Doombringer the 5th - ตอนที่ 129
Ch.129 – คนนำทางและสถานที่จัดงาน
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 125
คนนำทางกับสถานที่จัดงาน
Part 1
เมื่อก้าวเข้ามาในประตูมิติ ทิวทัศน์โดยรอบในสายตาของซาลก็แปรเปลี่ยนไป มันกลายเป็นห้วงมิติอันเวิ้งว้างที่มีประกายแสงระยิบระยับแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับตัวเขากำลังเคลื่อนที่ผ่านท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันพร่างพราย
ไม่นานนัก ประกายแสงโดยรอบก็เริ่มจางหายไป จนทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด เป็นเวลาเดียวกับที่ห้วงมิติโดยรอบเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ และซาลก็พบว่าตนเองได้มายืนอยู่ในห้องอันมืดมิดแห่งหนึ่งแทน
เบื้องหน้าของเขามีกำแพงศิลาซึ่งมีความสูงเกือบห้าเมตรตั้งตระหง่านอยู่ แต่พอมองขึ้นไปที่ด้านบนของกำแพงแล้วซาลกลับพบว่านั่นไม่ใช่กำแพง ทว่าเป็นโต๊ะทรงสูงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากศิลาสีเทาเข้ม คล้ายกับแท่นบัลลังก์ที่ผู้พิพากษาใช้ในการนั่งพิจารณาคดี บนโต๊ะมีตะเกียงดวงเล็ก ๆ ที่เรืองแสงสีฟ้าอมเขียวออกมาจาง ๆ พอให้เห็นสภาพแวดล้อมของสิ่งที่อยู่รอบข้างในระยะใกล้ ๆ เท่านั้น
ตะเกียงเหล่านั้นมีอยู่ทั้งหมดห้าดวงด้วยกัน แต่มีดวงหนึ่งที่ยังดับอยู่ แสงอ่อน ๆ จากตะเกียงแต่ละดวงส่องให้เห็นบุคคลที่นั่งอยู่ด้านหลังของบัลลังก์แต่ละตัว พวกเขาล้วนแล้วแต่สวมผ้าคลุมสีดำอันมิดชิด เผยให้เห็นเพียงใบหน้าบางส่วนที่ต้องแสงอ่อน ๆ จากตะเกียงเท่านั้น แต่เพียงแค่เค้าร่างในเงามืดที่ปรากฏต่อสายตานี้ก็แผ่พลังกดดันอันเย็นเยียบและเสียดแทงจนแทบจะทำให้รู้สึกหายใจได้ลำบาก แม้แต่ชายในชุดคลุมน้ำเงินที่พาซาลเข้ามาก็ยังแสดงอาการอึดอัดกับบรรยากาศโดยรอบออกมาให้เห็นเล็กน้อย ซาลจึงเข้าใจในทันทีว่านี่คือเหล่าผู้อาวุโสของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดซึ่งรับผิดชอบดูแลการจัดงานชุมนุมในครั้งนี้ และเป็นด่านทดสอบด่านสุดท้ายของเขาด้วย
แม้จะเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันมหาศาลจากบุคคลทั้งสี่ตรง ๆ แต่ซาลก็ไม่ได้มีท่าทีเคร่งเครียดอะไร เขายังคงยืนอยู่ตรงกลางห้องด้วยท่าทีสบาย ๆ และกวาดสายตามองไปยังเงาร่างของคนทั้งสี่ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ และสีหน้าที่เหมือนจะกึ่งยิ้มอยู่ด้วย ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หลายคนต้องหรี่ตาลงเพราะรู้สึกข้องใจในท่าทีนั้น
ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังพินิจพิจารณาฝ่ายตรงข้ามอยู่ ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินซึ่งเป็นผู้นำซาลมาที่นี่ก็ก้าวออกไปข้างหน้าและกล่าวรายงานกับผู้นั่งบัลลังก์ทั้งสี่ด้วยน้ำเสียงนอบน้อมที่แฝงความยำเกรงอยู่ภายใน
“นี่คือคนที่ทำผิดกฎของ ‘เรล์มทดสอบ’ ทั้งยังเข้ามาในเรล์มโดยไม่มีบัตรเชิญด้วย รายละเอียดส่วนใหญ่ทุกท่านคงได้รับรายงานกันไปแล้ว และเพราะคุณอากาล่อนเกิดป่วยกะทันหันทำให้ไม่สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ จึงต้องพาเขามาที่นี่ครับ”
เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็ก้าวถอยกลับไปยืนอยู่ด้านหลังซาลอีกครั้งด้วยท่าทีสำรวม ในขณะที่ผู้นั่งบัลลังก์ทั้งสี่คนเริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
“ดูจากรายงานที่ส่งมาแล้ว ทั้งคุณสมบัติแหละหลักฐานที่เขาแสดงออกมาก็ตรงกับคำกล่าวอ้างทุกอย่างนี่นา เพราะงั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”
ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวแรกจากทางซ้ายมือเอ่ยคำพูดออกมา แต่ชายอีกคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สองก็กล่าวแย้งขึ้นทันที
“อย่าเพิ่งด่วนสรุปจนเกินไป ถึงทุกอย่างจะดูเข้าเค้า แต่มันก็เป็นคำกล่าวอ้างปากเปล่าอยู่ดี เราควรกักตัวเจ้าหนุ่มนี่ไว้แล้วรอจนกว่าแซนโดรจะมายืนยันดีกว่า”
“แต่เขาก็มี ‘มาลาไคท์ริง’ อยู่ไม่ใช่เหรอ? แค่นั้นก็น่าจะเป็นหลักฐานเพียงพอแล้วนะ”
ชายบนบัลลังก์ตัวแรกพยายามพูดเสริม แต่คราวนี้ก็มีเสียงของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สี่แย้งขึ้นมาแทน
“ไอ้นั่นก็ไม่เชิงว่าจะเป็นของที่มีเฉพาะคนสนิทของแซนโดรหรอกนะ ถึงจะเห็นแบบนั้นก็เถอะ แต่แม่นั่นน่ะเปิ่นจะตายไป อาจเอาแหวนไปแลกกับของกินอะไรแปลก ๆ มาก็ได้”
หญิงสาวเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะมีอารมณ์ขบขันอยู่เล็กน้อย แต่ชายอีกคนซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สามติดกับเธอก็กล่าวแย้งทันทีเช่นกัน
“ถึงคอมม่อนเซนส์ของเธอจะขาด ๆ เกิน ๆ อยู่บ้าง แต่แซนโดรก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะปล่อยให้คนอื่นเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย ๆ หรอกนะ มีแต่จะหลอกคนอื่นต่างหาก ดังนั้นต่อให้โดนเอาของกินมาล่อ เธอก็ไม่มีทางเอาแหวนจริงไปแลกหรอก น่าจะให้ของปลอมหรือแหวนที่ใช้ชั่วคราวไปมากกว่า… เจ้าหนุ่ม เอาแหวนออกมาให้พวกเราตรวจสอบอีกครั้งนึงซิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลจึงนำแหวนออกมาอีกครั้งและปล่อยให้มันลอยไปยังเบื้องหน้าของผู้อาวุโสทั้งสี่คน เพื่อให้พวกเขาทำการตรวจสอบในทันที ซึ่งหลังจากที่เหล่าผู้อาวุโสใช้เวทตรวจสอบคุณสมบัติของแหวนอยู่พักหนึ่งแล้ว ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สามก็เอ่ยคำพูดขึ้นอีกครั้ง
