Doombringer the 5th - ตอนที่ 126
Ch.126 – ผู้ร่วมงานที่ไม่ได้รับเชิญ
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 122
ผู้ร่วมงานที่ไม่ได้รับเชิญ
Part 1
วันต่อมา ชื่อของซาลารัส แฮลเซียน ก็กลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งโรงเรียนอีจิสไพร์ม
การสอบเลื่อนห้องด้วยการประลองนั้นไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยนักอยู่แล้ว แถมนี่ยังเป็นการประลองเลื่อนห้องที่ข้ามระดับไปถึงสี่ขั้นรวด ตามปกติแล้วมันควรจะเป็นเหตุการณ์ที่เหล่านักเรียนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่เพราะการประลองได้ถูกจัดขึ้นอย่างฉุกละหุกโดยอาจารย์เร็นแน็บ ทำให้มีน้อยคนที่จะล่วงรู้และแทบไม่มีใครได้เข้าร่วมเป็นพยานในการประลองเลย
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการประลองที่ถูกเผยแพร่ออกไปก็ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นที่โจษจันอย่างช่วยไม่ได้ เพราะ ซาลารัส แฮลเซียน และ คุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ ซึ่งเป็นนักเรียนห้อง E สามารถเอาชนะนักเรียนระดับท็อปของห้อง B ที่กำลังจะเลื่อนขึ้นไปอยู่ห้อง A ได้สองกลุ่มรวด และได้สิทธิ์ในการเลื่อนขึ้นไปอยู่ห้อง A เป็นผลสำเร็จ
แม้จะไม่มีใครรู้รายละเอียดของการประลองมากนัก แต่ลำพังผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นที่น่าตระหนกตกใจพอสมควรแล้ว หัวข้อสนทนาของเหล่านักเรียนเกือบทุกชั้นปีในการเปิดเรียนวันแรกของสัปดาห์จึงหลีกเลี่ยงจากประเด็นนี้ไปไม่ได้
กลุ่มนักเรียนปีสี่ขึ้นไปต่างก็รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้แต่ก็ไม่ถึงกับตื่นตระหนก เพราะพวกเขามองว่าชั้นปีที่หนึ่งเป็นแค่จุดเริ่มต้นของเหล่านักผจญภัยรุ่นสามัญเท่านั้น การคัดกรองแบ่งระดับของโรงเรียนก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์ หากจะมีคนที่เป็นเสือซ่อนมังกรหมอบถูกจัดไปอยู่ในห้องระดับต่ำบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้ก็มักจะค่อย ๆ เปิดเผยตัวและไต่ระดับขึ้นมายังแนวหน้าได้ในที่สุดอยู่แล้ว เพราะระดับฝีมือที่แท้จริงซึ่งค่อย ๆ เผยออกมาให้เห็นนั่นเอง
นอกจากนี้ เหล่านักเรียนชั้นปลายยังรู้กันว่า ซาลารัส แฮลเซียน คือรุ่นน้องคนโปรด (?) ของโลริน มิแทรนเดียร์ นักเรียนปีห้าผู้มากความสามารถและถูกวางตัวให้เป็นประธานนักเรียนรุ่นต่อไป ทั้งซาลารัสและคุโระยังพบปะเพื่อฝึกฝนแลกเปลี่ยนวิชากันโลรินที่สมาคมนักเวทสีเทาอย่างสม่ำเสมอ หลายคนจึงมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ซาลารัส แฮลเซียน จะมีฝีมือเหนือกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน เพราะเขาได้รับการชี้แนะจากโลรินนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน เหล่านักเรียนปีหนึ่งถึงปีสามกลับมองเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกเคลือบแคลง เพราะข่าวในแง่ลบที่คนร่ำลือกันเกี่ยวกับซาลในช่วงก่อนหน้านี้ทำให้คนจำนวนมากยังมีอคติต่อเขาอยู่ แถมเหล่านักเรียนห้อง B ที่พ่ายแพ้ในการประลองก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรกับใครมากนักเพราะรู้สึกอับอายที่แพ้ให้กับนักเรียนห้อง E รายละเอียดของการต่อสู้จึงค่อนข้างคลุมเครือ คนที่มีอคติต่อซาลจึงคิดตรงกันว่าเขาอาจใช้ลูกเล่นหรือวิธีตุกติกอะไรสักอย่างช่วยให้ชนะในการประลองก็ได้
ที่สำคัญคือนักเรียนหญิงห้อง B ที่แพ้ในการประลองได้หลุดปากออกมาครั้งหนึ่งว่าอีกฝ่ายน่ะ ‘ขี้โกง’ จริง ๆ นั่นเป็นแค่คำพูดตามอารมณ์ที่ไม่ได้จะสื่อความหมายตามตัวอักษร เธอพูดเพราะรู้สึกเหมือนกับถูกเอาเปรียบด้วยการอัญเชิญสมุนอีกสามตัวออกมาช่วยในการประลองแบบสองต่อสอง แต่ก็รู้ดีว่านั่นคือความสามารถของคลาสซัมมอนเนอร์ ไม่ใช่เรื่องขี้โกงหรือผิดกติกาอะไร ที่เธอบอกว่าอีกฝ่ายขี้โกงก็แค่เป็นการระบายอารมณ์ออกมาเท่านั้น แต่คนที่ได้ยินคำพูดนี้กลับนำไปบอกต่อกันแบบปากต่อปาก และเมื่อมันเป็นสิ่งที่ตรงกับความสงสัยของพวกเขาอยู่แล้ว หลายคนจึงปักใจเชื่อตามนั้นในทันที
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเรียนห้อง E ที่เคยเป็นต้นตอของข่าวลือในแง่ลบทั้งหมดกลับมีทัศนะคติต่อเรื่องนี้แตกต่างออกไป เพราะหลายคนพอจะรู้ฝีมือของซาลอยู่แล้วโดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนที่เคยไปดักซุ่มโจมตีเขาในป่าสนธยา บวกกับนักเรียนเกือบทั้งห้องต่างก็ได้รับความช่วยเหลือ (แบบมีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย) จากซาลทำให้สามารถผ่านภารกิจล่าบาร์คสกินพูม่ามาได้ เมื่อเรื่องนี้ประกอบกับการช่วยพูดแก้ความเข้าใจผิดของคุโระ ก็ทำให้คนในห้องเริ่มมองซาลในแง่ดีมากขึ้น
อีกอย่างคือ การที่ซาลสามารถเอาชนะนักเรียนห้อง B ได้ก็เป็นการสร้างความพึงพอใจทุกคนในห้องอยู่ไม่น้อย เพราะพวกนักเรียนในห้องสูงกว่าหลายคนมักจะมองนักเรียนห้องบ๊วยอย่างห้อง E ด้วยสายตาดูหมิ่น การที่ซาลซึ่งเป็นนักเรียนห้อง E สามารถเอาชนะระดับหัวกะทิของห้อง B และขึ้นไปอยู่ห้อง A ได้จึงเป็นการฉีกหน้าคนเหล่านี้และทำให้นักเรียนห้อง E คนอื่น ๆ พลอยได้หน้าไปด้วย
