Doombringer the 5th - ตอนที่ 13
Ch.13 – นามที่แท้จริง
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter.13
นามที่แท้จริง
Part 1
ซาลแอบลอบเข้ามาในเมืองอคาทอชตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่
เพราะความที่เป็นช่วงเช้าทำให้มีคนเผ่ามังกรอยู่ค่อนข้างเบาบาง เขาจึงวิ่งหลบตามซอกมุมและขึ้นมาถึงเมืองส่วนบนได้โดยไม่มีใครพบเห็น
ที่เมืองส่วนบนมีลักษณะเหมือนกับเป็นโพรงหินขนาดยักษ์ ภายในนั้นก็มีตึกและอาคารสไตล์เดียวกับเมืองส่วนล่างสลับกับโพรงเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนถ้ำกระจายอยู่ทั่วไป ทำให้มันดูราวกับเป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นในถ้ำขนาดใหญ่
สาเหตุที่ซาลแอบลอบเข้ามาที่นี่ก็เพื่อค้นหาดวงตาของหญิงสาวเผ่ามังกร
ที่เขาตัดสินใจทำเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะมันเป็นความปรารถนาของหญิงสาวที่อยากจะมองเห็นอีกครั้ง… ส่วนหนึ่งก็อาจใช่ แต่เจตนาที่แท้จริงของเขาก็คือเพื่อให้เธอยอมไปจากที่นี่
ซาลคิดว่าหากขโมยดวงตากลับไปให้หญิงสาวได้ ทางหนึ่งก็จะทำให้เธอสมหวังและไม่ถูกผูกมัดด้วยเรื่องนี้อีก ส่วนอีกทางหนึ่งก็เป็นการบีบให้เธอต้องไปจากอคาทอช เพราะนี่เท่ากับเป็นการละเมิดบทลงโทษของเผ่ามังกร ทั้งเขาและเธอต่างก็ต้องถูกลงโทษ ซึ่งโทษสูงสุดอาจถึงขั้นประหารชีวิตเลยก็ได้
นี่เป็นการเดิมพันกับจิตใจของหญิงสาว หากลำพังตัวเธอคนเดียวเธออาจยอมรับในบทลงโทษทุก ๆ อย่างที่เผ่ามังกรหยิบยื่นให้ แต่หากมีชีวิตของคนอื่น มีชีวิตของเขามาพัวพันด้วย เธอต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่ จากการพูดคุยทำความรู้จักกันมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ทำให้เขาเชื่อเช่นนั้น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงโดยที่ไม่กลัวความตาย ซาลมีความเชื่อมั่นว่าจะหาดวงตาพบและขโมยมันออกไปได้สำเร็จ ส่วนหญิงสาวเผ่ามังกร หากเธอยังไม่ยอมหนีไปกับเขาจริง ๆ เขาก็คงต้องหนีไปกับแซนโดรเพียงสองคน
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว ซาลก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา ไม่ใช่เพราะกลัวว่าพวกเผ่ามังกรจะจับตัวเขาได้ในระหว่างขโมยดวงตา แต่เพราะกลัวบทลงโทษของแซนโดรหลังจากรู้ว่าเขาก่อเรื่องต่างหาก
แซนโดรบอกว่ามันถูกนำไปใช้เป็นอนุสรณ์เตือนใจเผ่ามังกรคนอื่น ๆ เขาจึงคิดว่ามันน่าจะถูกตั้งโชว์ไว้ในอาคารสาธารณะที่ไหนสักแห่ง
ซาลอัญเชิญสมุนแมลงนับสิบตัวออกมาและส่งพวกมันกระจายกันออกไปสอดแนมดูอาคารหลังใหญ่ ๆ ของเมืองไปทีละหลัง ทำการค้นหาแบบปูพรมไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่เจอในเมืองส่วนล่างก็ขยายขอบเขตการค้นหามาจนถึงเมืองส่วนบน ในที่สุดเขาก็พบสิ่งที่ต้องการในอาคารหลังหนึ่งซึ่งอยู่กลางเมือง
อาคารนั้นเป็นอาคารขนาดใหญ่ซึ่งมีห้องโถงอันเปิดโล่งรายล้อมด้วยเสาหินสำหรับค้ำยันราวกับเป็นวิหารสำหรับประกอบพิธีกรรมอะไรสักอย่าง ที่ส่วนในสุดของห้องโถงนั้นมีรูปปั้นมังกรตัวหนึ่งตั้งอยู่
รูปปั้นมังกรตัวนั้นอยู่ในท่ายืนและหันมือทั้งสองข้างเข้าหากันเหมือนกำลังถืออะไรบางอย่าง แต่ตรงกลางระหว่างมือทั้งสองนั้นกลับมีลูกแก้วสีน้ำเงินครามสองลูกที่แผ่ไอเย็นสีฟ้าออกมาตลอดเวลาลอยอยู่แทน
“น่าจะเป็นที่นี่แหละนะ”
เมื่อแน่ใจสถานที่แล้ว ซาลก็แอบย่องเข้าไปในอาคาร
บริเวณรอบอาคารแทบไม่มีผู้คนอยู่เลย แถมตัวอาคารก็ไม่มีคนเฝ้าทั้งภายในและภายนอก ทำให้เขาสามารถลอบเข้าไปได้โดยง่าย เขารีบวิ่งเลียบตามแนวเสาไปยังรูปปั้นมังกร แต่พอเข้าไปใกล้ ๆ แล้วจึงรู้ว่ารูปปั้นนั้นมีขนาดเกือบเท่าของจริงเลย ทำให้มันมีความสูงกว่าสิบเมตรได้
“แย่จริง… รู้งี้สร้างสมุนที่บินได้เอาไว้หน่อยก็ดีหรอก”
เพราะตำแหน่งของลูกแก้วนั้นอยู่สูงมาก แถมสมุนมังกรของเขาก็ยังไม่ถึงช่วงอายุที่จะบินได้ ซาลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปีนขึ้นไปเอง แต่แค่เดินเข้าไปเหยียบพื้นใกล้ ๆ กับรูปปั้น ก็มีอักขระแสงปรากฏขึ้นมาบนพื้นที่เขายืนอยู่
“อะไรกัน!?”