“อืม… เป็นแหวนแบบใช้งานถาวรไม่ผิดแน่… คนที่จะมีแหวนแบบนี้ได้ต้องเป็นคนใน ‘เซอร์เคิล’ ของแซนโดรเองเท่านั้น ซึ่งเท่าที่ฉันรู้ก็มีอยู่ไม่กี่คนหรอกนะ”
“แปลว่าเป็นคนสนิทของแซนโดรจริง ๆ สินะ แต่ที่บอกว่าเป็นลูกชายนี่สิ… ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลว่าแซนโดรมีลูกชายกับเขาด้วย”
ชายบนบัลลังก์ตัวที่สองเอ่ยขึ้น หญิงสาวบนบัลลังก์ตัวที่สี่จึงออกความเห็นบ้าง
“ถึงจะเคยพบปะและร่วมงานกันหลายครั้ง แต่พวกเรามีใครที่รู้เรื่องส่วนตัวของแซนโดรแบบจริง ๆ จัง ๆ บ้างล่ะ? แม่นั่นน่ะเป็นคนพูดน้อยจะตาย แถมยังไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครด้วย แต่พูดก็พูดเถอะนะ เจ้าหนุ่มนี่น่ะไม่เห็นจะมีลักษณะคล้ายกับแซนโดรสักนิดเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าผู้อาวุโสจึงหันมองไปยังซาลโดยพร้อมเพรียงกัน แม้บางคนจะไม่เคยพบแซนโดรในร่างมนุษย์มาก่อน แต่ก็เคยได้ยินคนอื่นเอ่ยถึงรูปพรรณของเธอมาบ้าง ทำให้พอจะรู้ลักษณะเด่นของเธอ ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบดูแล้ว ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ไม่มีลักษณะดังที่ว่าอยู่จริง ๆ
เพราะพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ซาลจึงหลับตาลงและโคจรพลังเวทอีกครั้ง ทำให้ทั้งศีรษะละใบหน้าของเขาถูกปกคลุมไปด้วยพลังงานเวทมนตร์ที่เปล่งแสงเรืองรองออกมาจนบดบังรูปลักษณ์ของเขาเอาไว้ เหล่าผู้อาวุโสที่เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ส่วนกลุ่มคนในชุดคลุมสีน้ำเงินที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
เพียงครู่เดียว แสงที่ปกคลุมศีรษะของซาลอยู่ก็จางหายไป เผยให้เห็นเส้นผมของเขาที่กลายเป็นสีเทาจาง ๆ แทนที่จะเป็นสีแดงเพลิงเหมือนกับก่อนหน้านี้ และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาของเขาก็กลายเป็นสีเขียวมรกตแทนสีชมพูใส นี่คือการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของร่างอัญเชิญซึ่งตอนนี้เขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องเก็บร่างอัญเชิญเข้าไปเปลี่ยนคุณสมบัติก่อนแล้วอัญเชิญออกมาใหม่ แต่สามารถทำได้ในทันที
“แบบนี้ พอจะดูคล้ายกันมากขึ้นรึเปล่าครับ? ก่อนหน้านี้เป็นรูปลักษณ์ที่ผมใช้ในการเดินทางเพื่อปกปิดรูปพรรณจากคนภายนอก แต่ในเมื่อตรงนี้มีแต่คนกันเอง เรื่องนั้นก็คงไม่จำเป็นอีกแล้ว ต้องขออภัยที่บอกช้าไปนะครับ”
คำกล่าวของซาลที่มีรูปลักษณ์เปลี่ยนไปนั้นทำให้เหล่าผู้อาวุโสนิ่งเงียบไปอีกครั้ง หลายคนที่ไม่เคยพบตัวจริงของแซนโดรต่างก็หันไปยังหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สี่เพื่อรอความเห็นจากเธอ ซึ่งเธอก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำตอบออกมา
“อืม… แบบนี้สิถึงจะดูคุ้นตาขึ้นมาหน่อย ถึงบุคลิกจะต่างกันอยู่มากก็เถอะ แต่เรื่องนั้นคงเอามาใช้วัดอะไรไม่ได้ล่ะนะ ความจริงแค่แหวนนั่นก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้พอแล้วล่ะ ให้เขาผ่านเข้างานไปเถอะ”
คำกล่าวของหญิงสาวทำให้ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ผ่อนคลายท่าทีลง แต่ก็มีคนหนึ่งที่ยังคงโต้แย้งกลับมา
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่การที่เจ้านี่เข้ามาในงานตามลำพังก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่ดี ต่อให้เป็นลูกชายของแซนโดรจริง ๆ แล้วไง? ลูกที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากพ่อแม่น่ะมีถมเถไป หากเจ้านี่เป็นลูกนอกคอกที่ทรยศแซนโดรไปเข้ากับพีสคีปเปอร์ขึ้นมาล่ะ? การปล่อยให้มันเข้าไปง่าย ๆ มิเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรอกรึ? หากยังยืนยันเจตนาที่แท้จริงไม่ได้ละก็ ฉันไม่ยอมให้มันออกไปจากห้องนี้ได้เด็ดขาด”
ผู้ที่เอ่ยถ้อยคำอันหนักแน่นที่แฝงไปด้วยพลังคุกคามนั้นออกมาก็คือชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สอง เหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่ได้ยินคำพูดนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบไปอย่างมีนัยยะ ราวกับรู้ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังถ้อยคำเหล่านั้นดี เพียงแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
——————————————————————————–
Part 2
แม้จะไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรนัก แต่ซาลก็หุบยิ้มลงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาไม่ให้เกียรติหรือจงใจยียวน พลางครุ่นคิดว่าพอจะมีวิธีอะไรที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมเชื่อเขาได้บ้าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะนึกอะไรออก ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สองก็นำลูกแก้วขนาดเท่าฝ่ามือลูกหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของ และส่งมันลอยลงไปยังซาลในทันที
มันเป็นลูกแก้วโปร่งใสซึ่งมีกลุ่มก้อนพลังงานเวทมนตร์สีม่วงไหลวนอยู่ตรงใจกลาง ราวกับเป็นห้วงจักรวาลอันมืดมิดที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างแปรปรวน ทันทีที่ลูกแก้วลูกนั้นลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าซาล ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สองก็เอ่ยคำพูดขึ้นอีกครั้ง
“นี่คือ ‘ลูกแก้วแห่งเจตจำนง’ ใช้สำหรับทดสอบเจตนาที่แท้จริงของผู้สัมผัส จงเอามือแตะที่ลูกแก้วลูกนั้นและบอกความจริงมาว่าเธอมาทำอะไรที่นี่กันแน่ หากสิ่งที่พูดออกมาเป็นความจริง ลูกแก้วก็จะเปล่งแสงสีขาว แต่ถ้าพูดความเท็จละก็ ลูกแก้วจะเปล่งแสงสีแดงออกมาแทน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น…”