แม้หลังจากนี้เขาอาจไม่ได้เป็นนักเรียนห้อง E อีกต่อไปแล้ว แต่จุดเริ่มต้นของซาลในโรเรียนอีจิสไพร์มคือห้อง E และเขาสามารถผ่านการทดสอบข้ามขั้นไปอยู่ห้อง A ได้ทั้งที่ยังอยู่ห้อง E ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ทุกคนจะจดจำเอาไว้และถูกยึดถือเป็นตำนานของห้อง ว่าห้อง E ก็สามารถมีนักเรียนระดับเดียวกับห้อง A ได้
การดึงดูดความสนใจมากขนาดนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างผิดไปจากแผนการดั้งเดิมของซาลอยู่พอสมควร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ซะทีเดียว เพราะแม้การมีชื่อเสียงอาจทำให้ถูกจับตามองจากคนรอบข้างมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็จะทำให้เข้าถึงผู้คนได้ง่าย โดยเฉพาะในยุคสมัยแห่งการผจญภัยนี้ การแสดงตัวว่าเป็นผู้แข็งแกร่งย่อมสร้างการยอมรับได้ง่ายกว่า เพราะค่านิยมในยุคปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับผู้แข็งแกร่งนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ แม้เรื่องต่าง ๆ จะผิดไปจากความตั้งใจของเขาอยู่สักหน่อย แต่ซาลก็ยังมองเห็นช่องทางที่จะฉกฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ได้ อย่างไรซะข่าวลือหรือชื่อเสียงก็ไม่ใช่อะไรที่ยั่งยืนอยู่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนก็จะเริ่มหลงลืมเรื่องราวในวันนี้และให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันมากกว่า ซาลคิดว่าขอแค่เขาอยู่อย่างเงียบ ๆ โดยไม่ไปพัวพันกับเรื่องใหญ่โตที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนขึ้นมาอีก ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
แต่นั่นเป็นเรื่องที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้เลย เพราะดูเหมือนว่าเรื่องยุ่ง ๆ มักจะโคจรเข้ามาหาตัวเขาเองเสมอ แม้เจ้าตัวจะพยายามอยู่เฉย ๆ ก็ตาม
เรื่องนี้ทำให้ซาลแอบคิดถึงคำพูดของแซนโดรที่เคยบอกว่าตัวเขาเป็น ‘ผู้สร้างหายนะโดยธรรมชาติ’ แค่การดำรงอยู่ของเขาก็สามารถทำให้เกิดเรื่องยุ่งได้เสมอ พอนึกถึงคำพูดนี้ขึ้นมาแล้วซาลก็แอบหัวเราะให้กับตัวเองด้วยสีหน้าเบิกบานใจ
——————————————————————————–
Part 2
สัปดาห์สุดท้ายของการเรียนเดือนแรกคือวิชาพื้นฐานการเคลียร์ดันเจี้ยนซึ่งอาจารย์เอนจิลเป็นผู้สอนอีกครั้ง เป้าหมายของภารกิจในวิชานี้ก็คือต้องนำแผนที่แบบสมบูรณ์ของดันเจี้ยน, สมุนไพรหายากภายในดันเจี้ยน, ล่ามอนสเตอร์ระดับบอส, และนำหินเวทมนตร์ที่เป็นแกนของดันเจี้ยนมาส่งให้กับอาจารย์เพื่อจบภารกิจ สรุปง่าย ๆ ว่ามันเป็นภารกิจที่ต้องใช้ความรู้จากทั้งสามวิชาก่อนหน้านั่นเอง แต่ภารกิจนี้จะจำกัดพื้นที่อยู่แค่ภายในดันเจี้ยนมิติหนึ่งแห่ง และจะต้องทำการเคลียร์ดันเจี้ยนโดยการทำลายแกนของดันเจี้ยนด้วย
ดันเจี้ยนที่เป็นเป้าหมายของภารกิจจะเป็นดันเจี้ยนมิติซึ่งอยู่แรงค์ F มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ในดันเจี้ยนแรงค์นี้จะเป็นมอนสเตอร์ระดับ 3-4 และมีมอนสเตอร์ระดับ 5 เป็นเจ้าถิ่น ก็คือมีระดับเทียบเท่ากับป่าสนธยาชั้นแรกนั่นเอง
ความจริงนี่เป็นภารกิจที่จัดว่ายากทีเดียว แต่นั่นก็เป็นไปตามมาตรฐานของโรงเรียนอีจิสไพร์ม อีกอย่างคือนักเรียนห้อง E ถูกจัดกลุ่มเอาไว้แป็นกลุ่มละห้าคน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่ากลุ่มตามปกติที่จะมีเพียงสี่คน เหล่านักเรียนจึงรู้สึกเบาใจลงบ้าง แต่อาจารย์เอนจิลก็เน้นย้ำกว่าการจัดกลุ่มแบบนี้จะอนุโลมให้แค่จนถึงสิ้นสุดภารกิจในสัปดาห์นี้เท่านั้น เมื่อขึ้นเดือนที่สองทุกคนจะต้องทำการจัดกลุ่มใหม่เป็นกลุ่มละสี่คนตามมาตรฐาน ทำให้หลายคนแสดงสีหน้าเสียดายออกมา แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไร
หลังจากอธิบายรายละเอียดของภารกิจและชี้แนะขั้นตอนต่าง ๆ แล้ว อาจารย์เอนจิลก็มอบแหวนสำหรับทำภารกิจให้กับนักเรียนแต่ละกลุ่ม โดยแหวนเหล่านั้นจะมีตำแหน่งของดันเจี้ยนมิติที่เป็นเป้าหมายของภารกิจถูกบันทึกไว้ด้วย
แน่นอนว่าแต่ละกลุ่มจะได้รับมอบหมายให้ไปเคลียร์ดันเจี้ยนคนละแห่งกัน และดันเจี้ยนแต่ละแห่งจะถูกปรับลดจำนวนและระดับของมอนสเตอร์ให้ใกล้เคียงกันที่สุดโดยเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเพื่อความเท่าเทียม นี่จึงเป็นภารกิจที่ทุกคนต้องแข่งขันกับตัวเองอย่างแท้จริง
แต่สำหรับกลุ่มของซาล ภารกิจนี้แทบจะเหมือนกับการเดินเล่นในสวน เพราะดันเจี้ยนมิติที่ทางโรงเรียนจัดหามานี้ล้วนแล้วแต่เป็นดันเจี้ยนมิติในการครอบครองของเขาทั้งสิ้น
เพราะรู้กำหนดการล่วงหน้าจากข้อมูลการเบิกค่าใช้จ่ายที่เอ็มเมอริชดักจับเอาไว้ได้ ทำให้ซาลรู้ว่าทางโรงเรียนจะส่งคนออกไปสำรวจหาดันเจี้ยนเมื่อไหร่ เขาจึงให้ลูเซียนกับเทเรนซ์ไปวางดันเจี้ยนมิติรอไว้ก่อนแล้ว แม้แต่ดันเจี้ยนมิติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติก็ถูกเคลียร์ทิ้งไปเพื่อวางของใหม่ทับลงไปแทน ทำให้ในเขตพื้นที่สำหรับนักเรียนปีหนึ่งมีแต่ดันเจี้ยนในการควบคุมของกองทัพซาลารัส