ซาลรีบถอยออกมาจากบริเวณนั้นและหลบไปที่ด้านข้างของรูปปั้นมังกร ทันใดนั้นลูกแก้วที่ลอยอยู่ระหว่างมือของรูปปั้นก็หายไปพร้อม ๆ กับแสงอักขระด้านหน้ารูปปั้นที่จางลง ในเวลาเดียวกันก็มีวงเวทขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาที่กลางห้องโถง
เพียงครู่เดียวก็เกิดแสงสว่างเจิดจ้าตามด้วยไอเย็นมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากวงเวท เมื่อไอเย็นคลายตัวลงก็ปรากฏร่างของมังกรขนาดใหญ่หมอบอยู่ตรงนั้น
มันเป็นมังกรร่างกายกำยำมีหนามแหลมอยู่ทั่วตัวตั้งแต่ท้ายทอยจรดปลายหาง แม้แต่ตามแขนและขาก็ยังมีหนามแหลมสีดำสนิทยื่นออกมาด้วย ที่หลังของมันมีปีกขนาดใหญ่ซึ่งแผ่คลุมห้องโถงได้เกือบครึ่งห้อง ตัวมันมีเกล็ดสีดำสลับกับสีฟ้าทำให้ยิ่งดูมืดทะมึนเมื่อมองจากสายตาของซาล แม้มันจะยังอยู่ในท่าหมอบสี่ขา โดยยังไม่ได้ยืนขึ้นด้วยซ้ำไป
“ฮืม… ในที่สุดก็หมดความอดทนแล้วงั้นรึ? เออเธมีล…”
เสียงของมังกรนั้นทั้งทุ้มต่ำและก้องกังวานเพราะโครงสร้างของห้องโถง ทำให้ซาลรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว แต่ก็ยังพยายามรวบรวมความกล้าเอาไว้
“หืม?… ไม่ใช่เออเธมีลหรอกรึ? เจ้าหนอนแมลงนี่มันอะไรกัน?…”
“เอ่อ… สวัสดีครับ! ผมเป็นพนักงานทำความสะอาดที่มาใหม่ ถูกใช้ให้มาทำความสะอาดรูปปั้นน่ะครับ! ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะครับ! แหะ ๆ ๆ ”
มังกรตัวนั้นหรี่ตาลงเหมือนกับกำลังมีอาการหงุดหงิด ก่อนที่มันจะเอ่ยคำพูดกับเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยโทสะ จนเสียดแทงผิวกายยิ่งกว่าเดิม
“หืม?… เจ้าคิดจะตบตาใครกัน? เราเผ่ามังกรน่ะไม่ใช้งานพวกมนุษย์หรอกนะ ตำแหน่งทาสก็ยังสูงเกินไปสำหรับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าด้วยซ้ำ…”
“เอ๋? แน่ใจเหรอครับ? ถ้างั้น… สงสัยผมจะมาผิดบ้านแล้วล่ะครับ! ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ!”
ซาลพยายามเนียนเดินออกมาแบบเนิบ ๆ แต่ก็ถูกมังกรตัวนั้นตะปบกรงเล็บขวางไว้ซะก่อน มันพ่นลมหายใจออกจากจมูกครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยคำพูดกับเขา ทำให้มีไอเย็นคละคลุ้งไปทั่วราวกับเป็นม่านหมอก
“ฟู่ว… ถ้าไม่มีเจตนาที่จะช่วงชิงดวงตานั่นละก็ วงเวทอัญเชิญนี้จะไม่ทำงานหรอกนะ ยังไงเจ้าก็เป็นคนที่คิดจะมาขโมยดวงตานั่นแน่นอนอยู่แล้ว อย่าปฏิเสธเลยดีกว่า…”
“เอ่อ… แปลว่าถ้ายอมรับโดยดีก็จะได้รับการอภัยให้ใช่มั้ยครับ?”
“ฮืม… ก่อนจะได้รับการอภัยก็ต้องรับโทษซะก่อนซี่ เอ้ามารับโทษไปซะ…”
มังกรตัวนั้นยกกรงเล็บขึ้นเตรียมจะตะปบเข้าใส่ แต่ในจังหวะนั้นซาลก็ปลดสร้อยที่สวมอยู่ออกจากคอทันที
สร้อย ‘เบอเด็นน์อามูเล็ท’ (Burdened Amulet) มีผลทำให้ซาลารัสได้รับแรงดึงดูดเพิ่มขึ้น 20% เมื่อปลดมันออกเขาจึงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและหลบกรงเล็บของมังกรตัวนั้นได้
“หืม?… อะไรกัน?…”
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นในชั่วพริบตาของอีกฝ่ายจนสามารถหลบกรงเล็บได้ทำให้เจ้ามังกรรู้สึกสับสน ซาลใช้จังหวะนั้นคล้องสร้อยเข้ากับหนามที่แขนของมัน ทำให้มังกรตัวนั้นทรุดลงกับพื้น
“หืม!?… นี่มัน!?…”
เพราะมังกรขนาดใหญ่มีน้ำหนักตัวมากอยู่แล้ว ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นแค่ 20% ก็มากพอจะทำให้ร่างกายเสียสมดุลไปได้
ซาลอาศัยจังหวะนั้นรีบวิ่งหนีไปยังทางออกโดยมังกรที่ยังทรุดอยู่กับพื้นได้แต่มองตาม
“ฮึ่ม… อย่าดูถูกกันนัก เจ้ามดปลวก!…”
ทันทีที่พูดจบ มังกรตัวนั้นก็พ่นไอเย็นออกมาดักหน้าเขาไว้
ไอเย็นนั้นทำให้เกิดกำแพงน้ำแข็งเป็นทางยาวตั้งแต่พื้นด้านหน้าของมังกรไปจนสุดปลายผนัง ขวางกั้นเส้นทางที่ซาลจะใช้ในการหลบหนีไปได้
“บ้าจริง!”