ชายบนบัลลังก์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ ส่วนกลุ่มคนในชุดคลุมน้ำเงินที่อยู่ด้านหลังต่างก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมเช่นเดียวกัน ในขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างก็เอนหลังไปบนพนักและรอดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวลระคนเหนื่อยใจ
นั่นก็เพราะลูกแก้วแห่งเจตจำนงนี้แม้จะเป็นอาติแฟคที่สามารถพิสูจน์เจตนาของผู้ทดสอบได้จริง แต่ในทางปฏิบัติแล้วความคิดของผู้คนเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่งและมีความซับซ้อนเกินกว่าที่อุปกรณ์ใด ๆ จะสามารถทำการชี้วัดอย่างเที่ยงตรงได้ ดังนั้นต่อให้เอ่ยเจตนาไปตามจริง แต่ความคิดที่ไม่หยุดนิ่งหรือซับซ้อนอาจถูกแปรเจตนาเป็นการลังเลหรือถูกตีความว่าเป็นเท็จได้
อาติแฟคชิ้นนี้จึงสามารถชี้วัดเจตนนาของคำถามปลายปิดแบบง่าย ๆ ได้เท่านั้น แต่สำหรับคำถามปลายเปิดซึ่งตีความหรือให้คำตอบได้หลากหลาย ผลการทดสอบมักจะออกมาเป็นลบมากกว่าบวก เพราะหากไม่มีเจตนาที่แน่วแน่และความคิดที่มุ่งมั่นพอ ก็อาจถูกตีความไปในทางที่ผิดได้นั่นเอง เหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จึงรู้สึกกังวลขึ้นมา เพราะการจะผ่านการทดสอบจากลูกแก้วนี้ด้วยคำถามปลายเปิดแบบนี้เป็นอะไรที่ยากมาก นั่นแปลว่าต่อให้เป็นผู้บริสุทธิ์จริง ก็อาจไม่ผ่านการทดสอบนี้ก็ได้
ซาลยื่นมือออกไปแตะสัมผัสลูกแก้วลูกนั้นอย่างแผ่วเบา ทันทีที่สัมผัสกับมันเขาก็รู้สึกได้ว่ามีพลังงานบางอย่างกำลังไหลเวียนเข้ามาในตัวเขา และในขณะเดียวกันพลังเวทในตัวเขาก็ถูกดูดเข้าไปยังลูกแก้วลูกนั้นด้วย ราวกับเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางเวทมนตร์บางอย่าง
เขาเหลือบตาขึ้นไปมองดูเหล่าผู้อาวุโสอีกครั้งด้วยสีหน้าสบาย ๆ ซึ่งไม่มีอาการกังวลใด ๆ ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาในขณะที่เอามือแตะสัมผัสลูกแก้วไปด้วย
“ผมมาที่นี่ เพื่อพบปะผู้คน และผูกมิตร…”
ในขณะที่ซาลกำลังพูดอยู่ กลุ่มก้อนพลังงานภายในลูกแก้วก็เริ่มไหลวนอย่างรุนแรงราวกับพายุคลั่งและเริ่มมีแสงสีแดงเรืองรองออกมาจากภายในกลุ่มก้อนพลังงานสีม่วงนั้น ทำให้ดวงตาของทุกคนในห้องที่จับจ้องอยู่เริ่มลุกวาวขึ้น ส่วนซาลก็ยังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้าสบาย ๆ ที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ผมต้องการคนที่จะมาเป็นพันธมิตรและเป็นกำลังให้กับผมในอนาคต เพราะเป้าหมายสูงสุดของผมก็คือการโค่นล้มพีชคีปเปอร์!”
ทันทีที่ซาลพูดจบ กลุ่มก้อนพลังงานภายในลูกแก้วก็เปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าออกมาแทนที่แสงสีแดง แสงสีขาวนั้นส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องจนความมืดมิดทั้งหมดถูกกลืนหายไปครู่หนึ่ง ทำให้ซาลแอบเห็นรูปพรรณบางส่วนของผู้อาวุโสทั้งสี่คนด้วย แม้จะมองได้ไม่ถนัดตานักเพราะทุกคนสวมผ้าคลุมอยู่ก็ตาม
ไม่นานนักแสงจากลูกแก้วก็เลือนหายไป ทำให้ความมืดกลับมาปกคลุมห้องอีกครั้ง แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ เช่นเดียวกับกลุ่มคนในชุดคลุมน้ำเงินและเหล่าผู้อาวุโสซึ่งมีท่าทีผ่อนคลายขึ้นเช่นกัน
“สามารถทำให้เกิดแสงเจิดจ้าแบบนั้นได้ แปลว่าความตั้งใจของเธอต้องแน่วแน่ไม่เลวเลยทีเดียว แบบนี้คงหมดกังวลแล้วใช่มั้ย คุณไลคัส?”
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สี่เอ่ยขึ้นพลางหันไปถามชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สอง ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ ตอบกลับไป เขาเพียงแต่ดึงลูกแก้วซึ่งตอนนี้มีกลุ่มพลังงานสีขาวไหลเวียนอยู่ภายในแทนที่พลังงานสีม่วงกลับมาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดกับซาลอีกครั้ง
“เธอชื่ออะไร?”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ซาลก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำตอบพร้อมกับโค้งคำนับให้กับผู้อาวุโสทั้งสี่คน
“ผมชื่อ ‘แร็กน่า’ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักกับทุก ๆ ท่านครับ”
นี่คือชื่อที่ซาลตั้งใจจะใช้ในการเผยแผ่อิทธิพลและรวบรวมพันธมิตรในโลกเบื้องหลังอยู่แล้ว เขาจึงสามารถเอ่ยตอบกลับไปได้ทันทีโดยไม่มีการลังเล เหล่าผู้อาวุโสทั้งสี่คนที่ได้เห็นท่าทีนอบน้อมนั้นก็แสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาเล็กน้อย ส่วนไลคัส แม้จะยังคงมีท่าทีเคร่งขึมอยู่ แต่ซาลก็รู้สึกได้ว่าแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายได้ลดลงไปมากแล้ว
“อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเธอไม่ใช่คนของพีชคีปเปอร์ล่ะนะ เราจะยอมให้เธอผ่านเข้าไปในงานก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องอื่น ๆ เอาไว้แซนโดรมาถึงแล้วค่อยทำการตรวจสอบเพิ่มเติม… โทร่า ออกมานี่ซิ”
เมื่อได้ยินคำพูดของไลคัส บุคคลในชุดคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากกลุ่มและมายืนอยู่ข้าง ๆ ซาล คนผู้นี้มีรูปร่างเล็กและสูงแค่ประมาณไหล่ของซาลเท่านั้น ที่สำคัญคือผ้าคลุมที่คลุมศีรษะอยู่ยังมีรูปทรงแปลก ๆ คล้ายกับมีเครื่องประดับบางอย่างอยู่ข้างใต้
“เธอคอยเป็นผู้นำทางและดูแลเจ้าหนุ่มคนนี้ให้ดี หากมีปัญหาอะไรก็ประสานงานกลับมาให้ฝ่ายธุรการช่วยอำนวยความสะดวกได้ทุกเมื่อ เข้าใจนะ?”