เหล่าเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนที่ออกไปสำรวจต่างก็บันทึกดันเจี้ยนเหล่านี้ไว้ในทะเบียนและนำกลับมาใช้เป็นเป้าหมายของภารกิจ มันจึงถูกแจกจ่ายออกไปให้กับนักเรียนทุกกลุ่ม รวมไปถึงกลุ่มของซาลด้วย
ความจริงการเคลียร์เงื่อนไขทั้งหมดสามารถทำได้ในชั่วอึดใจ แต่เพราะซาลยังไม่อยากเปิดเผยความลับให้กับคุโระมากจนเกินไป เขาจึงเลือกที่จะค่อย ๆ เคลียร์ภารกิจไปตามขั้นตอนแทน
ใช่ว่าซาลจะไม่ไว้ใจคุโระ เขาแค่ไม่อยากเพิ่มภาระในการรักษาความลับให้กับอีกฝ่ายมากจนเกินไปเท่านั้นเอง
เมื่อไปถึงดันเจี้ยน ซาลก็อัญเชิญหมาป่าที่เป็นสมุนธรรมดาออกมาหกตัวและแบ่งพวกมันออกเป็นสามคู่ ก่อนจะอัญเชิญเซอร์บี้, ทาร์ท่า, และเอเร่ ออกมา และให้แต่ละตัวเป็นผู้นำของแต่ละกลุ่มเพื่อแยกย้ายกันออกไปเคลียร์ดันเจี้ยน พวกหมาป่าที่เป็นสมุนธรรมดาต่างก็มีเวท ‘ดันเจี้ยนแมปปิ้ง’ ติดตั้งอยู่ ทำให้สามารถสำรวจพื้นที่ไปด้วยได้ในเวลาเดียวกัน จึงสามารถประหยัดเวลาลงได้มาก
สำหรับซาล เขาพาคุโระมุ่งหน้าไปจัดการกับมอนสเตอร์ระดับบอสของดันเจี้ยนเป็นอันดับแรก มันเป็นมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายกวางแต่มีเถาวัลย์พัวพันอยู่ทั่วทั้งตัวและมีดวงตาสีแดงก่ำ ในทีแรกคุโระก็มีท่าทีเกรง ๆ อยู่เล็กน้อย แต่เมื่อได้ประมือจริง ๆ เขาก็พบว่าตนเองสามารถสู้กับมอนสเตอร์ตัวนี้ได้อย่างสบาย สุดท้ายแล้วเขาจึงเป็นคนจัดการกับมันได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้ซาลช่วยเลย
หลังจากนั้นซาลก็พาคุโระไปเก็บสมุนไพรหายาก ก่อนจะตรงไปยังแกนของดันเจี้ยนเป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งเมื่อเขาไปถึงก็เป็นเวลาเดียวกับที่เหล่าสมุนทั้งสามกลุ่มทำการเคลียร์มอนสเตอร์และสำรวจดันเจี้ยนครบทุกซอกทุกมุมพอดี ซาลจึงจัดการทำลายแกนของดันเจี้ยนและเก็บหินเวทมตร์ซึ่งเป็นแกนของดันเจี้ยนมา ทำให้ดันเจี้ยนมิติแห่งนี้ปิดตัวลง
ซาลกับคุโระและเหล่าหมาป่าทั้งหมดถูกส่งกลับออกมาด้านหน้าของดันเจี้ยนซึ่งอยู่บริเวณแนวไม้เบาบางห่างจากป่าสนธยาออกมาไม่มากนัก เขายกเลิกการอัญเชิญเพื่อส่งหมาป่าทั้งหมดกลับไปก่อนจะมอบของทุกชิ้นที่ต้องใช้รายงานภารกิจให้กับคุโระ เพื่อให้คุโระเป็นคนไปส่งภารกิจ ส่วนตัวเขาเองนั้นขอแยกตัวกลับไปก่อน ซึ่งคุโระก็ไม่ขัดข้องอะไรและแยกตัวไปโดยไม่ได้ซักถามอะไรอีก
หลังจากแยกทางกับคุโระแล้ว ซาลก็กลับไปที่คฤหาสน์ต่างมิติในทันที เขาตรงไปยังห้องบัญชาการและสั่งการให้ลูเซียนกันเทเรนซ์ลดจำนวนของมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนแต่ละแห่งที่ถูกใช้เป็นสถานที่ทำภารกิจของนักเรียนห้อง E ลง เพราะเขารู้ว่าคะแนนโดยรวมของหลาย ๆ กลุ่มยังไม่ค่อยดีนัก และนี่ก็เป็นภารกิจที่ค่อนข้างยากสำหรับนักเรียนทั่วไป ซาลจึงคิดว่าควรจะช่วยลดความยากของภารกิจนี้ลงสักหน่อย อย่างน้อยจะได้ไม่มีใครได้คะแนนแย่จนต้องมาเรียนเสริมในช่วงหยุดพักระหว่างเดือนซึ่งกำลังจะมาถึง
นี่เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ซาลตั้งใจจะมอบให้กับเพื่อนร่วมห้อง ก่อนที่เขาจะย้ายห้องไป
——————————————————————————–
Part 3
วันต่อมา ซาลก็ใช้ศิลาบอกตำแหน่งที่ลานเคลื่อนย้ายของโรงเรียนเพื่อเทเลพอร์ทไปยังหอคอยของสมาคมพันธมิตรนักเวทสีเทาและซัมมอนเนอร์เหมือนเช่นทุกครั้ง
นี่เป็นกำหนดการตามปกติ ทุกสัปดาห์หลังจากทำภารกิจผ่านแล้ว ซาลกับคุโระก็จะมาที่หอคอยของสมาคมเพื่อพูดคุยและฝึกฝนวิชาร่วมกัน สำหรับซาลเขามาที่นี่เพื่อสอนเวทอัญเชิญให้กับรุ่นพี่โลริน และรุ่นพี่โลรินก็จะชี้แนะเคล็ดลับการใช้งานเวทมิติให้กับเขาเป็นการแลกเปลี่ยน ส่วนคุโระนั้นไม่ค่อยเข้าใจความซับซ้อนของเวทมิติและเคล็ดการถ่ายเทพลังเวทมาเป็นจิตต่อสู้สักเท่าไหร่ จึงเพียงแค่ฝึกฝนวิชาของตัวเองตามตำราที่ซาลเคยให้ไว้เท่านั้น
หลังการเทเลพอร์ทเสร็จสิ้น ซาลก็มาปรากฏตัวที่ด้านหน้าของแท่นบูชา ‘อาติแฟค’ ซึ่งอยู่ในห้องโถงกลางของหอคอย ทว่าเมื่อมองไปรอบ ๆ เขากลับพบว่าคุโระยังมาไม่ถึง ทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจ
โดยปกติคุโระจะมารอเขาอยู่ที่นี่ก่อนเวลาเสมอ เหมือนกับเป็นการแสดงความเคารพหรือความเกรงใจ แม้ซาลจะเคยบอกอีกฝ่ายว่าให้มาแค่ตรงเวลาก็พอแล้ว แต่คุโระก็ยังคงมารอก่อนเวลาอยู่ดี พอเขาเลื่อนเวลามาให้เร็วขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องรอนาน วันต่อมาคุโระก็จะเลื่อนเวลาตามเพื่อให้มาถึงก่อนอยู่ดี สุดท้ายซาลจึงต้องยอมให้คุโระมารอตามเวลาเดิม
ด้วยเหตุนี้ การที่คุโระไม่ได้มารออยู่ที่นี่จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดสังเกต ซาลจึงนำแหวนสื่อสารออกมาเพื่อติดต่อไปยังคุโระในทันที
“เฮ้ คุโระ ตอนนี้ฉันมาถึงหอคอยแล้วนะ มีอะไรเปลี่ยนแปลงรึเปล่า? แต่ถ้านายมีธุระอะไรส่วนตัวต้องทำก็ไปจัดการได้เลยนะ ไม่ต้องห่วง”
“เอ๋? ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้องกิจกรรมอิสระที่รุ่นพี่โลรินเตรียมไว้ให้น่ะครับ คุณซาลไม่ได้รับข้อความจากรุ่นพี่โลรินเหรอครับ?”
