Doombringer the 5th - ตอนที่ 122
Ch.122 – เหยื่อของความเกลียดชัง
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 118
เหยื่อของความเกลียดชัง
Part 1
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นหนึ่งชั่วโมง เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ซาลกำลังมุ่งหน้าไปยังสวนหย่อมด้านหลังของเขตหอพักสำหรับนักเรียนปีหนึ่ง เพราะเขาได้รับจดหมายนัดพบให้ไปเจอที่นั่น
เมื่อเดินไปถึง ซาลก็ได้เห็นเด็กผู้หญิงผมเปียกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ต้นไม้ เธอมีเส้นผมสีแดงจาง ๆ ถักเป็นเปียคู่ เข้ากับใบหน้าที่ดูอ่อนโยนและบุคลิกที่ดูเรียบร้อย แม้เธอจะยังไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเท่ากับหญิงสาวที่โตเต็มวัย แต่ใครที่ได้เห็นก็ต้องคิดเหมือนกันว่าในไม่ช้าเด็กผู้หญิงคนนี้ต้องโตขึ้นมาเป็นสาวงามคนหนึ่งแน่ ๆ
เธอก็คือทาลิส อาเทเลีย ผู้ที่ส่งจดหมายนัดให้ซาลมาพบนั่นเอง
ซาลหยุดมองเด็กสาวที่นั่งอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์อันสงบร่มรื่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ใช่ว่าเขาจะถูกความงามของเธอดึงดูดสายตาไป แต่เพราะการได้พบกันในลักษณะนี้ทำให้ซาลอดนึกถึงทาลิสอีกคนหนึ่งไม่ได้
คนที่อยู่ตรงหน้านี้มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับทาลิสที่เขาเคยรู้จักมาก แต่ซาลก็รู้ดีว่าเธอก็ไม่ใช่ทาลิสคนนั้น ความจริงคือเขารู้ดีว่าทาลิส อัลเทีย อาจเป็นตัวตนที่ไม่มีอยู่จริงมาตั้งแต่แรกและเป็นเพียงรูปลักษณ์ที่ถูกยืมมา แต่เมื่อได้เห็นบุคลิกของทาลิสคนนี้ซึ่งทั้งดูสุภาพเรียบร้อยและตรงกับสิ่งที่ทาลิสในความทรงจำของเขาควรจะเป็นแทบทุกอย่างก็ทำให้ซาลเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมา
ความหวังที่ว่าความทรงจำในอดีตของเขาอาจไม่ใช่ภาพลวงตาทั้งหมด อย่างน้อยทุกคนที่เขารู้จักก็เป็นตัวตนที่มีอยู่จริง ไม่ใช่แค่เปลือกที่ถูกยืมมา นั่นคือเหตุผลที่เขายอมมาตามคำเชิญในครั้งนี้
“เราเองก็… ยังตัดใจเรื่องนี้ไม่ได้สินะ…”
ซาลยิ้มออกมาด้วยดวงตาที่ฉายแววความเศร้าอยู่เล็กน้อย เขาเคยคิดว่าตัวเองก้าวข้ามเรื่องของเพื่อน ๆ ในโรงเรียนอีจิสไปได้แล้วและไม่คิดที่จะใส่ใจมันอีก ทว่าตั้งแต่ได้พบกับทุกคนในวันปฐมนิเทศ ซาลก็รู้สึกตัวว่าเขายังตัดใจในเรื่องนี้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เขาเข้าใจดีว่าต่อให้ทุกคนมีอุปนิสัยพื้นฐานเหมือนกับที่เขาเคยรู้จักจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องในอดีตเท่านั้น เพราะตอนนี้เวลาก็ผ่านมาเกือบสามปีแล้ว แม้มันจะเป็นเวลาไม่มากนัก แต่สำหรับเด็กที่เพิ่งจะอายุ 12 ปีอย่างพวกเขามันคือหนึ่งในสี่ของช่วงชีวิตเลยทีเดียว
เขาไม่รู้ว่าในช่วงเวลาเหล่านี้ทุกคนจะไปพบเจอกับเรื่องราวอะไรมาบ้าง และสิ่งเหล่านั้นจะทำให้แต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน ซาลจึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกับผู้คนที่เขาเคยรู้จัก เขาหวังเพียงจะได้เห็นส่วนเสี้ยวของคนที่เขาเคยรู้จักอยู่ภายในตัวของเด็กเหล่านี้บ้าง แค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว
หลังจากสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสมาธิอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เดินตรงเข้าไปหาทาลิส ซึ่งอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าซาลมาถึงแล้วก็ลุกขึ้นจากม้านั่งและกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มในทันที
“สวัสดีจ้ะ เรายังไม่เคยแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการเลยสินะ? ฉันทาลิส อาเทเลีย เป็นเพื่อนของลาซ ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”
“ครับ ผมซาลารัส แฮลเซียน… ความจริงก็น่าจะรู้จักผมอยู่แล้วล่ะนะ ว่าแต่… ที่นัดผมออกมานี่ มีธุระอะไรเหรอครับ?”
เพราะจริง ๆ แล้วนี่คือการรู้จักกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก ซาลจึงพูดกับทาลิสด้วยภาษาสุภาพ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มออกมาพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจ ทำให้ซาลต้องนึกสงสัยว่าเขาทำอะไรผิดไปรึเปล่า
“เอ่อ… ทำไมเหรอครับ?”
“อ้อ ก็ไม่มีอะไรหรอก… ฉันแค่นึกว่าเธอจะเป็นคนที่มีนิสัยห่าม.. มะ.. หมายถึง เถรตรงและเป็นกันเอง เหมือนกับลาซน่ะ”
เพราะเกือบจะหลุดคำที่ไม่เหมาะสมออกมาทำให้ทาลิสต้องหลบสายตายไปทางอื่นด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนซาลก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะตอบกลับไป
“ถึงจะเป็นฝาแฝดแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมีนิสัยเหมือนกันนะครับ”
“อืม… นั่นสินะ…”
แม้จะแค่แวบหนึ่งแต่ซาลก็รู้สึกว่าทาลิสมองมายังเขาด้วยแววตาที่แสดงความรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเธอคาดหวังอะไรอยู่ และรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่อาจไม่ควรถาม แต่เพราะอยากจะรู้จักกับทาลิสคนนี้ให้มากขึ้น ซาลจึงเอ่ยถามออกไปในที่สุด
“ผมทำให้ผิดหวังเหรอครับ?”