“ระ.. รับทราบค่ะ โฮก~”
เสียงใส ๆ คล้ายกับเสียงของเด็กผู้หญิง แถมยังลงท้ายประโยคด้วยถ้อยคำแปลก ๆ นั้นทำให้ซาลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะมีเรื่องอื่นที่ต้องคิดมากกว่า
แม้จะบอกว่าให้มาช่วยเป็นผู้นำทางและอำนวยความสะดวก แต่ซาลก็รู้ดีว่านี่คือคนที่ไลคัสส่งมาจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขาแบบซึ่ง ๆ หน้า แต่เขาก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องยุ่งยากอะไร ทั้งยังมองว่านี่อาจเป็นโอกาสดีอีกด้วยเพราะเขาไม่เคยมางานชุมนุมแบบนี้มาก่อนเลย การได้คนที่คุ้นเคยกับงานมาเป็นผู้นำทางและที่ปรึกษาจึงนับเป็นเรื่องที่ไม่เลว เขาจึงยิ้มรับและก้มศีรษะอีกครั้งเพื่อแสดงความขอบคุณแก่ไลคัส
ในระหว่างนั้น ผู้นำทางตัวน้อยก็วาดมือไปบนอากาศ ทำให้มีประตูมิติบานหนึ่งปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้า ทันทีที่ประตูมิติก่อตัวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ เธอก็เอื้อมมือมาคว้าข้อมือของซาลไว้ ทำให้เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอีกครั้ง
“เอ้า ไปกันเถอะ โฮก~”
เมื่อพูดจบ หญิงสาวก็ฉุดข้อมือของซาลและพาเขาก้าวเข้าไปในประตูมิติทันทีโดยไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย ทำให้ซาลที่ยังตั้งตัวไม่ทันได้แต่รีบก้าวตามไปด้วยท่าทีเงอะงะเท่านั้น
เมื่อร่างของทั้งสองคนหายเข้าไปในประตูแล้ว ประตูมิติก็ปิดลง ส่วนเหล่าผู้อาวุโสก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง
“ช่างบังเอิญจริง ๆ เลยนะ ครั้งก่อนที่ได้เห็นแสงสว่างเจิดจ้าแบบนี้จาก ‘ลูกแก้วแห่งเจตจำนง’ คนที่รับการทดสอบก็คือแซนโดรเหมือนกัน จะเรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นได้รึเปล่าเนี่ย?”
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สี่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มขี้เล่น ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวแรกจึงเอ่ยคำพูดขึ้นบ้าง
“นั่นสินะ แถมคำตอบของทั้งสองคนยังเหมือนกันด้วย คือการ ‘โค่นล้มพีชคีปเปอร์’ ตอนที่ได้ยินคำตอบนั้นจากแซนโดรน่ะทำเอาฉันขนลุกเกรียวเลยล่ะ ไม่นึกว่าจะได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง”
“ไม่เชิงจะเหมือนกันหรอก…”
ไลคัสเอ่ยแทรกขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต้องหันไปมองเขาโดยพร้อมเพรียงกัน ส่วนชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวแรกก็เอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ไม่เหมือนเหรอ? หมายความว่ายังไง?”
ไลคัสมองลูกแก้วในมือของเขาและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำตอบออกมาโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับพลังงานสีขาวในลูกแก้วลูกนั้น
“คำตอบของแซนโดรคือ ‘ต้องการทำลายพีชคีปเปอร์’ มันเป็นคำตอบที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นทั้งยังแฝงไปด้วยความแค้นอันเข้มข้นจนสัมผัสได้ แต่คำตอบของเจ้าหนุ่มนั่นคือ ‘ต้องการโค่นล้มพีชคีปเปอร์’ แม้จะฟังดูคล้ายกัน แต่เจตนาที่แท้จริงอาจต่างกัน ที่สำคัญคือแม้มันจะเป็นคำตอบอันหนักแน่น แต่ฉันก็ไม่รู้สึกถึง ‘อารมณ์’ ที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นเลย ทำให้ไม่รู้ว่าอะไรคือแรงผลักดันของเจตจำนงนั้นกันแน่”
คำกล่าวของไลคัสทำให้ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวที่สี่จะเปล่งเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อยและเอ่ยคำพูดออกมา
“คิดมากไปแล้วน่าคุณไลคัส ยังไงซะเจตจำนงที่ต้องการโค่นล้มพีชคีปเปอร์ก็เป็นของจริงไม่ใช่เหรอ? แค่นั้นก็นับว่าเหลือเฟือแล้ว และนี่อาจเป็นเจตจำนงที่ได้รับการปลูกฝังมาจากแซนโดรก็ได้ เพราะมันไม่ใช่การตัดสินใจที่เกิดจากความแค้นส่วนตัว เป็นเพียงความคิดที่รับการสืบทอดมาเท่านั้น ทำให้แรงผลักดันที่มีต่อเป้าหมายแตกต่างกันไงล่ะ”
คำพูดของหญิงสาวฟังดูมีเหตุผล ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จึงพากันพยักหน้ารับ มีเพียงไลคัสที่ยังคงเพ่งพิจารณาพลังงานในลูกแก้วด้วยสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น หญิงสาวจึงได้แต่ยิ้มและถอนหายใจเบา ๆ เพราะคิดว่าคงป่วยการที่จะพยายามเกลี้ยกล่อมไลคัสไม่ให้คิดมากเกินไป และตัดบทในทันที
“ยังไงก็ให้โทร่าเป็นคนจับตาดูแล้วนี่ ที่เหลือก็รอดูผลลัพธ์เถอะ พวกเราเองก็เสียเวลาไปมากแล้วนะ รีบกลับไปที่งานกันดีกว่า”
เมื่อพูดจบ ตะเกียงที่อยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าของหญิงสาวก็ดับวูบลง แล้วเงาร่างของเธอก็ค่อย ๆ เลือนหายกลืนกับความมืดมิดไป
ผู้อาวุโสคนอื่นก็ค่อย ๆ ดับตะเกียงที่อยู่เบื้องหน้าของตนไปทีละดวง แม้แต่กลุ่มคนในชุดคลุมน้ำเงินก็ทยอยกันเปิดประตูมิติแล้วออกจากห้องไป จนสุดท้ายก็เหลือแค่ไลคัสอยู่เพียงลำพัง
เขายังคงเพ่งพิจารณาพลังงานในลูกแก้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนำมันกลับเข้าช่องมิติเก็บของไปอีกครั้ง และดับตะเกียงของตัวเองลง ทำให้ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ราวกับเป็นห้วงมิติอันว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรอยู่เลย
——————————————————————————–
Part 3
ประตูมิติที่หญิงสาวนำซาลเข้าไปได้พาเขามายังอุโมงค์มิติอันเวิ้งว้างอีกครั้ง
