้แหละ”
“ตะ.. แต่แบบนั้นมันจะเป็นการขัดต่อแผนของท่านจอมพลที่ไม่อยากเป็นจุดเด่นนะครับ”
“ผู้คนน่ะลืมง่าย ถึงเรื่องนี้จะได้รับการกล่าวขานกันไประยะหนึ่ง แต่ก็คงไม่ถึงกับเอามาเล่าลือกันซ้ำไปซ้ำมาเป็นปี ๆ หรอก พอกระแสซาลงไปแล้วท่านจอมพลก็จะได้อยู่ในที่ ๆ เหมาะสมกว่า และเข้ากับแผนการแฝงตัวมากกว่าด้วย”
“เอ๋?”
คนสนิททั้งสองยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เซธพูดสักเท่าไหร่ แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยถาม อีกฝ่ายก็ชิงสั่งการออกมาซะก่อน
“ยังไงก็ตามเราควรจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้องเพื่อที่จะแน่ใจได้ว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ไปจัดการสืบค้นเพื่อยืนยันเรื่องนี้ให้แน่นอนซะ ถ้าทุกอย่างเป็นจริงก็ดำเนินการตามที่บอก และปิดเรื่องนี้เป็นความลับจากท่านจอมพลและนายพลคนอื่น ๆ ด้วย”
“เอ่อ… แต่แบบนั้น ท่านเซธจะมีปัญหาภายหลังรึเปล่าครับ?”
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ฉันรับมือได้ พวกนายไปจัดการตามที่สั่งเถอะ”
“คะ.. ครับ…”
เมื่อการสนทนาเสร็จสิ้นลงแล้ว เซธก็ตัดการติดต่อกับนายกองทั้งสองในทันที ทำให้หน้าจอเวทมนตร์ที่ใช้ในการสื่อสารกับทั้งคู่หายวับไป
สำหรับเซธที่ดำเนินเรื่องนี้โดยพลการนั้นกลับมีสีหน้าที่แสดงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ในความมั่นใจนั้นยังปนความรู้สึกตื่นเต้นอยู่ด้วย เพราะเขาแทบรอให้ถึงวันที่การประลองจะเริ่มขึ้นไม่ไหวแล้ว
——————————————————————————–
Part 3
เช้าวันต่อมา
เพราะเป็นวันก่อนเริ่มวิชาใหม่ ซาลจึงกำหนดให้วันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อนตามอัธยาศัย ถึงกระนั้นโดยปกติแล้วเขากับคุโระก็มักจะใช้เวลาในวันหยุดร่วมกันอยู่ดี แต่ในวันนี้กลับแตกต่างออกไป เพราะซาลได้รับจดหมายนัดพบตั้งแต่เมื่อวาน ในจดหมายระบุเวลานัดเอาไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ ทำให้เขาต้องรีบไปตามนัด
เมื่อเป็นเช่นนั้น คุโระจึงคิดว่าวันนี้เขาจะลองเข้าไปเที่ยวในเมืองจูริสไพร์มดูสักครั้ง ถึงเขาจะอยากไปพร้อมกับซาลมากกว่า แต่การลองไปสำรวจร้านรวงต่าง ๆ ดูก่อนก็เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว
ทว่าเพียงแค่เดินลงมาถึงหน้าหอพัก คุโระก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งใกล้เข้ามาด้วยความเร็วสูง จนเจ้าตัวต้องหันไปมอง
ทันทีที่หันไป เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นก็มาหยุดเอี๊ยดอยู่ตรงหน้าคุโระแล้ว ทำให้เขาถึงกับผงะเพราะยังไม่ทันตั้งตัว แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจมากยิ่งกว่าก็คือผู้ที่มา
“คุณซาล? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ? ไม่ใช่ว่ามีนัดเหรอ?”
ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือซาล แต่คุโระก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างแตกต่างออกไป เพราะวันนี้เครื่องแบบนักเรียนที่เขาสวมนั้นดูหลวมกว่าปกติ แถมเจ้าตัวยังพันผ้าพันคอผืนใหญ่เอาไว้จนทำให้มองเห็นใบหน้าบางส่วนไม่ถนัดอีกด้วย แต่ทั้งเค้าหน้า, สีผม, และดวงตาสีส้มอำพันที่ทอประกายสีทองออกมานั้นก็ไม่น่าจะเป็นใครอื่นไปได้
“โอ้ เรื่องนั้นน่ะเรียบร้อยแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะงั้นเราก็ไปกันเถอะ!”
ซาลเอ่ยตอบกับคุโระด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ ที่ดูจะแหลมสูงขึ้นกว่าปกติแต่ก็พยายามดัดให้ทุ้มต่ำลงในเวลาเดียวกัน ทำให้เขาต้องรู้สึกประหลาดใจ
“เอ๋? ทำไมเสียงของคุณซาลถึง… รึว่าจะเป็นหวัด? เพราะงั้นถึงต้องพันผ้าพันคอมาแบบนี้สินะ… แต่เมื่อวานก็ยังดี ๆ อยู่เลยนี่นา แถมนี่ยังเป็นช่วงกลางหน้าร้อนด้วย ทำไมถึงเป็นหวัดได้ล่ะเนี่ย…”
การถามว่าทำไมถึงเป็นหวัดในฤดูร้อนได้เป็นเรื่องที่ดูจะเสียมารยาทไปสักหน่อย คุโระจึงไม่คิดจะซักไซ้อะไร และถามถึงกำหนดการของวันนี้แทน
“ถ้าคุณซาลทำธุระเสร็จแล้วก็ดีแล้วล่ะครับ ว่าแต่เราจะไปไหนกันเหรอครับ?”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ซาลก็มีสีหน้าเหมือนกับกำลังยิ้มกริ่มและคว้ามือของคุโระเอาไว้ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความร่าเริง
“ไปยังที่ ๆ เราควรอยู่ไงล่ะ!”
เมื่อพูดจบ ซาลก็ออกวิ่งโดยฉุดมือของคุโระให้วิ่งไปด้วยกัน ทำให้เจ้าตัวที่ถูกลากดึงไปด้วยนั้นต้องรีบวิ่งตามจนเกือบจะขาขวิด แต่ก็ยังพอรักษาสมดุลและปรับฝีเท้าให้อยู่ในระดับเดียวกับซาลและวิ่งไปด้วยกันได้
ในวันนี้ทั้งท่าทาง, การกระทำ, และการพูดของซาล ล้วนแตกต่างไปจากยามปกติค่อนข้างมาก จนทำให้คุโระอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ แต่ในความประหลาดนั้นก็มีความรู้สึกอันคุ้นเคยและเป็นกันเองอยู่จนทำให้เขารู้สึกสับสน แต่สิ่งที่ทำให้คุโระสับสนมากที่สุดก็คืออุ้งมือของซาลที่กำลังกุมมือของเขาและพาวิ่งไปด้วยกันนี้
“มือของคุณซาลนี่เล็กจังเลยแฮะ… แถมยังนิ่มด้วย… มะ.. ไม่สิ นี่เราคิดอะไรอยู่เนี่ย!?”
ไม่รู้ทำไมคุโระถึงรู้สึกใจเต้นขึ้นมาแวบหนึ่งเพราะอุ้งมือของซาลที่กำลังจับมือเขาอยู่ ทำให้เจ้าตัวต้องรีบสลัดความรู้สึกแปลก ๆ นี้ทิ้งไปและพยายามคิดถึงเรื่องอื่นแทน จนไม่ได้พิจารณาต่อว่าคนที่กำลังลากมือของเขาวิ่งไปด้วยกันนี้อาจไม่ใช่คนที่เขาคิด