“เอ๋? มะ.. ไม่ใช่แบบนั้นนะ อย่าเข้าใจผิดสิ ฉันแค่คิดว่าเธอแตกต่างไปจากที่ฉันเคยคิดไว้เท่านั้นเอง”
เพราะถูกถามแบบไม่ทันตั้งตัวทาลิสจึงตอบกลับมาอย่างตะกุกตะกักแถมยังมีสีหน้าเหมือนกับรู้สึกผิดอีกด้วย แต่ซาลก็ยังคงจี้ถามต่อไปโดยไม่สนใจท่าทางของอีกฝ่าย เพราะเขาคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้แหละที่เหมาะจะใช้เรียนรู้นิสัยของฝ่ายตรงข้ามมากที่สุดแล้ว
“แล้วเคยคิดไว้ว่าผมเป็นคนแบบไหนเหรอครับ?”
“กะ.. ก็… เธอดูเป็นคนจริงจังและเป็นผู้ใหญ่กว่าที่ฉันคิดเอาไว้น่ะ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการวางตัว ผิดจากที่ฉันคาดเอาไว้มากเลย…”
ทาลิสยังรู้สึกว่าความเป็นผู้ใหญ่นั้นไม่ใช่แค่การแสดงออกภายนอก เพราะเธอสัมผัสได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่จากภายในดวงตาของเขา มันส่องประกายอันลึกล้ำเหมือนกับคนที่ได้พบพานเรื่องต่าง ๆ มานับไม่ถ้วน เป็นแววตาที่เธอมักจะเห็นในผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ซาลกลับมีมัน ทำให้ทาลิสรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ซาลไม่รู้ว่าทาลิสมองดูเขาอย่างลึกซึ้งได้ถึงขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาเพียงคิดว่าอีกฝ่ายใช้ลาซเป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบเท่านั้น จึงได้ประเมินผิดพลาดไป
“ถ้าคิดว่าผมจะเหมือนกับลาซ ก็ต้องผิดคาดอยู่แล้วล่ะนะครับ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นสีหน้าของทาลิสก็เปลี่ยนไปแวบหนึ่ง แต่เธอก็ปรับสีหน้ากลับมาเป็นอย่างเดิมและพูดกับซาลด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“เธอคิดว่าลาซมีนิสัยเหมือนเด็กงั้นเหรอ? หุหุหุ จริงอยู่ว่าลาซน่ะดูเหมือนเป็นคนที่ทำอะไรตามใจและไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่นั่นก็เป็นเพราะนิสัยตรงไปตรงมาของเธอเท่านั้นเอง ที่สำคัญคือท่าทางร่าเริงนั่นน่ะ…”
เพราะสีหน้าที่เปลี่ยนไปชั่วครู่ของทาลิสทำให้ซาลรู้สึกว่าเขาได้พูดอะไรผิดไปสักอย่าง อีกทั้งเรื่องเกี่ยวกับลาซยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาสนใจด้วย ซาลจึงรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ทาลิสที่เห็นท่าทางนั้นกลับหยุดไปกลางคันพลางยิ้มออกมา ราวกับตั้งใจจะแกล้งคนฟังให้อึดอัดเล่น
ทาลิสก้าวเดินออกไปพลางกวาดสายตามองดูทิวทัศน์โดยรอบไปด้วยเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เธอจะหันกลับมาพูดกับซาลอีกครั้ง
“เธอเองก็น่าจะพอรู้ดีอยู่แล้วนะ ว่าคนที่เป็นทายาทของผู้สร้างหายนะจะได้รับการปฏิบัติจากคนรอบข้างยังไง ขนาดคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ศาสตร์มืดเพียงเล็กน้อยอย่างฉันยังถูกเหยียดหยามและกลั่นแกล้งราวกับเป็นแมลงสาบตัวหนึ่ง คิดว่าลาซจะต้องเจอกับอะไรบ้างล่ะ?”
คำพูดของทาลิสทำให้หัวใจของซาลเกิดอาการกระตุกขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาพอรู้อยู่แล้วว่าลาซคงเคยผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย แม้ตัวเขาเองจะได้รับการปฏิบัติค่อนข้างดีในโรงเรียนมายาอย่างโรงเรียนอีจิส แต่ในโรงเรียนอีจิสไพร์มเขาก็ได้เห็นแล้วว่าจริง ๆ คนทั่วไปจะปฏิบัติต่อทายาทของผู้สร้างหายนะอย่างไร แถมนี่ยังเป็นโรงเรียนสำหรับนักผจญภัยรุ่นสามัญซึ่งเป็นกลุ่มเด็กโตแล้วด้วย หากเป็นโรงเรียนสำหรับนักผจญภัยรุ่นเยาว์ซึ่งยังเป็นกลุ่มเด็กเล็กที่ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ การแสดงความเกลียดชังนั้นคงจะรุนแรงมากกว่านี้หลายเท่า
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจก็คือทาลิสคนนี้ก็เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ศาสตร์มืด ถือเป็นประวัติที่ใกล้เคียงกับทาลิสที่เขาเคยรู้จัก แต่ตอนนี้เขามีเรื่องที่ให้ความสนใจมากกว่า
ทาลิสที่เห็นสีหน้าจริงจังของซาลก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยราวกับพึงพอใจในปฏิกิริยานั้น เธอมองไปยังทิวทัศน์โดยรอบอีกครั้งก่อนจะหันกลับมาเอ่ยคำพูดกับซาล
“ฉันมีเรื่องตอนที่ฉันได้พบกับ ‘คนพิลึก’ คนนึงอยากจะเล่าให้เธอฟัง เธอสนใจจะฟังรึเปล่า?”
แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อออกมาตรง ๆ แต่ซาลรู้ว่าทาลิสหมายถึงใคร เขาจึงพยักหน้ารับ ส่วนทาลิสก็เริ่มเล่าเรื่องของเธอออกมา
มันเป็นเรื่องราวเมื่อสามปีก่อน สมัยที่ทาลิสเพิ่งจะย้ายมายังจูริสได้ไม่นานนัก
——————————————————————————–
Part 2
ตระกูลอาเทเลียถือเป็นตระกูลที่มีฐานะตระกูลหนึ่งในอาณาจักรอินิสตร้า ทวีปโดมินาเรีย
ทว่าวันหนึ่งก็มีคนในตระกูลต้องข้อกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดเข้าและถูกทางการจับตัวไป เรื่องนี้ส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของตระกูลอาเทเลียอย่างมาก ทำให้ทั้งกิจการและคนในตระกูลถูกคว่ำบาตรจากชาวเมือง เพราะการมีส่วนพัวพันกับกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดถือเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับคนในยุคนั้น เนื่องจากโลกเพิ่งผ่านการรุกรานครั้งที่สี่ไปได้ไม่นานนัก ความตื่นตัวของผู้คนที่แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังต่อกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดจึงมีความเข้มข้นจนแทบจะกลายเป็นความหวาดระแวงไป
เพราะทนต่อแรงกดดันจากรอบข้างไม่ไหว ตระกูลอาเทเลียจึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากใหม่ยังอาณาจักรเอ็นซิสของทวีปจูริสแทน ทาลิสซึ่งเป็นหลานสาวของตระกูลจึงต้องย้ายโรงเรียนตามมาด้วย
แม้จะอยู่ในภาวะลำบากจากชื่อเสียงที่มัวหมอง แต่ตระกูลอาเทเลียก็ยังจัดเป็นตระกูลที่มีฐานะดี พ่อแม่ของทาลิสจึงให้เธอเข้าเรียนในโรงเรียนอันดับหนึ่งของเขตนั้น เพราะคิดว่าสังคมของโรงเรียนแบบนี้น่าจะเป็นสังคมที่ดีและเป็นมิตรต่อทาลิสมากกว่า ทว่านั่นก็เป็นความคิดที่ผิด
เพราะเป็นโรงเรียนชื่อดัง ทำให้เด็ก ๆ ในโรงเรียนจำนวนมากเป็นบุตรหลานของพวกชนชั้นสูง ซึ่งหลายคนก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตระกูลอาเทเลียมาบ้าง ทำให้ทายาทของพวกเขารับรู้เรื่องราวเหล่านี้ไปด้วย และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทาลิสต้องพบกับความยากลำบาก
เพราะประวัติทางบ้านทำให้ทาลิสถูกตั้งแง่รังเกียจและเป็นเป้าของการกลั่นแกล้งมากมาย ในตอนเช้าเมื่อเปิดประตูห้องออกมา บางครั้งเธอก็ต้องพบว่ามีกับดักถังน้ำถูกเตรียมเอาไว้ซึ่งกลไกของมันจะทำงานทันทีที่เธอเปิดประตู กับดักนี้ยังถูกวางกระจัดกระจายกันไปตามจุดต่าง ๆ ในหอ ทำให้เป็นการยากที่จะระวังและหลบเลี่ยงมันได้ทั้งหมด หลายครั้งทาลิสจึงต้องออกจากหอมาในสภาพที่เปียกปอนไปทั้งตัว
เส้นทางจากหอไปยังโรงเรียนนั้นมีระยะทางราว ๆ 300 เมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยพุ่มไม้และต้นไม้นา ๆ พันธุ์ราวกับเป็นเขตชายป่า ในระว่างที่ทาลิสเดินผ่านเส้นทางนี้ก็มักจะมีก้อนดินโคลนถูกขว้างปาออกมาจากแนวพุ่มไม้ ทำให้เสื้อและกระโปรงของเธอต้องเปรอะเปื้อน แม้จะไม่เห็นตัวว่าคนลงมือเป็นใคร แต่ทาลิสก็พอจะรู้ว่านี่เป็นฝีมีของกลุ่มเด็กที่เป็นลูกหลานของชนชั้นสูงในโรงเรียนนั่นเอง
แรก ๆ คนกลุ่มนั้นจะหยุดมือหลังจากทำให้ชุดของทาลิสต้องเปื้อนโคลนได้เพียงเล็กน้อย แต่ยิ่งนานวันเด็กเหล่านั้นก็ยิ่งคึกคะนอง ทาลิสเคยได้ยินเสียงโหวกเหวกจากในพุ่มไม้ท้าทายแข่งขันกันว่าใครจะปาก้อนโคลนให้โดนศีรษะของเธอได้ หรือทำให้ชุดของเธอเปื้อนโคลนได้มากที่สุด การปาโคลนในเส้นทางไปโรงเรียนนี้จึงไม่หยุดจนกว่าศีรษะและชุดของทาลิสเต็มไปด้วยดินโคลน
ในช่วงแรกทาลิสก็พยายามวิ่งหนีหรือเดินอ้อมออกนอกเส้นทาง แต่ก็มักจะมีคนไล่ตามหรือดักรอเพื่อขว้างปาดินโคลนใส่เธออยู่จนดี ที่แย่กว่านั้นคือตามพื้นจะมีใบหญ้าถูกมัดปมเป็นกับดักเอาไว้ทำให้เธอต้องสะดุดล้มหากวิ่งไม่ระวัง และทันทีที่เธอล้มก้อนโคลนจำนวนมากก็จะประดังกันเข้ามาจนแทบจะฝังเธอให้กลายเป็นรูปปั้นโคลน ในที่สุดทาลิสก็ต้องยอมรับชะตากรรมและเดินผ่านเส้นทางปาโคลนนี้ทุกวัน สิ่งที่เธอทำได้มีแค่การเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ไปเปลี่ยนที่โรงเรียนเท่านั้น