ซาลพยายามยิง ‘ไฟร์บอล’ ใส่กำแพงน้ำแข็งนั่นเพื่อเจาะทางออกไป แต่เปลวไฟของเขาเมื่อกระทบกับผิวของกำแพงก็สลายหายไปโดยไม่ทิ้งไว้แม้แต่รอยขีดข่วน ทำให้เขายิ่งตกตะลึง
กำแพงน้ำแข็งนั้นสูงเกินกว่าที่ซาลจะปีนข้ามไปได้ และถ้าจะอ้อมกำแพงไปก็ต้องไปผ่านที่หน้ามังกรตัวนั้นอยู่ดี เท่ากับไม่เหลือทางใดให้เขาหนีได้อีกแล้ว
มังกรที่เริ่มชินกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นค่อย ๆ คบคลานเข้ามาหาซาลอย่างช้า ๆ
หัวใจของเขาเต้นระรัว เขาพยายามคิดหาวิธีที่จะรอดไปจากสถานการณ์นี้ แต่ยังไงก็คิดไม่ออก
“ฮืม… ถึงจะไม่รู้ว่าใช้คำสาปอะไร แต่ถ้าฆ่าผู้ใช้ได้ แรงดึงดูดนี่ก็น่าจะคลายไปสินะ ลาล่ะเจ้ามดปลวก…”
มังกรตัวนั้นคลานมาหยุดอยู่ตรงหน้าและสูดลมหายใจเข้าเพื่อเตรียมจะพ่นไอเย็นเข้าใส่เด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า จากจุดนี้เขาแทบไม่มีทางให้หลบไปทางไหนได้เลย แม้จะมีเสาต้นหนึ่งบังอยู่แต่มันก็คงไม่ช่วยให้รอดพ้นจากการถูกแช่แข็งไปได้ ซาลจึงได้แต่หลับตาแน่นและยอมรับชะตากรรม
“ฮึก!…”
แทนที่จะถูกพ่นไอเย็นใส่ ซาลกลับได้ยินเสียงสะอึกของมังกรตัวนั้นแทน เมื่อลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ต้องอ้าปากค้างเพราะสิ่งที่ได้เห็น
แซนโดรในชุดเกราะหัวกะโหลกเต็มยศกำลังเหยียบอยู่บนหัวของมังกรตัวนั้น ในมือของเธอก็กำเคียวขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนโครงกระดูกสีเงินแวววับปักลงตรงกลางกระหม่อมของมันพอดี
“อ๊ากกกก….”
มังกรตัวนั้นสะบัดหัวไปมาอย่างเจ็บปวด ส่วนแซนโดรก็กระโดดลงมายืนบนพื้นใกล้ ๆ กับซาล ก่อนจะเอ่ยคำพูดกับเขา
“…ซาลารัส …เธอเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า?…”
“หา?”
เพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บวกกับคำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของแซนโดร ทำให้เขายิ่งรู้สึกสับสน
“…ตอนที่ฉันบอกให้เธอเป็นผู้สร้างหายนะน่ะ …ฉันไม่ได้หมายถึงให้เธอมาสร้างความหายนะให้กับฉันหรอกนะ…”
“ระ.. เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วน่า! ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ซะหน่อย!”
“…โฮ่ …นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะเนี่ย …เธอน่ะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้จริง ๆ …ฉันเลือกคนมาไม่ผิดเลย…”
“นี่มันใช่เวลามาพูดเรื่องนี้เหรอ!?”
ซาลยังรู้สึกร้อนรนเพราะมังกรตัวนั้นลุกขึ้นมาแล้ว และมันก็เริ่มหันมาหาทั้งคู่อีกครั้ง
“ฮึ่ม… พวกแก… จะหยามกันมากเกินไปแล้ว…”
นอกจากจะดูไม่ได้รับบาดเจ็บสักเท่าไหร่แล้ว มังกรตัวนั้นยังมีท่าทางโกรธจัดจนดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ และจ้องมองมายังพวกเขาด้วยแววตาที่แทบจะลุกเป็นไฟ
“…มังกรน่ะเป็นสัตว์ที่มีวิญญาณขนาดใหญ่ แถมแผลยังตื้นด้วย เลยอาจต้องใช้เวลาเยอะหน่อย …แต่จากตำแหน่งของแผลแล้ว ก็น่าจะอีกไม่นานแหละนะ…”
“เอ๋?”
แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแต่ซาลก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
เคียวที่แซนโดรถืออยู่นั้นมีลวดลายเป็นโครงกระดูกเหมือนกับซี่โครง และที่ช่องว่างระหว่างซี่โครงแต่ละซี่ก็มีสิ่งที่เหมือนกับไอเย็นหรือควัน กำลังถูกดูดเข้าไป
เมื่อมองไล่ตามเส้นควันไปเรื่อย ๆ ซาลก็พบว่า ควันจากเคียวของแซนโดรนั้นเชื่อมต่อกับแผลบนหัวของมังกร อันที่จริงมันไม่ใช่แผลด้วยซ้ำ ตรงนั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน แต่กลับมีควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากจุดที่เคยถูกเคียวปักไม่หยุด
“หืม?… นะ.. นี่มัน!?… โอ๊วววว…”
มังกรตัวนั้นร้องคำรามและกุมศีรษะด้วยท่าทางเจ็บปวด ก่อนจะมีควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากทั่วทั้งตัวของมัน ควันเหล่านั้นค่อย ๆ ก่อรูปร่างกลายเป็นมังกร แล้วถูกดูดกลืนเข้าไปยังเคียวของแซนโดรอย่างรวดเร็ว เมื่อควันทั้งหมดนั้นถูกสูบเข้าไปในเคียวแล้ว ร่างของเจ้ามังกรก็ล้มตึงไป
ซาลตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าและอุทานออกมา
“เมื่อกี้มัน?”
