Doombringer the 5th - ตอนที่ 123
Ch.123 – โลกนี้ไม่มีผู้ล้มเหลว มีแต่ผู้ที่ยอมแพ้
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 119
โลกนี้ไม่มีผู้ล้มเหลว มีแต่ผู้ที่ยอมแพ้
Part 1
ความจริงนี่เป็นเรื่องที่ทาลิสเคยเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้ว แม้สถานการณ์ที่เธอเคยคิดจะแตกต่างจากความเป็นจริงอยู่เล็กน้อยก็ตาม
เธอคิดว่าลาซน่าจะถูกกลั่นแกล้งจนต้องย้ายออกจากโรงเรียนไป และหลังจากนั้นกลุ่มเด็กเกเรก็จะเบนเป้าหมายกลับมาที่เธออีกครั้ง แต่เพราะความสงบสุขอันยาวนานกลับทำให้เธอลืมเรื่องนี้ไปซะได้
ทาลิสเดินไปยังโรงเรียนผ่านเส้นทางปกติด้วยสีหน้าที่เฉยชาและไร้ความรู้สึก มีก้อนโคลนจากสองข้างทางลอยมาโดนเธอเป็นระยะ ๆ จนทั้งชุดและเส้นผมของเธอเปรอะเปื้อนไปหมด แต่เธอก็ไม่คิดที่จะหลบหลีกหรือเร่งฝีเท้าหนีแต่อย่างใด เพียงแค่ค่อย ๆ ก้าวย่างต่อไปอย่างเชื่องช้าเท่านั้น
เพราะรู้สึกปลงกับเรื่องเหล่านี้ ทาลิสจึงไม่คิดที่จะขัดขืนอะไรอีก เธอเคยเตรียมใจที่จะรับสถานการณ์แบบนี้เอาไว้แล้ว ถึงกระนั้นการได้สัมผัสกับช่วงเวลาอันสงบสุขชั่วระยะหนึ่งก็ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา เธอนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นและอยากจะให้มันคงอยู่แบบนั้นตลอดไป เมื่อคิดว่าอาจไม่มีช่วงเวลาแบบนั้นอีกแล้วก็ทำให้ทาลิสอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้จนดวงตาของเธอเริ่มเปียกชื้น แต่ก็ก็ยังพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“โธ่เอ๊ย ฝีมือตกไปเยอะเลยนะพวกนายเนี่ย ปาให้โดนหัวสิ! คอยดูฉันนะ!”
เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแว่วออกมาจากพุ่มไม้ มันเป็นเสียงของเด็กผู้หญิงผมทองซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำของกลุ่มเด็กเกเรนั่นเอง เธอโผล่ตัวออกจากพุ่มไม้มาและเงื้อก้อนโคลนอย่างสุดแรงก่อนจะปามันเข้าใส่ทาลิสโดยมีศีรษะของเธอเป็นเป้าหมาย ทาลิสที่เห็นการกระทำของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนก็ได้แต่หลับตาลงเพื่อไม่ให้ดินโคลนเข้าตาเท่านั้น ทันทีที่เธอหลับตาลง หยาดน้ำตาหยดเล็ก ๆ ที่เธอฝืนกลั้นไว้ก็พลันไหลรินออกมา
ทว่าแม้จะผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว ทาลิสก็ไม่รู้สึกถึงก้อนโคลนที่ควรจะลอยมาโดนศีรษะของเธอ เธอจึงลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างช้า ๆ และสิงที่แรกที่เธอเห็นก็คือดวงตาสีส้มอำพันคู่หนึ่งซึ่งจับจ้องมายังเธอด้วยแววตาอันสงบนิ่งที่เหมือนจะแฝงความรู้สึกมากมายอยู่ภายในนั้น
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าทาลิสก็คือลาซซึ่งกำลังถือร่มคันหนึ่งกางพาดไหล่อยู่ทำให้สามารถบังก้อนโคลนที่ถูกปามาจากด้านหลังก่อนที่มันจะถึงตัวทาลิสได้อย่างพอดิบพอดี แม้เธอจะยิ้มอยู่เล็กน้อยแต่แววตาของลาซกลับดูสงบนิ่งและเยือกเย็น ผิดกับบุคลิกตามปกติของเธอที่มักจะดูขี้เล่นไปเป็นคนละคน
“ทำไมถึงไม่รีบวิ่งไปล่ะ? ค่อย ๆ เดินแบบนี้ก็เหมือนเป็นเป้านิ่งน่ะสิ”
คำถามที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ทาลิสชะงักไปครู่หนึ่งเพราะยังไม่ทันตั้งตัว แต่เธอก็รีบปาดเช็ดหยดน้ำตาบนใบหน้าออกก่อนจะตอบกลับไป
“ไม่มีประโยชน์หรอก ยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่ดี การพยายามขัดขืนมีแต่จะทำให้พวกนั้นชอบใจและยิ่งรู้สึกสนุกมากกว่า…”
“ของแบบนั้นไม่ลองก็ไม่รู้หรอกน่า ถึงวันนี้จะทำไม่สำเร็จ พรุ่งนี้ลองใหม่สิ ถ้าพยายามไปเรื่อย ๆ ละก็สักวันมันต้องสำเร็จแน่”
ลาซบอกกล่าวกับทาลิสด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ทว่ามันไม่ใช่แค่ความเชื่อมั่นที่มีต่อความคิดนี้ แววตาของลาซยังสื่อให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเธอเชื่อมั่นในตัวของทาลิส ทำให้ทาลิสได้แต่นิ่งอึ้งไป
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหล่าเด็กเกเรที่อยู่รอบ ๆ ซึ่งหยุดมือไปเพราะความสับสนก็เริ่มตั้งสติได้อีกครั้ง
“เฮ้! ยัยผมแดง! มายุ่งอะไรเรื่องนี้ด้วยเล่า!? อุตส่าห์ปล่อยไปแล้วยังจะรนมาหาที่อีก! ถ้าอยากเปื้อนโคลนมากขนาดนั้นก็จะจัดให้!”