ในห้องเรียนทุกคนจะทำเหมือนทาลิสไม่มีตัวตนอยู่ที่นั่น ทั้งไม่ยอมพูดคุยทักทายหรือชักชวนเข้ากลุ่ม แต่เวลาที่พวกเด็กเกเรเดินผ่านก็จะจงใจเดินชนไหล่ให้ของที่เธอถือต้องหล่นลงพื้น หรือแกล้งเดินชนโต๊ะ-เก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ในระหว่างที่เธอกำลังอ่านหรือเขียนหนังสือ แม้ว่าเมื่อเทียบกับการกลั่นแกล้งในช่วงเช้าแล้วนี่จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่การถูกเมินจากทุกคนในห้องก็ทำให้เธอมีปัญหาในการเรียนอย่างช่วยไม่ได้
สำหรับช่วงพักกลางวัน อาหารกลางวันจะเป็นอาหารชุดที่ทางโรงเรียนเตรียมให้ แต่อาหารของทาลิสจะมีคนไปรับให้ก่อนแล้วและวางทิ้งเอาไว้ให้เธอไปหยิบเป็นคนสุดท้าย ทว่าภายในอาหารจะถูกผสมคลุกเคล้าไปด้วยดินและทรายจนกินไม่ได้ แต่ละวันเธอจึงต้องซื้อขนมขบเคี้ยวจากโรงอาหารมากินเป็นมื้อกลางวันแทน
ช่วงเย็นถือเป็นช่วงที่ค่อนข้างสงบ เพราะทุกคนเลิกเรียนพร้อมกัน และทาลิสจะรีบตรงกลับหอทันทีจึงไม่มีใครเตรียมการดักรอเพื่อที่จะกลั่นแกล้งเธอในระหว่างทางกลับหอพักได้ทัน แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อทาลิสกลับมาที่ห้องและเปิดผ้าห่มออกเพื่อเตรียมจะเข้านอนเธอก็ต้องตกตะลึง เพราะใต้ผ้าห่มนั้นเต็มไปด้วยตัวหนอนและแมลงมากมายถูกซุกอยู่ ทำให้เธอต้องหนีออกไปนอนที่นอกระเบียงห้องแทน แม้เหตุการณ์ลักษณะนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน ทว่าในแต่ละสัปดาห์มันก็เกิดขึ้นหลายครั้ง ทาลิสรู้มาว่ามันเป็นฝีมือของนักเรียนห้องอื่นที่เลิกเรียนก่อนและถูกกลุ่มเด็กเกเรของห้องสั่งให้หาหนอนแมลงมาซุกไว้บนที่นอนของเธอ
ใช่ว่านักเรียนทุกคนจะรวมหัวกันกลั่นแกล้งเธอ คนที่ทำเป็นเพียงนักเรียนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะเหล่าหัวโจกของกลุ่มเป็นพวกลูกหลานของชนชั้นสูงจึงไม่มีใครกล้าคัดค้านการกระทำของพวกเขา แม้แต่อาจารย์ของโรงเรียนก็ยังไม่อยากมีปัญหากับผู้ปกครองของนักเรียนเหล่านี้จึงทำการตักเตือนแค่พอเป็นพิธี แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะลงมือแก้ปัญหาอะไรอย่างจริงจังและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปในที่สุด
เพราะรู้ว่าทางบ้านกำลังประสบปัญหา ทาลิสจึงไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของเธอ เธอไม่อยากเพิ่มปัญหาให้กับพวกท่านมากกว่าที่เป็นอยู่ ทุกครั้งที่มีความคิดอยากจะหนีไปจากที่นี่แวบเข้ามาในหัวทาลิสจึงต้องฝืนกล้ำกลืนความรู้สึกนั้นไป สิ่งที่เธอทำได้มีแค่ก้มหน้ารับชะตากรรมและพร่ำบอกกับตัวเองทั้งน้ำตาว่าสักวันช่วงเวลาแบบนี้จะต้องผ่านพ้นไป แม้เธอจะไม่แน่ใจว่าจะสามารถทนอยู่ได้ถึงวันนั้นรึไม่ก็ตาม
ชีวิตที่เหมือนกับนรกบนดินนี้ดำเนินไปเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน สีหน้าและแววตาของทาลิสหมองคล้ำลงจนแทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ผลจากการกินไม่เต็มอิ่ม นอนไม่เต็มตื่น แถมยังถูกกลั่นแกล้งจนเกิดความเครียดสะสมเป็นเวลานานเริ่มส่งผลออกมาให้เห็น ในตอนนี้เธอแทบไม่เหลือเค้าของเด็กสาวที่น่ารักและร่าเริงราวกับดอกไม้บานอีกต่อไป แต่เหมือนกับร่างอันไร้วิญญาณที่กำลังเหี่ยวแห้งลงเรื่อย ๆ มากกว่า
แต่แล้วในวันหนึ่งก็มีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามาในห้อง ความจริงทาลิสก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้นัก เพราะจิตใจที่เริ่มชาด้านทำให้เธอไม่คิดจะสนใจความเป็นไปโดยรอบ แต่ทันทีที่นักเรียนคนนั้นกล่าวแนะนำตัว ดวงตาอันว่างเปล่าของทาลิสก็ต้องเบิกโพลงขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะคำแนะนำตัวของนักเรียนคนนั้นก็คือ
“ฉัน ลาซารัส แฮลเซียน ทายาทของซารามอธ ผู้สร้างหายนะคนที่สี่ จะเรียกฉันว่าลาซก็ได้นะ ยินดีที่ได้รู้จักจ้า!”