แต่ในเวลาไม่นานนัก เขาก็เห็นปลายทางของอุโมงค์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทว่าคราวนี้มันกลับแตกต่างออกไป เพราะที่ปลายทางนั้นไม่ใช่ห้วงมิติอันมืดมิดเหมือนเช่นครั้งก่อน แต่เป็นแสงสว่างเจิดจ้าแทน
เพียงพริบตา แสงสว่างนั้นก็แผ่ขยายออกมาปกคลุมห้วงมิติรอบข้างทั้งหมด ทำให้ซาลที่ยังปรับสายตากับความสว่างไม่ทันต้องหลับตาลงครู่หนึ่ง และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่ได้เห็นก็ทำให้เขาต้องรู้สึกตกตะลึง
เพราะเบื้องหน้าของเขาคือพีระมิดแก้วขนาดใหญ่ซึ่งมีความสูงเกือบสองร้อยเมตร ส่วนฐานของมันสะท้อนภาพทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าอันเขียวขจีที่อยู่โดยรอบจนกลายเป็นสีเขียวใส แต่ส่วนยอดที่อยู่สูงขึ้นไปจะสะท้อนภาพท้องฟ้าสีครามเบื้องบนซึ่งมีปุยเมฆสีขาวกระจายตัวอยู่เล็กน้อย ทำให้ตัวพีระมิดซึ่งสะท้อนภาพทิวทัศน์ของทั้งผืนดินและท้องฟ้าในเวลาเดียวกันนั้นช่างดูงดงามตระการตา ราวกับเป็นอัญมณีเม็ดใหญ่ที่ถูกนำมาวางประดับไว้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผืนดินแห่งนี้
ที่ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจยิ่งว่าคือ ทิวทัศน์เบื้องหน้านั้นช่างตรงกันข้ามกับที่เขาเคยวาดภาพเอาไว้ราวฟ้ากับเหว เขาคิดว่าสถานที่จัดงานชุมนุมจะเป็นใต้หุบเขาหรือในถ้ำอันมืดมินที่ไหนสักแห่ง แต่นี่มันกลับเป็นพีระมิดแก้วขนาดยักษ์ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งหญ้าเขียวขจีและท้องฟ้าสีครามอันสดใส ดูยังไงก็ไม่น่าเป็นสถานที่ชุมนุมของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดได้เลย
เมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ซาลก็พบว่าที่ราบอันไพศาลแห่งนี้ถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาสูงเกือบทุกด้าน ราวกับเป็นกำแพงตามธรรมชาติ แม้จะเป็นทิวทัศน์อันแปลกตา แต่ซาลก็รับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่เรล์มอีกแห่งหนึ่ง แต่เป็นสถานที่ซึ่งอยู่บนโลกจริง ๆ ที่ไหนสักแห่ง การได้เห็นสถานที่จัดงานสุดวิจิตรตระการตามาตั้งอยู่บนพื้นที่เปิดโล่งแบบนี้จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกข้องใจมากขึ้นไปอีก
เขาสังเกตว่าบนทุ่งหญ้าโดยรอบนั้นมีผู้คนทยอยกันเดินทางตรงไปยังพีระมิด บ้างก็มาคนเดียว บ้างก็มาเป็นกลุ่ม แม้จะมีคนที่ใส่ชุดแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครสวมผ้าคลุมมิดชิดเหมือนกับที่เขาเห็นในเรล์มทดสอบเลย แม้กระทั่งหน้ากากก็มีคนที่ยังสวมอยู่เพียงไม่กี่คนด้วย
ในระหว่างนั้นเอง โทร่า หญิงสาวตัวน้อยซึ่งเป็นผู้นำทางของเขาก็ดึงชุดคลุมสีน้ำเงินที่ปกปิดรูปพรรณของเธออยู่ออก แต่สิ่งแรกที่ปรากฏออกมาจากใต้ชุดคลุมนั้นก็คือใบหูซึ่งมีขนปุกปุยคล้ายกับหูของสัตว์ตระกูลแมว ทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
โทร่ามีผมสั้นสีส้มออกน้ำตาลแซมด้วยปอยผมสีดำแทรกอยู่เป็นริ้ว ๆ ใบหูที่คล้ายกับหูแมวบนศีรษะของเธอก็มีสีสันและลวดลายแบบเดียวกัน เธอมีใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็ก มีปากนิดจมูกหน่อย ดูจิ้มลิ้มน่ารัก แต่ดวงตาของเธอกลับกลมโตและเปล่งประกายแวววาวราวกับเป็นลูกแก้วสีเหลืองอำพัน
เธออยู่ในชุดกระโปรงสั้นสีขาว สวมทับด้วยแจ็คเก็ตและแถบรัดเอวสีส้มน้ำตาลซึ่งคาดด้วยลวดลายสีดำคล้ายกับหนังเสือโคร่ง ทันทีที่เปลี่ยนชุดเสร็จเธอก็หันมาพูดกับซาลในทันที
“เอ้า รีบเปลี่ยนชุดซะสิ แล้วเราจะได้เข้าไปในงานกันไงล่ะ โฮก~”
คำพูดของโทร่าทำให้ซาลที่จับจ้องอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจอยู่เป็นเวลานานได้สติกลับมาอีกครั้ง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าแสดงกิริยาที่ไม่สมควรออกไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทางว่าจะถือโทษโกรธเคืองอะไร เธอเพียงจ้องมองกลับมาด้วยดวงตากลมโตที่ดูสงสัยใคร่รู้เท่านั้น ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมซาลถึงต้องจ้องมองเธอด้วย
“อ๊ะ ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ อืม… คุณเป็นเผ่าฮาลฟ์บีสสินะครับ? ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นเผ่าแมว?”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของซาล โทร่าก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าลงในทันที ทำให้ซาลรู้ตัวว่าได้พูดอะไรผิดหูอีกฝ่ายไปซะแล้ว
“ฉันเป็นเผ่าเสือต่างหากล่ะ! โฮก! อุตส่าห์เพิ่มคำลงท้ายแบบนี้จะได้ไม่มีคนเข้าใจผิดว่าเป็นเผ่าแมว แต่ก็ยังมีคนเข้าใจผิดอยู่เรื่อยเลย โฮก!”
โทร่าแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดแจ้ง สื่ออารมณ์ว่าเธอกำลังโกรธอยู่ โดยเฉพาะตอนคำรามว่า ‘โฮก’ นั่นดูเหมือนเจ้าตัวจะพยายามแสดงสีหน้าข่มขู่อย่างเต็มที่ เผยให้เห็นเขี้ยวคู่กระจิ๊ดที่โผล่ออกมาจากริมฝีปากน้อย ๆ ด้วย ทว่าซาลก็ยังรู้สึกว่ามันดูน่ารักมากกว่าจะน่ากลัว แต่เขารู้ดีว่าหากเผลอยิ้มออกไปอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกโกรธมากขึ้นอีก จึงพยายามฝืนสีหน้าเอาไว้และรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอ่อ.. ต้องขอโทษด้วยก็แล้วกันนะครับ ว่าแต่ทำไมทุกคนถึงได้ถอดผ้าคลุมกันหมดล่ะครับ แถมบางคนยังไม่สวมหน้ากากแล้วด้วย ไม่ใช่ว่านี่เป็นงานชุมนุมลับที่ต้องปกปิดตัวตนเหรอครับ?”
