Doombringer the 5th - ตอนที่ 124
Ch.124 – คาถาอัญเชิญหมาป่าโลกันต์
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 120
คาถาอัญเชิญหมาป่าโลกันต์
Part 1
ทันทีที่ซาลเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เขาก็รีบวิ่งออกจากสวนหย่อมเพื่อตรงไปยังลานประลองกลางแจ้งซึ่งใช้เป็นสถานที่ทดสอบในทันทีโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ กับทาลิสอีก เพราะลานประลองแห่งนั้นอยู่ห่างจากสวนหย่อมนี้คนละฟากโรงเรียนเลยทีเดียว ต่อให้วิ่งไปอย่างสุดฝีเท้าก็ต้องใช้เวลาราวสิบนาทีได้ ซึ่งตอนนั้นการทดสอบก็น่าจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปให้ถึงที่นั่นก่อนเป็นอันดับแรก
ทาลิสมองตามแผ่นหลังของซาลไปโดยมีรอยยิ้มจาง ๆ อยู่บนใบหน้า แต่แววตาของเธอก็สื่อถึงความกังวลออกมาพร้อมกันด้วย
ในขณะเดียวกัน พุ่มไม้ที่ห่างออกไปทางด้านหลังเล็กน้อยก็เริ่มสั่นไหว ก่อนจะมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งโผล่ออกกมา เขาเดินออกจากพุ่มไม้พลางปัดเศษใบไม้ที่ติดอยู่ตามศีรษะและตามตัวออก ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาทาลิส
เด็กคนนั้นมีเส้นผมสีเทาและดวงตาเรียวเล็กราวกับสุนัขจิ้งจอกทั้งยังมีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับกำลังอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา เขาก็คือ โลเฟ่น เทมเพอร์ เพื่อนอีกคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับลาซและทาลิสนั่นเอง
“ความแตกเร็วกว่าที่คิดนะเนี่ย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือคาดอะไรน่ะนะ”
“อื้ม…”
ทาลิสเพียงตอบรับอีกฝ่ายห้วน ๆ ก่อนจะมองตามทิศทางที่ซาลวิ่งไปอย่างไม่วางตา แม้ตอนนี้เขาจะวิ่งพ้นจากระยะสายตาไปแล้วก็ตาม ทำให้ดูเหมือนกับทาลิสกำลังยืนเหม่ออยู่เท่านั้น
โลเฟ่นที่เห็นท่าทางของทาลิสที่แปลกไปก็นึกถึงเรื่องเล่าที่ได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ได้จึงเอ่ยถามอีกฝ่าย
“เรื่องที่เธอเล่าเมื่อกี้… ฉันกับอลันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ การที่เธอไม่อยากเล่าให้พวกเราฟังฉันก็พอจะเข้าใจ แต่ทำไมถึงเล่าให้เขาฟังล่ะ?”
ทาลิสยังคงมองตามไปยังทิศเดิมโดยไม่ได้ตอบอะไรราวกับเธอไม่ได้ยินคำถามนั้น แต่ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็หันกลับมาตอบโลเฟ่นด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเป็นปกติของเธอ
“ก็หน้าที่ของเราคือถ่วงเวลาไม่ใช่เหรอ? ฉันที่เลยเลือกเรื่องเล่าที่ยาวที่สุดมาใช้ไงล่ะ”
“ถึงงั้นก็เถอะ…”
โลเฟ่นยังคงคิดว่าทาลิสมีเจตนาอื่นอีกถึงได้เลือกเล่าเรื่องส่วนตัวแบบนี้ออกมา ซึ่งทาลิสที่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็เข้าใจดีและเธอก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอยู่แล้ว จึงกล่าวอธิบายต่อ
“เรื่องที่ลาซทำคราวนี้น่ะถือว่าหนักหนาอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างละก็เขาจะต้องโกรธลาซมากแน่ ๆ ถึงการแสดงออกของแต่ละฝ่ายจะดูแปลกไปสักหน่อย แต่ฉันเชื่อว่าพวกเขาทั้งสองคนต่างก็รักและเป็นห่วงฝ่ายตรงข้ามในแบบของตัวเอง ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องมาผิดใจกันเพราะไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายน่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นโลเฟ่นก็แอบคิดในใจว่า ‘งั้นสู้ห้ามลาซซะแต่แรกไม่ดีกว่าเรอะ?’ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องอีกอย่างขึ้นมาได้
“จะว่าไปแล้วปกติเธอจะเป็นคนคอยห้ามปรามลาซไม่ให้ทำเรื่องยุ่งนี่นา ทำไมคราวนี้ถึงเปลี่ยนมาร่วมมือซะได้ล่ะ? หรือว่าอยู่กับแม่นั่นนานเกินไปจนติดเชื้อจอมยุ่งมาซะแล้ว?”
โลเฟ่นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอันยียวนเป็นเอกลักษณ์ของเขา ซึ่งเพื่อน ๆ ทุกคนต่างก็เคยชินกับมันแล้ว ทาลิสจึงเพียงแค่ยิ้มเล็ก ๆ โดยไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดอะไรก่อนจะตอบกลับไป
“ฉันแค่อยากจะรู้จักกับเขาให้มากขึ้น อยากรู้ว่าเขาจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไง และเขาเป็นคนที่มีคุณสมบัติคู่ควรรึเปล่าน่ะ”
คำตอบนั้นทำให้สีหน้ายียวนของโลเฟ่นแปรเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าฉงนในทันที
“คุณสมบัติ? สำหรับอะไรเหรอ?”
ทาลิสไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที เธอเพียงแค่ยิ้มกริ่มและเดินผ่านด้านข้างของโลเฟ่นไปเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในดวงตาอันอ่อนโยนของเธอกับมีประกายแห่งความมุ่งมั่นสะท้อนอยู่
“สำหรับการมาเป็นคู่แข่งของฉันไงล่ะ ฉันเองก็ต้องการจะเป็นพี่สาวของลาซเหมือนกัน”
คำตอบนั้นทำให้โลเฟ่นถึงกับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพราะมันเป็นคำตอบที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา แต่เมื่อทบทวนความหมายของมันแล้ว เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ พลางส่ายหน้าและเอ่ยคำพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ
“เธอน่ะ ติดเชื้อไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ…”
——————————————————————————–
Part 2
ก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ที่ลานประลองกลางแจ้งของนักผจญภัยรุ่นสามัญชั้นต้น (ปี 1-3) ประจำโรงเรียนอีจิสไพร์มซึ่งตั้งอยู่เกือบสุดขอบของกำแพงโรงเรียนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ คุโระก็กำลังอยู่ในอาการตกตะลึง
เพราะเขาเพิ่งรู้ว่าที่ซาล (ตัวปลอม) พาเขามาที่นี่ก็เพื่อรับการทดสอบเลื่อนห้อง แถมยังเป็นการทดสอบเพื่อเลื่อนขึ้นไปอยู่ห้อง A ซะด้วย
“มะ.. หมายความว่าเราจะประลองกับหัวกะทิของห้อง B สามกลุ่ม เพื่อจะเลื่อนห้องไปยังห้อง A งั้นเหรอครับ?”
“อื้ม ถูกแล้วล่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ นายอยู่เฉย ๆ ก็พอ ที่เหลือฉันจะเป็นคนจัดการเอง”
แม้อีกฝ่ายจะพูดแบบนั้นแต่คุโระก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี แน่นอนว่าเขาเชื่อมั่นในฝีมือของซาลและปราศจากข้อกังขาว่าซาลจะต้องชนะการประลองได้แน่แม้คู่ต่อสู้จะเป็นนักเรียนที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับนักเรียนห้อง A ก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการที่จู่ ๆ จะได้เลื่อนห้องในลักษณะแบบนี้ โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลยด้วย
“แบบนั้นน่ะไม่ได้หรอกนะ”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกันอยู่ก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังมาจากด้านหลัง ทำให้ทั้งคู่ต้องหันไปมองในทันที
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวซึ่งน่าจะมีอายุยี่สิบกลาง ๆ เธอมีเส้นผมสีดำขลับซึ่งมัดรวบเป็นหางม้าไว้ทำให้ดูทะมัดทะแมง และมีใบหน้าเรียวงามได้สัดส่วน แต่ดวงตาของเธอกลับดูแข็งกร้าวและดุร้าย ราวกับเป็นคนที่อยู่ในอารมณ์หงุดหงิดตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศรอบตัวเธอพลอยอึมครึมไปด้วย
“การทดสอบนี่น่ะมีเพื่อวัดคุณสมบัติในการเลื่อนห้อง เราจะดูความสามารถของทุกคนในกลุ่มเป็นรายบุคคล ดังนั้นแต่ละคนจะต้องเข้าร่วมในการประลองอย่างน้อยคนละหนึ่งครั้ง ไม่เช่นนั้นก็จะถือว่าขาดคุณสมบัติและถูกปรับตก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคุโระก็ถึงกับเหงื่อตกเพราะความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนลาซก็รีบหลบสายตาไปทางอื่นในทันทีที่เห็นอีกฝ่าย เพราะผู้หญิงคนนี้คืออาจารย์ เร็นแน็บ อีเคิร์บ (Rennab Ecurb) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่รับผิดชอบการเรียนการสอนของห้อง A นั่นเอง
โดยปกติเร็นแน็บก็เป็นคนที่ขี้หงุดหงิดอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้เธอจะอารมณ์ขมุกขมัวเป็นพิเศษ เพราะเหตุการณ์ถอนรากถอนโคนกลุ่มอำนาจฝั่งโดมินาเรียในกระทรวงศึกษาฯ ก่อนหน้านี้มีอาจารย์ในโรงเรียนเข้าไปพัวพันด้วยหลายคน หลาย ๆ วิชาจึงขาดอาจารย์ผู้สอนลงอย่างกะทันหัน ทำให้ต้องมีการโยกย้ายอาจารย์ที่มีอยู่แล้วไปสอนแทนเป็นการชั่วคราว ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้ก็คือเร็นแน็บนั่นเอง ทำให้เธอต้องเพิ่มวันสอนมากขึ้นและมีเวลาว่างน้อยลงจนส่งผลให้ความอดทนของเธอลดต่ำลงเป็นพิเศษ
ทันทีที่เห็นลาซ เร็นแน็บก็เพ่งพิจารณาอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง ทำให้เจ้าตัวยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้นอีกเพราะกลัวว่าความจะแตก ทว่าก็ได้แต่พยายามเก็บอาการเท่านั้น
“อืม… รูปร่างหน้าตาเธอนี่ เหมือนกับน้องสาวไม่มีผิดเพี้ยนเลยนะ แต่หวังว่าคงจะไม่ติงต๊องเหมือนกันล่ะ แค่มีน้องสาวเธอคนเดียวฉันก็ต้องต่อสู้กับความรู้สึกอยากฆ่าคนแทบทุกวันแล้ว ถ้าเพิ่มเด็กแบบนี้มาอีกคนละก็ ฉันได้กลายเป็นฆาตกรสังหารหมู่นักเรียนยกห้องแน่ ๆ “
อาจารย์เร็นแน็บกล่าวออกมาด้วยสายตาหงุดหงิดและสีหน้าเหนื่อยหน่าย ทำให้ดูไม่ออกเลยว่าเธอพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ แต่คำพูดนั้นก็ทำให้คุโระเริ่มสะกิดใจบางอย่างขึ้นมา ส่วนลาซก็แอบโต้แย้ง เบา ๆ ด้วยคำพูดอุบอิบ
“พี่สาวต่างหาก…”
“หืม?”
“มะ.. ไม่มีอะไรฮะ”
เพราะลาพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาจนเหมือนกับเป็นการกระซิบทำให้อาจารย์เร็นแน็บแทบจะไม่ได้ยินคำพูดนั้นเลย ผิดกับคุโระที่อยู่ใกล้กว่าจึงพอจะได้ยินถ้อยคำนั้นบ้าง ในทีแรกเขาก็รู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้ว ดวงตาของคุโระก็เบิกโพลงขึ้นเพราะความตื่นตะลึง
“นะ.. นี่?… เอ๋~!?!?”
