Doombringer the 5th - ตอนที่ 128
Ch.128 – ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 124
ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
Part 1
ร่างขนาดมหึมาของมังกรโครงกระดูกที่แผ่ออร่าสีแดงสดราวกับเลือดออกมาเกือบทั่วทุกอณูนั้นสร้างความตกตะลึงให้กับผู้ดูแลพื้นที่ทั้งสามคนจนทำอะไรไม่ถูก
มันกระพือปีกอันไร้เนื้อหนังเพื่อพยุงตัวอยู่กลางอากาศ ปลายปีกแต่ละข้างซึ่งเป็นเพียงโครงกระดูกนั้นมีความกว้างเกือบยี่สิบเมตร ตั้งแต่ส่วนหัวไปจนจรดปลายหางก็มีความยาวเกือบสี่สิบเมตรได้
เบ้าตากลวงโบ๋อันมืดมิดของมันมีดวงไฟสีแดงลุกโชติช่วงอยู่ภายในราวกับเป็นลูกตา ปากขนาดใหญ่ที่พอจะกลืนม้าลงไปทั้งตัวได้นั้นก็เต็มไปด้วยคมเขี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วน แค่รูปลักษณ์นี้ก็สามารถทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวได้แล้ว
“นะ.. นั่นมัน… โบนดราก้อน!? สมุนอัญเชิญของพวกเนโครแมนเซอร์นี่นา!?”
“โบนดราก้อน!? สมุนอัญเชิญระดับ 10 ที่เป็นไม้ตายของพวกเนโครแมนเซอร์น่ะเหรอ!? แปลว่าเจ้าหมอนี่เป็นเนโครแมนเซอร์?”
“เดี๋ยวก่อน… ต่อให้เป็นมอนสเตอร์ระดับ 10 จริง ๆ แต่โดนการโจมตีของพวกเราเข้าไปตรง ๆ แบบนั้นไม่มีทางที่จะฝ่ามาได้โดยไร้รอยขีดข่วนแน่ เว้นแต่มันจะเป็นโบนดราก้อนระดับ A ซึ่งมีพลังมากกว่าโบนดราก้อนทั่ว ๆ ไปเกือบสามเท่า… แต่ถ้าอัญเชิญสมุนระดับ A ออกมาได้ แปลว่าคนอัญเชิญเองก็ต้อง…”
ยิ่งวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เหล่าผู้ดูแลทั้งสามก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นใคร เขาก็เป็นคนที่มีระดับพลังสูงมาก ๆ โดยเฉพาะโบนดราก้อนที่ถูกอัญเชิญออกมานี้น่าจะเป็นมอนสเตอร์ระดับ A ซึ่งสามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างง่ายดายราวกับบี้มดปลวก เพียงแค่อีกฝ่ายยังยั้งมือเอาไว้เท่านั้น เมื่อคิดว่าตนเองได้เฉียดเข้าใกล้ความตายมากแค่ไหนก็ทำให้เหล่าผู้ดูแลรู้สึกหวาดหวั่นจนขนหัวลุก
ความจริงแล้วมังกรโครงกระดูกตัวนี้เป็นบอสระดับ A ของดันเจี้ยนแห่งหนึ่งที่ลูเซียนไปพบเข้าในระหว่างออกไปผจญภัยที่อาณาจักรฟีเลเซีย ภายในดันเจี้ยนแห่งนั้นมีสมบัติจำนวนมากถูกซ่อนอยู่ แต่เพราะไม่สามารถจัดการกับโบนดราก้อนที่เฝ้าชั้นสุดท้ายของดันเจี้ยนอยู่ได้ ลูเซียนจึงต้องกลับมาขอแรงให้เหล่าขุนพลคนอื่น ๆ ไปช่วยด้วย
แต่ทันทีที่ซาลรู้เรื่องนี้ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงและเป็นประกายขึ้นมาในทันที เพราะโบนดราก้อนเป็นหนึ่งในมังกรที่เขาอยากได้มาเก็บไว้เป็นคอลเลคชั่นอันดับต้น ๆ ทว่ามันเป็นสมุนอัญเชิญแบบพิเศษที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาด้วยวิธีการตามปกติได้ เพราะโดยพื้นฐานแล้วมันเป็นมอนสเตอร์ประเภท ‘อันเดด’ ซึ่งต้องใช้พลังเวทธาตุมืดในระดับสูงบวกกับเงื่อนไขเฉพาะอีกหลายอย่างจึงจะสร้างขึ้นมาได้
สมุนอัญเชิญชนิดพิเศษแบบนี้ก็เปรียบได้กับท่าไม้ตายประจำคลาส หากไม่ใช่ผู้ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวของคลาสนั้น ๆ ก็ไม่สามารถใช้งานได้ หรือต่อให้พยายามเลียนแบบก็ทำได้แค่สร้างของที่คล้ายกันขึ้นมา แต่ประสิทธิภาพที่แท้จริงของมันยังไงก็แตกต่างจากต้นฉบับอยู่ดี เรื่องนี้ก็เช่นกัน แม้ซาลจะสามารถสร้างมอนสเตอร์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับโบนดราก้อนขึ้นมาได้ แต่มันก็จะไม่มีคุณสมบัติของโบนดราก้อนอยู่ในตัว เพราะเป็นแค่ของที่สร้างเลียนแบบรูปลักษณ์ขึ้นมานั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่รู้ข่าวว่าลูเซียนพบโบนดราก้อนระดับ A ในดันเจี้ยนที่ฟีเลเซีย ซาลจึงออกคำสั่งเปลี่ยนแผนให้ทุกคนไปช่วยเขาจับมันกลับมาในทันที