“…นี่คือเคียว ‘โซลฮาร์เวส’ (Soul Harvest) …มีพลังในการกระชากวิญญาณของสิ่งมีชีวิตออกมาจากร่าง …ขอแค่ถูกเคียวนี่เกี่ยวเข้าแม้เพียงเล็กน้อย วิญญาณก็จะถูกดึงออกมาได้…”
“นั่นมันอาติแฟคระดับตำนานเลยไม่ใช่เหรอ!? สุดยอดเลย!”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็บิดด้ามเคียวเล็กน้อย ซี่กระดูกที่เป็นลวดลายบนตัวเคียวก็เปิดออกและปล่อยควันจำนวนมหาศาลออกมาอีกครั้ง
ควันนั้นลอยกลับเข้าไปในร่างของมังกรจนหมด แต่มังกรตัวนั้นก็ยังคงแน่นิ่งอยู่
“…ถึงจะได้วิญญาณคืนไปแล้วแต่เจ้านี่ก็น่าจะหลับไปอีกหลายวัน …เอาล่ะ รีบไปกันเถอะ…”
แซนโดรใช้เคียวทุบทำลายน้ำแข็งที่ขวางอยู่อย่างง่ายดายและพาซาลเดินออกมาทางด้านหน้าอาคาร แต่เมื่อมาถึง ทั้งสองก็ต้องหยุดชะงัก
ที่ด้านนอกอาคารนั้นมีคนของเผ่ามังกรล้อมอยู่โดยรอบ ทั้งที่อยู่ในร่างมนุษย์ธรรมดา ทั้งที่มีร่างมนุษย์แต่เผยปีกและหางออกมาให้เห็น และยังมีพวกที่อยู่ในร่างมังกรโดยสมบูรณ์ด้วย คนของเผ่ามังกรมาชุมนุมกันที่นี่ราวกับเป็นงานเทศกาล ทั้งบนพื้นถนนและบนหลังคาของอาคารโดยรอบต่างก็มีคนและมังกรยืนอยู่ ดูแล้วน่าจะมีมากกว่าร้อยคนได้
ซาลรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในทันที ทั้งยังรู้สึกผิดอีกด้วยที่ทำให้แซนโดรต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาแค่คิดจะให้แซนโดรพาหนีไปหลังจากขโมยดวงตาได้แล้ว แต่ไม่คิดที่จะให้เธอปะทะกับเผ่ามังกรโดยตรง ความจริงแล้วต่อให้เป็นแซนโดร ซาลก็ไม่คิดว่าจะรับมือกับมังกรมากมายขนาดนี้ได้ จึงหันไปเรียกแซนโดรด้วยสายตาและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“แซนโดร…”
“…อืม …กลายเป็นเรื่องยุ่งยากซะแล้วสิ …ยิ่งไม่ค่อยอยากให้กลายเป็นเรื่องเอิกเกริกอยู่ด้วย …แต่ถ้าจะฝ่าเผ่ามังกรจำนวนขนาดนี้ออกไป ยังไงก็คงออมมือไม่ได้แน่…”
ซาลรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของแซนโดรที่เหมือนจะไม่ยี่หระกับสถานการณ์ตรงหน้า ส่วนแซนโดรก็หันใบหน้าที่ปกปิดด้วยหน้ากากเหล็กรูปหัวกะโหลกนั้นมาทางเขา ก่อนจะพูดประโยคถัดไปด้วยเสียงอันหนักแน่น
“…ถ้าออกไปจากที่นี่แล้วละก็ …เตรียมตัวโดนอัดเอาไว้ได้เลย …ซาลารัส แฮลเซียน…”
ดวงตาที่เป็นเปลวไฟสีเขียวของแซนโดรดูโชติช่วงยิ่งกว่าที่เขาเคยเห็นมาในครั้งไหน ๆ ทำให้ซาลเหงื่อแตกและขนลุกไปทั้งตัว ตอนนี้เขารู้สึกกลัวแซนโดรมากกว่าเผ่ามังกรนับร้อยที่รายล้อมอยู่ซะอีก
ระหว่างนั้นก็มีเผ่ามังกรในร่างมนุษย์คนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่ม เขามีรูปลักษณ์เป็นชายแก่ที่ค่อนข้างสูงวัย แต่ก็ยังดูแข็งแรงดีอยู่
“เหล่าผู้บุกรุกเอ๋ย จงยอมจำนนและรับความตายเสียแต่โดยดีเถอะ ถ้าไม่ขัดขืนไปมากกว่านี้ละก็ อย่างน้อยเราก็จะให้พวกเจ้าได้ตายอย่างไม่ทรมานนะ”
ซาลรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นจมูกแว่วมาจากใต้หน้ากากเหล็กของแซนโดร ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายไปในเวลาเดียวกัน
“ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมจำนนสินะ ถ้างั้นละก็…”
“ได้โปรดหยุดก่อนค่ะ!!”
ระหว่างที่ชายแก่กำลังจะยกมือเพื่อสั่งการโจมตี ก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งตะโกนแทรกเข้ามา
เจ้าของเสียงคือหญิงสาวผมสีฟ้าซึ่งบินมาลงตรงหน้าอาคารอย่างเร่งรีบ ทำให้พื้นถนนซึ่งปูด้วยหินแกรนิตสีเทาถึงกับแตกร้าว เธอคือหญิงสาวเผ่ามังกรที่ซาลและแซนโดรคุ้นเคยนั่นเอง
———————————————————————————————————-
Part 2
“ได้โปรดเถอะค่ะ! ปล่อยพวกเขาไปเถอะนะคะ!”
หญิงสาวเผ่ามังกรร่อนลงมาตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย และหันไปขอร้องชายแก่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำของเผ่ามังกรในเมืองนี้
“เออเธมีล… ใครอนุญาตให้เจ้าละทิ้งหน้าที่ออกมากัน? ถอยไปซะ”
“ไม่ค่ะ! คุณจะฆ่าพวกเขาไม่ได้นะคะ!”
“พวกมันเป็นผู้บุกรุกเข้ามาในดินแดนของเรา พยายามขโมยของของเรา แถมยังทำร้ายคนของเราอีก ความผิดขนาดนี้มีแต่ต้องรับโทษตายเท่านั้น”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ! ทั้งหมดนั่นน่ะ.. เป็นเพราะฉันดันพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไป… ที่เขาทำลงไปก็เพราะฉัน! ดังนั้นได้โปรดลงโทษฉันคนเดียวเถอะนะคะ!”
“จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เลิกสุงสิงกับพวกมนุษย์อีกงั้นรึ… จะทำให้เผ่าพันธุ์ของเราแปดเปื้อนไปถึงไหน!”
พริบตานั้นก็มีแท่งน้ำแข็งก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าของชายแก่และพุ่งเข้าชนหญิงสาวจนเธอลอยกระเด็นไปถึงขั้นบันไดหน้าอาคาร
ซาลพยายามจะวิ่งเข้าไปดูอาการเธอแต่ก็ถูกแซนโดรรั้งเอาไว้
“พวกมนุษย์น่ะมันเป็นเชื้อโรค… เป็นเนื้อร้ายที่เคยกัดกินโลกจนล่มสลายมาครั้งนึงแล้ว… ส่วนโลกใบนี้จะโดนพวกมันทำลายเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น… เหลือบไรอย่างพวกมันน่ะ… สมควรจะต้องถูกกำจัด!”