เมื่อพูดจบ เด็กผู้ชายคนนั้นก็ปาก้อนโคลนใส่ทาลิสกับลาซ เช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ ที่เริ่มปาโคลนอีกครั้ง แต่ลาซก็สับเปลี่ยนตำแหน่งของร่มไปยังทิศต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและป้องกันก้อนโคลนเอาไว้ได้ทั้งหมด ทำให้ทั้งเหล่าเด็กเกเรและทาลิสต้องรู้สึกทึ่ง แต่เมื่อได้เห็นความสามารถของลาซและนึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อสักครู่นี้สีหน้าและดวงตาของเธอก็ดูเศร้าหมองลงอีกครั้ง
“ฉันน่ะไม่ได้เก่งกาจอย่างเธอหรอกนะ ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่เคยลอง แต่ให้พยายามหลีกหนียังไงสุดท้ายก็ต้องล้มเหลวอยู่ดี เพราะตัวฉันมีความสามารถเพียงแค่นี้แหละ… เป็นแค่คนที่ล้มเหลวเท่านั้น…”
“โลกนี้น่ะไม่มีคนที่ล้มเหลวหรอกนะ มีแต่คนที่ยอมแพ้ก่อนจะพบกับความสำเร็จเท่านั้นเอง ถ้ายังไม่ได้สู้จนถึงวินาทีสุดท้ายก็อย่าเพิ่งสรุปว่าทุกอย่างต้องล้มเหลวสิ”
คำพูดของลาซทำให้ดวงตาของทาลิสส่องประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ทาลิสก็ยังคงคิดว่านั่นเป็นเพียงคำพูดอันสวยหรูที่ไม่ได้อิงอยู่บนหลักความจริงเท่านั้น จึงตอบกลับไปด้วยแววตาอันหม่นหมองเช่นเดิม
“อย่างเธอก็พูดได้สิ… เพราะเธอสามารถทำได้… แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำอย่างเธอได้หรอกนะ โดยเฉพาะฉันน่ะ…”
“เฮ้อ~ มนุษย์เราก็แบบนี้แหละน้า~ ชอบมองดูแต่ความสำเร็จของคนอื่นแล้วก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ได้มาง่าย ๆ น้อยคนที่จะคิดตามว่าต้องผ่านความยากลำบากมามากเท่าไหร่เขาจึงจะมาถึงจุดนั้นได้ ฉันเองก็ใช่ว่าจะรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้ตั้งแต่เกิดซะหน่อย กว่าจะพัฒนาตัวเองให้ก้าวข้ามมันมาได้ก็ต้องใช้เวลานานอยู่เหมือนกันนะ”
“เธอ… ก็ใช้เวลาแค่สองอาทิตย์เองไม่ใช่เหรอ?”
“ฮ่ะ ๆ ฉันไม่ได้หมายถึงที่นี่หรอกนะ”
คำตอบของลาซทำให้ทาลิสยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น ในขณะเดียวกันกลุ่มเด็กเกเรที่ดักอยู่ตามจุดอื่น ๆ ก็พากันมาสมทบกับกลุ่มที่อยู่บริเวณนี้เพื่อจะรุมปาโคลนใส่ทั้งสองคนให้ได้
“หนอยยย มายืนคุยกันตรงนี้มันหยามกันชัด ๆ ! ดูซิว่าคราวนี้จะหลบได้มั้ย!?”
เด็กผู้หญิงผมทองซึ่งเป็นหัวโจกแผดเสียงออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เช่นเดียวกับเหล่าเด็กเกเรที่อยู่โดยรอบซึ่งพากันหยิบก้อนโคลนขึ้นมาถือด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อเตรียมที่จะปาโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้ลาซต้องเริ่มขยับตัวบ้าง
“โอ๊ะโอ ถ้าเยอะขนาดนี้ร่มคันเดียวคงจะบังไม่ไหวแล้วแฮะ เราเปลี่ยนที่กันดีกว่า”
เมื่อพูดจบ ลาซก็หุบร่มและช้อนขาของทาลิสขึ้นมาอุ้ม ก่อนจะพาเธอออกวิ่งไปทั้งอย่างนั้น ทำให้ทาลิสที่ยังปรับตัวกับสถานการณ์ไม่ทันได้แต่ขดตัวนิ่งด้วยความตะลึง
ลาซวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วแถมยังเบี่ยงตัวหลบก้อนโคลนที่ปาเข้าใส่ได้ทั้งหมดและวิ่งห่างออกไปเรื่อย ๆ จนกลุ่มเด็กเกเรต้องพากันวิ่งไล่ตามไป แต่แม้จะพยายามวิ่งไล่อย่างสุดฝีเท้าพวกเขาก็ไม่สามารถร่นระยะห่างเข้าไปใกล้ทั้งสองคนได้อยู่ดี
“บะ.. บ้าชัด ๆ ทั้งที่อุ้มคนอยู่แท้ ๆ ทำไมถึงยังวิ่งได้เร็วขนาดนี้ล่ะเนี่ย!?”
เหล่าเด็กเกเรที่พยายามวิ่งไล่ตามได้แต่สบถด่าทอเพราะพยายามเร่งฝีเท้าเท่าไหร่ก็วิ่งไล่ไม่ทันซะที ส่วนทาลิสที่ถูกอุ้มอยู่นั้นก็เริ่มตั้งสติได้และพิจารณามองดูสีหน้าของลาซที่ยังคงยิ้มแย้มด้วยท่าทางสบาย ๆ เหมือนกำลังเล่นสนุกอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย
เพราะตัวของทาลิสเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน ทำให้เสื้อของลาซที่อุ้มเธอขึ้นมาต้องพลอยเปื้อนไปด้วย แต่เจ้าตัวก็ดูจะไม่ใส่ใจในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย มันทำให้ทาลิสยิ่งรู้สึกประทับใจจนมีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลานั้นเองเธอก็ทบทวนถึงคำพูดต่าง ๆ ของลาซและเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาได้
ที่ลาซบอกว่าเธอต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานถึงจะก้าวข้ามปัญหาไปได้นั้นเธอไม่ได้หมายถึงการกลั่นแกล้งในโรงเรียนแห่งนี้ แต่หมายถึงการกลั่นแกล้งก่อนหน้านี้ที่เธอเคยพบเจอมาต่างหาก
ว่ากันตามจริงแล้วทาลิสเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ศาสตร์มืดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เธอก็ยังถูกกลั่นแกล้งอย่างหนักเพราะกระแสความเกลียดชังที่ยังคงคุกรุ่นอยู่เนื่องจากโลกเพิ่งผ่านการรุกรานครั้งที่สี่ไปได้ไม้นาน แล้วถ้าหากเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่โดยตรงล่ะจะได้รับความเกลียดชังมากแค่ไหนกัน?