หลังจากทุ่มเทกำลังและสมุนอัญเชิญจำนวนนับไม่ถ้วนไปกับการต่อสู้ ในที่สุดขุนพลทั้งแปดก็สามารถทำให้โบนดราก้อนอ่อนแรงลงและตรึงมันเอาไว้ได้นานพอที่จะให้ซาลทำการผนึกมันลงในวงเวทพันธสัญญานิรันดร์ได้ (แบบเดียวกับที่ใช้จับฟอเรสต์เบฮีมอธ) โบนดราก้อนตัวนี้จึงกลายมาเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นของซาลในที่สุด
มอนสเตอร์ที่จับมาด้วยวิธีนี้จะต้องใช้พลังเวทมหาศาลในการอัญเชิญออกมา เพราะมันเป็นร่างจริงที่ถูกบังคับให้ทำพันธสัญญา ไม่ใช่สมุนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีพิเศษเหมือนกับสมุนอัญเชิญปกติของเขา แต่ซาลก็ยังสามารถปรับแต่งระยะเวลาในการอัญเชิญรวมไปถึงระดับพลังของร่างอัญเชิญเพื่อลดพลังเวทที่ต้องใช้ในการอัญเชิญลงได้ นอกจากนี้ซาลยังค้นพบวิธีที่จะตัดความสามารถหรือพลังบางด้านของร่างอัญเชิญออกเพื่อลดค่าร่ายลงได้อีก ทำให้เขาสามารถอัญเชิญสมุนระดับสูงออกมาใช้งานเฉพาะทางได้ด้วยพลังเวทเพียงส่วนเสี้ยวของค่าร่ายเต็มเท่านั้นเอง
เช่นร่างอัญเชิญเสมือนของโบนดราก้อนที่เขาอัญเชิญออกมารับการโจมตีนี้ ซาลกำหนดให้ร่างของมันมีพลังป้องกันเทียบเท่ากับตัวจริง แต่ไม่มีพลังในด้านอื่น ๆ เลย แม้แต่ความสามารถในการเคลื่อนไหวก็ถูกจำกัดอยู่แค่ความสามารถในการบินเท่านั้น นอกจากส่วนปีกแล้ว แขนขาของมันล้วนแต่ขยับไม่ได้ แค่จะอ้าปากหรือแกว่งหางก็ยังทำไม่ได้เลย พูดง่าย ๆ ว่าในตอนนี้มันมีสภาพไม่ต่างจากโล่ขนาดยักษ์ที่มีรูปลักษณ์เป็นโบนดราก้อนเท่านั้นเอง แน่นอนว่าสำหรับคนภายนอกแล้วย่อมไม่มีทางที่จะรู้เรื่องนี้
จริงอยู่ว่าถ้าหากอีกฝ่ายยังคิดจะสู้ต่อและทำการโจมตีอีกครั้ง โบนดราก้อนที่ขยับได้แต่ปีกตัวนี้ก็อาจเผยพิรุธออกมา แต่ซาลก็ประเมินแล้วว่านั่นเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย เพราะหลังจากได้เห็นความต่างชั้นของพลังที่สามารถรับการโจมตีของทั้งสามคนตรง ๆ ได้แบบไร้รอยขีดข่วน ก็ไม่น่ามีใครที่จะกล้าลงมือต่ออีก เพราะการสู้กับศัตรูที่มีพลังในระดับนี้ก็ไม่ต่างจากการเอาชีวิตไปทิ้ง เขาจึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องไม่กล้าทำอะไรต่อแน่
แม้จะเอามือลูบท้ายทอยตัวเองด้วยท่าทีเคอะเขิน แต่ความจริงแล้วภายใต้หน้ากากสีขาวที่ปิดบังใบหน้าอยู่นั้นซาลกำลังแสยะยิ้มและมีสีหน้าพึงพอใจเมื่อได้เห็นท่าทางของฝ่ายตรงข้ามที่ยังคงอยู่ในอาการตกตะลึง เพราะเขาเองพยายามหาโอกาสที่จะได้อัญเชิญสมุนระดับสูงแบบนี้ออกมาใช้นานแล้ว แต่ก็ไม่มีจังหวะซะที คราวนี้เมื่อได้โอกาสเหมาะสมเขาจึงอัญเชิญโบนดราก้อนออกมาอย่างไม่ลังเล และปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามก็ทำให้เขาพึงพอใจอย่างที่สุดด้วย
“อา~ การไม่ต้องปกปิดฝีมือนี่มันดีจริง ๆ เลยแฮะ เสียดายที่ทุกคนใส่หน้ากากอยู่เลยอดเห็นสีหน้าที่ตกตะลึงกับความสุดยอดของ ‘ชาร์’ (ชื่อของโบนดราก้อน) แต่ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าก็ได้ เห็นทีจะต้องหาโอกาสปลอมตัวออกมาแบบนี้บ่อย ๆ ซะแล้ว”