แท่งน้ำแข็งอีกก้อนก่อตัวขึ้นและพุ่งเข้าหาซาล แซนโดรจึงกางวงเวทป้องกันสีเขียวกั้นไว้ด้านหน้าของเขาในทันที แต่แท่งน้ำแข็งก็ไม่ได้มาถึงวงเวทป้องกันนั้น
ปีกมังกรข้างหนึ่งถูกชูขึ้นมาขวางกั้นแท่งน้ำแข็งนั้นเอาไว้ก่อนจะพุ่งไปถึงเป้าหมาย แท่งน้ำแข็งที่ชนกับปีกมังกรเข้าก็แตกกระจายกลายเป็นเศษน้ำแข็งตกไปทั่วบริเวณ
“พวกเขาไม่ใช่เหลือบไรนะคะ…”
ปีกที่ยกขึ้นมาป้องกันการโจมตีเอาไว้ก็คือปีกของหญิงสาวเผ่ามังกรนั่นเอง เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ พลางพูดกับชายแก่ด้วยน้ำเสียงที่ยังคงความอ่อนโยนอยู่
“ถึงมนุษย์ในโลกเก่าจะทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้มากมายจนทำให้โลกต้องล่มสลาย แต่ก็ยังมีสิ่งดี ๆ อีกนับไม่ถ้วนที่พวกเขาสร้างเอาไว้เหมือนกัน… โลกใบนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น…”
ชายแก่ไม่ได้ฟังคำพูดของหญิงสาวและยังคงเสกแท่งน้ำแข็งขึ้นมาโจมตีเธออย่างต่อเนื่อง แต่เแค่สะบัดปีกไม่กี่ครั้งเธอสามารถก็ปัดป้องการโจมตีทั้งหมดเอาไว้ได้ ทำให้เขาเริ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจ
“โดยเฉพาะมนุษย์ในโลกนี้น่ะ ยิ่งแตกต่างจากมนุษย์ในโลกเก่ามาก พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเต็มไปด้วยความฝันและความหวัง พยายามสร้างสิ่งที่ดีขึ้นและพัฒนาโลกให้น่าอยู่ขึ้น ฉันไม่เห็นว่าการคบหากับพวกเขาจะเป็นเรื่องที่น่าอัปยศตรงไหนเลยค่ะ”
“อยู่กับพวกเชื้อโรคจนสมองเสื่อมไปหมดแล้วสินะ… ไม่เคยเรียนรู้อะไรซะบ้างเลย… พวกมนุษย์เองก็เหมือนกัน ยังมาเกาะแกะพวกเราอยู่ได้… แบบนี้ยิ่งต้องฆ่าเจ้าสองคนนี่ซะเพื่อไม่ให้มีมนุษย์คนไหนกล้ามายุ่งเกี่ยวกับเผ่ามังกรอีก”
“พอซะทีเถอะค่ะ!”
เสียงตะโกนของหญิงสาวครั้งนี้กลับมีแรงกดดันมหาศาล ทำเอาทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน
“เอาแต่เหยียดหยามคนอื่น กล่าวหาคนอื่นว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย ไม่รู้ตัวเหรอคะว่าทำแบบนั้นแล้วมันยิ่งเป็นการทำลายเกียติของตัวเองและเกียรติของเผ่าพันธุ์ด้วย! คุณน่ะ.. พวกเราทั้งหมดนี้น่ะ… กำลังจะกลายเป็นความชั่วร้ายซะเองนะคะ!”
“……เจ้านี่มันไร้ทางเยียวยาแล้วจริงๆนะ รู้แบบนี้น่าจะประหารไปให้สิ้นเรื่องซะตั้งแต่แรก… คิดซะว่าวันนี้เรามาทำเรื่องที่ควรทำตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อนก็แล้วกัน… ลาก่อนนะ เออเธมีล…”
เมื่อสิ้นคำประกาศของชายแก่ เผ่ามังกรในบริเวณนั้นก็กลายร่างเป็นมังกรโดยสมบูรณ์กันหมดทุกคน มังกรนับร้อยตัวที่รุมล้อมอยู่ทั่วทุกสารทิศทำให้เกิดทิวทัศน์อันน่าขนลุกจนซาลต้องเหงื่อตก
“ไร้ทางเยียวยาแล้วจริง ๆ ด้วยนะคะ… คงต้องบอกลากันจริง ๆ ซะที… แต่ว่าฉันขอคืนชื่อ ‘เออเธมีล’ นั่นให้กับคุณก็แล้วกันค่ะ”
ทางหญิงสาวเองก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน รูปลักษณ์ของเธอค่อย ๆ กลายสภาพเป็นมังกรไปทีละน้อย
“ชื่อที่แท้จริงของฉันคือ นิโคล โบรอส!”
เมื่อพูดจบก็เกิดแสงสีฟ้าสว่างวาบไปทั่วบริเวณพร้อมกับไอเย็นที่พวยพุ่งออกมาจากจุดที่หญิงสาวยืนอยู่ เพียงครู่หนึ่งก็มีร่างของมังกรขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากม่านไอเย็นนั้น มันมีเกล็ดเกราะลักษณะเหมือนหินผาห่อหุ้มทั่วทั้งตัวและปีก มีออร่าสีฟ้าพวยพุ่งออกมาจากปากและดวงตาจนดูเหมือนกับเปลวไฟที่กำลังคุกรุ่น
มังกรตัวนั้นคือร่างที่แท้จริงของนิโคลนั่นเอง
นิโคลพุ่งทะยานออกจากบริเวณหน้าอาคารเพื่อดึงดูดความสนใจของเหล่ามังกรออกจากซาลและแซนโดร ซึ่งพวกมันก็มุ่งเป้าไปที่เธอตามคาด
มังกรจำนวนมากบินตามขึ้นไปและพยายามเข้ารุมทึ้งนิโคลจากทั่วทุกสารทิศ แต่เธอก็สามารถหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วผิดกับรูปร่างที่ดูเทอะทะและน่าจะเชื่องช้า
มังกรสี่ตัวพุ่งเข้าโจมตีจากสี่ทิศพร้อม ๆ กัน แต่นิโคลก็โฉบตัวกลางอากาศเป็นวงกลมและฟาดหางอันหยาบหนาราวกับแส้ที่ทำจากกระดูกใส่พวกมันจนแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง
ระหว่างกลับสู่ท่าเตรียมพร้อม มังกรอีกหกตัวก็ฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้ามากลุ้มรุมเธอแบบไม่ให้ตั้งตัว แต่นิโคลก็ยังเร็วกว่า เธอหมุนตัวควงสว่านกลางอากาศและสะบัดปีกขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนกับแผ่นศิลาของเธอไปโดยรอบ ทำให้สามารถปัดป้องการโจมตีจากรอบทิศที่ประดังเข้ามา และยังดีดพวกมังกรที่เข้ามาใกล้เกินไปจนกระเด็นร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่าง
พวกมังกรที่อยู่รอบนอกพยายามโจมตีนิโคลด้วยลมหายใจธาตุและกระสุนเวทมนตร์ธาตุต่าง ๆ ทั้งไฟ สายฟ้า และน้ำแข็ง แต่การโจมตีทั้งหมดนั้นเมื่อพุ่งไปกระทบเข้ากับผิวหนังที่เหมือนกับหินผาของเธอ มันก็แตกสลายไปราวกับหยดน้ำที่ซัดลงบนโขดหิน ไม่ทำให้เกิดแม้แต่รอยขีดข่วน
ซาลมองดูการต่อสู้จนตาค้าง ระดับฝีมือและความแข็งแกร่งของนิโคลเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ
“ว้าว ไม่น่าเชื่อเลย พี่สาวเขาเก่งขนาดนี้เลยเหรอ?”