——————————————————————————–
Part 3
ในวันรุ่งขึ้น ชีวิตที่เต็มไปด้วยการถูกกลั่นแกล้งของทาลิสก็หยุดลง
มันเป็นช่วงเวลาอันสงบสุขที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว จนเพียงแค่การเดินไปถึงโรงเรียนโดยไม่มีดินโคลนเปื้อนเสื้อผ้าก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
ทาลิสรู้ดีว่าทำไมถึงไม่มีใครมาดักรอเพื่อกลั่นแกล้งเธอเหมือนที่แล้ว ๆ มา
นั่นเพราะเด็กเกเรพวกนั้นมีเป้าหมายใหม่แล้ว ก็คือทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่นั่นเอง
ทาลิสรู้สึกแย่ที่มีคนต้องมาพบกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกโล่งอกและดีใจที่ความทรมานนี้ได้สิ้นสุดลง ความขัดแย้งนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทว่าทาลิสก็ได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้และภาวนาให้ทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่คนนั้นสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายไปได้
เพราะไม่ถูกก่อกวนในระหว่างเดินทาง ทาลิสจึงมาถึงห้องเรียนแต่เช้าตรู่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน ในห้องมีนักเรียนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมกับการกลั่นแกล้งทยอยกันมาจนครบ ทุกคนต่างก็เหลือบมองทาลิสด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดก่อนที่จะไปนั่งยังที่นั่งของตัวเอง ซึ่งทาลิสก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเพื่อนนักเรียนเหล่านี้ เพราะเธอเข้าใจดีว่าทุกคนมีทางเลือกไม่มากนัก
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งถึงเวลาเริ่มเรียน อาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามาในห้องเรียน ทว่ายังมีนักเรียนอีกกว่าสิบคนที่ยังมาไม่ถึง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนที่เป็นเป้าของการกลั่นแกล้ง ตอนที่ทาลิสเป็นเป้าหมายเธอก็ต้องเสียเวลาเกือบชั่วโมงในการทำความสะอาดชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนชุดใหม่ก่อนจะเข้าห้องเรียน แต่ที่น่าแปลกใจคือแม้แต่กลุ่มเด็กเกเรที่เป็นคนกลั่นแกล้งก็ยังมาไม่ถึงห้องด้วย ทำให้ทาลิสรู้สึกประหลาดใจมาก
หลังจากรออยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เสียงฝีเท้าวิ่งตรงมาที่ห้อง แล้วประตูห้องก็เปิดออกอย่างแรง ทำให้ทั้งอาจารย์และนักเรียนในห้องต้องหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งทุกคนที่ได้เห็นผู้ที่มาถึงต่างก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะผู้ที่มาถึงก่อนก็คือลาซารัส แฮลเซียน ซึ่งอยู่ในสภาพเปียกปอนแถมชุดของเธอยังเปื้อนโคลนอยู่เล็กน้อย แต่เจ้าตัวกลับไม่แสดงท่าทียี่หระกับสิ่งเหล่านั้นเลย เธอยังคงยิ้มแย้มเหมือนกับเด็กที่เพิ่งเล่นสนุกมา
“อา~ มาสายซะแล้วสิ แย่จังเลย แหะ ๆ “
แม้แต่อาจารย์ประจำรายวิชาก็ยังรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก เขาพอจะรู้ดีว่าสาเหตุที่ลาซอยู่ในสภาพแบบนี้เพราะถูกกลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงกลั่นแกล้ง แต่ก็ไม่นึกว่าเธอจะมาที่ห้องเรียนเลยในลักษณะนี้ เพราะขนาดทาลิสที่เป็นเหยื่อรายที่แล้วยังทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนมาเข้าเรียนเสมอ ความจริงไม่ว่าใครก็คงไม่มาที่ห้องเรียนในสภาพแบบนี้ทั้งนั้น แต่ดูเหมือนว่าตรรกะทั่วไปจะใช้ไม่ได้กับทายาทของผู้สร้างหายนะคนนี้
“ทะ.. เธอ… นี่มัน… ทำไมถึง?”
อาจารย์รายวิชาไม่ได้คิดจะถามถึงเหตุผลที่ลาซอยู่ในสภาพนี้ เขาเพียงแค่หลุดปากออกมาเพราะอยากจะถามว่าทำไมเธอถึงมาที่ห้องในสภาพนี้มากกว่า แต่อีกฝ่ายก็ชิงตอบกลับมาด้วยท่าทางอันร่าเริงในทันที
“อ๋อ เนี่ยเหรอคะ? รู้สึกว่านี่จะเป็นการรับน้องประจำโรงเรียนหรือเป็นการทดสอบนักเรียนใหม่ใช่รึเปล่าคะ? จัดว่าหินใช้ได้เลยนะเนี่ย~ พยายามหลบแทบตาย สุดท้ายก็โดนเข้าไปจนได้ แบบนี้คงแปลว่ายังไม่ผ่านใช่รึเปล่าคะ? แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูจะพยายามใหม่ค่ะ!”
คำตอบที่พูดออกมาด้วยสีหน้าอันไร้เดียงสาและเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นนั้นทำให้อาจารย์ประจำวิชายิ่งรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับเหล่าเด็ก ๆ ในห้องรวมไปถึงทาลิสที่เกิดความรู้สึกอึดอัดจนยากจะบรรยายได้
เพราะไม่รู้จะตอบกลับคำพูดนั้นอย่างไรดีอาจารย์ประจำวิชาจึงให้ลาซไปทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนชุดซะก่อนที่จะมาเข้าเรียนใหม่ ซึ่งเธอก็ทำตามอย่างว่าง่าย ในเวลาไล่เลี่ยกันกลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงก็ทยอยกันมาถึงห้องเรียนด้วยสภาพที่ดูไม่เรียบร้อยนัก ชุดของพวกเขาดูหลุดลุ่ยและไม่ค่อยเข้าที่ ทั้งยังมีรอยเปรอะเปื้อนอยู่นิดหน่อย บางคนก็มีรอยถลอกปอกเปิกตามร่างกาย แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
อาจารย์ประจำวิชาปล่อยให้เด็กกลุ่มนั้นเข้าไปนั่งยังที่นั่งของแต่ละคนโดยไม่ได้ซักถามอะไร ส่วนกลุ่มเด็กเกเรก็กระซิบกระซาบกันในระหว่างเดินไปนั่งที่ด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น ทำให้ทาลิสได้ยินด้วย
“ยัยนั่นมันวิ่งไวชะมัดเลย แถมยังหลบก้อนโคลนได้เกือบหมดเลยแน่ะ น่าโมโหจริง ๆ ”
“โมโหงั้นเหรอ? พวกเรานี่สิพยายามวิ่งตามจนตับแลบ สุดท้ายก็ไล่ไม่ทัน แถมยังมีคนที่โดนกับดักหญ้าจนสะดุดล้มอีกต่างหาก โดนมันวิ่งล่อให้เข้ามาติดกับดักของตัวเองแบบนี้ น่าเจ็บใจที่สุดเลย!”