โทร่ายังคงจ้องมองซาลด้วยสีหน้าขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเชิดหน้าไปทางอื่นและตอบกลับมาด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
“คนที่มาอยู่ที่นี่ได้คือคนที่ผ่านการทดสอบเพื่อยืนยันตัวตนมาแล้วทั้งนั้น การปกปิดตัวตนจึงไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นเท่าไหร่ สำหรับคนที่ยังไม่วางใจหรือไม่อยากเปิดเผยตัวตนก็อาจสวมหน้ากากเอาไว้ก็ได้ หรือบางคนอาจใช้เวทแปลงโฉมอำพรางรูปลักษณ์ที่แท้จริงในขณะที่อยู่ในงานก็ได้เช่นกัน ดังนั้นคนที่นายเห็นว่าไม่ได้ปกปิดใบหน้า จริง ๆ แล้วอาจใช้รูปลักษณ์ที่ปลอมขึ้นก็ได้นะ แต่สำหรับผู้ใช้ศาสตร์มืดระดับทั่วไป โดยเฉพาะคนที่เดินทางมาเพื่อทำการแลกเปลี่ยนวรรณกรรมน่ะไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องเรื่องการเปิดเผยรูปลักษณ์สักเท่าไหร่หรอก โฮก~”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของโทร่า ซาลก็เริ่มจะเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้มากขึ้น เขาจึงถออดผ้าคลุมออกและทำการปรับรูปลักษณ์ของตัวเองให้มีเส้นผมสีแดงเพลิงและนัยน์ตาสีแดงอ่อนอีกครั้ง ทำให้โทร่าแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว
“เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ โฮก~”
ทันทีที่พูดจบ โทร่าก็ออกเดินเพื่อมุ่งหน้าไปยังพีระมิดแก้ว โดยมีซาลที่ยังรู้สึกตื่นเต้นกับสถานที่แห่งนี้อยู่เล็กน้อยรีบเดินตามไป
จุดที่ซาลกับโทร่าเดินทางมาถึงนั้นอยู่ห่างจากตัวพีระมิดไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตร พวกเขาจึงใช้เวลาไม่นานนักในการเดินทางมาจนถึงทางเข้าที่อยู่บริเวณส่วนฐานของพีระมิด
เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ซาลจึงพบว่าผนังด้านนอกของพีระมิดที่เขาคิดว่าเป็นกระจกเงานั้น แท้จริงแล้วมันเป็นกระจกใส ทำให้เพียงแค่การยืนอยู่ด้านนอกก็สามารถเห็นโครงสร้างต่าง ๆ ที่อยู่ภายในพีระมิด รวมถึงผู้คนมากมายที่กำลังทำกิจกรรมอยู่ภายในนั้นด้วย ซึ่งซาลสามารถนับได้ว่าพีระมิดหลังนี้ถูกแบ่งออกเป็นสิบชั้นด้วยกัน เขาจึงคิดว่าแต่ละชั้นคงมีความกว้างขวางมากทีเดียว เพราะตัวพีระมิดน่าจะมีความสูงกว่าร้อยห้าสิบเมตรได้
ด้านหน้าทางเข้ามีผู้คนมากมายมาเข้าแถวกันเพื่อรับบัตรประจำตัวสำหรับใช้ในงาน ซึ่งแม้พีระมิดแต่ละด้านจะมีทางเข้าแบบนี้อยู่สามจุด และแต่ละจุดจะมีเคาเตอร์บริการสี่แห่งสำหรับออกบัตรประจำตัวให้ผู้ร่วมงาน แต่เพราะมีผู้มาเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากจนต้องมารอต่อคิวกันอยู่ดี แต่เพราะซาลมากับโทร่าซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ เขาจึงได้รับการลัดคิวและออกบัตรสำหรับแขกพิเศษให้ทันที จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับการรอต่อคิวที่แถวอันยาวเหยียดนั้น
ในระหว่างที่เดินผ่านกลุ่มคนซึ่งยังคงยืนรอการออกบัตรประจำตัวมา ซาลก็อดสังเกตไม่ได้ว่า คนเหล่านี้ล้วนแต่สวมชุดลำลองสบาย ๆ เหมือนชุดเดินตลาด ทั้งยังมีสีหน้ายิ้มแย้ม พูดคุยกันด้วยอารมณ์รื่นเริง ไม่มีบรรยากาศอึมครึมหรือมืดทะมึนที่สมกับเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาเริ่มคิดว่าตัวเองมาผิดงานรึเปล่า
“เอ่อ… ผมน่ะไม่เคยมางานชุมนุมของผู้ใช้ศาสตร์มืดมาก่อนเลย ทุกคนดูแตกต่างไปจากเวลาปกติมากเลยนะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซาล ใบหูของโทร่าก็กระดิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ต่างจากปกติเหรอ? นี่แหละคือปกติ ทุกคนก็ใช้ชีวิตและทำตัวกันแบบนี้แหละ มีแค่เวลาที่ทำภารกิจหรือนัดหมายกันตามโอกาสที่ต้องสวมชุดให้มิดชิดเพื่อปกปิดตัวตนบ้าง แต่สำหรับที่ ๆ มีแต่คนกันเองแบบนี้ ทุกคนจึงทำตัวตามสบายได้ไงล่ะ โฮก~ ที่มาลาไคท์คีปน่ะไม่ได้อยู่กันแบบนี้หรอกเหรอ?”
คำตอบของโทร่าทำให้ซาลคิดได้ว่าที่เธอพูดมานั้นถูกต้องตามหลักเหตุผลทุกอย่าง ผู้ใช้ศาสตร์มืดเองยามปกติก็คงใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดานี่แหละ ไม่ได้สวมใส่แต่ชุดคลุมดำทะมึนและเก็บตัวอยู่ในห้องมืดเพื่อศึกษาแต่ไสยศาสตร์มนต์ดำอยู่แล้ว เขาเองต่างหากที่ติดภาพของผู้ใช้ศาสตร์มืดในอุดมคติมากเกินไป
“เอ่อ.. จริง ๆ แล้วคนที่นั่นก็ปล่อยตัวตามสบายเหมือนกัน แต่บรรยากาศมันก็ไม่ใช่อย่างนี้น่ะครับ”
“อ้อ นั่นสินะ เรล์มของแอนเชี่ยนลิชแซนโดร… ถึงฉันจะไม่เคยไป แต่ก็พอจะเคยได้ยินคนอื่นพูดถึงเรล์มแห่งนั้นมาบ้าง ว่ามันเปรียบเสมือนดินแดนแห่งความตายซึ่งเป็นที่พำนักของเหล่ายมทูต คนธรรมดาที่ย่างกรายเข้าไปหากไม่ถูกดึงวิญญาณออกจากร่างก็จะกลายเป็นอาหารของกองทัพอันเดดซึ่งมีจำนวนนับแสน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้เลยล่ะ โฮก~ เทียบกันแล้วที่แบบนี้คงจะแปลกตามากเลยสินะ แปลว่านายไม่ค่อยได้ไปเยือนพื้นที่ของผู้ใช้ศาสตร์มืดคนอื่น ๆ งั้นสิ?”