สำหรับลาซ เธอคงต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว และอาจได้พบกับการกลั่นแกล้งที่รุนแรงกว่านี้อีกมาก ทั้งยังไม่ใช่ระยะเวลาสั้น ๆ อย่างเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน แต่อาจเป็นเวลาหลายเดือนหรือนับปีเลยก็ได้
ที่เห็นว่าลาซสามารถรับมือกับการกลั่นแกล้งในโรงเรียนได้อย่างง่ายดายเพราะเธอเคยพบเจอกับเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จึงรู้ว่าควรจะรับมือกับมันอย่างไร ทั้งร่างกายและจิตใจของเธอผ่านการเคี่ยวกรำจนแข็งแกร่ง มันเป็นผลลัพธ์จากการต่อสู้กับการกลั่นแกล้งมาเป็นเวลานานโดยไม่เคยย่อท้อ
เมื่อเข้าใจถึงเรื่องนี้แล้ว ทาลิสก็รู้สึกว่าตัวเองช่างอ่อนแอและโง่เขลานัก เพราะเธอถอดใจยอมแพ้ไปในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนเท่านั้นเอง
ทาลิสมองดูใบหน้าและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นของลาซอีกครั้ง ในขณะเดียวกันดวงตาของเธอก็เริ่มฉายแววของการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวออกมา
เธอตัดสินใจว่าครั้งนี้เธอจะลองต่อสู้ดูบ้าง แม้จะไม่รู้ว่าจะสามารถทำได้แค่ไหน แต่คราวนี้เธอจะไม่ยอมตัดใจจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย
——————————————————————————–
Part 2
ลาซอุ้มทาลิสวิ่งมาจนถึงทางเข้าด้านหลังของโรงเรียน แต่เธอกลับหยุดอยู่แค่บริเวณนั้นก่อนจะวางทาลิสลง ทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแปลกใจ
“ระ.. เราควรจะรีบหนีเข้าไปในโรงเรียนไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าเข้าไปในโรงเรียน พวกนั้นก็จะไม่กล้าลงมือต่อน่ะสิ เพราะงั้นตรงนี้แหละเหมาะสมที่สุด”
“เอ๋?”
คำพูดของลาซทำให้ทาลิสรู้สึกงุนงงมากขึ้น แต่ยังไม่ทันจะถามอะไร อีกฝ่ายก็เอ่ยคำพูดออกมา
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเด็กพวกนั้นแล้วล่ะ… อย่างน้อยก็ในตอนนี้น่ะนะ แต่บางทีในอนาคตถ้าพวกเขาปรับปรุงตัวซะใหม่ และฉันหายโกรธพวกเขาแล้ว แบบนั้นเราก็คงยังพอเป็นเพื่อนกันได้ ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงจะดีไม่น้อยเลยนะ”
ลาซกล่าวอธิบายพลางหันมายิ้มให้กับทาลิสอย่างสดใส ทำให้ทาลิสยิ่งไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
ในระหว่างนั้นเอง กลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงจำนวนเกือบสิบคนก็วิ่งตามมาจนถึงทางเข้าด้านหลังของโรงเรียน ความจริงเด็กเหล่านี้ได้ถอดใจไปแล้วว่าคงจะไล่ตามอีกฝ่ายไม่ทันแน่ และคงต้องหาทางมาดักรอในช่วงเย็นแทน เมื่อได้เห็นว่าลาซกับทาลิสมาหยุดอยู่แค่หน้าทางเข้าจึงทำให้รู้สึกแปลกใจไปตาม ๆ กัน
เพราะไม่แน่ใจในเจตนาของอีกฝ่าย เหล่าเด็กเกเรจึงพากันหยุดอยู่เบื้องหน้าโดยยังไม่ได้ลงมือทำอะไร ซึ่งลาซก็อาศัยจังหวะนี้ก้าวออกไปและกล่าวคำพูดกับเด็กกลุ่มนั้นในทันที
“ฉันเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะ ดังนั้นถ้าพวกเธอจะเกลียดชังและระบายความเกลียดชังนั้นกับฉันมันก็เป็นสิทธิ์ที่พอทำได้ แต่ทาลิสเขาผิดอะไรเหรอพวกเธอถึงต้องทำกับเขาแบบนี้น่ะ?”
เมื่อถูกถามอย่างกะทันหันแบบนั้นเหล่าเด็ก ๆ ที่ยังไม่ทันตั้งตัวก็ได้แต่นิ่งเงียบไป มีเพียงเด็กผู้หญิงผมทองซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มเท่านั้นที่กล่าวตอบกลับมาแทบจะในทันที
“ก็บ้านของยัยนั่นน่ะเป็นพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดนี่นา พวกผู้ใช้ศาสตร์มืดน่ะเป็นเครื่องมือของปิศาจ เป็นต้นตอแห่งความชั่วร้าย ใคร ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะลงโทษทั้งนั้นแหละ!”
“มะ.. ไม่ใช่นะ! ญาติของฉันที่โดนกล่าวหาน่ะเขาถูกใส่ร้าย! แถมครอบครัวของเราก็ยังเป็นแค่ญาติห่าง ๆ กันด้วย บ้านของฉันแทบไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับทางนั้นเลยสักนิด แค่ใช้ชื่อตระกูลเดียวกันและอยู่เมืองเดียวกันเท่านั้น!”
ทาลิสรีบกล่าวแก้ต่างอย่างทันควัน แต่เด็กผู้หญิงผมทองก็แสยะยิ้มและโต้แย้งกลับมาทันที
“เฮอะ พอถูกจับได้ก็ต้องพูดแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ คิดว่าสลัดคนในตระกูลทิ้งแล้วจะปิดบังความจริงได้รึไง? คนที่จับญาติของเธอไปก็คือพีสคีปเปอร์ไม่ใช่เหรอ? ฉันว่าความจริงแล้วตระกูลเธอทั้งตระกูลก็เป็นผู้เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ศาสตร์มืดกันทั้งหมดนั่นแหละ!”