ลาซที่เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของคุโระก็รู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว จึงรีบเอามือปิดปากเขาไว้ก่อนจะพูดกลบเกลื่อนไม่ให้อาจารย์เร็นแน็บเกิดความสงสัย
“มะ.. ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้น่า! ถึงมันจะผิดแผนไปสักหน่อยแต่ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก นายสู้ได้อยู่แล้ว! เชื่อมั่นในตัวเองหน่อยสิ!”
เพราะถูกปิดปากไว้คุโระจึงได้แต่จ้องมองลาซด้วยใบหน้าอันบิดเบี้ยวซึ่งเต็มไปด้วยความสับสน ส่วนอาจารย์เร็นแน็บก็หรี่ตาลงและมองเด็กทั้งสองด้วยสีหน้าหงุดหงิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะรู้สึกเหมือนกับฝาแฝดคนพี่ก็เป็นพวกชอบสร้างเรื่องปวดหัวให้กับคนรอบข้างไม่ต่างจากคนน้องสักเท่าไหร่
ลาซซึ่งเห็นแววตาแบบนั้นก็กลัวว่าอาจารย์จะนึกสงสัยมากขึ้น จึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“จริงสิ อาจารย์ฮะ มาเริ่มประลองกันเลยดีกว่า ขอแบบหนึ่งต่อสามเลยนะ ให้ทั้งสามกลุ่มเข้ามาพร้อมกันเลย จะได้เสร็จไว ๆ ไงล่ะฮะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น อาจารย์เร็นแน็บก็ยิ่งมีสีหน้าหงุดหงิดมากขึ้นอีก จนคิ้วที่ขมวดเข้ามาชนกันของเธอแทบจะดันทะลุข้ามไปอีกฟากอยู่แล้ว
“เข้าใจล่ะ ความติงต๊องนี่มันอยู่ในสายเลือดสินะ… เฮ้อ… นี่ฉันไปก่อกรรมอะไรไว้กับตระกูลแฮลเซียนเนี่ย ถึงต้องมาเจอกับทายาทเจ้าปัญหาของตระกูลพร้อมกันถึงสองคนแบบนี้…”
อาจารย์เร็นแน็บพึมพำออกมาพลางใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางนวดคลึงหว่างคิ้วของตัวเองอยู่พักหนึ่งเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดลง ก่อนจะหันมาเอ่ยคำพูดกับลาซและคุโระอีกครั้ง
“การทดสอบนี่น่ะมีขึ้นเพื่อวัดคุณสมบัติที่แท้จริงของผู้ทดสอบ เราจึงจะทำการทดสอบอย่างยุติธรรมเท่านั้น คือสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง หรือไม่ก็กลุ่มต่อกลุ่ม อีกอย่างคือกลุ่มของพวกเธอมีแค่สองคน นี่เป็นฝีมือของเจ้าบ้าวารัสสินะ… ไอ้เปรตนั่น…”
พอพูดถึงวารัลขึ้นมาแล้ว โทสะของอาจารย์เร็นแน็บก็ยิ่งคุกรุ่นมากขึ้นกว่าเดิมจนเผลอหลุดคำสบถออกมา แววตาของเธอตอนนี้แปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาอันดุดันราวกับเพชฌฆาต ทำให้ใบหน้าที่เคยงดงามนั้นกลับดูน่าขนลุกขนพองไปแทน
เพราะวารัลเป็นอาจารย์ประเภทที่เร็นแน็บเกลียด ทั้งไม่ค่อยทำงานทำการ แถมยังชอบชักชวนอาจารย์คนอื่น ๆ ให้สำมะเลเทเมาไปด้วย แล้วยังก่อเรื่องจนชื่อเสียงของโรงเรียนเกิดความมัวหมองอีก คนที่ค่อนข้างเคร่งครัดกฎระเบียบและเป็นศิษย์เก่าของสถาบันอย่างเร็นแน็บจึงรู้สึกชิงชังวารัลมากขึ้นเป็นพิเศษ
ทั้งลาซและคุโระที่เห็นแววตาอันน่าสะพรึงนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งและกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ส่วนเร็นแน็บที่ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงสงบสติได้ก็เริ่มอธิบายต่อ
“เพราะกลุ่มของพวกเธอมีเพียงสองคน เราจึงให้กลุ่มที่มาร่วมการทดสอบคัดเลือกตัวแทนในการต่อสู้มาแค่สองคนในแต่ละรอบเท่านั้น หากเลือกสู้แบบเดี่ยวก็ชนะให้ได้ทั้งสองคน ถ้าเสมอต้องส่งตัวแทนมาประลองตัดสินอีกครั้งเพื่อหาผู้ชนะ หากเลือกสู้แบบกลุ่มก็จะเป็นการสู้แบบสองต่อสองและรู้ผลในทีเดียว เมื่อจบหนึ่งรอบเราจะให้เวลา 30 – 60 นาทีเพื่อพักฟื้นแล้วแต่ความรุนแรงของการต่อสู้นัดก่อนหน้า จากนั้นจึงให้ทำการประลองกับกลุ่มต่อไป หากพวกเธอสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามสองในสามกลุ่มได้ก็ถือว่าผ่านการทดสอบ”
“งั้นก็ขอสู้แบบทีมก็แล้วกัน จะได้เร็ว ๆ ไงล่ะฮะ ว่าแต่สู้ทีเดียวพร้อมกันสามกลุ่มไม่ได้จริง ๆ น่ะเหรอฮะ?”
แม้จะไม่ได้ตอบคำถามออกมาเป็นคำพูด แต่สายตาที่แผ่พุ่งพลังกดดันราวกับมังกรพิโรธของเร็นแน็บก็ทำให้ลาซรู้คำตอบในทันที จึงได้แต่รีบหลบสายตาไปทางอื่นพลางยิ้มแห้ง ๆ กลบเกลื่อน
“ถ้าไม่มีอะไรสงสัยแล้วก็… กลุ่มที่หนึ่ง! ขึ้นมาบนสังเวียนได้!”