แม้จะรู้สึกว่าเรื่องราวเกี่ยวกับมาลาไคท์คีปถูกบอกเล่าแบบใส่สีตีไข่มากไปหน่อย แต่ซาลก็ไม่ได้คิดจะโต้แย้งอะไรและตอบกลับไปเรียบ ๆ เท่านั้น
“ฮ่ะ ๆ ๆ ใช่ครับ ผมน่ะไม่ค่อยมีโอกาสได้พบปะกับผู้ใช้ศาสตร์มืดคนอื่น หรือได้มาร่วมงานชุมนุมแบบนี้สักเท่าไหร่เลย”
ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นเอง ซาลก็เหลือบไปเห็นคน ๆ หนึ่งซึ่งยืนปะปนอยู่กับฝูงชนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก คนผู้นั้นสวมชุดคลุมสีเขียวแก่ซึ่งมีลวดลายอันวิจิตร เพียงเห็นแวบแรกซาลก็รู้สึกคุ้นตาขึ้นมาในทันที และครู่ต่อมาคนผู้นั้นก็หันเปลี่ยนอิริยาบถโดยหันไปพูดคุยกับคนที่อยู่ข้าง ๆ ทำให้ซาลสามารถเห็นใบหน้าบางส่วนของเขาได้ ซึ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าที่อยู่ใต้ผ้าคลุมของคนผู้นั้น ดวงตาของซาลก็ลุกวาวขึ้นทันที
เพราะใบหน้าที่อยู่ใต้ผ้าคลุมคือหน้ากากเหล็กทรงหัวกะโหลกที่เขาไม่ได้เห็นมาเนิ่นนานนั่นเอง
ทันทีที่เห็นหน้ากาก ซาลก็รีบเดินตรงไปยังคนในชุดคลุมนั้นทันที โดยไม่สนใจโทร่าซึ่งร้องเรียกเขาอยู่
“โฮก! เดี๋ยวก่อนสิ จะไปไหนน่ะ!?”
เพียงครู่เดียว ซาลก็เดินมาถึงจุดที่คนในชุดคลุมยืนอยู่ เขาจึงแตะที่แขนของอีกฝ่ายและเรียกชื่อของเธอในทันที
“แซนโดร! เอ๊ะ?”
เมื่ออีกฝ่ายหันมา ซาลจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะเขาไม่รู้สึกถึงบรรยากาศเฉพาะตัวที่เคยสัมผัสได้จากแซนโดรเลย
สำหรับคนในชุดคลุม เมื่อถูกซาลทัก ก็เปิดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจ
“เอ๋~? เมื่อกี้ทักฉันว่าแซนโดรเหรอ? แปลว่าฉันทำชุดได้เหมือนมากเลยสินะ! เยี่ยมเลย! แบบนี้ต้องชนะงานประกวดได้แน่ ๆ !”
“อะ.. เอ๋?”
ซาลรู้สึกแปลกใจที่คนในชุดคลุมหัวกะโหลกนี้ไม่ใช่แซนโดร แต่เป็นเพียงคนที่สวมชุดเลียนแบบแซนโดรเท่านั้น แถมเขายังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิดด้วย ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้นอีก
ในระหว่างนั้นเอง ก็มีคนในชุดคลุมสีเขียวแก่อีกคนหนึ่งซึ่งสวมหน้ากากหัวกะโหลกที่เป็นโครงกระดูกจริง ๆ เดินเข้ามาแล้วเอ่ยคำพูดขึ้น
“แบบนี้น่ะเหรอเหมือน? หมอนี่มันตาถั่วแล้ว ที่สำคัญคือคอสฯ นักเวทหัวกะโหลกแบบนี้น่ะมันโหลจะตาย ต้องคอสร่างแอนเชี่ยนลิชแบบฉันสิถึงจะติดท็อปได้! ดูความละเอียดของหน้ากากนี่ซะก่อน เหมือนโครงกระดูกจริง ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ?”
คำพูดของคนในชุดคลุมหัวกะโหลกอีกคนหนึ่งทำให้ซาลยิ่งรู้สึกงงงวย ทันใดนั้นเองเขาก็เพิ่งสังเกตว่าทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนแล้วแต่สวมชุดคลุมสีเขียวแก่และมีหน้ากากหัวกะโหลกปกปิดใบหน้าด้วยกันทั้งสิ้น บ้างก็เป็นหน้ากากเหล็กทรงหัวกะโหลก บ้างก็เป็นหน้ากากหัวกะโหลกที่เป็นโครงกระดูก บริเวณที่เขายืนอยู่มีคนแต่งตัวแบบนี้อยู่เกือบสิบคน แต่ห่างออกไปอีกหน่อยยังมีกลุ่มคนอีกนับร้อยหรือหลายร้อยคนที่สวมชุดแบบนี้อยู่ด้วย
ทุกคนล้วนแล้วแต่สวมชุดคลุมและหน้ากากแบบเดียวกับแซนโดรด้วยกันทั้งสิ้น
ซาลมองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึงและเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาตามหน้าผาก สำหรับเขาแล้วนี่เป็นภาพที่เกือบจะเรียกว่าน่าสยดสยองจนทำให้ขนลุกไปทั้งตัวเลยก็ว่าได้ ในระหว่างนั้นเอง โทร่าที่เพิ่งจะเดินตามมาทันก็เอ่ยคำพูดขึ้น
“อย่าเดินไปไหนมาไหนตามใจชอบแบบนี้สิ โฮก~ เดี๋ยวก็หลงทางหรอก ว่าแต่ทักคนผิดรึไงน่ะ เป็นลูกชายแท้ ๆ ไม่น่าจำผิดได้เลยนะ”
“เอ๋? นะนี่มัน… คือว่า…”
เมื่อเห็นสีหน้าของซาลที่ทั้งซีดเผือดและดูสับสน โทร่าจึงพอจะเข้าใจสถานการณ์ได้และเอ่ยคำอธิบายให้เขาฟัง
“อ้อ นี่แปลว่านายไม่รู้สินะ? ฝั่งนี้น่ะเป็นโซนคอสเพลย์ และตรงนี้ก็เป็นจุดชุมนุมของกลุ่ม ‘แซนโดรโฮลิค’ (Sandro Holic) กลุ่มแฟนคลับของคุณแซนโดรไงล่ะ โฮก~”
“หา? ฟะ.. แฟนคลับ!?”
ดวงตาของซาลเบิกโพลงขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดของโทร่า เขามองกลับไปยังกลุ่มคนในชุดคลุมสีเขียวแก่อีกครั้งเพื่อพิจารณาดูดี ๆ และพบว่าคนเหล่านี้มีจำนวนนับพันคนเลยทีเดียว
“ใช่แล้วล่ะ เพราะเธอเป็นหนึ่งในผู้ใช้ศาสตร์มืดระดับสูงซึ่งสร้างผลงานเอาไว้ไม่น้อย ทำให้ชื่อเสียงของเธอกลายเป็นที่รู้จัก และมีกลุ่มคนที่ชื่นชมวีรกรรมของเธอมาก จนตั้งกลุ่ม ‘แซนโดรโฮลิค’ ขึ้นมาเป็นชุมชนสำหรับผู้ที่ชื่นชอบคุณแซนโดรโดยเฉพาะ ในทีแรกก็มีสมาชิกแค่ไม่กี่สิบคนหรอก แต่หลังจากเหตุการณ์ที่อินิสตร้า ชื่อของเธอก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีคนที่หลงใหลในความแข็งแกร่งของเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแค่ปีเดียว จำนวนสมาชิกของกลุ่มแซนโดรโฮลิคก็เพิ่มจากไม่กี่สิบเป็นหลายร้อย และกลายเป็นหลายพันคนในที่สุด ที่เห็นนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่มีบัตรเชิญมาเข้าร่วมงานเท่านั้นนะ โฮก~”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของโทร่า สีหน้าของซาลก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นกว่าเดิม ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อนที่ไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดอย่างไรดี
“ละ.. แล้วนี่… พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่เหรอครับ?”
“อ้อ ก็เป็นกิจกรรมคอสเพลย์ของกลุ่มน่ะ ใครที่สามารถคอสเพลย์ได้ใกล้เคียงกับคุณแซนโดรที่สุดก็จะได้รับรางวัลจากหัวหน้าสมาคมไป เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นทุกปีแหละ”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ซาลก็ยิ่งขมวดคิ้วด้วยความขุ่นข้องใจมากขึ้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ก็มีคำประกาศที่ถูกขยายเสียงด้วยเวทมนตร์ดังแว่วมา ซึ่งเมื่อเขาหันไปมองก็พบว่ามีชายคนหนึ่งซึ่งสวมชุดคลุมสีเขียวแก่และมีหน้ากากหัวกะโหลกแปะอยู่บนศีรษะกำลังถือไมค์ยืนอยู่บนเวทีและกล่าวคำพูดอยู่
“ขอบคุณทุกคนที่ยังคงมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้านะ งานประกวดคอสเพลย์จะมีขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว แต่ก่อนอื่นเราต้องมาทำพิธีเปิดงานกันซะก่อน ปกติคุณอากาล่อนจะเป็นผู้มากล่าวเปิดงาน แต่พอดีวันนี้เขาล้มป่วยกะทันหันทำให้ไม่สามารถมาทำหน้าที่ได้ แต่เราก็ยังมี ‘ของขวัญพิเศษ’ ที่คุณอากาล่อนหามาได้และฝากเราเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว…”
เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็นำกล่องเล็ก ๆ ขนาดเท่าฝ่ามือกล่องหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของ มันเป็นกล่องที่มีลวดลายอักขระเวทมตร์สลักอยู่โดยรอบและมีแสงสีฟ้าอ่อน ๆ เรืองรองออกมาจากร่องของรอยสลักนั้นตลอดเวลา เหล่าสมาชิกกลุ่มนับพันที่อยู่เบื้องล่างต่างก็จ้องมองไปยังกล่องใบนั้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ ซึ่งชายหนุ่มก็แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“นี่ก็คือกล่องที่บันทึกเสียงของท่านแซนโดรเอาไว้ไงล่ะ! เชื่อว่าน้อยคนในที่นี้ที่จะเคยได้ยินเสียงของท่านแซนโดรใช่มั้ย!? ฉันเองก็ยังไม่เคยเหมือนกัน! นี่เป็นโอกาสทองแล้ว! ด้วยความพยายามของคุณอากาล่อนทำให้สามารถบันทึกเสียงของท่านแซนโดรมาได้เป็นผลสำเร็จ! เรามาฟังเสียงอันไพเราะของท่านแซนโดรไปพร้อม ๆ กันเลย!”
ทันทีที่ได้ยินคำประกาศนั้น เหล่าสมาชิกนับพันต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาราวกับกำลังคลุ้มคลั่ง มันเป็นเสียงแห่งความตื่นเต้นและยินดีสุดจะบรรยายได้ ทำให้ซาลที่เฝ้าดูเหตุการณ์นี้อยู่ยิ่งมีสีหน้าบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้น ชายบนเวทีก็นำไมค์ของเขาจ่อไปยังกล่องที่อยู่บนมือ และเปิดการทำงานของกล่อง ทำให้ลวดลายอักขระบนกล่องเปล่งแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิมออกมา พร้อมกับมีเสียงอันลุ่มลึกและแหบแห้งของแซนโดรซึ่งดังออกมาจากกล่องถูกถ่ายทอดผ่านไมค์ออกไปให้สมาชิกทุกคนได้ยินด้วย
“…พวกแก …เลิกบ้ากันซะทีจะได้มั้ย?…”
ทันทีที่คำพูดนั้นถูกถ่ายทอดออกมา ความเงียบก็ปกคลุมผู้เข้าร่วมงานไปครู่หนึ่ง ก่อนมันจะถูกแทนที่ด้วยเสียงอื้ออึงแห่งความปิติยินดีอีกครั้ง
“นะ.. นั่นน่ะเหรอเสียงของท่านแซนโดร!? สุดยอดเลย! ทั้งเย็นเยียบและทรงพลัง! สมกับเป็นแอนเชี่ยนลิช!”
“แค่ได้ฟังเสียงก็ทำให้รู้สึกสั่นสะท้านราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่างแล้ว! นี่สินะพลังของท่านแซนโดร! ชาตินี้ฉันจะขอติดตามท่านแซนโดรไปตลอดชีวิตเลย!”
“อา~ ถ้อยคำอันเย็นชาและเสียดแทงนั่น ถึงแม้จะมันฟังดูไร้เยื่อใย แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความรักความเอ็นดูที่ท่านแซนโดรมีต่อพวกเรา! การใช้คำพูดรุนแรงก็เพื่อขัดเกลาพวกเราให้เติบโตขึ้น ไม่หลงกับคำไพเราะเสนาะหูอันจอมปลอม! นี่แหละคือไอดอลแห่งความมืดที่แท้จริง!”
เหล่าสมาชิกกลุ่มต่างกล่าวคำสรรเสริญเยินยอแซนโดรไม่ขาดปาก ราวกับถ้อยคำสั้น ๆ นั้นเป็นน้ำทิพย์จากสวรรค์ที่ไหลรินลงมาต่อชีวิตให้กับคนที่กำลังจะเหือดแห้งอยู่กลางทะเลทราย แต่ละคนต่างก็สรรหาการตีความในแง่ดีแบบสุดกู่มาชื่นชมคำพูดนั้น จนซาลที่มองดูอยู่ได้แต่ทำหน้าเจื่อนและมองตาปริบ ๆ
เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาดซะแล้ว ที่คิดจะมาหาพันธมิตรในงานนี้