เพราะถูกกล่าวหาอย่างไม่มีเหตุผล ทาลิสจึงเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาและจะตอบโต้อีกฝ่ายกลับไป แต่ลาซก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“เห~ พีสคีปเปอร์เป็นคนดำเนินการเองเลยเหรอเนี่ย? แล้วเรื่องที่ว่านี่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ?”
แม้จะไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ แต่เมื่อถูกลาซถามแบบนั้น ทาลิสจึงได้แต่ตอบไปตามตรง
“กะ.. ก็… หลายปีมาแล้วล่ะค่ะ…”
“เห~ หลายปีแล้วงั้นเหรอ? งั้นก็แปลว่าการสอบสวนควรจะสิ้นสุดไปนานแล้วน่ะสิ ถ้าการสอบสวนสิ้นสุดไปแล้วและยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับใครเพิ่มเติมก็แปลว่าครอบครัวของทาลิสไม่เกี่ยวข้องด้วยไม่ใช่รึไง?”
ลาซเอ่ยถามพลางหันไปมองยังเด็กผู้หญิงผมทองซึ่งเริ่มมีท่าทีอึกอัก แต่ก็พยายามเถียงข้าง ๆ คู ๆ กลับมา
“นั่นน่ะ… บางทีทางพีสคีปเปอร์อาจจะพิจารณาอะไรตกหล่นไปก็ได้ ไม่งั้นครอบครัวของยัยนี่ก็ไม่มีทางรอดหรอก!”
“หืม~ นี่เธอกำลังจะบอกว่าพีสคีปเปอร์ทำงานบกพร่องงั้นเหรอ? พูดแบบนี้มันเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของพีสคีปเปอร์ชัด ๆ เลยนี่นา รึว่าความจริงแล้วเธอจะเป็นพวกนอกรีตที่ถือโอกาสนี้มาใส่ความพีสคีปเปอร์กันล่ะ?”
ลาซถามกลับไปยังอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่แสดงความเคลือบแคลงใจอออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้เด็กผู้หญิงผมทองเกิดอาการร้อนรนขึ้นมา
“มะ.. ไม่ใช่นะ! ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย! พีสคีปเปอร์น่ะไม่มีทางทำงานพลาดอยู่แล้วล่ะ!”
“อ้อ ถ้างั้นก็แปลว่าพวกเขาทำงานได้อย่างสมบูรณ์แล้วสินะ แบบนี้การที่ครอบครัวของทาลิสไม่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มก็เท่ากับเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วใช่ม้า?”
“นะ.. นั่นมัน…. กรอดดด!”
เพราะถูกยอกย้อนคำพูดไปมาจนเถียงไม่ออก ทำให้เด็กผู้หญิงผมทองได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บใจ แต่ลาซก็ยังไม่บรรลุถึงสิ่งที่เธอต้องการจะทำจริง ๆ อยู่ดี
“ยังไงก็ตาม ต่อให้ครอบครัวของทาลิสเกี่ยวพันกับผู้ใช้ศาสตร์มืดจริง ๆ พวกเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะลงโทษเขาด้วยตัวเองซะหน่อย”
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ล่ะ? นักผจญภัยทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องต่อสู้กับความมืดและภัยคุกคามของมนุษย์ในทุกรูปแบบ ดังนั้นไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์จัดการกับพวกผู้ที่เกี่ยวข้องกับความมืดทั้งนั้นแหละ!”
เด็กผู้หญิงผมทองสวนกลับมาทันควันเพราะมันเป็นเรื่องที่เธอพอจะตอบโต้ได้ ส่วนลาซก็ส่ายหัวเล็กน้อยพลางตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยสีหน้าสบาย ๆ
“ที่พวกเธอทำอยู่น่ะไม่ใช่การต่อสู้กับความมืด แต่เป็นแค่การรังแกคนอ่อนแอเท่านั้นเอง ถ้าคิดจะต่อสู้กับความมืดจริง ๆ ทำไมถึงไม่ชักดาบของพวกเธอออกมาล่ะ?”
คำพูดของลาซทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้สึกงุนงงไปตาม ๆ กัน ในขณะที่เจ้าตัวก็แสยะยิ้มและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย้ยหยันก่อนจะทำการยั่วยุมากขึ้นอีก
“เอ้า ๆ จะรออะไรอยู่ล่ะ? เก่งแต่ปากรึไง?”
เหล่าเด็กเกเรต่างก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความรู้สึกเคียดแค้น แต่ในใจก็ยังเต็มไปด้วยความลังเล เพราะการลงมือใช้กำลังโดยตรงกับการกลั่นแกล้งนั้นมีเส้นบาง ๆ ขวางกั้นอยู่ ในขณะเดียวกันลาซก็กางร่มขึ้นมาอีกครั้งและเอียงมันไปยังองศาแปลก ๆ ทั้งที่ไม่มีฝ่ายตรงข้ามอยู่ทางนั้นเลย ก่อนจะหยิบเศษกรวดจากในกระเป๋าขึ้นมาถือไว้บนมือแล้วใช้นิ้วโป้งดีดมันใส่กลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงทีละคน
“โอ๊ย!”
“อ๊ะ!”
“เฮ้ย! นี่! ทำอะไรของแกน่ะ!?”
เศษกรวดแต่ละก้อนถูกดีดใส่หน้าผากของเหล่าเด็กเกเรแต่ละคนอย่างแม่นยำ แม้มันจะไม่ได้ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บอะไรนัก แต่มันก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ที่กำลังโกรธเกรี้ยวอยู่แล้วยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก
“พวกเธออยากต่อสู้กับความมืดไม่ใช่เหรอ? ฉันก็จะเป็นความมืดนั้นให้ไง แล้วพวกเธอล่ะ นอกจากรุมรังแกคนไม่มีทางสู้แล้วพอจะมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความมืดแบบซึ่ง ๆ หน้ารึเปล่า?”
ในที่สุดเหล่าบุตรหลานของชนชั้นสูงก็หมดความอดทน ทุกคนจึงนำอาวุธประจำกายออกมาจากช่องมิติเก็บของ ไม่ว่าจะเป็นดาบ, หอก, ธนู, หรือคทาเวท และตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ในทันที
“คิดว่าพวกเราไม่กล้าลงมืองั้นเหรอ!? ยังไงตรงนี้ก็เป็นที่ลับตาคน ถ้าพวกเรายืนกรานว่าพวกเธอใช้กำลังก่อนละก็ ทุกคนก็ต้องเชื่อเสียงข้างมากอยู่แล้ว! ขอดูหน่อยเถอะว่าจะเก่งอย่างปากรึเปล่า!?”