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้กระจายคนดักเอาไว้ให้ดีหน่อย แล้วทำกับดักเพิ่มด้วย ฉันต้องถมโคลนใส่ยัยนั่นให้ได้”
หัวโจกของกลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงผมทองกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคียดแค้น ทาลิสซึ่งได้ยินข้อความทั้งหมดนั้นได้แต่รู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัวแทนลาซซึ่งไปแหย่หนวดเสือเข้า แต่อีกใจหนึ่งเธอก็รู้สึกทึ่งที่ลาซสามารถทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพทุลักทุเลได้
อย่างไรก็ตาม ทาลิสไม่คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป การทำแบบนี้มีแต่จะยิ่งกระตุ้นให้กลุ่มเด็กเกเรทำการกลั่นแกล้งรุนแรงขึ้นเท่านั้น และท้ายที่สุดลาซก็จะต้องยอมรับในชะตากรรมเช่นเดียวกับเธอ
วันแล้ววันเล่าที่การกลั่นแกล้งดำเนินไป ลาซก็ยังคงมาถึงห้องด้วยท่าทางร่าเริง แม้ชุดของเธอจะเปรอะเปื้อนหรือร่างกายจะเปียกปอนก็ตาม เธอยังคงยิ้มแย้มและร่าเริงราวกับเด็กที่กำลังเล่นสนุก และพูดถึงเรื่องนี้ในเชิงของการทดสอบหรือต้อนรับสมาชิกใหม่ทุกครั้ง ไม่เคยเลยที่เธอจะมองมันว่าเป็นการกลั่นแกล้ง และนั่นก็ยิ่งทำให้ทั้งอาจารย์และนักเรียนที่ได้พบเห็นยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นอีก
ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีว่านี่เป็นเรื่องที่ผิด แต่พวกเขาก็ทำได้แค่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะไม่อยากให้เรื่องเดือดร้อนมาถึงตัว หากลาซร้องไห้โวยวายเรียกหาความยุติธรรมซะพวกเขายังจะทำใจเมินเฉยได้ง่ายกว่า แต่เธอกลับยิ้มแย้มแจ่มใสและเชื่ออย่างสนิทใจว่านี่เป็นการรับน้อง เมื่อได้เห็นท่าทางอันใสซื่อนั้นก็ทำให้ทุกคนสลัดความรู้สึกผิดนี้ออกไปจากใจไม่ได้
แต่แล้วก็มีสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนเกิดขึ้น
เพราะยิ่งเวลาผ่านไปก็ดูเหมือนว่าลาซจะมาถึงห้องได้ในสภาพที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งมีคราบโคลนเปรอะเปื้อนตามเสื้อผ้าน้อยลง ร่างกายของเธอก็มีส่วนที่เปียกน้ำน้อยลง และหลังจากผ่านไปสองสัปดาห์ เธอก็มาถึงห้องได้ด้วยชุดอันสะอาดสะอ้านและแห้งสนิท ทำให้ทุกคนในห้องต้องประหลาดใจ
กลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงยังคงจ้องมองลาซด้วยสายตาเคียดแค้นทุกครั้งที่เข้ามาในห้อง สื่อให้เห็นว่าการกลั่นแกล้งไม่ได้มีทีท่าว่าจะยุติลง แต่ลาซกลับอยู่ในสภาพที่เหมือนไม่ได้รับการกลั่นแกล้งเลย ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจมาก
สำหรับทาลิส เธอเองก็รู้สึกแปลใจไม่แพ้คนอื่น ทว่าเช่นเดียวกับทุกคนที่ได้แต่ดูอยู่ห่าง ๆ เพราะกลัวว่าจะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับวังวนนี้ ทาลิสก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเช่นกัน
ในตอนเที่ยงของวันหนึ่ง ทาลิสแอบมากินอาหารกลางวันของเธอที่ด้านหลังของโรงอาหารตามปกติ
แม้จะไม่ได้อยู่ในฐานะของผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งแล้ว แต่เพราะคนในห้องเคยเพิกเฉยต่อการที่เธอถูกกลั่นแกล้ง ทำให้ทุกคนยังเข้าหน้ากับเธอไม่ติด ทาลิสก็เข้าใจความรู้สึกลำบากใจของทุกคนดีจึงแยกตัวออกมาทานอาหารกลางวันเงียบ ๆ คนเดียว แต่เพียงเธอนั่งลงได้ครู่หนึ่งก็มีเสียงพุ่มไม้ไหวดังแว่วใกล้เข้ามา
ทีแรกทาลิสคิดว่านั่นเป็นเสียงของสัตว์ตัวเล็ก ๆ แต่พอหันไปมองเธอกลับพบว่าผู้ที่มาเป็นนักเรียนคนหนึ่ง
คนผู้นั้นมีเส้นผมสีแดงราวกับเปลวเพลิงและมีดวงตาสีส้มอำพันซึ่งทอประกายเป็นสีทองยามต้องแสงตะวัน ลักษณะอันโดดเด่นนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลาซารัส แฮลเซียน ทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่นั่นเอง
ทันทีที่มาถึงและเห็นทาลิสนั่งอยู่หลังพุ่มไม้ ลาซก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อยพลางกล่าวทักทายด้วยท่าทางร่าเริงเช่นเคย
“โอ้ว~ มีคนอยู่ด้วยรึเนี่ย? บังเอิญจังเลยนะ เอ… แบบนี้จะเรียกว่าเป็นการพบพานแห่งโชคชะตาได้รึเปล่านะ… ต้องได้สิ! ต่างคนต่างหาที่ปลีกวิเวกแล้วยังโคจรมาพบกันแบบนนี้ มันก็ต้องเป็นโชคชะตาอยู่แล้วล่ะ!”
ลาซทั้งพูดเองตอบเองจนทาลิสที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่นั่งนิ่ง และยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็ชิงนั่งลงบนฝั่งตรงข้ามและเริ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการในทันที
“ฉันลาซารัส แฮลเซียน ทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ ยินดีที่ได้รู้จัก!”
ลาซกล่าวแนะนำตัวด้วยท่าทางร่าเริงและกระฉับกระเฉง ทั้งยังพูดกำกับว่าตนเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่อย่างภาคภูมิใจตามเคย เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะประหลาดมากในสายตาของทาลิส (และรวมถึงคนอื่น ๆ ด้วย) เธอจึงอดที่จะถามไม่ได้
“ทำไมถึงต้องประกาศตัวว่าเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ด้วยล่ะ? ไม่เห็นมีความจำเป็นเลย แถมเรื่องแบบนี้ควรเป็นอะไรที่ต้องปกปิดเอาไว้ไม่ใช่เหรอ?”