“เห? ข้อความเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุโระ ซาลก็หมุนแหวนสื่อสารที่สวมอยู่บนนิ้วเพื่อเปิดดูข้อความอักษรที่ถูกเก็บไว้ โดยปกติเขาจะไม่ค่อยเช็คข้อความที่ถูกส่งมาทางนี้อยู่แล้ว หรือต้องพูดว่าแทบไม่เคยสนใจเลยมากกว่า เพราะนี่เป็นแหวนสื่อสารของทางโรงเรียนซึ่งมักจะมีข้อความประกาศข่าวจิปาถะอัพเดทขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งตัวซาลเองไม่ค่อยสนใจข่าวพวกนี้นัก ทั้งยังมีเหล่าขุนพลที่คอยคัดกรองข่าวสำคัญ ๆ ให้อยู่แล้ว เขาจึงปิดระบบแจ้งเตือนของข้อความอักษรเอาไว้ ทำให้ไม่รู้ตัวว่ามีข้อความจากโลรินถูกส่งเข้ามา
หลังจากเลื่อนผ่านข่าวประกาศที่ถูกดองสุมกันไว้กว่าสิบหน้า ในที่สุดซาลก็เจอข้อความของโลรินอยู่ในหน้าสุดท้าย เขารู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่เล็กน้อยที่ไม่รู้จักเคลียร์ข้อความเหล่านี้ไปซะบ้าง พลางคิดว่าควรจะให้เอ็มเมอริชหรือยูนิตี้ช่วยเขียนโปรแกรมสำหรับคัดกรองข้อความขยะให้ซะหน่อยแล้ว จากนั้นจึงเปิดข้อความของโลรินขึ้นมา
ตัวอักษรสีขาวนวลจำนวนหนึ่งถูกฉายขึ้นบนอากาศทันทีที่ข้อความถูกเปิด มันเป็นข้อความที่ไม่ยาวนัก แต่แทรกไปด้วยสัญลักษณ์แปลก ๆ ที่ทำให้ซาลต้องขมวดคิ้วเมื่อได้เห็น
‘สัปดาห์นี้ฉันมีธุระกับทางสภานักเรียนนิดหน่อย คงจะไม่ค่อยได้เข้าไปที่สมาคมสักเท่าไหร่ (>_<) อีกอย่างคือในช่วงนี้พวกเราควรอยู่ห่าง ๆ หอคอยของสมาคมเอาไว้จะดีกว่า ถ้าต้องการสถานที่สำหรับใช้งาน ฉันจองห้องกิจกรรมอิสระในนามของสมาคมเอาไว้ให้แล้ว พวกเธอสามารถเข้าไปใช้ได้เลยนะ ตามสบาย (^-^)b
ปล. ฉันได้ยินเรื่องการประลองเพื่อเลื่อนห้องแล้ว เก่งมากเลยนะทั้งสองคน แต่คราวหน้าใช้เวทของนักเวทสีเทาในการประลองด้วยสิ (-3-)’
แม้จะรู้สึกขัดใจกับสัญลักษณ์ประหลาด ๆ เหล่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้ซาลรู้สึกสงสัยมากกว่าก็คือคำพูดที่ว่า ‘ทุกคนควรอยู่ห่าง ๆ หอคอยของสมาคมในช่วงนี้’ เพราะโลรินไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมเลย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อโลรินไม่มา ส่วนคุโระก็ไปรอที่ห้องกิจกรรมอิสระแล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ที่นี่เช่นกัน ซาลจึงหันกลับไปยังแท่นบูชาอาติแฟคเพื่อเตรียมจะเทเลพอร์ทกลับไปยังโรงเรียน
แต่ในระหว่างที่กำลังจะเอื้อมมือไปแตะสัมผัสกับวงเวทที่แท่นบูชานั้นเอง ซาลก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนพื้นแกรนิตของหอคอยดังแว่วมา มันเป็นเสียงฝีเท้าอันหนักแน่นที่ก้าวย่างอย่างรวดเร็วราวกันมีคนกำลังเดินตรงมายังห้องโถงแห่งนี้ด้วยความเร่งรีบ
ไม่นานนักเสียงฝีเท้าก็มาหยุดอยู่ที่ประตูด้านข้างของห้องโถง ก่อนประตูบานใหญ่นั้นจะถูกเปิดออกอย่างแรง เผยให้เห็นผู้มาเยือนซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู
คนผู้นั้นเป็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง เธอมีผมสีขาวราวกับเส้นไหมที่ทอดยาวลงไปจนถึงบั้นเอว แต่กลับมีคิ้วสีเทาเข้มดูโดดเด่น ดวงตาสีดำอันคมกริบที่อยู่ใต้คิ้วคู่นั้นส่องประกายเย็นเยียบออกมาดุจดั่งท้องฟ้าในคืนเดือนมืด ตรงกันข้ามกับผิวพรรณอันผุดผ่องราวกับหิมะซึ่งไร้การแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมใด ๆ รูปลักษณ์ของเธอจึงให้ความรู้สึกเหมือนกับยอดเขาอันสูงชันที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะในยามราตรี มันทั้งดูงดงามและให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกไปในเวลาเดียวกัน
แม้จะสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่คล้ายกับชุดโร้บของพวกนักเวทอยู่ แต่ซาลก็สังเกตเห็นว่าใต้เสื้อคลุมนั้นคือชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนอีจิสไพร์ม หญิงสาวคนนี้จึงน่าจะเป็นนักเรียนของโรงเรียนเช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไร หญิงสาวก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำพูดออกมาซะก่อน
“นายคือเด็กใหม่สินะ? ตามมา”
หญิงสาวพูดห้วน ๆ ก่อนจะหันหลังกลับและเดินหายเข้าประตูไปอีกครั้ง ทำให้ซาลที่ยังตั้งตัวไม่ทันได้แต่ยืนงง
แม้จะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ซาลก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้มาก่อน เขาจึงตัดสินใจเดินตามเธอออกจากห้องโถงไป