เมื่อเด็กผู้หญิงผมทองพูดจบ เหล่าเด็กเกเรก็กรูกันเข้าหาลาซโดยพร้อมเพรียงกัน ส่วนลาซก็ผลักทาลิสเข้าไปหลบด้านหลังของกำแพงก่อนจะทิ้งร่มและพุ่งสวนเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามแบบซึ่ง ๆ หน้า
ทาลิสยังปรับตัวกับสถานการณ์ไม่ทันจึงได้แต่จ้องมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตะลึงงัน
แม้จะมีอายุอยู่ในช่วง 9-10 ปี แต่กระบวนท่าโจมตีทั้งด้วยดาบและเวทมนตร์ของนักผจญภัยรุ่นเยาว์ก็มีอานุภาพเพียงพอที่จะใช้จัดการกับมอนสเตอร์ระดับล่างได้ การโจมตีเหล่านี้หากนำมาใช้กับคนย่อมทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงได้เช่นกัน สำหรับลาซแล้วนี่จึงเป็นการกระทำที่อันตรายมาก
ทว่าแม้อีกฝ่ายจะชักอาวุธจริงออกมาใช้ในการต่อสู้ ลาซก็ยังไม่นำอาวุธของตนเองออกมา เธอใช้เพียงการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วในการหลบหลีกการโจมตีและเข้าประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามก่อนจะชกเข้าไปที่ปลายคางของแต่ละคนอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้อีกฝ่ายล้มลงกับพื้นราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสายในทันที
ตำแหน่งของเด็กแต่ละคนนั้นอยู่ห่างกันไม่มากนัก ลาซอาศัยการสืบเท้าเพียงหนึ่งหรือสองก้าวก็สามารถเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่ปล่อยหมัดฮุคใส่ปลายคางของแต่ละคนได้ แม้ทุกคนจะพยายามโจมตีเธอด้วยอาวุธที่อยู่ในมือ แต่ด้วยความเร็วที่แตกต่างกันมากก็ทำให้ไม่มีใครโจมตีโดนเป้าหมายเลย มีเพียงลาซที่สามารถเข้าประชิดและต่อยอีกฝ่ายจนร่วงไปทีละคนสองคนเท่านั้น
กลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงเหล่านี้มีอยู่ทั้งหมด 12 คนด้วยกัน แต่เพียงแค่พริบตาเดียว 9 คนที่เป็นคลาสสายต่อสู้ก็ถูกลาซจัดการลงไปกองระเนระนาดบนพื้นจนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงเด็กผู้หญิงผมทองที่เป็นนักเวทสายรักษาและเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงที่เป็นนักธนูและนักเวทยืนอยู่ข้าง ๆ เท่านั้น
“บะ.. บ้าน่า!? ทำไมถึงถูกจัดการกันง่าย ๆ แบบนี้ล่ะ!?”
เด็กผู้หญิงผมทองพยายามร่ายเวทรักษาให้กับพรรคพวกที่นอนอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาได้เพราะทุกคนหมดสติไปตั้งนานแล้วการรักษาอาการบาดเจ็บจึงไม่ช่วยอะไรเลย สถานการณ์ที่พลิกผันอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เด็กทั้งสามคนได้แต่ยืนตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เด็กผู้หญิงที่เป็นนักเวทตกใจจนนึกเวทไม่ออก ส่วนเด็กผู้ชายก็ได้แต่ยืนเกร็งจนลืมนำลูกธนูมาขึ้นสายเตรียมไว้
ในจังหวะนั้นลาซก็พุ่งเข้าไปหาทั้งสามคนด้วยความรวดเร็วและถึงตัวอีกฝ่ายได้ภายในอึดใจ
เธอปล่อยหมัดเข้าใส่เด็กผู้ชายที่เป็นนักธนูแบบเต็มคางจนอีกฝ่ายทรุดลงไปโดยไม่ทันได้ตอบโต้อะไรเลย ก่อนจะดีดตัวไปอีกทางและสะบัดปลายเท้าถีบเข้าที่ท้องของเด็กผู้หญิงที่เป็นนักเวทจนกระเด็นกลิ้งไปอีกหลายตลบ ทำให้ตอนนี้เหลือแด็กผู้หญิงผมทองเพียงคนเดียวเท่านั้น
“อ๊ะ นะ… นี่… คือว่า…”
เด็กผู้หญิงผมทองได้แต่กำคทาเวทของเธอเอาไว้แน่นด้วยร่างกายอันสั่นเทาและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่เหลือเค้าของความหยิ่งผยองที่เคยแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้เลย ส่วนลาซก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ละก้าวอย่างเชื่องช้า ด้วยสีหน้าที่ยังอยู่ในอารมณ์สนุกและไม่มีเหงื่อผุดให้เห็นเลยสักหยด
เมื่อเดินเข้าไปอยู่ในระประชิด ลาซก็ชะโงกหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายและถลึงตามองด้วยแววตาราวกับเพชฌฆาตโดยที่ยังคงแสยะยิ้มอยู่ มันเป็นรูปลักษณ์อันน่าขนลุกฃผิดกับบุคลิกสบาย ๆ ของเธอในเวลาปกติเป็นคนละคน เธอจ้องมองเด็กผู้หญิงผมทองอยู่แบบนั้นพร้อมกับเอ่ยคำพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาและเย็นเยียบ
“เธอน่ะ… ยังไม่รู้จักความมืดที่แท้จริงหรอก”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เด็กผู้หญิงผมทองที่หวาดกลัวจนตาค้างก็มีน้ำตาเอ่อทะลักออกมาเป็นสาย เธอทรุดนั่งลงกับพื้นเพราะแข้งขาไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวไว้ได้ แถมจุดที่เธอนั่งอยู่ยังมีน้ำค่อย ๆ เจิ่งนองออกมาจนกลายเป็นแอ่งด้วย