“…เธอคนนั้นน่ะคอยเฝ้าเส้นทางแห่งอคาทอชเพียงลำพังมาโดยตลอดเชียวนะ …ต้องสู้กับมอนสเตอร์และมังกรระดับสูงจำนวนมากทุก ๆ วัน ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานับร้อยปี …ถ้าให้วัดฝีมือจริง ๆ ก็น่าจะเกินระดับ S ไปนานแล้วล่ะ…”
แซนโดรประเมินฝีมือของนิโคลเอาไว้ค่อนข้างสูงอยู่แล้วด้วยเหตุผลที่เธอพูดไป อีกประการคือเธอรู้ว่าพวกมังกรที่เก่งจริง ๆ คือมังกรที่ออกไปผจญโลกกว้างเพื่อฝึกปรือฝีมือ ส่วนมังกรที่เอาแต่คุดคู้อยู่ในเมืองก็เหมือนกับกบในกะลา แม้จะมีพลังแต่ก็ขาดประสบการณ์และชั้นเชิง ไม่มีทางต่อกรกับนิโคลที่ต่อสู้ดิ้นรนอย่างโชกโชนมานับร้อยปีได้หรอก ถึงกระนั้นความแข็งแกร่งของนิโคลก็ยังเหนือกว่าที่แซนโดรคาดไว้
เหล่ามังกรยังพยายามกลุ้มรุมนิโคลอย่างไม่ลดละ แต่การโจมตีทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์ต่างก็ไม่มีผลกับเธอเลยแม้แต่น้อย มังกรทุกตัวที่พุ่งเข้าไปหาเธอจึงมีสภาพเฉกเช่นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ได้แต่พากันร่วงลงมากองกับพื้นทีละตัวสองตัว ไม่นาน ทั้งพื้นถนนและบนหลังคาของอาคารด้านล่างก็เต็มไปด้วยร่างของมังกรที่ลงมานอนแน่นิ่งจำนวนนับไม่ถ้วนจนแทบจะดูเป็นสุสานมังกรอยู่แล้ว
“ฮึ่ม… บ้าที่สุด!… จัดกระบวนทัพใหม่! ใช้ ‘ดรากอนเรนด์’ จับมันให้ได้!”
มังกรเฒ่าคำรามอย่างเกรี้ยวกราดเพื่อสั่งการ ทันใดนั้นเหล่ามังกรก็แปรขบวนใหม่เพื่อล้อมนิโคลเอาไว้จากทุกทิศทาง
‘ดรากอนเรนด์’ (Dragonrend) คือท่าผนึกมังกรซึ่งดัดแปลงมาจากเวทต่อต้านมังกรของนักรบในตำนาน เขาใช้ท่านี้เป็นเครื่องมือในการสังหารมังกรจำนวนนับไม่ถ้วน ภายหลังเหล่ามังกรจึงดัดแปลงมันมาเป็นเวทพันธนาการของตัวเองเพื่อผนึกการเคลื่อนไหวของศัตรู ยิ่งมีมังกรจำนวนมากที่ใช้ท่านี้ ผนึกก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
เมื่อเข้าประจำที่แล้วมังกรทั้งหมดก็ส่งเสียงคำรามอย่างกึกก้องโดยพร้อมเพรียงกันจนทำให้ตัวถ้ำอคาทอชทั้งถ้ำเกิดการสั่นไหว
พลังงานจากการคำรามพุ่งเข้าหานิโคลจากทั่วทุกสารทิศ เมื่อมันเข้าปะทะก็ปรากฏโซ่เวทมนตร์ล่ามเข้ากับร่างกายส่วนที่มันกระทบ ปลายแต่ละด้านของโซ่ฝังลึกเข้าไปในชั้นผิว ส่วนตัวโซ่เองก็มีเปลวไฟสีฟ้าลุกโชนอยู่ตลอดเวลา เสียงคำรามของมังกรแต่ละตัวทำให้เกิดโซ่เพลิงรัดพันขึ้นทีละจุด ไม่นานบนตัวของนิโคลก็มีโซ่เพลิงสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพันธนาการเกือบทั่วทั้งตัว โซ่เพลิงเหล่านั้นค่อย ๆ พันซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่าและบีบรัดร่างของเธอจนขดเล็กลงเรื่อย ๆ
ซาลที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงหันไปร้องให้แซนโดรช่วยทำอะไรสักอย่าง
“แย่แล้วล่ะ! แซนโดร!”
“…อืม…”
แซนโดรเตรียมร่ายเวทโจมตีเหล่ามังกรเพื่อช่วยนิโคลออกมา แต่ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงเปลี่ยนการร่ายเวทเป็นเวทป้องกันแทน
“…แอนติเมจิคชิลด์!…”
“เอ๋? ทำไมล่ะ?”