ซาลแอบคิดในใจด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มที่ถูกบดบังอยู่ใต้หน้ากาก จริงอยู่ว่าการปกปิดฝีมือเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจคือแผนการของเขาเอง และมันก็เป็นการกระทำที่เหมาะสมกับฐานะของเขาที่สุดแล้ว แต่เขาก็เหมือนกับเด็กทั่วไปที่ต้องการการยอมรับและอยากจะแสดงฝีมือบ้างในบางครั้งบางคราว การไม่สามารถแสดงฝีมือที่แท้จริงได้จึงทำให้เขารู้สึกอึดอัดอยู่ลึก ๆ มาโดยตลอด ในครั้งนี้เมื่อมีโอกาสได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่เขาจึงทำมันด้วยความยินดี
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ซาลก็ยังมีอีกเหตุผลที่ต้องแสดงฝีมือออกมาด้วย นั่นก็เพราะจุดประสงค์หนึ่งของการมาร่วมงานชุมนุมของผู้ใช้ศาสตร์มืดในครั้งนี้คือการหาพันธมิตรซึ่งสามารถเป็นแนวร่วมหรือช่วยเหลือแผนการของเขาได้ในอนาคต เขาไม่ได้คาดหวังขนาดจะได้พบคนที่มาเป็นกำลังสำคัญให้กับแผนการหรือคนที่จะยอมเข้าร่วมในการยึดครองโลกจริง ๆ แต่เพียงแค่ได้สร้างความสัมพันธ์กับเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดเอาไว้ก็นับเป็นสิ่งที่มีค่าแล้ว
แต่สำหรับบุคคลไร้ชื่อที่ไม่มีใครรู้จัก คงเป็นการยากที่จะสามารถสร้างความสัมพันธ์หรือค้นหาพันธมิตรจากงานชุมนุมนี้ได้ ซาลจึงต้องใช้วิธีการที่ตรงกันข้ามกับที่ใช้ในโรงเรียนอย่างสุดกู่ ก็คือแสดงฝีมืออย่างเต็มที่และสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่เลื่องลือในหมู่ผู้ใช้ศาสตร์มืด เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คนและสร้างการยอมรับซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการผูกมิตรนั่นเอง เพราะในโลกที่ให้ความสำคัญกับผู้แข็งแกร่งอย่างโลกใหม่นี้ ไม่ว่าใครก็ต้องอยากเป็นมิตรกับยอดฝีมือด้วยกันทั้งนั้น
อีกอย่างหนึ่งคือ การโจมตีของผู้ดูแลพื้นที่ทั้งสามคนนั้นมีจุดประสงค์เพื่อจะดูวิชาที่เขาใช้ เพราะมันจะบ่งบอกว่าเขาเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดจริงรึไม่ ถึงแม้ซาลจะพอรู้วิชาของศาสตร์มืดอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นวิชาระดับกลาง ๆ ซึ่งไม่อาจป้องกันการโจมตีประสานของสามผู้ดูแลได้ มีเพียงการอัญเชิญโบนดราก้อนออกมาเท่านั้นที่จะสามารถป้องกันการโจมตีนั้นและยืนยันการเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดของเขาได้ในเวลาเดียวกัน มันจึงเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
พอเห็นท่าทางตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกของผู้ดูแลทั้งสามและนึกถึงการโจมตีเมื่อสักครู่ที่ไม่สนใจว่าอาจคร่าชีวิตของอีกฝ่ายได้ก็ทำให้ซาลรู้สึกหมั่นเขี้ยวขึ้นมานิด ๆ และนึกอยากจะสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามสักหน่อย เขาจึงแผ่พลังกดดันออกมาพร้อมกับเอ่ยคำพูดกับผู้ดูแลทั้งสามด้วยน้ำเสียงขี้เล่นที่แฝงกลิ่นอายอันเย็นเยียบอยู่ภายในนั้นด้วย
“เห~ นิ่งเงียบกันไปหมดแบบนี้แปลว่ายังไม่ผ่านใช่มั้ยครับเนี่ย? คงต้องแสดงพลังโจมตีด้วยสินะ? หวังว่าทางผู้จัดงานเขาจะมีผู้ดูแลสำรองเอาไว้รับช่วงต่อพื้นที่นี้จากพวกคุณนะครับ”
ทันทีที่พูดจบซาลก็ให้มังกรโครงกระดูกรวบรวมกระแสออร่าทั้งหมดเข้ามาไว้ที่ปากราวกับเตรียมจะพ่นการโจมตีอันรุนแรงออกมา แน่นอนว่านี่เป็นแค่การแสดงปาหี่เท่านั้น แต่เหล่าผู้ดูแลที่ได้เห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวตรงหน้าต่างก็ต้องสะดุ้งเฮือก