อาจารย์เร็นแน็บหันไปสั่งกับนักเรียนทั้งสามกลุ่มที่ยืนเรียงหน้ากระดานกันอยู่อีกฟากหนึ่งของสังเวียน ซึ่งทันทีที่ได้รับคำสั่ง นักเรียนสองคนจากกลุ่มที่ยืนอยู่ฟากซ้ายก็ก้าวขึ้นไปบนลานประลองทันที ส่วนลาซก็รีบฉุดมือของคุโระให้โดดขึ้นไปบนลานประลองเช่นกัน
แววตาของลาซนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นทั้งยังมีสีหน้าเหมือนกับกำลังจะได้เล่นสนุก ตรงกันข้ามกับคุโระที่จนถึงวินาทีนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา
——————————————————————————–
Part 3
หลังจากถูกฉุดกระชากลากถูขึ้นไปบนลานประลองแล้วคุโระก็เริ่มจะตั้งสติได้และหันมากระซิบกับลาซด้วยท่าทีร้อนรน
“คะ.. คุณคือคุณลาซไม่ใช่เหรอครับ!? แล้วทำไมถึง?”
“ฉันจะช่วยให้นายกับซาลได้ไปอยู่ห้อง A เร็ว ๆ ไงล่ะ ถึงจะผิดแผนไปสักหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไร รอบแรกนี้ฉันจะคอยสนับสนุนเองละกัน นายพยายามโชว์ฝีมือให้เต็มที่ จัดการฝ่ายตรงข้ามสักคนให้ได้ แล้วที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
ลาซตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังยิ้มกริ่มอยู่ใต้ผ้าพันคอผืนใหญ่ แต่มันก็ไม่ทำให้คุโระคลายความกังวลลงเลยแม้แต่น้อย
“แต่ยังไงนี่มันก็ไม่ถูกนะครับ! ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาละก็เป็นเรื่องใหญ่แน่!”
“งั้นก็อย่าให้ถูกจับได้สิ ทำตัวเป็นปกติเข้าไว้ ไม่มีใครรู้หรอกน่า~”
เพราะตัวเองก็ถูกหลอกมาจนป่านนี้ถึงเพิ่งจะรู้ตัว คุโระเลยไม่สามารถโต้แย้งในประเด็นนี้ได้เต็มปาก เขาจึงพยายามหยิบยกเรื่องอื่นมาโต้แย้งแทน
“ถึงงั้นก็เถอะ… แต่ทำแบบนี้ไม่กลัวว่าคุณซาลจะโกรธเอาเหรอครับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแววตาของลาซก็แสดงความลังเลออกมาแวบหนึ่ง ก่อนมันจะทอประกายอันแปลกประหลาดออกมาพร้อมกับสีหน้าที่สื่อถึงความพึงพอใจ
“ถ้าแบบนั้นก็ยิ่งดีน่ะสิ”
ท่าทางของลาซที่เหมือนจะพอใจกับผลลัพธ์แบบนั้นมากกว่ายิ่งทำให้คุโระรู้สึกสับสนมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขานึกถึงซาลขึ้นมาด้วย เพราะความคิดความอ่านไม่เหมือนใครและอุปนิสัยเข้าใจยากแบบนี้เป็นอะไรที่ทั้งสองคนมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก
ในระหว่างนั้นเอง อาจารย์เร็นแน็บก็ให้สัญญาณเตรียมตัวกับทั้งสองฝ่าย
“การประลองจะเริ่มในอีกสามนาที! ทั้งสองฝ่าย! เตรียมพร้อม!”
เมื่อได้ยินคำประกาศนั้น คุโระที่เห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกจึงต้องมุ่งความสนใจมาที่การประลองแทน
นักเรียนชายสองคนที่เป็นตัวแทนของกลุ่มแรกยังอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนจึงทำให้มองออกยากว่าทั้งสองคนมีคลาสหลักเป็นอะไรกันแน่ นี่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์พื้นฐานของการประลองคือไม่เผยคลาสของตนเองให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็นก่อน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสามารถวางแผนรับมือได้
แต่เพียงแค่มองปราดเดียว ลาซก็เอ่ยชื่อคลาสของทั้งสองคนนั้นออกมาทันที
“วอริเออร์ (Warrior) สายดาบสองมือ กับพรีสต์ (Priest) งั้นเหรอ เกือบจะเป็นรูปแบบการจับคู่แบบมาตรฐานเลยนะเนี่ย น่าเบื่อจัง”
“เอ๋? คุณลาซรู้ได้ยังไงเหรอครับว่าพวกเขาเป็นวอริเออร์กับพรีสต์น่ะ?”