แซนโดรร่ายเวท ‘แอนติเมจิคชิลด์’ (Anti-magic Shield) ซึ่งสร้างบาเรียอักขระสีเขียวใสล้อมรอบตัวเธอกับซาลเอาไว้จนเหมือนกับบอลกลม ซาลไม่เข้าใจว่าแซนโดรทำแบบนี้ไปทำไม จนกระทั่งถึงครู่ต่อมา
ในกลุ่มก้อนของโซ่เพลิงที่บีบรัดจนดูเหมือนกำลังจะบดขยี้ร่างของนิโคลได้นั้นเริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นทีละน้อย ราวกับเปลือกไข่ที่กำลังปริแตก พริบตาเดียวโซ่เพลิงทั้งหมดแตกสลายกลายเป็นผุยผงจนมีเศษละอองแสงสีฟ้าแตกกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
ในระหว่างที่เหล่ามังกรกำลังตื่นตะลึงกันอยู่ เสี้ยววินาทีต่อมาหลังจากการขาดสะบั้นของโซ่เพลิงนั้นก็เกิดคลื่นพลังสีขาวแผ่ออกมาจากตัวของนิโคลอย่างรวดเร็วและกระจายออกไปรอบทิศ
เหล่ามังกรทั้งที่บินอยู่บนฟ้าและยืนอยู่บนพื้นดิน เมื่อได้สัมผัสกับคลื่นพลังสีขาวนั้นก็จะถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งสีขาวโพลนและหยุดชะงักในทันทีจนกลายเป็นเหมือนรูปปั้นที่แกะสลักขึ้นจากน้ำแข็ง ทุกตัวล้วนหยุดนิ่งไม่ไหวติง แม้แต่เหล่ามังกรที่บินอยู่บนฟ้าก็ค่อย ๆ ร่วงลงมาบนพื้นราวกับเป็นเศษใบไม้ที่โปรยปราย
‘แอนติเมจิคชิลด์’ ทรงกลมของแซนโดรก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งสีขาวจนดูเหมือนกับลูกบอลหิมะขนาดยักษ์ แต่เมื่อเธอคลายเวทออก น้ำแข็งที่จับตัวอยู่บนผิวของ ‘แอนติเมจิคชิลด์’ ก็ทลายตัวลง เผยให้เห็นทั้งสองคนที่ยังปลอดภัยดี
นิโคลโฉบลงมาบนพื้นและรับตัวของทั้งสองคนไว้ ก่อนจะบินออกไปยังด้านหน้าของเมือง และหายลับไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกนั้น
———————————————————————————————————-
Part 3
หลังจากบินออกมาห่างจากเทือกเขาอคาทอชได้พอสมควรแล้ว นิโคลก็ร่อนลงยังบริเวณทุ่งหญ้าบนเชิงเขาแห่งหนึ่ง
เธอวางซาลารัสและแซนโดรลงบนพื้น จากนั้นจึงคืนร่างกลับเป็นหญิงสาวตามเดิม แซนโดรเองก็ถอดชุดเกราะออกและกลับคืนสู่ร่างมนุษย์เช่นกัน
ซาลมีท่าทางสำนึกผิดอยู่นิดหน่อยและคิดจะพูดขอโทษ แต่คนที่ชิงพูดออกมาก่อนกลับเป็นนิโคล
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่เกิดเรื่องแบบนี้…”
“เอ๋!? อะไรกันน่ะ? คนที่ควรขอโทษคือผมต่างหาก!”
เพราะอีกฝ่ายพูดขอโทษออกมาก่อน ซาลจึงยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นอีก แต่นิโคลก็ยังส่ายหน้าและพูดต่อไป
“ที่คุณพยายามไปขโมยดวงตาก็เพราะฉันบอกว่าอยากจะมองเห็นทิวทัศน์อีกสักครั้งสินะคะ… เพราะคำพูดที่เห็นแก่ตัวของฉัน เกือบทำให้เกิดเรื่องที่น่าเศร้าขึ้นอีกแล้ว…”
“นี่!! พอซะทีเถอะน่า! นิสัยที่ชอบโทษตัวเองแบบนั้นน่ะ!”
จู่ ๆ ซาลก็แสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวออกมา ทำให้นิโคลก็รู้สึกแปลกใจจนตั้งตัวไม่ทัน
“ความจริงพี่สาวเป็นคนที่รับเคราะห์จากความเห็นแก่ตัวของพวกเราต่างหาก… พี่ชายคนนั้นก็เอาแต่คิดหาวิธีที่จะได้อยู่กับพี่สาวโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของพี่สาวเลย… ส่วนผมก็พยายามทำให้พี่สาวยอมไปจากที่นี่โดยไม่สนความสมัครใจของพี่สาวเช่นกัน… พวกเราต่างก็ทำเพื่อความสบายใจของตัวเองโดยไม่สนใจความรู้สึกของพี่สาว… ผมเชื่อว่าทั้งผมและพี่ชายคนนั้นต่างก็ทำไปโดยเตรียมใจยอมรับผลของมันที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราเองเอาไว้แล้ว แต่เรากลับลืมนึกถึงผลที่จะเกิดกับพี่สาวหากทุกอย่างเกิดความผิดพลาดขึ้นมา… ดังนั้นเราต่างหากที่เป็นฝ่ายผิดและเป็นฝ่ายที่ควรจะขอโทษ… พี่สาวน่ะ… เลิกโทษตัวเองซะทีเถอะนะ…”
คำพูดนั้นของซาลทำให้จิตใจของนิโคลเกิดความหวั่นไหว
ด้วยนิสัยของคาน่อน หากได้พบกับเธออีกครั้ง เขาก็คงพูดแบบนี้เช่นกัน นี่เป็นนิสัยของคาน่อนที่เธอหลงลืมไปแล้ว เพราะถูกความรู้สึกผิดและความโศกเศร้าบดบัง การพยายามไถ่บาปด้วยวิธีของเธอมีแต่จะทำให้คาน่อนรู้สึกผิดต่อเธอยิ่งขึ้นมากกว่า คำพูดของซาลารัสได้ทำให้เธอฉุกคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“คุณซาลารัส…”
“เรียกผมว่าซาลก็ได้”
ซาลยิ้มให้กับนิโคล ส่วนเธอเองก็ยิ้มละไมตอบกลับมา มันเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ไม่ใช่รอยยิ้มที่ซ่อนความเศร้าไว้เบื้องหลังเหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา
“…งั้นเหรอ …เตรียมใจยอมรับผลเอาไว้แล้วงั้นเหรอ…”
เสียงที่แว่วมาจากด้านหลังทำให้ซาลสะดุ้งเฮือก
“…งั้นก็รับผลของมันไปซะ! …เจ้าเด็กเส็งเคร็งเอ๊ย!…”
“อ๊ากกกก ๆ ๆ ๆ”
ซาลถูกแซนโดรใช้กำปั้นหนีบขมับแล้วยกขึ้นจนตัวลอย เขาร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวด ส่วนนิโคลก็มีอาการลนลานเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี
แซนโดรลงทัณฑ์เขาอยู่พักหนึ่งจึงยอมปล่อยตัวเขาลงมา และเริ่มเทศน์
“…คราวนี้ยังดีที่ฉันไปทัน …ไม่งั้นคงได้เก็บศพกลับบ้านแล้ว …คราวหลังอย่าทำเรื่องโง่ ๆ แบบนี้อีกเข้าใจมั้ย?…”
“ก็ตอนนั้นผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องโง่ ๆ นี่นา…”
“…หืม!?…”
“รู้แล้วครับ! เข้าใจทุกอย่างแล้วครับ!”
เพราะโดนแซนโดรถลึงตามองด้วยแววตาอาฆาต ทำให้ซาลไม่กล้าต่อปากต่อคำอีกต่อไป
“…แล้ว …ได้ดวงตามารึเปล่า?…”
“คือ… พอเข้าไปใกล้รูปปั้นมันก็หายไปเลยน่ะ ไม่รู้ว่าที่เห็นอยู่ตอนแรกเป็นของจริงรึเปล่าด้วย… อ๊ะ! จริงสิ!”
ซาลทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเดินตรงไปหานิโคล
“พี่สาวน่ะ ใช้เวทอัญเชิญเป็นรึเปล่าครับ?”
“อืม… ก็ไม่เคยเรียนมาหรอกนะคะ แต่ถ้าสอนขั้นพื้นฐานให้คิดว่าก็น่าจะพอทำได้ค่ะ”
“ถ้างั้นละก็ลองนี่ละกันนะครับ”
ซาลเสกสมุนแมลงออกมาหนึ่งตัว จากนั้นก็ให้มันขึ้นไปเกาะบนศีรษะของนิโคลก่อนจะโอนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของให้กับเธอ
“แล้วทีนี้ก็ ลองใช้เวทชุดนี้ดูนะครับ พอจะมองเห็นรึเปล่า”
ซาลวาดอักขระเวทชุดหนึ่งขึ้นบนอากาศ ส่วนนิโคลนั้นพอจะเห็นเค้าร่างของกระแสเวทมนตร์ลาง ๆจึงอ่านอักขระนั้นได้
แม้จะไม่รู้ว่าเขาพยายามจะให้เธอทำอะไร แต่นิโคลก็ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่าย เมื่อเธอร่ายเวทที่เขาให้มาเสร็จแล้ว ทิวทัศน์โดยรอบก็ปรากฏขึ้นในสมองของเธออย่างชัดเจนราวกับว่าดวงตาของเธอกลับมามองเห็นอีกครั้ง ทำให้เธอทั้งรู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจ
“นะ… นี่มัน!?”
“นั่นคือเวท ‘มิเนี่ยนวิชั่น’ ครับ มันทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ผ่านสายตาของสมุนอัญเชิญได้ ถ้าใช้คาถานี้ละก็ ถึงพี่สาวจะไม่มีดวงตาของตัวเอง แต่ก็น่าจะใช้ตาของสมุนในการมองแทนได้นะ”
นิโคลค่อย ๆ เดินไปยังทุ่งหญ้าเบื้องหน้า และหันมองทิวทัศน์ต่าง ๆ ด้วยรอยยิ้มกว้างที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี
“นั่น.. ทุ่งหญ้า… ต้นไม้… ท้องฟ้า… ทุกอย่างงดงามยิ่งกว่าที่ฉันเคยจำได้ซะอีกนะคะเนี่ย! นี่มัน! วิเศษที่สุดเลยค่ะ!”
เธอหมุนตัวไปรอบ ๆ พร้อมกับมองดูทิวทัศน์ด้วยความตื่นเต้น แม้ดวงตาของเธอจะยังปิดอยู่แต่น้ำตาแห่งความยินดีก็ไหลรินออกมาอาบทั้งสองแก้มจนเปียกแฉะ นิโคลทั้งรู้สึกตื่นเต้น ตื้นตัน และประทับใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกของเธอในตอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ระหว่างที่ซาลกำลังมองดูนิโคลด้วยความภูมิใจอยู่นั้น แซนโดรก็เดินเข้ามาทักเขาจากทางด้านหลัง
“…เฮ้ย…”
“หืม? มีอะไรเหรอแซนโดร?”
“…ทำไมถึงไม่ทำแบบนี้แต่แรกล่ะ? …จะแอบไปขโมยดวงตาให้เสี่ยงทำไม?…”
“คือผมเองก็เพิ่งจะนึกวิธีนี้ขึ้นได้เมื่อตะกี้นี้เองน่ะ ฮ่ะ ๆ แต่ยังไงดวงตาจริง ๆ มันก็น่าจะดีกว่าใช่ม้า ตอนนั้นก็เลยคิดแค่ว่าอยากจะไปขโมยดวงตามา ถ้าทำไม่สำเร็จค่อยหาทางอื่นอีกทีน่ะ ฮะ ๆ ๆ”
“…ลำดับมันกลับกันแล้วไม่ใช่เหรอเจ้าเด็กบ้า!…”
“โอ๊ย ๆ ๆ ๆ ๆ”
ด้วยคำตอบที่ชวนหงุดหงิดทำให้ซาลโดนแซนโดรลงทัณฑ์อีกรอบ คราวนี้เธอหยิกแก้มทั้งสองข้างของเขาและยกตัวจนลอยขึ้นแทน
“มะ.. ไม่ได้นะคะ! การใช้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นสิ่งไม่ดีนะคะ!”
นิโคลที่เห็นซาลโดนลงโทษรีบปาดเช็ดน้ำตาแล้ววิ่งเข้ามาห้าม แต่ซาลก็ยังคงโดนลงทัณฑ์ต่อไปอีกพักใหญ่
เมื่อลงทัณฑ์เจ้าเด็กตัวแสบจนหนำใจแล้ว แซนโดรจึงหันมาถามนิโคลเกี่ยวกับเรื่องอนาคต
“…แล้ว …จากนี้เธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ? …คงไม่กลับไปที่นั่นอยู่แล้วสินะ…”
“ก็…”
“ไม่เห็นต้องถามเลย! พี่สาวก็ต้องไปกับเราอยู่แล้วนี่นา! ใช่มะ!”
ซาลรีบทะลุกลางปล้องขึ้นมาและจับมือของนิโคลเพื่อเป็นการคะยั้นคะยออีกทางหนึ่ง ซึ่งนิโคลเองก็มีท่าทีลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ถ้าจะว่ากันตามจริงเธอเองก็ยังไม่อยากจะแยกจากซาลในตอนนี้เช่นกัน
“เรื่องนั้น… ถ้าพวกคุณไม่รังเกียจฉันละก็…”
“ไม่รังเกียจอยู่แล้ว! เนอะ! แซนโดร?”
“…ฉันเองก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ…”
แม้สีหน้าของแซนโดรจะไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากปกติเท่าไหร่ แต่สายตาของเธอก็ยังสื่อถึงความเป็นมิตรออกมา จนนิโคลสังเกตเห็นได้
“ถ้างั้นละก็… ขอฝากตัวด้วยนะคะ”
“อื้ม! มาหาวิธียึดครองโลกด้วยกันเถอะนะ!”
“ค่ะ! …..อะ.. เอ๋?…”
นิโคลไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ซาลพูด ส่วนแซนโดรก็ทำหน้าเซ็งกับความห่ามที่ไม่รู้จักจบสิ้นของเขา
แต่ด้วยเหตุนี้ พลพรรคของผู้สร้างหายนะ (แบบปลอม ๆ ) ของซาลจึงมีสมาชิกมาเพิ่มอีกหนึ่งคน