——————————————————————————–
Part 2
เมื่อได้เห็นท่าทีลนลานของอีกฝ่าย ซาลก็แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ แต่ก็ยังพยายามทำท่าทางเป็นปกติ เขาหน่วงพลังงานค้างไว้เพื่อรอให้อีกฝ่ายรีบบอกมาว่าเขาผ่านการทดสอบ จะได้จบเรื่องไปซะที แต่ทันใดนั้นเองก็มีประตูมิติสีน้ำเงินบานหนึ่งปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของผู้ดูแลทั้งสาม
ทันใดนั้นก็มีคนในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเดินออกมาจากประตู เขาเหยียบย่างไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าและหยั่งยืนลงบนนั้นราวกับมีพื้นผิวที่มองไม่เห็นมารองรับอยู่ ทันทีที่มาถึงเขาก็กวาดสายตามองมายังมังกรโครงกระดูกตัวเขื่องและซาลที่ยืนอยู่บนหัวของมันด้วยแววตาอันเยือกเย็นและไม่สื่อถึงอารมณ์ใด ๆ
ชายคนนี้ไม่ได้สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเหมือนกับผู้ใช้ศาสตร์มืดคนอื่น ๆ ที่ซาลได้พบในเรล์มแห่งนี้ เขาจึงมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน คน ๆ นี้เป็นชายวัยกลางคนซึ่งมีเส้นผมสีเทาปกคลุมไปทั้งศีรษะ เขามีรูปหน้าสี่เหลี่ยมและหนวดเคราดกหนา ทั้งแววตาก็ดูดุดันราวกับเป็นนักรบที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน แถมร่างกายของเขายังกำยำล่ำสันจนชุดคลุมที่สวมอยู่ไม่อาจจะบดบังลักษณะเด่นนี้ได้มิด
เมื่อได้เห็นชายคนนี้ ซาลก็รู้ในทันทีว่าเขาจะต้องผู้มีอำนาจระดับสูงซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ดูแลพื้นที่ทั้งสามคนนี้อีกที และยังเป็นคนที่มีฝีมือสูงมาก ๆ ด้วย
ทันทีที่เห็นชายวัยกลางคนปรากฏตัวออกมา ผู้ดูแลทั้งสามก็รีบบินขึ้นไปหลบที่ด้านหลังของเขาและมีท่าทีผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไม่ทันที่จะมีใครได้พูดอะไร ชายวัยกลางคนก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำพูดขึ้นมาซะก่อน
“ไม่ต้องลุกลี้ลุกลนขนาดนั้นก็ได้ ถ้าเจ้าหนุ่มนี่อยากจะเอาชีวิตพวกเธอจริง ๆ ละก็ กว่าฉันจะมาถึง พวกเธอก็คงกลายเป็นศพไปเรียบร้อยแล้วล่ะ”
คำพูดของชายวัยกลางคนทำให้ผู้ดูแลทั้งสามออกอาการตะลึงไปอีกครั้ง ส่วนซาลเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองเจตนาออกทั้งยังเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงซึ่งอาจสังเกตเห็นความผิดปกติของโบนดราก้อนตัวนี้ได้จึงทำการยกเลิกการอัญเชิญทันทที ทำให้โบนดราก้อนสลายตัวกลายเป็นออร่าสีแดงลอยขึ้นฟ้าไป
เมื่อเห็นว่าโบนดราก้อนสลายร่างไปแล้วแต่ซาลยังสามารถลอยตัวอยู่บนกลางอากาศได้ ชายวัยกลางคนก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังรู้สึกประหลาดใจ แต่เพียงครู่เดียวสีหน้าของเขาก็กลับเป็นใบบหน้าอันเยือกเย็นตามปกติอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำพูดกับซาล
“ดูจากวิชาที่ใช้ออกมา หากไม่ใช่เนโครแมนเซอร์ระดับสูงก็ต้องเป็นลิชแล้วล่ะนะ เรื่องที่เธอเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดจริงรึไม่น่ะก็เป็นอันตกไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย ผู้ใช้ศาสตร์มืดบางคนก็ยอมเป็นสายลับให้กับพีสคีปเปอร์เพราะคำขู่หรือไม่ก็เพื่อผลประโยชน์ต่าง ๆ ดังนั้นถ้าเธอไม่สามารถยืนยันตัวตนให้พวกเราเชื่อมั่นได้ เราก็ไม่สามารถปล่อยเธอไปได้เช่นกัน”