เมื่อได้เห็นสภาพอันน่าเวทนาของอีกฝ่าย สีหน้าของลาซก็แปรเปลี่นกลับเป็นอย่างเดิมในทันที แถมเธอยังแสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อยด้วย
“ไอ้หยา… เล่นแรงไปรึเปล่าเนี่ย… สงสัยจะหนักมือไปหน่อยแฮะ”
ลาซแลบลิ้นในใจก่อนจะกลับหลังหันและเดินกลับไปหาทาลิสอีกครั้ง
แม้จะเห็นเหตุการณ์ไม่ถนัดนัก แต่ทาลิสก็พอจะสรุปได้ว่าลาซจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยฝีมืออันเฉียบขาด และข่มขู่เด็กผู้หญิงผมทองจนอีกฝ่ายถึงกับฉี่รดกระโปรงไปเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้ทาลิสรู้สึกชื่นชมและประทับใจในตัวลาซจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
“ทาลิส เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่ห้องเรียนก่อนเลยนะ ส่วนฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกนิดหน่อย พอเสร็จแล้วจะตามไป”
“เอ๋? อะ.. อื้ม ว่าแต่เธอเล่นงานพวกเด็กจากตระกูลชนชั้นสูงไปขนาดนี้จะไม่เป็นไรแน่เหรอ? ถ้าพ่อแม่ของพวกเขามาร้องเรียนกับทางโรงเรียนเพื่อเอาเรื่องละก็…”
“ฉันก็จะไปเตรียมการเรื่องนี้แหละ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไม่น่าจะมีปัญหาหรอก…. มั้งนะ”
คำพูดที่เหมือนจะกึ่งมั่นใจกึ่งไม่มั่นใจนั้นทำให้ทาลิสไม่รู้สึกคลายกังวลลงเท่าไหร่ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้อยู่แล้ว เธอจึงได้แต่ภาวนาขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเท่านั้น
ไม่กี่วันต่อมา เรื่องที่ทาลิสกังวลก็เกิดขึ้นดังที่เธอคาด
กลุ่มผู้ปกครองซึ่งเป็นชนชั้นสูงจากเกือบสิบตระกูลต่างก็แห่กันมายังโรงเรียนเพื่อทำการร้องเรียนเรื่องที่บุตรหลานของพวกเขาถูกทำร้าย ยิ่งเมื่อรู้ว่าผู้ลงมือคือทายาทของผู้สร้างหายนะ หลายคนก็นำประเด็นนี้มากระพือข่าวในเมืองเพื่อสร้างกระแสสังคมกดดันโรงเรียนอีกทางหนึ่งด้วย เป้าหมายของพวกเขาคือต้องการที่จะทำให้ลาซถูกไล่ออกจากโรงเรียนและถูกเนรเทศออกจากเมืองนี้ด้วย
แต่ผ่านไปได้เพียงครึ่งวัน เรื่องราวก็กลับตาลปัตร เมื่อสำนักข่าวและหนังสือพิมพ์ค่ายต่าง ๆ ในเมืองเกือบทุกสำนักต่างก็ตีพิมพ์นำเสนอข่าวกลุ่มบุตรหลานของเหล่าชนชั้นสูงที่มีอาวุธครบมือพยายามรุมทำร้ายเด็กผู้หญิงที่เป็นทายาทของผู้สร้างหายนะ
ข่าวเด่นนี้มีภาพประกอบอย่างชัดเจนทุกขั้นตอน แม้แต่ในโทรทัศน์ก็มีภาพจากกล้องวงจรปิดฉายให้เห็นตั้งแต่เริ่มแรกที่กลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงถืออาวุธพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย จนกระทั่งถูกฝ่ายตรงข้ามที่มือเปล่าและมีคนเดียวจัดการจนราบคาบด้วย
เพราะภาพที่ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นการรุมรังแกของคนหมู่มากที่มีอาวุธครบมือ ส่วนอีกฝ่ายมีคนเดียวแถมยังใช้แค่มือเปล่า กระแสสังคมจึงเกิดการตีกลับ ทำให้ฝ่ายบุตรหลานของชนชั้นสูงถูกมองว่าเป็นฝ่ายผิดและโดนชาวเมืองประณามแทน
เพราะเรื่องราวพลิกผันเช่นนี้ เหล่าผู้นำตระกูลชั้นสูงตระกูลต่าง ๆ จึงต้องพยายามกลบข่าวเพื่อปกป้องคนในตระกูลของตนเองแทน หลายคนถึงกับต้องย้ายบุตรหลานไปเรียนยังโรงเรียนอื่นหรืออาณาจักรอื่นเพื่อหลีกหนีคำครหา เรื่องราวทั้งหมดจึงค่อย ๆ ซาลง และไม่มีใครเอ่ยถึงการเอาผิดทายาทของผู้สร้างหายนะอีกเลย
ทาลิสที่เห็นผลลัพธ์อันผิดคาดนี้ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แต่เมื่อได้เห็นภาพจากข่าวต่าง ๆ เธอก็เข้าใจในเจตนาทั้งหมดของลาซ รวมไปถึงแผนการที่เธอวางเอาไว้ตั้งแต่แรกด้วย
ลาซจงใจไปหยุดอยู่แค่ที่หน้าทางเข้าด้านหลังของโรงเรียนซึ่งเป็นที่ลับตาคน แต่ที่นั่นก็มีกล้องวงจรปิดสำหรับรักษาความปลอดภัยอยู่ ทำให้ภาพจากกล้องนี้สามารถนำมาเป็นหลักฐานในการเอาผิดกับกลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงได้