จากรูปร่างและลักษณะท่าทางแล้วคุโระก็พอจะมองออกเล็กน้อยว่าเด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลที่อยู่ด้านซ้ายเป็นคลาสสายนักสู้เพราะมีรูปร่างล่ำสันและมีจิตต่ออสู้จาง ๆ แผ่ออกมาให้เห็นแม้จะอยู่ในภาวะปกติ ส่วนเด็กผู้ชายผมทองอีกคนทางด้านขวาก็มีประกายตาแปลบปลาบเหมือนมีพลังงานไหลเวียนอยู่ภายในซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผู้ใช้เวทมนตร์ ถึงกระนั้นมันก็เป็นเพียงการคาดเดาแบบกว้าง ๆ ไม่สามารถจำแนกแยะแยะคลาสที่แท้จริงของสองคนนั้นได้ว่าเป็นนักรบสายอะไรหรือนักเวทสายอะไร ทำให้คุโระรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของลาซ
“คนผมน้ำตาลน่ะเป็นนักรบอยู่แล้ว แต่ดูจากรอยด้านบนมือซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่นิ้วมือด้านในทั้งสองข้างแล้วแปลว่าเขาเป็นคนที่ใช้อาวุธสองมือในการต่อสู้ รอยด้านที่ข้อนิ้วด้านในน่ะจะเกิดจากแรงกดหรือแรงกระชากตอนใช้อาวุธในมือฟาดฟัน ผิดกับนักรบสายแท๊งค์ที่ใช้มือหนึ่งถือดาบส่วนอีกมือถือโล่ มือข้างที่ถือโล่ก็จะเกิดรอยด้านที่ตัวฝ่ามือมากกว่าเพราะได้รับแรงกดจากการกระแทกเป็นประจำ และที่มือซ้ายของเขามีรอยด้านน้อยกว่ามือขวาก็แปลว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ใช้อาวุธคู่ แต่ใช้ทั้งสองมือจับอาวุธชิ้นเดียว มืออีกข้างมีหน้าที่แค่ช่วยเสริมแรงจึงเกิดรอยด้านน้อยกว่า ดังนั้นเขาต้องเป็นนักรบสายอาวุธสองมือแน่นอน”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของลาซ คุโระก็ถึงกับอึ้งไปเพราะคาดไม่ถึงว่าลาซจะมองรายละเอียดและวิเคราะห์ได้ขนาดนี้ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็อธิบายต่อ
“สำหรับคนผมทองที่อยู่ด้านขวาน่ะดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ใช้เวท แต่จุดสังเกตก็คือผิวพรรณของเขาที่เนียนนุ่มและมีชีวิตชีวาเกินกว่าผู้ชายทั่วไป ดูจากทรงผมอันยุ่งเหยิงของเขาแล้วหมอนี่ไม่น่าจะเป็นพวกที่เอาใจใส่ดูแลตัวเองขนาดซื้อครีมบำรุงผิวมาใช้แน่ ที่ห้องมีหวีบ้างรึเปล่ายังไม่รู้เลย ความเต่งตึงของผิวพรรณนี้จึงน่าจะเป็นผลจากการฝึกเวทรักษาซึ่งนักเวทสายรักษาส่วนใหญ่ก็ต้องทดลองใช้เวทมนตร์กับตนเองทำให้มีผิวพรรณดีกว่าคนทั่วไปเพราะได้รับการฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ และผลของเวทรักษาแต่ละชนิดก็มีผลต่อผิวพรรณต่างกันไปด้วย สำหรับผิวที่ดูเปล่งปลั่งส่องประกายขนาดนี้น่าจะเป็นผลจากเวทฟื้นฟูธาตุแสง ดังนั้นคลาสของหมอนี่จึงน่าจะเป็นพรีสต์ไงล่ะ”
พอได้ฟังคำอธิบายชุดที่สองของลาซ คุโระก็ยิ่งรู้สึกทึ่งมากขึ้นกว่าเดิมจนถึงกับตาค้างไป ในใจของเขารู้สึกว่าทายาทของตระกูลแฮลเซียนแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลระดับอัจฉริยะทั้งนั้น
“ตะ.. แต่เขายืนอยู่ตั้งไกลขนาดนั้น ทำไมคุณลาซถึงมองเห็นได้ล่ะครับ?”
เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของลานประลองซึ่งห่างออกไปเกือบสามสิบเมตร ทำให้คุโระรู้สึกข้องใจมากเพราะสายตาของคนทั่วไปไม่น่าจะมองเห็นได้ไกลขนาดนั้นเลย
“เป็นเพราะฉันมี ‘นัยน์ตาเหยี่ยว’ (Hawk Eyes) ไงล่ะ ถึงระดับจะไม่สูงนัก แต่ระยะแค่นี้น่ะมองเห็นได้สบายอยู่แล้ว”
“เอ๋? แต่นั่นมันทักษะของพวกนักธนูไม่ใช่เหรอครับ? หรือว่าคุณลาซจะเป็นนักธนู?”
นัยน์ตาเหยี่ยว (Hawk Eyes) คือทักษะเพิ่มระยะการมองเห็น ทำให้ผู้ที่มีทักษะนี้สามารถมองเห็นได้ไกลกว่าคนทั่วไป โดยปกติแล้วจะเป็นทักษะสำหรับคลาสสายนักธนูเพราะคลาสสายนี้ต้องพึ่งพาประสิทธิภาพในการมองเห็นเพื่อเล็งเป้า
“ก็ไม่เชิงจะแบบนั้นหรอกนะ แค่เคยเรียนทักษะของนักธนูเอาไว้น่ะ เอาล่ะ ทีนี้ก็…”
เมื่อพุดจบ ลาซก็ร่ายเวทเสริมพลังให้กับคุโระในทันที มีทั้งเวทเสริมพลังป้องกันและเวทเสริมพลังโจมตี ทั้งยังเป็นเวทระดับกลางซึ่งไม่ใช่ของที่คนทั่วไปจะเข้าถึงได้ง่าย ๆ ด้วยแม้จะเลือกศึกษาเป็นคลาสรองก็ตาม ทำให้คุโระยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นอีก
“ชะ.. ใช้เวทเสริมพลังให้คนอื่นได้ด้วยเหรอครับเนี่ย? แต่นี่มันเวทของพวกนักเวทสายซัพพอร์ทนี่นา?”
“ของแบบนั้นน่ะใคร ๆ ก็เรียนได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกน่า เอาล่ะ ทีนี้แผนของเราก็คือ… นายพุ่งเข้าไป เอาชนะวอริเออร์ของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ แล้วถ้าสะดวกก็เลยไปจัดการกับพรีสต์ที่อยู่ด้านหลังด้วย เท่านี้แหละ”
คำพูดของลาซทำให้คุโระนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำพูดออกมาด้วยสายตาเคลือบแคลง
“แบบนั้นมันเรียกว่าแผนได้ด้วยเหรอครับ…”
“เฮ้ เนี่ยแหละแผน นายต้องพยายามโชว์ฝีมือให้ได้มากที่สุดก่อน จะได้ผ่านการทดสอบ แล้วหลังจากนั้นฉันจะได้อาละ.. มะ. หมายถึง ต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ไงล่ะ!”
ลาซกล่าวออกมาด้วยท่าทางร่าเริงพลางตบไหล่ของคุโระแปะแปะเพื่อให้กำลังใจ ส่วนเจ้าตัวแม้จะรู้สึกว่ามีหลายอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องแต่ก็ไม่รู้จะโต้แย้งกลับไปอย่างไรดี จึงได้แต่ทำตามเท่านั้น
“เอาล่ะ คงพร้อมกันแล้วสินะ ถ้างั้นก็เริ่มการประลองได้!”