ทันทีที่ชายวัยกลางคนพูดจบ บริเวณโดยรอบก็มีประตูมิติปรากฏขึ้นจากทั้งแปดทิศ ก่อนจะมีบุคคลในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มก้าวออกมาจากประตูแต่ละบาน ทุกคนหยุดยืนอยู่บนอากาศและล้อมซาลเอาไว้ทุกด้าน แม้จะสัมผัสพลังของแต่ละคนได้แค่ราง ๆ แต่ซาลก็รู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีฝีมือระดับสูงด้วยกันทั้งสิ้น ชนิดที่ทำให้ผู้ดูแลทั้งสามคนก่อนหน้านี้ดูเหมือนกับเป็นแค่เด็กฝึกงานไปเลยทีเดียว
หลังจากกลุ่มคนในชุดคลุมสีน้ำเงินปรากฏตัวออกมาครบแล้ว ชายวัยกลางคนก็เอ่ยคำพูดกับซาลอีกครั้ง
“ฉันได้ยินที่เธอคุยกับพวกผู้ดูแลพื้นที่ก่อนหน้านี้แล้ว เธอบอกว่าพลัดหลงกับผู้เข้าร่วมงานคนหนึ่งทำให้ไม่มีบัตรเชิญอยู่กับตัวสินะ? แล้วผู้เข้าร่วมงานคนที่เธออ้างถึงนั่นเป็นใครกันล่ะ? จงตอบมาซะ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้าคนที่เธออ้างถึงเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อของผู้มีบัตรเชิญ หรือคน ๆ นั้นไม่สามารถยืนยันตัวตนให้กับเธอได้ละก็…”
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นและแววตาอันคมกริบ ส่วนกลุ่มคนในชุดคลุมสีน้ำเงินที่อยู่โดยรอบก็รวบรวมพลังเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้ได้ทุกเมื่อ ก่อให้เกิดแรงกดดันมหาศาลจากรอบทิศแผ่พุ่งเข้ายงซาลที่อยู่ตรงกลาง
ทว่าซาลก็ไม่ได้แสดงความกังวลต่อบรรยากาศอันตึงเครียดที่อยู่โดยรอบเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นเขายังทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง คือค่อย ๆ ถอดหน้ากากที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าอันยิ้มแย้มสบาย ๆ เขาสบตากับชายวัยกลางคนและจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะเอ่ยคำตอบออกมา
“คนที่เชิญผมมาก็คือ ‘แซนโดร เอลราธ’ พวกคุณคงพอจะเคยได้ยินชื่อของเธอมาบ้างใช่มั้ยครับ?”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของแซนโดร ชายวัยกลางคนก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เช่นเดียวกับกลุ่มคนในผ้าคลุมสีน้ำเงินโดยรอบซึ่งส่งเสียงแสดงความประหลาดใจลอดผ่านหน้ากากออกมาเบา ๆ ส่วนผู้ดูแลพื้นที่ทั้งสามที่หลบอยู่ด้านหลังของชายวัยกลางคนก็หันมามองหน้ากันและเริ่มกระซิบกระซาบกันด้วย
“ซะ.. แซนโดร เอลราธ? นักเวทหัวกะโหลกที่ถูกพีชคีปเปอร์ขึ้นบัญชีเป็นภัยคุกคามความมั่นคงระดับ ‘คาทาสโทรฟี่’ น่ะเหรอ!? นั่นเป็นหนึ่งในผู้ใช้ศาสตร์มืดอันดับต้น ๆ ที่พีชคีปเปอร์ต้องการตัวเลยนะ!”
“ใช่ ฉันเองก็ได้ยินมาว่าเขาเป็น ‘แอนเชี่ยนลิช’ ที่เคยเปิด ‘เกท’ ขนาดยักษ์ซึ่งครอบคลุมท้องฟ้าได้เกือบทั้งผืนแล้วส่งกองทัพอันเดดนับแสนลงมาถล่มเมืองอินิสตร้าจนพังราบเป็นหน้ากลองเลย! เพราะงั้นถึงได้ถูกขึ้นบัญชีเป็นภัยคุกคามระดับ ‘คาทาสโทรฟี่’ ไงล่ะ!”
“เขาเป็นไอดอลของฉันเลยนะ! ในชีวิตนี้น่ะฉันอยากจะเจอกับคน ๆ นั้นสักครั้ง! เพราะได้ยินมาว่าเขามักจะแอบมาร่วมงาน ‘สัปดาห์หนังสือแห่งความมืด’ เป็นประจำทุกปี ฉันถึงได้มาสมัครเป็นผู้ดูแลพื้นที่เผื่อจะได้เจอเขาในสักวันหนึ่งไงล่ะ!”
“มะ.. หมอนี่เป็นคนของแซนโดรคนนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ? มิน่าล่ะถึงได้… นะ.. นี่แปลว่าเราล่วงเกินคนของแซนโดรไปแล้วน่ะสิ!?”