นอกจากนี้ลาซยังจงใจยั่วยุอีกฝ่ายให้ใช้อาวุธในขณะที่ตนเองใช้เพียงมือเปล่าในการต่อสู้ ก็เพื่อให้ภาพออกมาอย่างชัดเจนว่ากลุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงใช้กำลังคุกคามอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนตัวเธอเพียงแค่พยายามป้องกันตัวโดยไม่ได้ใช้อาวุธด้วยซ้ำ นั่นคือภาพที่เธอต้องการจะให้ปรากฏอยู่ในหลักฐานชิ้นนี้ เพราะใครที่ได้ดูก็จะต้องคิดแบบเดียวกันโดยไม่จำเป็นต้องมีบริบทอื่น ๆ ช่วยชี้นำเลย
ทั้งหมดนี้เป็นแผนการเพื่อที่จะทำให้กลุ่มเด็กเกเรที่ชอบรังแกคนอื่นต้องหยุดการกระทำนี้ไปแบบถาวร
ทาลิสไม่รู้ว่าลาซไปนำภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงเรียนออกมาได้อย่างไร แต่คนที่นำภาพเหล่านี้ไปส่งให้กับสำนักข่าวในเมืองจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเธอเท่านั้น
เมื่อเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว ชีวิตในรั้วโรงเรียนของทุกคนก็กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แม้จะยังมีบุตรหลานของชนชั้นสูงอีกหลายคนที่ยังเรียนอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรอีก ส่วนทาลิสกับลาซก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันนับตั้งแต่นั้นมา
——————————————————————————–
Part 3
เมื่อได้ฟังเรื่องราวการพบกันของทาลิสกับลาซจนจบ ซาลก็ได้แต่นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
เขารู้สึกเห็นใจในชะตากรรมของทาลิส และรู้สึกปวดใจเมื่อนึกถึงว่าลาซต้องเคยพบกับการกลั่นแกล้งมามากแค่ไหนจึงจะพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจมาขนาดนี้ได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกดีใจที่ลาซเติบโตมาอย่างเข้มแข็ง และสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ทั้งยังช่วยทาลิสเอาไว้ด้วย
“ผมคงจะประเมินน้องสาวคนนี้ต่ำไปจริง ๆ ล่ะนะ”
ซาลพูดออกมาด้วยน้ำแววตาอันอ่อนโยนและรอยยิ้มจาง ๆ ที่ประดับอยู่บนใบหน้า ส่วนทาลิสก็แอบหัวเราะในลำคอเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำนั้น
“ฮุฮุฮุ น้องสาวงั้นเหรอ พวกเธอสองคนนี่ไม่มีใครยอมใครเลยนะ… ว่าแต่เธอรู้รึเปล่าว่าทำไมลาซถึงยึดติดกับการเป็นพี่มากขนาดนั้นน่ะ?”
“ทำไมน่ะเหรอครับ?”
ซาลย้อนถามด้วยสีหน้าข้องใจ เพราะเขานึกไม่ออกว่าเรื่องนี้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษด้วย ทาลิสจึงบอกใบ้ให้เขาอีกหน่อย
“จำไม่ได้เหรอ? แต่ลาซน่ะจำได้นะ แถมยังเคยเล่าให้ฉันฟังด้วย เธอลองนึกดูดี ๆ สิ”
ซาลนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเหตุผลของลาซคืออะไร แต่เพราะทาลิสยืนกรานอย่างมั่นใจเขาจึงลองหลับตาและนึกดูอีกครั้ง แม้จะเป็นเรื่องที่เคยลืมไปแล้ว แต่หากใช้การค้นหาความทรงจำด้วย ‘มายด์ไลบรารี่’ ต่อให้เป็นความทรงจำที่ถูกฝังเอาไว้ลึกแค่ไหนเขาก็สามารถค้นหามันจนพบได้
เพียงชั่วอึดใจ ซาลก็พบในสิ่งที่เขาค้นหา มันเป็นภาพความทรงจำอันเด่นชัด สมัยที่เขากับลาซยังมีอายุเพียงสี่ขวบ เพราะความสงสัยพวกเขาจึงไปถามซารามอธผู้เป็นพ่อ ว่าระหว่างเขากับลาซ ใครเป็นคนพี่กันแน่
“ใครเป็นคนพี่งั้นเหรอ? อืม… นั่นสินะ”
ซารามอธครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน เพราะความจริงทั้งสองคนเกิดมาในเวลาเดียวกัน การจะให้ใครเป็นคนพี่นั้นจึงขึ้นกับการตัดสินใจของพ่อแม่ แต่ซารามอธก็อยากจะให้การตัดสินใจนี้มีเหตุผลมารองรับมากกว่าการกำหนดตามความพอใจด้วย
“เอาเป็นว่า ซาลเป็นคนพี่ก็แล้วกัน”
“ไชโย! ฉันเป็นพี่ล่ะ! ว่าแต่คนเป็นพี่เนี่ยต้องทำอะไรบ้างเหรอครับ?”
“ดีใจด้วยนะซาล แบบนี้ฉันก็ต้องเป็นน้องสินะ แล้วคนเป็นน้องเนี่ยต้องทำอะไรบ้างเหรอคะพ่อ?”
ซาลกระโดดโลดเต้นดีใจที่ตนเองได้เป็นพี่แม้จะไม่รู้ความหมายของมันก็ตาม ส่วนลาซก็แสดงความดีใจกับอีกฝ่ายโดยที่ไม่รู้ความหมายของมันเช่นกัน ทั้งคู่จึงหันไปถามเรื่องนี้กับผู้เป็นพ่อ ซึ่งซารามอธก็ตอบกลับมาในทันที
“คนเป็นพี่ก็ต้องคอยดูแลและปกป้องน้อง ส่วนคนเป็นน้องก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระของคนพี่ โดยไม่สร้างปัญหาหรือทำตัวเกเรไงล่ะ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายนั้น ซาลก็พยักหน้ารับหงึกหงักอย่างตั้งใจ ผิดกับลาซที่ทำหน้ามุ่ยและพองแก้มออกมา
“เห~ แต่หนูไม่อยากเป็นคนถูกปกป้องนี่นา หนูอยากจะเป็นคนปกป้องและดูแลซาลมากกว่า ถ้าใครมารังแกซาลละก็ หนูจะชกให้กระเด็นเลย!”