“เห? เรื่องนี้ถึงไม่บอกออกไปทุกคนก็ต้องรู้กันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ? แถมถ้าได้รู้ทีหลังมันก็จะเหมือนกับเราจงใจปกปิดด้วย แล้วคนอื่นก็จะเสียความรู้สึกได้ เพราะงั้นบอกไปเลยตั้งแต่แรกนี่แหละดีที่สุด!”
ทางลิสรู้สึกว่าวิธีคิดของอีกฝ่ายออกจะดูพิลึกไปซะหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลซะทีเดียว เธอจึงได้แต่เออออไปเท่านั้น
“อืม… ถ้าเธอว่าอย่างนั้นล่ะก็… ฉัน ทาลิส อาเทเลีย ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”
“อื้ม เอาล่ะ ถ้างั้นก็มาเริ่มกินข้าวกันเถอะ เมื่อเช้านี้วิ่งไปซะเยอะเลย ฉันน่ะหิวจะแย่แล้วล่ะ”
“อืม.. อะ.. เอ๊ะ? แต่ข้าวนั่น…”
“หืม?”
ทาลิสคิดจะทักลาซเรื่องที่ในอาหารน่าจะมีดินทรายปนอยู่ แต่ลาซก็ตักมันเข้าปากไปแล้ว ทว่าเธอกลับหันมาทำสีหน้าสงสัยกับคำทักของทาลิสในขณะที่ยังคงเคี้ยวอาหารจนแก้มป่องเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ทาลิสยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
“อาหารนั่นน่ะมันไม่ได้…”
“อ๋อ หมายถึงชุดอาหารที่ปนดินทรายน่ะเหรอ? ฉันเอาไปเปลี่ยนมาแล้วล่ะ สงสัยทางโรงเรียนจะจัดให้ผิดนะ เห็นมีของแบบนี้เตรียมไว้ทุกวันเลย แต่ดันให้ผิดคนนี่สิ ไม่นึกเลยว่าจะมีคนชอบกินของแบบนั้นอยู่ด้วย แย่เลย ๆ เกือบจะเอาของที่เตรียมไว้สำหรับคนอื่นมากินหลายทีแล้วล่ะ”
คำพูดซื่อ ๆ ที่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าสบาย ๆ นั้นทำให้ทาลิสยิ่งรู้สึกงุนงงมากขึ้นกว่าเดิม เธอจึงเอ่ยถามต่อไปด้วยความสงสัย
“เอาไปเปลี่ยน? เปลี่ยนกับใครเหรอ?”
“ก็ต้องกับคนที่เตรียมอาหารนี้ไว้กินเองน่ะสิ”
คำตอบนั้นยังทำให้ทาลิสรู้สึกงุนงงไม่เปลี่ยน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ถามอะไรต่อก็มีเสียงอื้ออึงดังมาจากทางโรงอาหารซะก่อน
“อ๊อกกก แค่ก ๆ ๆ แหวะ นี่มันอะไรเนี่ย!? ทำไมอาหารของฉันถึงได้!? แค่ก ๆ ทำไมอาหารชุดนี้มันถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ!?”
“ว่าไงนะ!? คราวนี้เป็นอาหารของนายเหรอ!? ยัยนั่นมันทำได้ไงเนี่ย!?”
นั่นเป็นเสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงซึ่งสำลักออกมาเพราะอาหารของเขาเต็มไปด้วยดินทราย ความจริงมันเป็นชุดอาหารที่เตรียมไว้สำหรับลาซ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงถูกนำมาสลับกับอาหารของเขาได้
ทาลิสหันกลับมาจ้องมองลาซด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงเคี้ยวกินอาหารตุ้ย ๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่รู้ว่าลาซทำได้ยังไง แต่เธอสามารถนำชุดอาหารที่ปนเปื้อนดินทรายไปสับเปลี่ยนกับชุดอาหารของคนที่ใส่มันลงไปได้โดยที่เจ้าตัวไม่เอะใจเลยสักนิด แถมดูเหมือนนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกซะด้วย แต่ที่ทำให้ทาลิสข้องใจมากกว่าก็คือท่าทางและคำพูดที่ยังดูไร้เดียงสานั้นช่างขัดแย้งกับการกระทำไปคนละเรื่องเลย จนในที่สุดเธอก็อดที่จะถามออกไปไม่ได้
“เธอน่ะ… ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่านี่เป็นการกลั่นแกล้งน่ะ? มันไม่ใช่การรับน้องหรือการทดสอบอะไรทั้งนั้น… พวกเขาแค่พยายามเหยียบย่ำเธอเพราะเธอเป็นลูกของผู้สร้างหายนะต่างหาก…”
เมื่อได้ยินคำพูดของทาลิส ลาซก็หันมามองด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลืนอาหารที่เคี้ยวอยู่จนหมดและเอ่ยคำพูดออกมา
“แต่ถ้าฉันไม่รู้ ทุกคนก็ควรจะสบายใจกว่าไม่ใช่เหรอ? ถ้าทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็จะไม่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดที่เพิกเฉยต่อการกลั่นแกล้ง ฉันเองก็ไม่ต้องไปวุ่นวายรบกวนพวกอาจารย์ให้พวกเขาลำบากใจด้วย แบบนี้ก็จะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายไงล่ะ”
ลาซตอบกลับมาด้วยแววตาอันเฉียบคมและเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ผิดกับสีหน้าสบาย ๆ ตามปกติราวกับเป็นคนละคน ทำให้ทาลิสยิ่งรู้สึกแปลกใจจนตาค้างไป
“มะ.. หมายความว่าเธอรู้อยู่แล้ว และทั้งหมดนี้ก็เป็นการแกล้งทำงั้นเหรอ?”
“อืม~ จะว่าแกล้งทำมันก็ไม่เชิงหรอกนะ เพราะฉันอยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ อยากจะให้นี่เป็นแค่การรับน้อง อยากให้ทุกคนหยุดมือและเปลี่ยนใจมาเป็นเพื่อนกันได้ทุกเมื่อ แบบนั้นถึงจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดไงล่ะ!”
ลาซพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ดูใสซื่ออีกครั้ง ทำให้ทาลิสยิ่งรู้สึกสับสน เพราะเห็นได้ชัดว่าทายาทของผู้สร้างหายนะคนนี้ไม่ได้เป็นคนไร้เดียงสาอย่างที่ใครหลาย ๆ คนคาดคิด เธอทั้งรู้ดีว่ากำลังเผชิญกับอะไรอยู่และรับมือกับมันได้อย่างเฉียบคมราวกับผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีความคิดอันใสซื่อแบบเด็ก ๆ อยู่ด้วย
ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกและแยกย้ายกันไปหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ แต่การสนทนาครั้งนี้ก็ทำให้ทาลิสรู้สึกสนใจในตัวของลาซมากขึ้น เธอจึงพยายามสอบถามคนอื่น ๆ เพื่อรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าที่เธอสามารถทำได้ และสิ่งที่เธอได้รู้ก็นำความตกใจมาให้กับเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทาลิสได้ยินว่าลาซสามารถหลบเลี่ยงกับดักและการซุ่มโจมตีทั้งหมดได้ด้วยความสามารถอันเหนือชั้นของเธอ ทั้งความคล่องตัวในการหลบหลีกและความเร็วในการวิ่งทำให้เป็นการยากมากที่กลุ่มเด็กเกเรจะปาโคลนให้โดนเธอได้ แถมเธอยังสังเกตเห็นกับดักต่าง ๆ และหลบเลี่ยงมันได้เกือบทั้งหมด ในตอนออกจากหอเธอก็จะปีนออกมาทางหน้าต่างห้องแทนที่จะเดินออกมาทางประตูทั้งที่ห้องของเธออยู่บนชั้นสามและไม่มีต้นไม้อยู่ใกล้ ๆ นั้นเลยแต่เธอก็ยังปีนลงมาได้ ทำให้กับดักที่วางไว้ในหอไม่มีผลใด ๆ
สำหรับคนที่พยายามนำหนอนแมลงไปใส่ไว้ในที่นอนของเธอก็ต้องพบกับเรื่องที่สั่นประสาทยิ่งกว่า เพราะเมื่อเปิดผ้าห่มออกมาพบวกเขากลับพบว่าบนที่นอนเต็มไปด้วยงูหลากหลายชนิดเลื้อยพันกันยั้วเยี้ยไปหมด แถมยังมีด้ายขึงไว้กับผ้าห่มทำให้เมื่อเปิดผ้าห่มออกก็มีการเทงูลงมาใส่หัวของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย เพราะแบบนี้จึงไม่มีเด็กคนไหนกล้าเข้าไปในห้องของเธออีกเลย
กลุ่มเด็กเกเรยังคงไม่ละความพยายามและสรรหาวิธีการอื่น ๆ มาใช้ในการกลั่นแกล้งอีกมากมาย แต่ลาซก็สามารถหลบเลี่ยงมันได้และดำเนินชีวิตไปตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สร้างความเจ็บแค้นให้กับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก ยิ่งนานวันเข้ากลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงก็ยิ่งมีสีหน้าแย่ลงเพราะความอัดอั้น ผิดกับลาซที่ยังคงร่าเริงแจ่มใส ราวกับสถานะของผู้แกล้งกับผู้ถูกแกล้งนั้นสลับกัน
แม้แต่เหล่าอาจารย์ในโรงเรียนก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการกลั่นแกล้งในโรงเรียนมากขึ้น เพราะในเวลาเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาลาซวิ่งตรงไปยังห้องเรียนทั้งที่ตัวยังเปียกแฉะและเปื้อนโคลนอยู่ แม้เธอจะทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้ร้องเรียนเรื่องนี้กับใคร แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
ทุกครั้งที่ลาซวิ่งผ่านห้องต่าง ๆ ด้วยชุดที่เปียกแฉะและเปื้อนโคลน ผู้คนที่ได้พบเห็นก็จะเกิดความอึดอัดสะสมขึ้นในจิตใจ จนในที่สุดมันก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ต้องทำอะไรสักอย่าง คณะอาจารย์จึงทำการเรียกตัวเหล่าบุตรหลานของชนชั้นสูงมาทำการตักเตือนให้ยุติการกลั่นแกล้งในที่สุด
เรื่องนี้ทำให้ทาลิสเข้าใจในที่สุดว่าทำไมลาซถึงไม่ทำความสะอาดร่างกายหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะเข้าห้องเรียน เธอจงใจจะวิ่งไปรอบโรงเรียนในสภาพนั้นเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกของผู้คนในทางอ้อม เพื่อผลักดันไปสู่จุดที่ทุกคนไม่อาจเพิกเฉยต่อไปได้
หากทั้งหมดนี้เป็นความจงใจแต่แรก ทาลิสก็คิดว่าทุกคนมองตัวตนที่แท้จริงของลาซคนนี้ผิดไปไกลทีเดียว ถึงกระนั้นมันก็เป็นการกระทำที่เดิมพันกับจิตสำนึกของผู้คนอยู่ดี เป็นแผนการอันเจ้าเล่ห์ที่ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจะเป็นฝ่ายชนะ ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าลาซารัส แฮลเซียนคนนี้เป็นคนที่เจ้าเล่ห์หรือไร้เดียงสากันแน่
เพราะไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไรก็ไม่สามารถกลั่นแกล้งลาซได้สำเร็จ แถมยังถูกคณะอาจารย์ตักเตือนอีกด้วย ทำให้กลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงได้แต่ยอมรามือไปด้วยความเจ็บใจ
ทาลิสรู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินว่าพวกเด็กเกเรยอมล้มเลิกการกลั่นแกล้งลาซแล้ว เธอคิดว่าต่อจากนี้ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนโดยสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็นซะที มันเป็นคืนที่เธอหลับสนิทที่สุดในรอบหลายเดือนและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นแจ่มใส
แต่ทันทีที่ก้าวออกจากห้อง ทาลิสก็พบว่าเธอคิดผิด
เพราะเมื่อเธอเปิดประตูออกมา เธอก็ถูกน้ำเย็นราดลงหัวด้วยกับดักถังน้ำที่ถูกขึงไว้กับบานประตู นั่นเป็นเวลาที่ทาลิสตระหนักว่าการกลั่นแกล้งไม่ได้ยุติลง แค่กลุ่มเด็กเกเรได้เปลี่ยนเป้าหมายกลับมายังคนที่พวกนั้นเล่นงานได้สะดวกกว่า ก็คือเธอนั่นเอง