เพราะได้เห็นการอัญเชิญโบนดราก้อนซึ่งเป็นความสามารถระดับสูงของคลาสสายเนโครแมนเซอร์ ทำให้เหล่าผู้ดูแลพื้นที่ทั้งสามคนเห็นความเชื่อมโยงระหว่างชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากับแซนโดรและปักใจเชื่อไปกว่าครึ่ง กลุ่มคนโดยรอบก็มีท่าทีลังเลเช่นกัน ผิดกับชายวัยกลางคนที่ยังคงมีท่าทีสุขุมเยือกเย็น แม้ในใจของเขาจะมีความคิดอันหลากหลายแล่นเข้ามาก็ตาม
“ตามปกติแล้วถ้าคิดจะแอบอ้างเฉย ๆ ก็ควรอ้างชื่อคนที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากกว่า เพราะจะทำให้การตรวจสอบเป็นไปได้ยาก แต่เจ้านี่กลับอ้างชื่อของแซนโดรซึ่งเป็นบุคคลระดับตำนานออกมาตรง ๆ เลยงั้นรึ… แถมสีหน้าและแววตาของมันยังดูมั่นใจมากด้วย… นี่อาจเป็นแค่การบลัฟก็ได้ แต่ที่สำคัญก็คือเมื่อกี้มันเรียกแซนโดรว่า ‘เธอ’ งั้นเหรอ…”
แม้จะมีชื่อเสียงเลื่องลือและเป็นที่รู้จักไปทั่ว แต่ผู้ใช้ศาสตร์มืดส่วนใหญ่ก็เพียงแค่ได้ยินวีรกรรมของเธอจากคำบอกเล่าเท่านั้น น้อยคนที่จะเคยพบตัวจริง อีกทั้งปกติแซนโดรยังไม่ค่อยเผยร่างมนุษย์ให้ใครเห็น แม้แต่คนที่เคยพบปะกับเธอตรง ๆ ก็มักจะได้พบในร่างลิช หรือในตอนที่สวมชุดเกราะหัวกะโหลกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ค่อยมีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ และคนทั่วไปมักจะอนุมานเอาว่าเธอเป็นผู้ชาย มีเพียงผู้ใช้ศาสตร์มืดระดับสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าแซนโดรเป็นผู้หญิง การที่ซาลใช้สรรพนามเรียกแซนโดรว่า ‘เธอ’ จึงแปลว่าเขาต้องเป็นคนรู้จักของเธอถึงสามารถรู้ความจริงในเรื่องนี้ได้
ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะกางมือออกไปเบื้องหน้าเพื่อเรียกวงเวทหลายวงออกมา อักขระบนวงเวทเหล่านั้นมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาราวกับเป็นการไหลเวียนของข้อมูลบางอย่าง หลังจากพิจารณาวงเวทเหล่านั้นได้พักหนึ่ง ชายวัยกลางคนก็ปิดวงเวททั้งหมดลงและหันมาพูดกับซาลอีกครั้ง
“จากข้อมูลของฝ่ายจัดการสถานที่ แซนโดร เอลราธ ยังไม่ได้เดินทางเข้าไปในงานเลย ถึงเรื่องนี้จะตรงกับคำกล่าวอ้างของเธอที่ว่าเข้าประตูมาก่อนโดยแซนโดรไม่ได้ตามเข้ามาด้วย แต่มันก็อาจเป็นแค่เหตุบังเอิญก็ได้ เราไม่สามารถนำเรื่องนี้มาใช้ตัดสินว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกได้หรอกนะ เว้นแต่เธอจะมีหลักฐานที่ใช้ยืนยันได้ว่าเป็นคนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับแซนโดรจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเราก็คงต้องควบคุมตัวเธอเอาไว้ก่อนล่ะ”
แม้ข้อมูลหลายอย่างจะค่อนข้างเข้าเค้า แต่ชายวัยกลางคนก็ยังคงคิดว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างรัดกุมที่สุดเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดได้ ดังนั้นการกักตัวชายหนุ่มเอาไว้แล้วรอจนกว่าแซนโดรจะมาเพื่อถามความจริงจากเจ้าตัวดูจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
กลุ่มคนในชุดคลุมสีน้ำเงินที่อยู่โดยรอบต่างก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมในกรณีที่ซาลมีท่าทีจะขัดขืน แต่เขาก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาต่อต้านใด ๆ ออกมา เพียงแค่ยกมือขึ้นมาคลึงปลายคางและกลอกตาขึ้นเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง
“หลักฐานที่ใช้ยืนยันว่าเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับแซนโดรงั้นเหรอครับ? อืม… อ๊ะ อันนี้พอจะใช้ได้รึเปล่าครับ?”
เมื่อพูดจบ ซาลก็นำแหวนวงหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของ และปล่อยมันให้ลอยออกไปเบื้องหน้าของเขา มันเป็นแหวนสีดำที่เป็นมันเงาแวววาวและมีลวดลายอักขระสีเขียวเรืองแสงสลักอยู่โดยรอบ ในขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ ลวดลายอักขระเหล่านั้นก็ยังเรืองแสงอ่อน ๆ และแผ่พลังเวทมนตร์ออกมาด้วย
ทันทีที่ได้เห็นแหวนวงนั้น ชายวัยกลางคนก็ขมวดคิ้วลงอีกครั้ง เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังเวทของแซนโดรที่แผ่ออกมาจากแหวน แต่เขาก็ยังไม่อยากจะรีบด่วนสรุปอะไร จึงใช้เวท ‘อนาไลซ์’ วิเคราะห์คุณสมบัติของแหวนอย่างละเอียด เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้น
“นี่มัน… มาลาไคท์ริง!? แหวนที่ให้สิทธิ์ในการเดินทางเข้าออกเรล์มส่วนตัวของแซนโดรได้อย่างอิสระ! แถมตัวแหวนยังคงทำงานอยู่ด้วย แปลว่าไม่ใช่แหวนที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ใช้งานชั่วคราว นี่เธอ…”
ชายวัยกลางคนรู้สึกตกตะลึงจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่เมื่อได้รู้ว่าแหวนที่อยู่ตรงหน้าคือมาลาไคท์ริง แหวนสำหรับใช้เข้าออกเรล์มส่วนตัวของแซนโดร ในอดีตเหล่าผู้นำระดับสูงของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดเคยขอยืมสถานที่ในเรล์มของแซนโดรเพื่อจัดงานประชุมมาแล้ว ผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละคนจึงได้รับแหวนแบบนี้ไว้ใช้สำหรับเดินทางเข้าไปร่วมประชุม และชายวัยกลางคนคนนี้ก็เป็นหนึ่งในผู้นำระดับสูงของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ไปร่วมประชุม จึงเคยได้รับแหวนแบบนี้มาด้วย
แต่แหวนสำหรับผู้เข้าร่วมประชุมต่างก็เป็นแหวนที่ให้สิทธิ์การใช้งานแค่ชั่วคราวเท่านั้น หลังจบงานประชุมแล้ว พลังเวทภายในแหวนก็จะเสื่อมลงและกลายเป็นเพียงแหวนสีดำธรรมดา ๆ ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้อีก แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากลับมีแหวนที่ยังคงทำงานอยู่ แปลว่าเขาต้องเป็นคนที่แซนโดรให้สิทธิ์ในการเข้าออกมาลาไคท์คีปตามใจชอบ และไม่ใช่แค่คนรู้จักอย่างแน่นอน
“คนทั่วไปไม่มีทางที่จะมีแหวนแบบนี้ไว้ในครอบครองหรอก… นี่เธอ… เป็นอะไรกับแซนโดรกันแน่?”