ความจริงยังไม่ครบเวลาสามนาทีตามที่เคยบอก แต่อาจารย์เร็นแน็บที่ขี้เกียจรอนานมากกว่านี้แล้วก็ให้สัญญาณเริ่มการต่อสู้ในทันทีเพื่อจะได้จบเรื่องให้เสร็จ ๆ ไป คู่ประลองทั้งสองฝ่ายที่ยืนกันอยู่คนละฟากจึงหันมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง แล้วการประลองก็เริ่มต้นขึ้น
——————————————————————————–
Part 4
ทันทีที่การประลองเริ่มต้นขึ้น คุโระก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดต่อสู้พร้อมกับชักกระบี่ขอเขาออกมาและพุ่งตรงไปยังฝ่ายตรงข้ามในทันที
แม้จะบอกว่าเป็นการเปลี่ยนชุด แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ก็ยังคงเป็นชุดยูนิฟอร์มของนักเรียน เพียงแค่เปลี่ยนรองเท้าที่สวมเป็นรองเท้าบูทแบบแน่นหนาและสวมถุงมือสำหรับจับดาบเท่านั้นเอง ผิดกับฝ่ายตรงข้ามที่เปลี่ยนเป็นชุดนักผจญภัยอย่างเต็มยศ เช่นเด็กผมสีน้ำตาลที่เป็นนักรบก็มีชุดเกราะหนังแบบเบาหลายชิ้นสวมลงบนหน้าอก, แขน, และขา ทั้งยังมีผ้าคลุมอีกผืนสวมพาดไหล่ ส่วนเด็กผมทองอีกคนที่เป็นนักเวทก็เปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวสีขาวสลับเหลืองพร้อมกับนำไม้เท้าเวทแบบยาวออกมาและเริ่มร่ายมนตร์ในทันที
เด็กผมน้ำตาลมีอาวุธประจำกายเป็นดาบยาวซึ่งต้องใช้สองมือจับ ส่วนเด็กผมทองด้านหลังก็ร่ายเวทเสริมพลังให้กับเด็กที่เป็นนักรบอย่างต่อเนื่อง ไม่ผิดไปจากการวิเคราะห์ของลาซเลยแม้แต่น้อย
“เป็นวอริเออร์กับพรีสต์จริง ๆ ด้วย… ถ้างั้นละก็…”
แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นฝ่ายตรงข้ามที่เป็นนักเรียนระดับท็อปของห้อง B อยู่เล็กน้อย แต่คุโระก็ฝึกฝนวิชาตามเคล็ดการฝึกที่ซาลมอบให้มาโดยตลอด เขารู้สึกได้ว่าทั้งร่างกายและทักษะการต่อสู้ของตนเองพัฒนาไปอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ในเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนเขาก็สามารถบรรลุทักษะของนักดาบสายเฟนเซอร์ที่มีให้ฝึกในคลาสแรกได้ทั้งหมดแล้ว แถมยังข้ามไปฝึกทักษะของเฟนเซอร์ซึ่งเป็นคลาสระดับสองได้บางส่วนแล้วด้วย ทั้งที่ความจริงแค่การจะบรรลุทักษะพื้นฐานทั้งหมดของเฟนเซอร์ในช่วงคลาสแรกนั้นต้องใช้เวลานับปีหรือหลายปีเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และความพยายามของแต่ละคน
ด้วยเหตุนี้คุโระจึงมีความมั่นใจในฝีมือของตัวเองอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองประมือกับคนจริง ๆ ทำให้เขายังอดรู้สึกประหม่าจนใจเต้นแรงไม่ได้
เพราะไม่แน่ใจว่าฝีมือที่พัฒนาขึ้นนี้จะเพียงพอต่อการเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้แน่รึเปล่า คุโระจึงเริ่มการต่อสู้โดยทุ่มสุดฝีมือตั้งแต่แรก
“วินด์วอลค์!”
ทันทีที่คำรามชื่อทักษะขึ้นในใจ จิตต่อสู้ที่แผ่ออกมาจากตัวคุโระก็แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเป็นกระแสลมอันเชี่ยวกรากที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาราวกับเป็นอาภรณ์ที่ถักทอขึ้นจากพายุ แรงหนุนเสริมจากกระแสลมนี้ทำให้เขาสามารถพุ่งจากจุดที่ยืนอยู่ซึ่งห่างจากฝ่ายตรงข้ามเกือบสามสิบเมตรเข้าไปอยู่ในระยะสิบเมตรได้ชั่วอึดใจ
เพราะก่อนหน้านี้ฝ่ายตรงข้ามยังอยู่ห่างออกไปมาก แต่ในไม่กี่วินาทีคุโระก็ร่นระยะทางเข้ามาจนเกือบถึงระยะประชิดแล้ว ทำให้นักดาบผมสีน้ำตาลถึงกับตกตะลึง แต่เขาก็ยังตั้งสติได้ทันและจรดปลายดาบลงกับพื้นเพื่อปลดปล่อยท่าโจมตีในทันที
ดาบยาวของเด็กหนุ่มห่อหุ้มไปด้วยออร่าสีเหลืองเข้ม เขาตวัดปลายดาบลากกับพื้นเบื้องหน้าเป็นรูปครึ่งวงกลม ทำให้เกิดคลื่นพลังสีเหลืองแผ่พุ่งออกไปราวกับเป็นเกลียวคลื่นในมหาสมุทร นี่คือท่า ‘พาวเวอร์เวฟ’ (Power Wave) ท่าโจมตีของนักรบสายอาวุธหนักที่สร้างการโจมตีแผ่พุ่งไปตามพื้นดินเป็นวงกว้าง มันเป็นท่าที่ใช้รับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีความเร็วสูงโดยเฉพาะ