ทางเดินเลียบห้องโถงนั้นทอดยาวมาจนถึงขั้นบันไดที่ใช้สำหรับขึ้นไปยังชั้นบนของหอคอย แต่หญิงสาวผมขาวไม่ได้เดินขึ้นไปบนบันไดนั้น เธอขยับโคมไฟที่อยู่ด้านข้างทางเดินเล็กน้อย พริบตาต่อมาพื้นที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของบันไดก็ค่อย ๆ ยุบตัวลงและกลายเป็นขั้นบันไดสำหรับลงไปยังชั้นใต้ดินแทน
ซาลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าหอคอยแห่งนี้มีชั้นใต้ดินอยู่ด้วย
บันไดลับนั้นเป็นบันไดวนที่ค่อย ๆ โค้งเป็นวงตามรูปทรงของหอคอยลึกลงไปเรื่อย ๆ หลังจากเดินลงไปได้เพียงไม่นาน บันไดนั้นก็มาสิ้นสุดลงที่ระเบียงบนชั้นลอยของห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
มันเป็นห้องโถงทรงกลมซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยชั้นหนังสือเกือบทั่วทุกมุมผนังราวกับเป็นห้องสมุดขนาดย่อม ทว่าภายในห้องกลับมีทั้งหนังสือและกองกระดาษสุมกันระเกะระกะจนแทบจะไม่มีที่เดิน แต่สิ่งที่ทำให้ซาลประหลาดใจมากกว่าก็คือสมุนอัญเชิญตัวเล็ก ๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรูปปั้นดินเหนียวความสูงราว 1 ฟุตจำนวนหลายสิบตัวที่กำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายกองกระดาษอย่างขยันขันแข็ง
ซาลรู้สึกว่าสมุนอัญเชิญเหล่านี้มีสิ่งที่แตกต่างจากสมุนอัญเชิญตามปกติจึงพยายามเพ่งพิจารณาเป็นพิเศษในระหว่างที่เดินตามหญิงสาวไปยังส่วนใจกลางของห้อง ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ‘ปึง’ ของกองกระดาษที่ถูกวางลงกระแทกกับโต๊ะไม้เนื้อแข็งอย่างแรงปลุกเขาขึ้นจากภวังค์
“นี่คือต้นฉบับของฉัน ฉันทำเครื่องหมายในจุดที่ต้องลงสีเอาไว้แล้ว เธอเอาไประบายสีดำให้ครบทุกช่อง เสร็จแล้วก็เอามาให้ฉัน จากนั้นก็กลับไปได้”
การกระทำและคำพูดของหญิงสาวทำให้ซาลยิ่งรู้สึกงุนงงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขามองกองกระดาษปึกใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นด้วยท่าทางสับสน ก่อนจะเอ่ยคำถามกับอีกฝ่าย
“เอ่อ… นี่พี่สาวเข้าใจอะไรผิดรึเปล่าครับ? ผมไม่ได้มาสมัครทำงานพิเศษนะครับ”
“ไม่ผิดหรอก เธอคือสมาชิกของสมาคมนักเวทสีเทาใช่มั้ยล่ะ? โลรินบอกฉันว่ามีเด็กปีหนึ่งมาเข้าสมาคมเพิ่มอีกสองคนนี่นา แต่ถึงจะไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรหรอก งานนี้จะเป็นใครทำก็ได้น่ะเพราะฉันต้องรีบเร่งมือปั่นต้นฉบับให้ทันงานชุมนุม เอ้า รีบ ๆ เอาต้นฉบับไปลงสีซะสิ”
หญิงสาวกล่าวอธิบายลวก ๆ พลางหยิบแว่นตาทรงกลมอันใหญ่ขึ้นมาสวม ก่อนจะก้มหน้าก้มตาวาดลวดลายลงบนกระดาษที่อยู่ตรงหน้าเธอต่ออย่างขะมักเขม้น แต่ซาลก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอให้ทำอยู่ดี
“ต้นฉบับ? …งานชุมนุม? เอ…”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนหันรีหันขวางด้วยท่าทีสับสนอยู่ หญิงสาวก็แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมาพลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่เธอจะถอดแว่นออกอีกครั้งและหันมาคุยกับซาล
“เฮ้อ… ยิ่งรีบก็ยิ่งช้าสินะ เอาเถอะ เป็นความผิดของฉันเองแหละ เธอคงรู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่าสมาคมนี้มีสมาชิกดั้งเดิมซึ่งเป็นนักเรียนปีห้าอยู่สองคน คนแรกก็คือโลริน อีกคนก็คือฉันไงล่ะ”
“อ้อ รุ่นพี่คุรุโมะจริง ๆ ซะด้วย ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
โลรินเคยพูดถึงคุรุโมะให้ซาลได้ฟังบ้างแล้ว ครั้งแรกที่เห็นเธอในห้องโถงกลาง ซาลก็พอจะเดาออกว่าหญิงสาวผมขาวคนนี้คือรุ่นพี่คุรุโมะเพราะรูปพรรณสัณฐานของเธอตรงกับที่โลรินเคยเล่าให้ฟังไม่มีผิดเพี้ยน เขาจึงเดินตามเธอมาโดยไม่ได้ซักถามอะไร
“อืม ถูกต้อง ฉันคือคุรุโมะ ไอธรีน เป็นนักเรียนชั้นปีห้า อยู่ห้องเดียวกับโลรินนั่นแหละ เร็ว ๆ นี้กำลังจะมีงานชุมนุมแลกเปลี่ยนวรรณกรรมถูกจัดขึ้น… ก็ไม่ใช่งานใหญ่อะไรหรอก เป็นแค่งานของคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่สนใจวรรณกรรมแบบเดียวกันมาแลกเปลี่ยนผลงานกันน่ะ ตัวฉันเองก็จะเอาผลงานไปนำเสนอในงานนี้เหมือนกัน แต่เพราะติดพันเรื่องยุ่ง ๆ กับทางโรงเรียนมากไปหน่อยก็เลยไม่มีเวลามาปิดเล่มซะที พอรู้ตัวเวลาก็กระชั้นมาซะขนาดนี้แล้ว ตอนนี้เลยกำลังต้องการคนช่วยเป็นการด่วนเลยน่ะ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ให้เธอช่วยฟรี ๆ หรอก เดี๋ยวจะมีเหรียญสมาคมให้เป็นค่าตอบแทน โอเคนะ?”