คำถามนั้นทำให้ซาลหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะลอบแสยะยิ้มที่มุมปากและเอ่ยคำตอบออกมาด้วยใบหน้าอันสดใส
“ผมเป็น… ลูกชายของคุณแซนโดรครับ”
——————————————————————————–
Part 3
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของซาล ทุกคนในที่นั้นต่างก็แสดงอาการตกตะลึงออกมาถ้วนหน้า
กลุ่มคนในชุดคลุมสีน้ำเงินต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยอาการสับสน ชายวัยกลางคนก็จ้องมองซาลด้วยตาเบิกค้างราวกับเวลาของเขาถูกหยุดนิ่ง ส่วนผู้ดูแลทั้งสามที่อยู่ด้านหลังก็กระซิบกระซาบกันด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมเพราะเก็บอาการตกใจเอาไว้ไม่อยู่
“ลูกชายเหรอ!? แซนโดรคนนั้น มีลูกชายด้วยเหรอ!?”
“ถึงจะเป็นคนดังที่ทุกคนรู้จักและยกย่องก็เถอะ แต่เรื่องส่วนตัวของเขาน่ะมีคนรู้น้อยมากเลย ดังนั้นนี่อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ แต่ว่าหมอนั่นจะแค่แอบอ้างรึเปล่า!?”
“แต่ว่าที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี่คือแซนโดรคนนั้นเชียวนะ! แอนเชี่ยนลิชที่มีไพร่พลอันเดดนับแสนและเคยถล่มเมืองอินิสตร้าจนราบเป็นหน้ากลองด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว! ถ้าล่วงเกินคน ๆ นั้นละก็ มีแต่ตายกับตายเท่านั้น แถมยังอาจจะถูกพีชคีปเปอร์หมายหัวเอาด้วย! คงไม่มีไอ้บ้าที่ไหนกล้าแอบอ้างเป็นลูกของเขาแน่!”
คำพูดช่วงท้ายของเหล่าผู้ดูแลทำให้ซาลรู้สึกเจ็บแปล๊บในอกนิด ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะตอนนี้เขากำลังรู้สึกสนุกจนหุบยิ้มไม่ลงเลยด้วยซ้ำ
อีกหนึ่งจุดประสงค์ในการมาร่วมงานชุมนุมของผู้ใช้ศาสตร์มืดในครั้งนี้ของซาลก็คือเพื่อที่จะมาพบแซนโดรนั่นเอง เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่สามารถติดต่อกับเธอได้เลยไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ราวกับอีกฝ่ายพยายามหลบเลี่ยง
เรื่องนี้ค่อย ๆ สะสมจนกลายเป็นความหงุดหงิดอย่างหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้เผ็ดแซนโดรบ้าง เขาจึงแทบไม่ต้องคิดเลยเมื่อได้เห็นโอกาสงาม ๆ แบบนี้อยู่ตรงหน้า เพราะถ้าปล่อยข่าวนี้ออกไปละก็ นอกจากจะยั่วโมโหแซนโดรได้แล้ว ยังทำให้อีกฝ่ายต้องรีบปรากฏตัวออกมาด้วย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นกัน
สำหรับซาล แค่นึกถึงใบหน้าอันบิดเบี้ยวที่เต็มไปด้วยโทสะของแซนโดรก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจจนเนื้อเต้นแล้ว
อีกด้านหนึ่ง ชายวัยกลางคนที่เคยมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นราวกับทหารชาญศึกซึ่งไม่เกรงกลัวต่อสมรภูมิใด ๆ กลับยังคงอยู่ในอาการช็อกและมีสีหน้าราวกับเห็นผีทั้งยังเริ่มพึมพำคำพูดที่ฟังไม่รู้เรื่องออกมา
“ลูกชาย… ของแซนโดร? ละ.. ลูกชาย… ลูกชาย งั้นเหรอ…”
กลุ่มคนในชุดคลุมสีน้ำเงินก็สังเกตเห็นอาการผิดปกติของชายวัยกลางคนเช่นกัน หลายคนจึงรีบบินเข้าไปใกล้และพยายามพูดจาปลอบอีกฝ่ายให้สงบลง
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับคุณอากาล่อน เราเคยคุยกันเรื่องนี้ไปแล้วนี่นา? คุณแซนโดรน่ะเขาอยู่มาตั้งกี่ร้อยปีแล้วก็ไม่รู้ ถ้าเขาจะเคยแต่งงานหรือมีลูกแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่ครับ คุณอากาล่อนก็เคยบอกให้พวกแฟนคลับทำใจล่วงหน้าไว้เองไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมตัวเองถึงทำใจไม่ได้ล่ะครับ?”