ตามปกติการโจมตีเป็นวงกว้างแบบนี้จะสามารถสกัดการรุกคืบของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ได้ด้วยรัศมีการทำลายอันกว้างขวางที่บีบให้ต้องหลบเลี่ยง แต่ทันทีที่เห็นฝ่ายตรงข้ามจรดปลายดาบลงพื้น คุโระก็เปลี่ยนเส้นทางวิ่งโดยมุ่งไปในทิศทางเดียวกับที่ปลายดาบกำลังลากไปแทน
กระบวนท่าพาวเวอร์เวฟจะปลดปล่อยคลื่นพลังงานหลังจากที่ปลายดาบกรีดผ่านพื้นดินเพียงชั่ววินาที ลักษณะนี้ทำให้คลื่นพลังจะแผ่ออกไปช้ากว่าการกรีดดาบ คุโระที่เดาออกว่าอีกฝ่ายจะต้องใช้ท่านี้จึงเลือกวิ่งไปในทิศเดียวกับที่ดาบกำลังลากไป เพื่อวิ่งแซงวงคลื่นที่กำลังแผ่ออกมาและวกอ้อมเข้าไปโจมตีอีกฝ่ายได้นั่นเอง
ฝีเท้าของคุโระที่เสริมด้วยท่าวินด์วอลค์นั้นทำให้ความเร็วของเขาเหนือกว่าความเร็วของคลื่นพลังอยู่พอสมควร นักดาบผมสีน้ำตาลจึงได้แต่มองตามด้วยความตกตะลึง เพราะในขณะที่เขายังเหวี่ยงดาบไม่สุดวงแขน คุโระก็สามารถวิ่งอ้อมการโจมตีจนเข้ามาประชิดตัวเขาได้แล้ว
ชั่วพริบตานั้นก็มีเสียงเหมือนกับเสียงแตกสลายของแผ่นกระเบื้องดังขึ้น ก่อนที่ร่างของนักดาบผมสีน้ำตาลจะถูกอัดกระแทกจนลอยกระเด็นผ่านหน้านักเวทที่เป็นคู่หูไป
นักเวทผมทองคนนั้นยังอยู่ในอาการตะลึงเพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แม้อีกฝ่ายจะเข้าประชิดตัวเพื่อนร่วมทีมของเขาได้ แต่ก็ไม่น่าจะซัดนักดาบผมสีน้ำตาลจนลอยกระเด็นออกมาได้ในชั่วพริบตาแบบนี้เลย
ในเวลานั้นเอง อาจารย์เร็นแน็บที่มองดูการต่อสู้อยู่ตลอดก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะเธอเห็นการโจมตีที่คุโระใช้ทะลวงการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน
ท่าที่คุโระใช้คือ ‘ทริเปิลสแลช’ (Triple Slash) เป็นท่าโจมตีที่ของนักดาบสายเฟนเซอร์ซึ่งจะทำการโจมตีสามครั้งซ้อนในหนึ่งวินาที การที่คุโระสามารถใช้ท่านี้ได้ก็ทำให้เร็นแน็บรู้สึกประหลาดใจอยู่แล้ว เพราะมันเป็นท่าของเฟนเซอร์ซึ่งเป็นคลาสระดับสอง เด็กที่อยู่คลาสแรกอย่างคุโระยังไม่น่าจะใช้ท่านี้ได้เลย
ถึงกระนั้นโดยปกติมันก็ยังไม่ใช่ท่าที่มีพลังทำลายรุนแรงขนาดจะทะลวงการป้องกันทั้งหมดของคู่ต่อสู้ได้ในคราวเดียว เพราะนี่เป็นท่าโจมตีระดับกลาง ไม่ใช่ท่าที่มีพลังโจมตีรุนแรงหรือมีอำนาจในการเจาะทะลวง แม้อีกฝ่ายจะเป็นวอริเออร์ซึ่งมีพลังป้องกันไม่สูงนักแต่หากทั้งสองฝ่ายมีพลังใกล้เคียงกันท่านี้ก็น่าจะสร้างความเสียหายได้ไม่เกิน 50% ของจิตต่อสู้ที่ห่อหุ้มร่างกายอีกฝ่ายอยู่ หากสามารถทำลายจิตต่อสู้ที่ป้องกันร่างของฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมดในคราวเดียว แปลว่าการโจมตีนี้ต้องมีความรุนแรงกว่าปกติถึงสองเท่า
ทว่าสิ่งที่ทำให้เร็นแน็บประหลาดใจจริง ๆ ก็คือเด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลนั้นไม่ได้มีแต่จิตต่อสู้ของตัวเองห่อหุ้มอยู่ แต่ยังมีเวทป้องกันที่เพื่อนร่วมทีมใส่ให้อยู่ด้วย
เด็กผู้ชายผมทองนั้นเป็นพรีสต์ ซึ่งเป็นคลาสสายสนับสนุนโดยตรง เวทป้องกันของคลาสนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพเป็นอันดับต้น ๆ ของทุกคลาส เวทป้องกันที่ถูกร่ายไว้จึงน่าจะลดทอนพลังโจมตีลงได้ 30-35% แปลว่านักดาบที่มีเวทป้องกันนี้เสริมอยู่ควรจะทนทาน ‘ทริปเปิลสแลช’ ได้ราว ๆ สามชุด ก่อนที่การป้องกันทั้งหมดจะพังทลายลง
แต่นี่คุโระกลับสามารถทำลายมันได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียว นั่นหมายถึงการโจมตีนี้มีความรุนแรงกว่าปกติถึงสามเท่า และแปลว่าคุโระมีระดับพลังเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม 1-2 ขั้นได้
แม้แต่เจ้าตัวเองก็มีสีหน้าที่อยู่ในอาการตกตะลึงเช่นกัน เขาเลือกใช้ท่านี้เพราะมันเป็นท่าโจมตีอันรวดเร็วซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการจะกดดันฝ่ายตรงข้ามให้ถอยร่นไป ไม่คิดว่ามันจะโค่นอีกฝ่ายได้ในครั้งเดียวแบบนี้
ในระหว่างที่ยังตกตะลึงอยู่ คุโระก็เหลือบไปเห็นนักเวทผมทองซึ่งยังอยู่ในอาการตกใจไม่หาย เมื่อทั้งสองหันมาสบตากัน ต่างคนต่างก็ตกใจและนึกขึ้นได้ว่าการต่อสู้ยังไม่จบ นักเวทผมทองพยายามร่ายเวทฉุกเฉินเพื่อสร้างม่านพลังขึ้นมาป้องกันตนเอง แต่ยังไม่ทันที่ม่านพลังงานนั้นจะประสานตัวกันดีคุโระก็สืบเท้าเข้าไปถึงตัวอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็วและตวัดดาบออกไปทำลายม่านพลังนั้นลงได้ก่อน ส่งผลให้เกิดละอองแสงเม็ดเล็ก ๆ แตกกระจายไปทั่วบริเวณราวกับเป็นเศษแก้ว