ลาซพูดด้วยท่าทางขึงขังพลางชกออกไปด้วยกำปั้นน้อย ๆ ของเธอ ทำให้ซารามอธอดหัวเราะให้กับความน่ารักนั้นไม่ได้
“ฮ่ะ ๆ ๆ พ่อเชื่อนะว่าลูกทำได้ แต่เรื่องนี้มันมีเหตุผลอีกหลายอย่าง ซาลน่ะเป็นผู้ชาย การปกป้องต้องให้เป็นหน้าที่ของผู้ชายถึงจะเหมาะสม เพราะถ้าเป็นผู้ชายแล้วต้องคอยให้ผู้หญิงมาปกป้องน่ะมันไม่ดีหรอก ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นพี่สาวก็เถอะ”
แนวคิดของซารามอธเป็นอะไรที่ออกจะหัวโบราณไปสักหน่อย แต่ใช่ว่าเขาจะมีความคิดแบบนี้เพราะดูแคลนความสามารถของผู้หญิง กลับกันคือเพราะเขาเป็นคนที่ให้เกียรติผู้หญิงค่อนข้างมากจึงยึดติดว่าหน้าที่ปกป้องดูแลควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายชายต่างหาก
ทว่าหากฟังเพียงคำพูดเปล่า ๆ ก็มีน้อยคนที่จะรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของมัน คำพูดของซารามอธจึงทำให้มีเสียงอันไพเราะราวกับเครื่องดนตรีของสตรีนางหนึ่งดังแว่วมาจากทางห้องครัว
“เห~ งั้นเหรอ การให้ผู้หญิงปกป้องเนี่ยมันน่าอายเหรอ แล้วที่เอราเทียน่ะ ใครกันน้า~ ที่…”
“ฮะ.. เฮ้! ไอริส! อย่าเอาเรื่องเก่ามาพูดให้เด็ก ๆ ฟังสิ! แล้วจะงอนทำไมเนี่ย? โธ่…”
เพราะเกือบถูกแฉจากผู้เป็นภรรยา แถมอีกฝ่ายยังมีน้ำเสียงเหมือนกำลังขุ่นเคืองอีกด้วย ซารามอธจึงต้องรีบตาลีตาลานลุกจากโซฟาและมุ่งตรงไปยังห้องครัวเพื่อง้อเธอในทันที
ทางด้านซาลกับลาซที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังก็หันมามองหน้ากัน ก่อนที่ลาซจะชิงประกาศจุดยืนของเธอ
“คนพี่น่ะยังไงก็ต้องเป็นฉัน เพราะฉันจะเป็นคนคอยปกป้องและดูแลซาลเอง!”
“ไม่เอาด้วยหรอก ฉันนี่แหละที่จะดูแลและปกป้องลาซ เพราะฉะนั้นฉันต้องเป็นคนพี่!”
ทั้งสองจ้องหน้ากันด้วยแววตาที่เป็นปฏิปักษ์พลางพองแก้มข่มขู่อีกฝ่าย ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ แต่ทั้งสองคนก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่จะยอมไม่ได้
การโต้เถียงของเด็กทั้งสองคนนั้นไร้ซึ่งข้อสรุปเพราะไม่เคยมีใครยอมใคร และมันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นสืบมา
หลังจากได้สัมผัสกับความทรงจำนี้ ความรู้สึกอันซับซ้อนก็เริ่มเอ่อล้นขึ้นมาในใจของซาล จนเขาไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
“คนพี่ต้องเป็นผู้ปกป้อง… ลาซยังจำเรื่องนี้ได้ด้วยเหรอเนี่ย…”
“หืม~ นึกออกแล้วเหรอ? ไม่เลวนี่นา แบบนี้ค่อยคุ้มค่ากับการคาดหวังหน่อย”
ทาลิสยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ส่วนซาลก็รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายเช่นกันที่ทำให้เขาจำเรื่องนี้ได้
“ที่เรียกผมมาวันนี้ก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้เหรอครับ?”
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ฉันอยากให้เธอจำเรื่องนี้ได้ เพราะมันสำคัญกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้น่ะ”
“เอ๋?”
“วิธีการของลาซอาจจะแหวกแนวไปสักหน่อย แต่เจตนาของเขาน่ะแน่วแน่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉันอยากให้เธอจำเรื่องนี้ไว้ก็เท่านั้นเอง”
แม้จะได้ฟังคำอธิบายจากทาลิสแล้ว ซาลก็ยังคงไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เธอพูดอยู่ดี เขาจึงได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ แต่ทาลิสที่เห็นสีหน้านั้นกลับหัวเราะในลำคอเหมือนกับกำลังชอบใจ
ในระหว่างนั้นเองซาลก็สัมผัสได้ถึงการติดต่อเข้ามายังแหวนสื่อสารสำหรับใช้ติดต่อกับเหล่าแปดขุนพล เรื่องนี้ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะโดยปกติหากไม่มีเรื่องด่วนจริง ๆ เหล่าขุนพลก็จะไม่เป็นฝ่ายติดต่อเข้ามา
ซาลขอตัวกับทาลิสและเดินปลีกตัวออกมาเพื่อตอบรับการสื่อสาร ทันทีที่เขาตอบรับ เสียงอันร้อนรนของเอ็มเมอริชก็ดังขึ้นมาทันที
“ท่านจอมพล ทำไมถึงยังอยู่ที่นั่นอีกล่ะครับ? ใกล้จะได้เวลาเริ่มประลองแล้วนะครับ!”
“เอ๋? ประลอง? ประลองอะไรเหรอ?”
“อ้าว? ก็ท่านจอมพลเป็นคนไปยื่นคำร้องขอรับการทดสอบเลื่อนห้องด้วยการประลองเอาไว้ไม่ใช่เหรอครับ? อะ.. เอ๋? นี่มัน… ท่านจอมพลก็อยู่ที่นั่นแล้วนี่นา… ไม่สิ! ทำไมถึงมีท่านจอมพลสองคนได้ล่ะเนี่ย!?”
เอ็มเมอริชติดตามดูซาลเป็นระยะ ๆ มาโดยตลอดเพื่อคอยเฝ้าระวังความปลอดภัยให้ แต่เมื่อเห็นว่าเขายังอยู่ที่บริเวณสวนหย่อมหลังหอพักซึ่งห่างจากสถานที่ซึ่งใช้ในการประลองมากจึงรีบติดต่อเข้ามาเพราะกลัวอีกฝ่ายจะลืม แต่เมื่อสลับหน้าจอไปดูความเคลื่อนไหวที่ลานประลอง เอ็มเอริชกลับเห็นซาลอีกคนหนึ่งซึ่งพันผ้าพันคอผืนใหญ่ปกปิดใบหน้าบางส่วนเอาไว้และยืนคู่อยู่กับคุโระ ทำให้เขารู้สึกงงเป็นไก่ตาแตก
ซาลเองก็รู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนักเขาก็ปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างเข้าด้วยกันได้และเข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่มัน… ฝีมือลาซงั้นเหรอ?”