คำพูดของคนในชุดคลุมน้ำเงินดูเหมือนจะทำให้อากาล่อนสามารถเรียกสติกลับมาได้ครู่หนึ่ง แต่ทันทีที่เขาเหลือบไปสบตากับซาล ร่างกายของเขาก็มีอาการเกร็งกระตุกอีกครั้ง ก่อนที่จะกระอักเลือดออกมาทางปากราวกับเป็นน้ำพุ
“อ๊อกกกก”
“ยะ.. แย่แล้ว! ดูเหมือนคุณอากาล่อนจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมากเกินไปจนโรคประจำตัวกำเริบ! พวกนายรีบพาเขากลับไปที่เขตจัดงานเร็วเข้า!”
เหล่าคนในชุดคลุมน้ำต่างก็ช่วยกันประคองตัวอากาล่อนไว้และเปิดประตูมิติบานใหญ่ออกมา ก่อนจะพากับหอบหิ้วร่างของเขาเข้าประตูไป แต่ยังมีอีกสามคนอยู่รั้งท้ายและหนึ่งในนั้นก็หันมาพูดกับซาล
“ฟังจากที่คุณอากาล่อนพูดแล้ว แหวนนั่นคงจะเป็นของจริงสินะ? ตอนนี้ถือว่านายผ่านการตรวจสอบในระดับหนึ่งก็แล้วกัน แต่คุณอากาล่อนก็เป็นแบบนี้ไปซะแล้วและพวกเราก็ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วย เพราะงั้นคงต้องส่งเรื่องนี้ให้ทางคณะผู้จัดงานเป็นผู้ตัดสินใจแทน ตามพวกเรามา เราจะพานายไปพบคณะผู้จัดงานเอง”
เมื่อพูดจบ บุคคลในชุดคลุมสีน้ำเงินก็หลบออกด้านข้างและกวาดมือเชื้อเชิญให้ซาลเข้าไปในประตูมิติก่อน สำหรับเขาแล้วนี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจเช่นกัน ซาลจึงบินตรงไปยังประตูด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสบาย ๆ ตามปกติของเขาโดยไม่มีท่าทีลังเลใด ๆ
หลังจากซาลผ่านเข้าประตูไปแล้ว คนในชุดคลุมสีน้ำเงินทั้งสามก็ตามเขาเข้าไป ก่อนที่ประตูมิติบานนั้นจะปิดตัวลง และทิ้งเหล่าผู้ดูแลพื้นที่ที่ยังรู้สึกสับสนและงุนงงกับสถานการณ์ทั้งหมดนี้อยู่เอาไว้เบื้องหลัง
——————————————————————————–
นิยามศัพท์เฉพาะ
ภัยคุกคามความมั่นคง
สำหรับตัวตนที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงสาธารณะมาก ๆ จะถูกพีสคีปเปอร์ขึ้นบัญชีเป็น ‘ภัยคุกคามความมั่นคง’ ซึ่งแบ่งออกเป็นสามระดับด้วยกันคือ คาลามิตี้ (Calamity), คาทาสโทรฟี (Catastrophe), และ คาทาคลิซึ่ม (Cataclysm)
คาลามิตี้ คือภัยคุกคามระดับภูมิภาคที่สามารถสั่นคลอนอาณาจักรได้ เช่นพวกมอนส์เตอร์หรือผู้ใช้ศาสตร์มืดที่มีระดับ SS ขึ้นไป
คาทาสโทรฟี เป็นภัยคุกคามที่อาจสั่นคลอนทั้งทวีปได้ เช่นการรวมตัวกันของภัยระดับคาลามิตี้ หรือการปรากฏตัวของกลุ่มปิศาจระดับเพียวอีวิล
คาทาคลิซึ่ม คือภัยคุกคามระดับโลก เช่นการปรากฏตัวของผู้สร้างหายนะ หรือปิศาจระดับไพร์มอีวิล
เพราะทุกระดับมีชื่อเรียกที่ขึ้นต้นด้วยตัว C หลายคนจึงนิยมเรียกภัยคุกคามความมั่นคงด้วยชื่อย่อว่า 3C (สามซี) หรือ TriC (ไทรซี)