เมื่อพูดจบ คุรุโมะก็สวมแว่นอีกครั้งและก้มหน้าก้มตาปั่นต้นฉบับต่อไป ส่วนซาลก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจหยิบต้นฉบับที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาเพื่อนำไปลงสีตามที่คุรุโมะต้องการ
ความจริงซาลไม่ได้สนใจเรื่องค่าตอบแทนสักเท่าไหร่นัก เขาคิดว่าจะยอมช่วยงานนี้ฟรี ๆ ด้วยซ้ำ เพราะอยากจะผูกมิตรกับคุรุโมะมากกว่า อย่างไรซะเธอก็เป็นรุ่นพี่ในสมาคมและเป็นเพื่อนสนิทของโลริน ซาลจึงอยากสนิทสนมกับเธอเอาไว้ อีกทั้งการให้อีกฝ่ายติดค้างน้ำใจไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรด้วย
เขาหอบเอาต้นฉบับกองใหญ่มาวางลงบนโต๊ะที่อยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของคุรุโมะไปไม่ไกลนัก ความจริงคือมันเป็นโต๊ะเพียวตัวเดียวในห้องที่ยังพอมีที่ว่างให้วางของได้อยู่บ้าง และน่าจะเป็นพื้นที่ที่คุรุโมะให้พวกสมุนอัญเชิญตัวน้อย ๆ ทำการจัดเตรียมเอาไว้
ต้นฉบับที่ซาลต้องลงสีนั้นเป็นเพียงโครงร่างเปล่า ๆ ในกรอบสี่เหลี่ยมเป็นช่อง ๆ ทำให้พอจะดูออกว่านี่เป็นหนังสือภาพ แต่เค้าโครงที่ร่างเอาไว้อย่างหยาบ ๆ ในภาพกลับแทบไม่สื่อรูปร่างว่าเป็นภาพของอะไรเลย มีเพียงบางส่วนที่ต้องลงสีเท่านั้นที่จะมีการตัดขอบอย่างชัดเจนหน่อย แต่ก็ยังมองไม่ออกว่าเป็นภาพอะไรอยู่ดี
ส่วนที่ต้องลงสีทุกจุดถูกตัดขอบด้วยปากกาเวทมนตร์ที่สร้างเขตแดนกั้นหมึกเอาไว้ไม่ให้เลอะออกไปนอกพื้นที่ นี่จึงเป็นงานง่าย ๆ ชนิดที่เด็กสี่ขวบก็ทำได้และไม่เป็นปัญหาสำหรับซาลเลย แต่ทันทีที่ระบายสีในส่วนที่กำหนดไว้จนสมบูรณ์ ภาพส่วนนั้นก็จะเลือนหายไปจนกลายเป็นช่องว่างสีขาวโพลนแทน ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นอีก ยิ่งเมื่อระบายสีจนครบทั้งหน้า ภาพที่อยู่ในทุกช่องก็กลับเป็นช่องว่าง ๆ สีขาวทั้งหมด เหลือเพียงหน้ากระดาษที่ถูกตีเป็นช่องไว้โดยไม่มีภาพร่างหรือเค้าโครงอะไรเลย
ในที่สุดซาลก็เข้าใจว่าเขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่
“นี่มัน… เวทจำกัดการรับรู้? เวทที่ใช้จำกัดอายุของผู้อ่านกับสื่อต่าง ๆ หากมีอายุไม่ถึงเกณฑ์ก็จะไม่สามารถมองเห็นเนื้อหาที่ถูกจำกัดเอาไว้ได้! แปลว่านี่เป็นนิยายภาพแบบ 15+ !? ระ.. หรือจะเป็น 18+ กันล่ะเนี่ย!?”
เวทจำกัดการรับรู้เป็นเวทมนตร์อันทรงพลังที่ถูกสร้างขึ้นโดยสภานักปราชญ์เพื่อไม่ให้จิตใจของเยาวชนต้องแปดเปื้อนจากสื่อลามกที่ไร้การควบคุม ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรมทุกคนจะต้องใช้เวทนี้ในการผนึกผลงานของตนเองไว้ไม่ให้เยาวชนเข้าถึงได้ หากมีการพบว่าผลงานชิ้นใดหลุดไปถึงมือเยาวชนโดยไม่มีเวทป้องกันกำกับ ผู้สร้างผลงานอาจต้องโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตเลยก็ได้
ทันทีที่รู้เรื่องนี้ ดวงตาของซาลก็เบิกโพลงขึ้นเพราะความตื่นตระหนก เขารู้สึกตื่นเต้นจนใจเต้นระทึก เพราะแผ่นกระดาษในมือเขานี้คือวรรณกรรมต้องห้ามที่ลงผนึกเวทเอาไว้ไม่ให้เด็กและเยาวชนนำไปอ่านได้ ซึ่งระดับอายุต่ำสุดที่จะอ่านวรรณกรรมผู้ใหญ่ได้ก็คือ 15 ปี แต่ถ้าเป็นวรรณกรรมที่มี ‘ความเข้มข้น’ สูงกว่านั้นก็จะขยับเกณฑ์อายุตามขึ้นไปด้วยเป็น 18-20 ปีเลยทีเดียว ซาลจึงไม่เคยอ่านงานเขียนเหล่านี้มาก่อน เพราะอายุไม่ถึงนั่นเอง
แต่เมื่อไม่นานมานี้ หนึ่งในแปดขุนพลคือยูนิตี้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาการเวทมนตร์ก็สามารถวิจัยเวทถอดรหัสเวทมนตร์ได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้การคลายเวทจำกัดอายุแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ซึ่งซาลก็ได้รับการถ่ายทอดความรู้ของวิทยาการนี้มาด้วย นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะมีโอกาสได้อ่าน ‘วรรณกรรมผู้ใหญ่’ นั่นเอง
“วะ.. วรรณกรรมผู้ใหญ่งั้นเหรอ… จะเป็นงานศิลปะแบบไหนกันนะ…”
แม้ซาลจะไม่ได้รู้สึกอยากอ่านจนถึงขั้นไปขวนขวายหา แต่ในเมื่อตอนนี้มีวรรณกรรมสำหรับผู้ใหญ่มาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นในตัวเขาก็เริ่มปะทุขึ้นมาจนกลายเป็นการต่อสู้ขึ้นภายในจิตใจระหว่างความยับยั้งชั่งใจกับความสงสัยใคร่รู้ ทำให้ใบหน้าของซาลตอนนี้เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อหยดเล็ก ๆ ที่แทบจะไหลลงมาอาบหน้า
“ทะ.. ถ้าแค่นิดหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง… ขอดูแค่หน้าเดียวน่า…”
หลังจากลังเลอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดซาลก็ตัดสินใจได้ เขาหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะร่ายเวทเพื่อคลายผนึกจำกัดการรับรู้ออกจากหน้ากระดาษแผ่นนั้น และค่อย ๆ แง้มตาขึ้นช้า ๆ เพื่อมองดูนิยายภาพสำหรับผู้ใหญ่ที่ถูกปลดผนึกแล้ว
แต่สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของซาลคือภาพของผู้ชายสองคนในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ทั้งสองคนมีหน้าตาหล่อเหลาคมคายและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา คนหนึ่งซึ่งสวมแว่นกำลังโน้มตัวกดร่างของอีกคนหนึ่งอยู่ด้วยรอยยิ้มและแววตาที่ดูเย้ยหยัน ส่วนอีกคนก็นอนแผ่อย่างไร้ทางสู้ด้วยสีหน้าเอียงอาย รอบตัวของทั้งสองคนมีภาพดอกไม้จำนวนมากผลิบานอยู่ราวกับเป็นสวนพฤกษชาติ ทำให้บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายอันแปลกประหลาดสุดจะบรรยายได้
“โอ้กกกกกกกก แค่ก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ “
ทันทีที่เห็นภาพนี้ ซาลก็สำลักน้ำลายตัวเองและไอออกมาอย่างหนักจนหน้าแดงก่ำ ทำให้คุรุโมะที่อยู่ห่างออกไปไม่มากเริ่มผิดสังเกตไปด้วย
“เฮ้! ทำอะไรของเธอน่ะ? ระวังอย่าให้ต้นฉบับเลอะนะ!”