คุโระตวัดปลายกระบี่ชี้ไปที่คอของนักเวทผมทองเพื่อให้อีกฝ่ายยอมจำนน แต่ก่อนที่ปลายดาบของเขาจะหยุดนิ่งมันก็ถูกปัดออกไปด้วยดาบยาวที่ตวัดสวนมาจากด้านข้าง
นั่นเป็นดาบของเด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลที่ถูกอัดจนลอยละลิ่วไปเมื่อสักครู่นี้ แม้การโจมตีของคุโระจะรุนแรงจนสามารถทะลวงการป้องกันทั้งหมดได้ แต่พลังโจมตีก็ถูกดูดซับไปมากจนสร้างความบาดเจ็บให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะอยู่ในอาการตกใจและงุนงงที่การป้องกันทั้งหมดถูกทำลายอย่างรวดเร็วจนตัวของเขาถูกซัดกระเด็นไป แต่เขาก็ยังตั้งสติได้อย่างรวดเร็วและดีดตัวกลับมาช่วยพวกพ้องได้ทัน
เมื่อเห็นว่าคู่หูไม่ได้ถูกโค่นอย่างที่คิด นักเวทผมทองจึงรีบถอยห่างออกมาและเริ่มร่ายเวทรักษาให้กับอีกฝ่าย แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนก้องดังเข้ามากระทบหูของเขา
“คาถาอัญเชิญ! หมาป่าโลกันต์!”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น นักเวทผมทองก็หันไปมองยังต้นทางของเสียง และพบว่ามีหมาป่าสีเทาเข้มขนาดตัวเกือบหนึ่งเมตรกำลังพุ่งฝ่าอากาศเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว ราวกับมันกำลังบินอยู่
ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะทันได้ตอบสนองอะไร ส่วนหัวของหมาป่าก็ชนเข้ากรามด้านขวาของเขาอย่างจัง ส่งผลให้ใบหน้าของเขาสะบัดไปทางอื่นอย่างแรง ก่อนที่ร่างกายของเขาจะเอนล้มลงราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสายในทันที
นักดาบผมสีน้ำตาลได้แต่ตกตะลึงกับการโจมตีอันไม่คาดคิดนี้ ในระหว่างนั้นเอง หมาป่าสีเทาเข้มอีกตัวก็กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูงเช่นกัน
ในตอนนั้นเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
หมาป่าสีเทานั้นมีขนาดเล็กจนน่าประหลาด แถมการเคลื่อนไหวของมันยังดูไร้ชีวิต ทั้งขาที่ห้อยลู่ไปตามลม และดวงตาที่ไม่ได้จับจ้องมายังเป้าหมายแต่กลับมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไร้ทิศทาง
เมื่อมองต่อไปเขาก็ต้องสะดุดตากับช่วงท้ายของหมาป่าตัวนั้น เพราะก้นของมันเชื่อมติดอยู่กับแขนของคน ๆ หนึ่ง ราวกับอีกฝ่ายเอามือล้วงเข้าไปจนแทบจะทะลุออกมาทางปากของหมาป่าตัวนั้นอยู่แล้ว หรือพูดง่าย ๆ ว่ามันดูเหมือนกับตุ๊กตามือที่มีรูปร่างเป็นหมาป่ามากกว่า
คน ๆ นั้นก็คือเด็กผู้ชายผมสีแดงซึ่งมีผ้าพันคอผืนใหญ่ปกปิดใบหน้าช่วงล่างอยู่ และเป็นคู่ต่อสู้อีกคนในการประลองครั้งนี้นั่นเอง
ไม่ทันที่นักดาบผมสีน้ำตาลจะตวัดดาบกลับมาปัดป้องได้ทัน หมาป่าที่เชื่อมต่อกับแขนของอีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาถึงใบหน้าของเขาแล้ว เขาจึงได้แต่กัดฟันและเกร็งจิตต่อสู้เพื่อรับแรงกระแทก แต่พริบตานั้นร่างของหมาป่าก็ถูกห่อหุ้มด้วยจิตต่อสู้ที่เข้มข้นไม่แพ้กันและพุ่งเข้ากระทบที่ปลายคางด้านซ้ายของเขาอย่างแรง ทำให้ศีรษะของเด็กหนุ่มถึงกับสะบัดไปอีกทาง
เขาไม่ได้หมดสติไปในทันที แต่อาการบาดเจ็บก็ทำให้เด็กหนุ่มได้เต่โซซัดโซเซไปด้านหลังอีกหลายก้าวก่อนจะทรุดนั่งลงกับพื้นและไม่อาจยันตัวยืนขึ้นมาได้อีก
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามทั้งสองคนหมดสภาพไปแล้ว ลาซก็ชูมือทั้งสองข้างที่สวมตุ๊กตารูปหมาป่าอยู่ขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับประกาศก้องด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“เป็นไงล่ะ! นี่แหละพลังแห่งเวทอัญเชิญของตระกูลแฮลเซียน!”
คำประกาศนั้นทำให้ทั้งอาจารย์เร็นแน็บ, คุโระ, และนักเรียนอีกสิบคนที่เหลือได้แต่นิ่งเงียบไปด้วยสีหน้าอันซับซ้อน
ในใจของทุกคนต่างก็คิดตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า ‘นั่นมันไม่ใช่เวทอัญเชิญซะหน่อย!’