“อุ แค่ก ๆ ๆ …คะ ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
คุรุโมะมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกและหันไปปั่นงานต่อ ส่วนซาลก็รีบปิดผนึกกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้อย่างเดิมและตั้งสติอีกครั้ง
“นี่มัน… งานวรรณกรรมต้องห้ามที่เรียกว่าวรรณกรรม ‘บอยเลิฟ’ ไม่ใช่เหรอ!? หนึ่งในวรรณกรรมแห่งโลกเก่าที่ว่ากันว่าทำให้โลกต้องพบกับหายนะ… ทำไมรุ่นพี่คุรุโมะถึงเขียนของแบบนี้ออกมาล่ะเนี่ย!?”
พอซาลมานึกทบทวนดูดี ๆ แล้ว วรรณกรรมสำหรับผู้ใหญ่นั้นเป็นวรรณกรรมที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดโดยกระทรวงวัฒนธรรมของแต่ละอาณาจักร และผู้ที่จะเขียนวรรณกรรมเหล่านี้ได้ก็ต้องสอบใบอนุญาตพร้อมทั้งลงทะเบียนอย่างเป็นทางการด้วย โดยเกณฑ์อายุขั้นต่ำของผู้จะขอใบอนุญาตได้ก็คือ 20 ปีขึ้นไปเท่านั้น
นั่นแปลว่าคุรุโมะเป็นนักเขียนวรรณกรรมเถื่อนซึ่งไม่มีใบอนุญาตนั่นเอง
นี่เป็นความลับที่เข้าขั้นคอขาดบาดตายทีเดียว เพราะหากเรื่องนี้แพร่ออกไป คุรุโมะก็อาจถูกสอบสวนในข้อหากระทำการนอกรีตได้ เจ้าตัวเองก็คงไม่คิดว่าซาลจะสามารถคลายเวทผนึกและรู้เนื้อหาของวรรณกรรมที่เขียนได้ เพราะการใช้เวทผนึกแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติของเหล่านักเขียนที่ต้องการรักษาความลับจากลูกมือที่จ้างมาช่วยงานชั่วคราว การลงเวทจำกัดการรับรู้ไว้จึงไม่ใช่เรื่องน่าผิดสังเกตอะไร
แต่การได้รู้ความจริงเรื่องนี้ก็ทำให้ซาลเอะใจถึงเรื่องอีกอย่างขึ้นมาได้
เขาร่ายเวท ‘อนาไลซ์’ ระดับสูงลงบนสมุนอัญเชิญตัวน้อยที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่ออ่านคุณสมบัติและโครงสร้างทางเวทมนตร์ของมัน แต่สิ่งที่พบก็ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกตกใจขึ้นไปอีก
เพราะมอนสเตอร์ตัวน้อยเหล่านี้ไม่ใช่สมุนอัญเชิญที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์ แต่เป็นตัวตนจริง ๆ ที่สร้างขึ้นจากสสารด้วยการผสมผสานทั้งเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์ มันเป็นสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ที่เรียกว่า ‘โฮมูนครูส’ นั่นเอง
และแน่นอนว่าวิทยาการโฮมูนครูสนี้ก็จัดเป็นหนึ่งในวิทยาการที่ถูกห้ามใช้งานอีกเช่นกัน เพราะหลายคนมองว่านี่เป็นวิทยาการที่บิดเบือนธรรมชาติและไม่สมควรจะมีอยู่ มันจึงถูกจัดให้เป็นหนึ่งในวิชานอกรีต ทั้งหมดนี้ทำให้ซาลได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคุรุโมะในที่สุด
“ทั้งวรรณกรรมต้องห้าม แถมยังมีโฮมูนครูสเป็นสมุนรับใช้อีก แบบนี้ไม่ผิดแน่… รุ่นพี่คุรุโมะน่ะ… เป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดนี่นา!”
——————————————————————————–
Part 4
ซาลยังคงทำงานต่อไปโดยพยายามไม่นึกถึงภาพที่แท้จริงของเงาร่างที่อยู่บนกระดาษมากนัก ถึงกระนั้นแค่สิ่งที่แวบเขามาในความทรงจำเป็นระยะ ๆ ก็ทำให้เขาขนลุกไปทั้งตัวแล้ว
หลังจากผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดซาลก็ถมดำให้กับต้นฉบับของคุรุโมะจนครบทั้งตั้ง เขาจึงนำมันกลับไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของคุรุโมะตามเดิม ก่อนจะขอตัวกลับ
“อืม… ความจริงก็ยังมีอะไรที่อยากให้ช่วยอีกนิดหน่อย แต่แค่นี้ก็น่าจะพอทำให้ปั่นต้นฉบับได้ทันเวลาแล้วล่ะนะ เพราะฉะนั้นก็ไปเถอะ เอ้า นี่ค่าตอบแทนตามที่สัญญา”
“เรื่องนั้นไม่ต้องหรอกครับ ถือว่าเป็นการช่วยเหลือกันในสมาคม คราวหน้าอาจมีเรื่องอะไรที่ผมต้องรบกวนรุ่นพี่คุรุโมะบ้างก็ได้ ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนนะครับ”
คุรุโมะกลอกตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรอีก ส่วนซาลก็ปลีกตัวออกมาและตรงกลับไปยังห้องโถงกลางในทันที
ทันทีที่เทเลพอร์ทกลับมาถึงโรงเรียน เขาก็ไปยังจุดเทเลพอร์ทกลับคฤหาสน์ต่างมิติที่อยู่ใกล้ที่สุดและให้เอ็มเมอริชเรียกอาซาเรลกับเซธมาเข้าพบที่ห้องประชุมในทันที
เอ็มเมอริชที่เห็นว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อยปกตินักจึงทำการเรียกขุนพลทั้งหมดมาเข้าร่วมประชุมด้วย ทำให้ซาลถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะกล่าวอธิบายกับทุกคน
การได้รู้ว่าคุรุโมะเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง แต่สำหรับซาลแล้วเขามีสิ่งที่รู้สึกสนใจมากกว่านั้นอยู่ และนั่นก็คือเหตุผลที่เขาต้องเรียกประชุมเหล่าขุนพลฝ่ายข่าวกรองอย่างอาซาเรลและเซธเป็นการด่วน
“ฉันได้ยินข่าวมาว่าจะมีการชุมนุมของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืด… หรืออย่างน้อยก็น่าจะเป็นงานที่มีผู้ใช้ศาสตร์มืดจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกนายมีใครพอจะรู้เรื่องนี้บ้างรึเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น เหล่าขุนพลก็ได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยความงุนงง แม้แต่เซธก็มีสีหน้าเคร่งเครียดลงเพราะเขามุ่งเน้นการสืบข่าวของผู้คนเป็นหลักและยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่ในขณะนั้นเอง อาซาเรลก็เอ่ยคำพูดออกมา
“งานชุมนุมของผู้ใช้ศาสตร์มืดเหรอครับ? อืม… เท่าที่ผมรู้มา เดือนนี้ยังไม่น่าจะมีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าเป็นเดือนหน้าละก็ ช่วงต้นเดือนจะมีงานใหญ่อยู่งานหนึ่งซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ ปีครับ”
คำตอบของอาซาเรลทำให้เซธขมวดคิ้วลง ส่วนขุนพลคนอื่น ๆ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจปนสนอกสนใจออกมา ในขณะที่ซาลบอกให้อาซาเรลพูดต่อ
“งานอะไร? ว่าต่อไปซิ”
“ครับ รู้สึกว่ามันจะเป็นงานจัดแสดงวรรณกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโลกเก่า เหมือนกับงาน ‘ตลาดหนังสือ’ ของคามิเท็นน่ะครับ แต่งานนี้จะมีวรรณกรรมต้องห้ามหรือวรรณกรรมนอกรีตวางขายด้วยอย่างอิสระ จึงถูกเรียกว่า ‘ตลาดหนังสือแห่งความมืด’ แทนน่ะครับ จัดว่าเป็นงานใหญ่งานหนึ่งของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดเลยทีเดียว”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของซาลก็ยิ่งแสดงอาการตื่นเต้นออกมา ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามรายละเอียดเพิ่มจากอาซาเรลด้วยแววตาเป็นประกาย
“แล้วงานนี้จัดขึ้นที่ไหน? ทำยังไงถึงจะไปได้?”
“เอ่อ… มันเป็นงานลับสุดยอดที่อนุญาตให้เฉพาะผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ไว้ใจได้เท่านั้นไปเข้าร่วมน่ะนะครับ สถานที่จัดงานก็จะสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และมีเพียงผู้ที่ได้รับเทียบเชิญเท่านั้นที่จะไปร่วมงานได้ แต่ได้ยินมาว่าในเทียบเชิญนั้นก็ไม่ได้เขียนบอกตำแหน่งสถานที่จัดงานเอาไว้อยู่ดี มันแค่นำไปยังด่านตรวจอีกหลายแห่งที่ใช้ทดสอบผู้ร่วมงานว่าไม่ใช่คนนอกปลอมตัวมา เมื่อผ่านการตรวจสอบทั้งหมดแล้วถึงจะได้รับสิทธิ์เคลื่อนย้ายไปยังสถานที่จัดงานน่ะครับ”
“งั้นเหรอ… แปลว่าขอแค่หาตัวคนที่มีเทียบเชิญสักคนแล้วตามเขาไปก็จะไปถึงงานได้สินะ”
“เอ่อ ทางทฤษฎีมันก็ได้อยู่นะครับ แต่ด่านทดสอบของพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดน่ะไม่ใช่อะไรที่คนนอกจะตบตาได้ง่าย ๆ อีกอย่างคือการหาตัวผู้มีเทียบเชิญก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วย เพราะใช่ว่าแค่เป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดก็จะได้รับเทียบเชิญหรอกนะครับ แต่ต้องเป็นคนที่ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งด้วย”
“แปลว่าที่นั่นเป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดตัวเบ้งเลยสินะ ดีล่ะ! ฉันตัดสินใจแล้ว! ฉันจะไปร่วมงานตลาดหนังสือแห่งความมืด!”
สิ้นคำประกาศก้องของซาล เหล่าขุนพลทั้งแปดก็ต้องตกอยู่ในอาการตะลึงไปตาม ๆ กัน
เอ็มเมอริชที่รู้สึกตัวตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าซาลคิดจะทำอะไรก็รีบทักท้วงขึ้นมาเป็นคนแรก
“เดี๋ยวก่อนสิครับท่านจอมพล! นั่นน่ะเป็นงานชุมนุมที่อันตรายมากนะครับ! มีทั้งพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ชั่วร้ายเต็มไปหมด แถมงานแบบนี้ยังเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่พีชคีปเปอร์จ้องจะเล่นงานด้วย เป็นที่ ๆ ท่านจอมพลไม่สมควรจะย่างกรายเข้าไปที่สุดเลยครับ!”
“เพราะแบบนั้นน่ะสิถึงน่าไปน่ะ งานชุมนุมผู้ใช้ศาสตร์มืดแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ นะ เราอาจได้เจอพันธมิตรใหม่ ๆ ในงานนี้ก็ได้ แล้วงานมันก็จัดต่อเนื่องมาหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ แปลว่าพีชคีปเปอร์ไม่เคยหาที่จัดงานพบเลยนี่นา ดังนั้นคงไม่เป็นไรหรอก”
“ทุกอย่างก็ต้องมีครั้งแรกทั้งนั้นแหละครับ! ถ้าเกิดนี่เป็นปีแรกที่พีชคีปเปอร์หางานนี้เจอขึ้นมา จะทำยังไงล่ะครับ!?”
“อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักสิเอ็มเมอริช มันคงไม่แจ๊คพอตขนาดนั้นหรอกน่า”
ซาลตอบกลับมาด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่เหล่าขุนพลก็รู้ดีว่านี่เป็นท่าทางของการตัดสินใจอันแน่วแน่แล้ว และหากซาลตัดสินใจไปแล้วก็คงยากที่จะเปลี่ยนความคิดของเขาได้ จึงได้แต่แสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก
ซาลที่เห็นท่าทางแบบนั้นของเหล่าขุนพลก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าวกับเหล่าขุนพลอีกครั้งด้วยรอยยิ้มแววตาอันมุ่งมั่น
“เฮ้อ~ ถ้าเป็นห่วงกันขนาดนั้นก็ช่วยไม่ได้นะ เอาเป็นว่าเราไปกันหมดนี่เลยก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เหล่าขุนพลก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอีกครั้ง และผู้ที่เอ่ยคำถามออกมาคนแรกก็คือเอ็มเมอริช
“ปะ.. ไปกันหมดเลยเหรอครับ?”
“อื้ม ถือซะว่านี่เป็นการพักร้อนก็แล้วกัน ยังไงพวกนายก็เหนื่อยกันมาทั้งเดือนแล้วนี่นะ แต่ระหว่างเดินทางคงต้องมีการจัดสรรอะไรนิดหน่อยไม่ให้ดูสะดุดตาเกินไป แบบนี้คงไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?”
คำพูดของซาลทำให้เหล่าขุนพลต่างหันมาสบตากันด้วยความสับสนอยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี ในขณะเดียวกันซาลที่เห็นว่าแต่ละคนไม่ได้มีท่าทีต่อต้านรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้วก็รีบตัดบท
“เอาล่ะ ตกลงตามนี้! พวกเราจะไปร่วมงานตลาดหนังสือแห่งความมืดกัน! ทุกคนไปเตรียมตัวได้!”